มีชีวิตอยู่เพื่อวันนี้หรือเพื่ออนาคตถาวร?
“เราทั้งหลายได้รอดเพราะความหวังใจ.”—โรม 8:24.
1. สำนักเอพิคิวเรียนสอนอะไร และปรัชญาแบบนั้นมีผลกระทบอย่างไรต่อคริสเตียนบางคน?
อัครสาวกเปาโลเขียนถึงคริสเตียนที่อยู่ในเมืองโกรินโธดังนี้: “เป็นไฉนบางคนในพวกท่านยังกล่าวว่า การเป็นขึ้นมาจากตายไม่มี?” (1 โกรินโธ 15:12) ดูเหมือนว่า ปรัชญาซึ่งแฝงอันตรายร้ายแรงของเอพิคิวรัสนักปรัชญาชาวกรีกได้แทรกซึมเข้าไปบ้างแล้วในหมู่คริสเตียนในศตวรรษแรก. ด้วยเหตุนี้ เปาโลชี้ถึงคำสอนของสำนักเอพิคิวเรียนที่ว่า “ให้เรากินและดื่มเถิด, เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตาย.” (1 โกรินโธ 15:32) โดยหยามความหวังเรื่องชีวิตหลังความตาย พวกที่ติดตามนักปรัชญาผู้นี้เชื่อว่าความเพลิดเพลินในเนื้อหนังเป็นคุณประโยชน์อย่างเดียวหรือเป็นเรื่องหลักในชีวิต. (กิจการ 17:18, 32) ปรัชญาเอพิคิวเรียนมุ่งไปทางเห็นแก่ตัว, มองโลกในแง่ร้าย, และทำให้เกิดความเสื่อมศีลธรรมในที่สุด.
2. (ก) เหตุใดจึงอันตรายมากที่จะปฏิเสธการกลับเป็นขึ้นจากตาย? (ข) เปาโลได้เสริมความเชื่อของคริสเตียนชาวโกรินโธอย่างไร?
2 การปฏิเสธเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายเช่นนี้มีความหมายลึกทีเดียว. เปาโลหาเหตุผลดังนี้: “ถ้าการเป็นขึ้นมาจากตายไม่มีแล้ว, พระคริสต์ก็หาได้ทรงคืนพระชนม์ไม่. ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงคืนพระชนม์, การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก [“เปล่าประโยชน์,” ล.ม.], ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลัก [“เปล่าประโยชน์,” ล.ม.] ด้วย . . . ถ้าแม้เราทั้งหลายมีความไว้ใจในพระคริสต์ได้แต่ในชีวิตนี้เท่านั้น, เราก็เป็นพวกที่น่าสังเวชที่สุดในหมู่คนทั้งปวง.” (1 โกรินโธ 15:13-19) ใช่แล้ว หากปราศจากความหวังเรื่องอนาคตถาวร ศาสนาคริสเตียนก็ “เปล่าประโยชน์.” คงไร้จุดมุ่งหมายเลยทีเดียว. ดังนั้น ไม่แปลกเลยว่าจากการอยู่ใต้อิทธิพลของแนวคิดแบบนอกรีตเช่นนี้ ประชาคมโกรินโธได้กลายเป็นแหล่งเพาะปัญหาต่าง ๆ. (1 โกรินโธ 1:11; 5:1; 6:1; 11:20-22) เหตุฉะนั้น เปาโลเพ่งเล็งที่การเสริมความเชื่อของพวกเขาให้เข้มแข็งในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย. โดยใช้หลักเหตุผลที่มีพลัง, การยกข้อพระคัมภีร์, และอาศัยอุทาหรณ์ต่าง ๆ ท่านพิสูจน์จนปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ว่าความหวังเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายไม่ใช่จินตนาการ แต่เป็นเรื่องจริงที่จะสำเร็จเป็นจริงแน่นอน. ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านสามารถกระตุ้นเตือนเพื่อนร่วมความเชื่อดังที่เราอ่านว่า “จงตั้งมั่นคงอยู่, อย่าสะเทือนสะท้าน จงกระทำการขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา. ด้วยว่าท่านทั้งหลายรู้ว่า, โดยองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นการของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้.”—1 โกรินโธ 15:20-58.
“จงเฝ้าระวังอยู่”
3, 4. (ก) ตามที่เปโตรกล่าว เจตคติแบบใดที่นับว่าอันตรายซึ่งจะครอบงำความคิดของบางคนในช่วงสมัยสุดท้าย? (ข) เราจำต้องคอยเตือนใจตัวเราเองอยู่เสมอในเรื่องใด?
3 ทุกวันนี้ หลายคนมีทัศนะมองโลกในแง่ร้าย มีเจตคติแบบอยู่ไปวัน ๆ. (เอเฟโซ 2:2) เป็นเช่นที่อัครสาวกเปโตรพยากรณ์ไว้. ท่านกล่าวถึง “คนเยาะเย้ยโดยใช้การหัวเราะเยาะของเขา . . . กล่าวว่า: ‘การประทับของพระองค์ที่ทรงสัญญาไว้นี้อยู่ที่ไหนล่ะ? อ้าว ตั้งแต่สมัยที่บรรพบุรุษของเราได้ล่วงหลับไปในความตาย สิ่งทั้งปวงก็ดำเนินต่อไปเหมือนทีเดียว อย่างที่เป็นอยู่ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นการทรงสร้าง.’” (2 เปโตร 3:3, 4, ล.ม.) หากผู้นมัสการแท้ยอมพ่ายแพ้ต่อทัศนะเช่นนั้น เขาอาจกลายเป็นคน “อยู่เฉย ๆ หรือไม่เกิดผล.” (2 เปโตร 1:8, ล.ม.) น่ายินดีที่ไพร่พลส่วนใหญ่ของพระเจ้าในปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้น.
4 ไม่ผิดที่จะสนใจในเรื่องอวสานของระบบชั่วที่กำลังจะมาถึง. ขอให้นึกถึงความสนใจที่อัครสาวกของพระเยซูเองแสดงออก: “พระองค์เจ้าข้า, พระองค์จะทรงตั้งพลยิศราเอลให้เป็นเอกราชอีกในครั้งนี้หรือ?” พระเยซูตรัสตอบว่า “มิใช่ธุระของท่านทั้งหลายที่จะรู้เวลาและกาลกำหนดซึ่งพระบิดาได้ทรงดำริไว้โดยอำนาจของพระองค์.” (กิจการ 1:6, 7) คำตรัสนี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องที่พระองค์ได้เคยตรัสที่ภูเขามะกอกเทศที่ว่า “ท่านไม่รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาวันใด. . . . ในโมงที่ท่านไม่คิดว่าเป็นเวลานั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา.” (มัดธาย 24:42, 44, ล.ม.) เราต้องคอยเตือนใจเราเองเสมอเกี่ยวกับคำแนะนำนั้น! บางคนอาจถูกล่อใจด้วยเจตคติอย่างนี้: ‘บางทีฉันน่าจะเพลามือลงบ้าง และทำตัวตามสบายขึ้นอีกสักหน่อย.’ นั่นนับเป็นความผิดพลาดทีเดียว! ขอให้พิจารณากรณีของยาโกโบและโยฮันซึ่งทั้งสองได้รับฉายาว่า “ลูกฟ้าร้อง.”—มาระโก 3:17.
5, 6. เราอาจได้บทเรียนอะไรบ้างจากตัวอย่างของยาโกโบและโยฮัน?
5 เราทราบว่ายาโกโบเป็นอัครสาวกที่มีใจแรงกล้าอย่างยิ่ง. (ลูกา 9:51-55) เมื่อได้มีการก่อตั้งประชาคมคริสเตียนขึ้นแล้ว ท่านคงต้องได้มีบทบาทอย่างแข็งขันทีเดียว. แต่ขณะที่ยาโกโบอายุยังค่อนข้างน้อย เฮโรดอะฆะริปาที่หนึ่งได้สั่งประหารท่าน. (กิจการ 12:1-3) เราคิดไหมว่าเมื่อยาโกโบเห็นว่าชีวิตท่านกำลังจะถึงจุดจบอย่างไม่คาดคิด คงรู้สึกเสียใจที่ได้กระทำการงานด้วยใจแรงกล้า และที่ได้ทุ่มเทตัวเองในงานรับใช้? ไม่เลย! ท่านมีความสุขอย่างแน่นอนที่ได้ใช้ช่วงที่ดีที่สุดของชีวิตซึ่งค่อนข้างสั้นของท่านในการรับใช้พระยะโฮวา. ตอนนี้ ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเราที่ทราบว่าชีวิตเราอาจสิ้นสุดลงอย่างไม่คาดคิดหรือไม่. (ท่านผู้ประกาศ 9:11; เทียบกับลูกา 12:20, 21.) ดังนั้น ย่อมเป็นการฉลาดที่จะรักษาความมีใจแรงกล้าและกิจกรรมในการรับใช้พระยะโฮวาให้อยู่ในระดับสูง. ด้วยวิธีนี้ เราจะรักษาชื่อเสียงที่ดีกับพระองค์และดำเนินชีวิตโดยมีภาพอนาคตถาวรของเราแจ่มชัดในความคิดเสมอ.—ท่านผู้ประกาศ 7:1.
6 มีบทเรียนที่เกี่ยวข้องกันที่เกิดกับอัครสาวกโยฮันซึ่งอยู่ด้วยขณะที่พระเยซูทรงกระตุ้นเตือนอย่างหนักแน่นว่า “จงเฝ้าระวังอยู่.” (มัดธาย 25:13; มาระโก 13:37; ลูกา 21:34-36) โยฮันได้ใส่ใจในคำกระตุ้นเตือนนี้ และได้รับใช้ด้วยความกระตือรือร้นเป็นเวลาหลายทศวรรษ. ที่จริง ดูเหมือนว่าท่านมีชีวิตยืนยาวกว่าอัครสาวกคนอื่น ๆ ทั้งหมด. เมื่อโยฮันชรามากแล้วและมองย้อนไปในหลายทศวรรษแห่งกิจกรรมที่ได้รับใช้ด้วยความซื่อสัตย์ ท่านมองว่าเป็นชีวิตที่ผิดพลาด ถูกชักจูงผิด ๆ หรือไม่สมดุลไหม? ไม่เลย! ท่านยังคงมองไปยังอนาคตอย่างกระตือรือร้น. เมื่อพระเยซูผู้ถูกปลุกให้คืนพระชนม์ตรัสว่า “ถูกแล้ว; เราจะมาโดยเร็ว” โยฮันตอบทันทีว่า “อาเมน! เชิญเสด็จมาเถิด พระเยซูเจ้า.” (วิวรณ์ 22:20, ล.ม.) แน่นอนทีเดียว โยฮันไม่ได้มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยใฝ่ฝันที่จะมี ‘ชีวิตปกติธรรมดา’ แบบเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ. ท่านมุ่งมั่นรับใช้เรื่อยไปอย่างทุ่มเททั้งชีวิตและกำลังทั้งหมด ไม่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเมื่อไร. เราล่ะเป็นอย่างไร?
รากฐานสำหรับความเชื่อในเรื่องชีวิตถาวร
7. (ก) ความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์ “ตรัสสัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนดึกดำบรรพ์” อย่างไร? (ข) พระเยซูทรงทำให้ความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์กระจ่างอย่างไร?
7 ขอให้มั่นใจได้เลยว่าความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์ไม่ใช่ความฝันหรือจินตนาการอันบรรเจิดที่มนุษย์สร้างขึ้น. ดังที่ติโต 1:2 กล่าวไว้ ความเลื่อมใสของเราในพระเจ้ามีพื้นฐานบน “ความหวังว่าจะได้ชีวิตนิรันดร์, ซึ่งพระเจ้าผู้ตรัสมุสาไม่ได้ได้ตรัสสัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนดึกดำบรรพ์.” เป็นพระประสงค์ดั้งเดิมของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ที่เชื่อฟังทุกคนจะมีชีวิตตลอดไป. (เยเนซิศ 1:28) ไม่มีสิ่งใด แม้กระทั่งการกบฏของอาดามและฮาวาจะยับยั้งพระประสงค์นี้ได้. ดังบันทึกที่เยเนซิศ 3:15 พระเจ้าทรงสัญญาทันทีว่าจะให้มี “พงศ์พันธุ์” ซึ่งจะลบล้างความเสียหายทั้งสิ้นที่เกิดแก่มนุษยชาติ. เมื่อ “พงศ์พันธุ์” หรือมาซีฮาซึ่งก็คือพระเยซูมาแล้ว คำสอนพื้นฐานอย่างหนึ่งที่พระองค์ทรงสอนก็คือความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์. (โยฮัน 3:16; 6:47, 51; 10:28; 17:3) โดยการสละชีวิตสมบูรณ์ของพระองค์เป็นค่าไถ่ พระคริสต์ได้รับสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะประทานชีวิตนิรันดร์แก่มนุษยชาติ. (มัดธาย 20:28) สาวกบางคนของพระองค์ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 144,000 คนจะมีชีวิตตลอดไปในสวรรค์. (วิวรณ์ 14:1-4) ฉะนั้น บางคนซึ่งเคยเป็นมนุษย์ที่ต้องตายจะ “สวมสภาพอมตะ”!—1 โกรินโธ 15:53, ฉบับแปลใหม่.
8. (ก) “สภาพอมตะ” คืออะไร และเหตุใดพระยะโฮวาทรงประทานให้แก่ 144,000 คน? (ข) ความหวังอะไรที่พระเยซูทรงมีให้ “แกะอื่น”?
8 “สภาพอมตะ” ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ความไม่รู้ตาย. คำนี้ยังรวมความไปถึง “ฤทธิ์เดชแห่งชีวิตอันไม่สามารถจะทำลายได้.” (เฮ็บราย 7:16, ฉบับแปลใหม่; เทียบกับวิวรณ์ 20:6.) อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงทำอะไรให้สำเร็จผลในการโปรดประทานบำเหน็จอันยอดเยี่ยมเช่นนั้น? ขอให้นึกถึงการท้าทายของซาตานที่ว่าไม่มีสิ่งทรงสร้างใดของพระเจ้าที่สามารถไว้ใจได้. (โยบ 1:9-11; 2:4, 5) โดยการโปรดประทานสภาพอมตะให้ชนจำพวก 144,000 คน พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นความมั่นพระทัยอย่างเต็มเปี่ยมของพระองค์ที่มีต่อชนกลุ่มนี้ซึ่งได้ตอบข้อท้าทายของซาตานได้อย่างยอดเยี่ยม. แต่จะว่าอย่างไรสำหรับมนุษยชาติที่เหลือ? พระเยซูทรงบอกสมาชิกเริ่มแรกของ “แกะฝูงน้อย” ซึ่งเป็นรัชทายาทแห่งราชอาณาจักรว่า พวกเขาจะ “นั่งบนบัลลังก์ เพื่อจะพิพากษายิศราเอลสิบสองตระกูล.” (ลูกา 12:32; 22:30, ล.ม.) นี่ย่อมหมายความว่าคนอื่น ๆ จะได้รับชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกฐานะไพร่ฟ้าแห่งราชอาณาจักรของพระองค์. แม้ว่า “แกะอื่น” เหล่านี้ไม่ได้รับสภาพอมตะ พวกเขาได้รับ “ชีวิตนิรันดร์.” (โยฮัน 10:16; มัดธาย 25:46) ชีวิตนิรันดร์จึงเป็นความหวังของคริสเตียนทุกคน. นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นบางสิ่งที่สัญญาไว้อย่างจริงจังโดย “พระเจ้าผู้ตรัสมุสาไม่ได้” และซื้อด้วยพระโลหิตอันมีค่ามากของพระเยซู.—ติโต 1:2.
จะสำเร็จในอนาคตที่ยังอยู่อีกไกลไหม?
9, 10. มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนอะไรบ้างว่าเราอยู่ใกล้อวสานแล้ว?
9 อัครสาวกเปาโลบอกล่วงหน้าว่า “วิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้” จะบ่งบอกอย่างที่โต้แย้งไม่ได้ว่าเราได้มาถึง “สมัยสุดท้าย” แล้ว. ขณะที่สังคมมนุษย์รอบตัวเราเสื่อมทรุดสู่สภาพไร้ความรักต่อกัน, ความโลภ, ความเอาแต่ใจตัวเอง, และความไม่เลื่อมใสในพระเจ้า เราตระหนักดีมิใช่หรือว่าวันพิพากษาสำเร็จโทษของพระยะโฮวาต่อระบบชั่วของโลกนี้กำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว? ขณะที่ความรุนแรงและความเกลียดชังทวีขึ้น เราไม่เห็นรอบตัวเราหรอกหรือถึงความสำเร็จเป็นจริงตามคำพูดของเปาโลซึ่งกล่าวอีกดังนี้: “คนชั่วและเจ้าเล่ห์จะกำเริบชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น”? (2 ติโมเธียว 3:1-5, 13, ล.ม.) โดยมองโลกในแง่ดี บางคนอาจเปล่งเสียงร้องถึง “สันติภาพและความปลอดภัย” แต่ความคาดหวังทั้งสิ้นในเรื่องสันติภาพจะเหือดแห้งไป เพราะ “ความพินาศโดยฉับพลันก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนความปวดร้าวมาถึงหญิงมีครรภ์; และเขาจะไม่มีทางหนีให้พ้น.” เราไม่ได้ถูกทิ้งไว้ในความมืดเกี่ยวด้วยความหมายแห่งยุคสมัยของเรา. ดังนั้น “ให้เราตื่นตัวอยู่และรักษาสติของเรา.”—1 เธซะโลนิเก 5:1-6, ล.ม.
10 ยิ่งกว่านั้น คัมภีร์ไบเบิลชี้ว่าสมัยสุดท้ายเป็น “ระยะเวลาอันสั้น.” (วิวรณ์ 12:12, ล.ม.; เทียบกับ 17:10.) ดูเหมือนว่า เวลาของ “ระยะเวลาอันสั้น” นั้นได้ผ่านไปมากแล้ว. ตัวอย่างเช่น คำพยากรณ์ของดานิเอลพรรณนาอย่างแม่นยำถึงความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่าง “กษัตริย์ทิศอุดร” กับ “กษัตริย์ทิศทักษิณ” ซึ่งได้ยืดเยื้อมาจนถึงศตวรรษนี้. (ดานิเอล 11:5, 6) ทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ซึ่งจะต้องสำเร็จได้แก่การโจมตีรอบสุดท้ายของ “กษัตริย์ทิศอุดร” ดังที่มีพรรณนาไว้ที่ดานิเอล 11:44, 45.—สำหรับการพิจารณาคำพยากรณ์นี้ โปรดดู หอสังเกตการณ์ 1 กรกฎาคม 1987 และ 1 พฤศจิกายน 1993.
11. (ก) มัดธาย 24:14 ได้สำเร็จไปแล้วถึงขนาดไหน? (ข) คำตรัสของพระเยซูดังบันทึกที่มัดธาย 10:23 บ่งบอกอะไร?
11 นอกจากนี้ ยังมีคำพยากรณ์ของพระเยซูด้วยที่ว่า “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ; และครั้นแล้วอวสานจะมาถึง.” (มัดธาย 24:14, ล.ม.) ทุกวันนี้ พยานพระยะโฮวาดำเนินงานของเขาใน 233 ประเทศ รวมทั้งหมู่เกาะและดินแดนต่าง ๆ. จริงอยู่ เขตที่ยังไม่เคยสัมผัสยังคงมีอยู่ และอาจเป็นได้ว่าเมื่อถึงเวลากำหนดของพระยะโฮวา ประตูแห่งโอกาสจะเปิดออก. (1 โกรินโธ 16:9) ถึงกระนั้น คำตรัสของพระเยซูซึ่งบันทึกที่มัดธาย 10:23 นับว่าน่าคิดที่ว่า “จะไม่ทันไปทั่วเมืองทั้งหลายแห่งประเทศยิศราเอลกว่าบุตรมนุษย์จะมา.” ขณะที่ข่าวดีจะได้รับการประกาศไปทั่วแผ่นดินโลกอย่างแน่นอน แต่เราจะไม่ได้นำข่าวสารราชอาณาจักรไปถึงทุกส่วนของแผ่นดินโลกด้วยตัวเราเองก่อนที่พระเยซู “เสด็จมา” ฐานะผู้สำเร็จโทษ.
12. (ก) ‘การประทับตรา’ อะไรที่วิวรณ์ 7:3 กล่าวถึง? (ข) การลดน้อยลงของชนผู้ถูกเจิมบนแผ่นดินโลกมีความหมายบอกถึงอะไร?
12 ขอพิจารณาข้อความที่วิวรณ์ 7:1, 3 (ล.ม.) ซึ่งบอกว่า “ลมทั้งสี่” แห่งการทำลายถูกรั้งไว้ “จนกว่าเราจะได้ประทับตราทาสทั้งหลายของพระเจ้าของเราที่หน้าผากพวกเขาเสียก่อน.” ข้อนี้ไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงการประทับตราแรกซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเหล่าชนจำพวก 144,000 คนได้รับการเรียกทางภาคสวรรค์. (เอเฟโซ 1:13) นี่พาดพิงถึงการประทับตราสุดท้าย เมื่อพวกเขาได้รับการระบุตัวอย่างที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกในฐานะ “ทาสทั้งหลายของพระเจ้าของเรา” ซึ่งถูกทดสอบแล้วและซื่อสัตย์. เหล่าบุตรแท้ของพระเจ้าซึ่งได้รับการเจิมที่ยังมีชีวิตบนแผ่นดินโลกลดจำนวนลงอย่างมาก. นอกจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างชัดเจนว่า “เพราะเห็นแก่ผู้ถูกเลือกสรร” ช่วงแรกของความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่จะถูก “ย่นให้สั้นเข้า.” (มัดธาย 24:21, 22, ล.ม.) คนที่แสดงตัวว่าเป็นผู้ถูกเจิมส่วนใหญ่ชรามากแล้ว. ดังนั้น นี่ไม่บ่งบอกหรอกหรือว่าอวสานใกล้เข้ามาแล้ว?
คนยามผู้ซื่อสัตย์
13, 14. หน้าที่รับผิดชอบของชนจำพวกคนยามคืออะไร?
13 ในระหว่างนี้ เราสมควรเอาใจใส่ต่อคำชี้แนะที่มาจาก “ทาสสัตย์ซื่อ.” (มัดธาย 24:45, ล.ม.) กว่าหนึ่งร้อยปี ชนจำพวก “ทาส” สมัยปัจจุบันได้รับใช้อย่างซื่อสัตย์ในฐานะ “คนยาม.” (ยะเอศเคล 3:17-21, ล.ม.) หอสังเกตการณ์ 1 มีนาคม 1984 อธิบายดังนี้: “ยามผู้นี้เฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์บนแผ่นดินโลกที่สมจริงตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ ให้สัญญาณเตือนถึงเรื่อง ‘ความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งซึ่งไม่เคยมีมาแต่เดิมสร้างโลก’ ว่าจะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่พ้น และเผยแพร่ ‘ข่าวดีเกี่ยวกับสิ่งที่ดีกว่า.’”—มัดธาย 24:21; ยะซายา 52:7.
14 พึงจำว่า เป็นหน้าที่ของคนยามที่จะป่าวประกาศ “สิ่งที่เขาเห็น.” (ยะซายา 21:6-8, ฉบับแปลใหม่) ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล คนยามจะส่งเสียงเตือนแม้แต่เมื่อสิ่งที่อาจเป็นภัยคุกคามนั้นยังอยู่ไกลจนระบุชัดไม่ได้. (2 กษัตริย์ 9:17, 18) จึงต้องมีการเตือนภัยผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างอย่างแน่นอนในสมัยนั้น. แต่คนยามที่ดีจะไม่รั้งรอเพราะกลัวเสียหน้า. หากบ้านคุณเกิดไฟไหม้ คุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าคนดับเพลิงไม่ปรากฏตัวเพราะเขาคิดเสียว่าคงเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ผิดพลาด? แน่นอน เราย่อมคาดหมายให้คนเหล่านี้ตอบสนองอย่างฉับไวต่อสัญญาณอันตรายใด ๆ ก็ตาม! ในทำนองเดียวกัน ชนจำพวกคนยามได้ประกาศออกไปเมื่อสภาพการณ์ดูเหมือนว่าสมควรทำเช่นนั้น.
15, 16. (ก) เหตุใดจึงมีการปรับความเข้าใจของเราในคำพยากรณ์? (ข) เราสามารถเรียนรู้อะไรจากผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าที่เคยมีความเข้าใจอย่างไม่ถูกต้องในคำพยากรณ์บางข้อ?
15 อย่างไรก็ตาม ขณะที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ดำเนินไป ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับคำพยากรณ์ก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ. ประวัติบันทึกแสดงว่า หากจะพอมีอยู่บ้างก็น้อยครั้งเต็มทีที่คำพยากรณ์ของพระเจ้าเป็นที่เข้าใจอย่างครบถ้วนก่อนเห็นความสำเร็จเป็นจริง. พระเจ้าทรงแจ้งอย่างชัดเจนให้อับราฮามทราบว่า พงศ์พันธุ์ของท่านจะ “เป็นแขกเมืองในแผ่นดิน ซึ่งมิใช่ที่ของเขา” นานเพียงใด ซึ่งก็คือเป็นเวลา 400 ปี. (เยเนซิศ 15:13) อย่างไรก็ตาม โมเซเสนอตัวเองเป็นผู้ช่วยให้รอดก่อนจะครบเวลาดังกล่าว.—กิจการ 7:23-30.
16 ขอพิจารณาด้วยถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับมาซีฮา. เมื่อมองย้อนกลับไป จะเห็นได้ชัดเลยทีเดียวว่ามีการบอกล่วงหน้าไว้แล้วเกี่ยวด้วยการวายพระชนม์และการคืนพระชนม์ของพระมาซีฮา. (ยะซายา 53:8-10) กระนั้น สาวกของพระเยซูเองกลับไม่เข้าใจข้อเท็จจริงนี้. (มัดธาย 16:21-23) พวกเขาไม่เข้าใจว่าดานิเอล 7:13, 14 จะสำเร็จเป็นจริงในระหว่างพารูเซีย หรือ “การประทับ” ของพระคริสต์ในอนาคต. (มัดธาย 24:3, ล.ม.) ดังนั้น พวกเขาคิดคำนวณพลาดไปเกือบ 2,000 ปีเมื่อได้ถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า, พระองค์จะทรงตั้งพลยิศราเอลให้เป็นเอกราชอีกในครั้งนี้หรือ?” (กิจการ 1:6) แม้แต่หลังจากที่ประชาคมคริสเตียนได้ตั้งมั่นคงแล้ว ความคิดผิด ๆ และการคาดหมายอย่างไม่ถูกต้องก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่. (2 เธซะโลนิเก 2:1, 2) แม้ว่าในบางครั้งบางคนมีทัศนะที่ไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าพระยะโฮวาทรงอวยพระพรการงานของเหล่าผู้เชื่อถือในศตวรรษแรก!
17. เราควรมีทัศนะเช่นไรในเรื่องการปรับความเข้าใจของเราในพระคัมภีร์?
17 ชนจำพวกคนยามในสมัยปัจจุบันก็เช่นกัน จำต้องปรับทัศนะของตนให้แจ่มชัดขึ้นในบางครั้ง. แต่ใครหรือจะสงสัยได้เกี่ยวกับการที่พระยะโฮวาได้ทรงอวยพระพรแก่ “ทาสสัตย์ซื่อ”? นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การปรับเปลี่ยนส่วนใหญ่เป็นเรื่องค่อนข้างเล็กน้อยมิใช่หรือ? ความเข้าใจพื้นฐานของเราเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้เปลี่ยนไป. ความเชื่อมั่นคงของเราที่ว่าเรากำลังอยู่ในสมัยสุดท้ายยิ่งเข้มแข็งกว่าที่เคยเป็นเสียอีก!
การมีชีวิตอยู่เพื่ออนาคตถาวร
18. เหตุใดเราต้องหลีกเลี่ยงการดำเนินชีวิตเพียงเพื่อวันนี้?
18 โลกอาจกล่าวว่า ‘ให้เรากินและดื่ม เพราะพรุ่งนี้เราก็จะตาย’ แต่นี่ต้องไม่ใช่เจตคติของเรา. ทำไมจะต้องมุ่งติดตามความสนุกเพลิดเพลินอย่างไร้ประโยชน์ที่คุณอาจได้จากชีวิตในเวลานี้ ในเมื่อคุณสามารถลงมือลงแรงได้เพื่ออนาคตถาวร? ความหวังนั้นไม่ว่าจะเป็นชีวิตอมตะในสวรรค์หรือชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกไม่ใช่ความฝันหรือการฝันเฟื่อง. หากแต่เป็นความเป็นจริงที่สัญญาไว้โดยพระเจ้า “ผู้ตรัสมุสาไม่ได้.” (ติโต 1:2) หลักฐานมีอยู่อย่างท่วมท้นว่าความเป็นจริงแห่งความหวังของเราอยู่แค่เอื้อม! “เวลาที่เหลืออยู่นั้นลดน้อยลง.”—1 โกรินโธ 7:29, ล.ม.
19, 20. (ก) พระยะโฮวาทรงมีทัศนะอย่างไรต่อการเสียสละที่เราได้ทำเพื่อเห็นแก่ราชอาณาจักร? (ข) เหตุใดเราต้องดำเนินชีวิตโดยมีภาพแห่งนิรันดรกาลเป็นเป้าหมาย?
19 จริงอยู่ ระบบนี้ยังคงอยู่นานกว่าที่หลายคนคิด. ตอนนี้อาจมีบางคนที่คิดว่า หากเขารู้เช่นนี้เสียแต่แรก เขาอาจไม่ได้ทำอย่างเสียสละทุ่มเทในบางอย่าง. แต่คนเราไม่ควรเสียใจที่ได้ทำเช่นนั้น. ที่จริง การเสียสละเป็นส่วนสำคัญของการเป็นคริสเตียน. คริสเตียน “ปฏิเสธตัวเอง.” (มัดธาย 16:24, ล.ม.) เราไม่ควรรู้สึกว่าความพยายามของเราเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยนั้นไร้ค่า. พระเยซูทรงสัญญาดังนี้: “ผู้ใดได้สละเรือนหรือพี่น้องชายหญิงหรือบิดามารดาหรือลูกหรือไร่นาเพราะเห็นแก่เราและกิตติคุณของเรา, ในชาตินี้ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่า . . . และในชาติหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์.” (มาระโก 10:29, 30) พันปีนับจากนี้ไป งาน, บ้าน, หรือบัญชีธนาคารของคุณจะมีความหมายสักเท่าใดกัน? กระนั้น การเสียสละที่คุณได้ทำเพื่อพระยะโฮวาจะมีความหมายไปอีกล้านปีหรือพันล้านปีนับจากนี้! “เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่อธรรมที่จะทรงลืมการงานของท่าน.”—เฮ็บราย 6:10.
20 ด้วยเหตุนั้น ให้เราดำเนินชีวิตพร้อมด้วยภาพแห่งนิรันดรกาลเป็นเป้าหมาย รักษาสายตาของเรา “ไม่ใช่ไปยังสิ่งที่มองเห็น แต่ไปยังสิ่งที่มองไม่เห็น. เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นอยู่นิรันดร์.” (2 โกรินโธ 4:18, ล.ม.) ผู้พยากรณ์ฮะบาฆูคเขียนดังนี้: “นิมิตนั้นก็มีไว้สำหรับเวลากำหนด และกำลังรุดเร่งไปสู่ที่สุดปลาย และนิมิตนั้นจะไม่กล่าวเท็จเลย. ถึงแม้นิมิตจะเนิ่นช้าก็จงคอยท่า; ด้วยว่าจะสำเร็จเป็นแน่. จะไม่ล่าช้าเลย.” (ฮะบาฆูค 2:3, ล.ม.) การ “คอยท่า” อวสานมีผลกระทบอย่างไรต่อวิธีที่เราทำหน้าที่รับผิดชอบส่วนตัวและหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัว? บทความต่อไปจะพิจารณาประเด็นทั้งสองนี้.
จุดต่าง ๆ เพื่อทบทวน
▫ บางคนในทุกวันนี้ได้รับผลกระทบอย่างไรจากการที่อวสานของระบบนี้ดูเหมือนจะเนิ่นช้า?
▫ พื้นฐานสำหรับความหวังของเราเรื่องชีวิตนิรันดร์คืออะไร?
▫ เราควรมีทัศนะอย่างไรในเรื่องการเสียสละที่เราได้ทำเพื่อผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักร?
[รูปภาพหน้า 15]
งานประกาศทั่วโลกต้องสำเร็จครบถ้วนก่อนอวสานมาถึง