วิธีที่คัมภีร์ไบเบิลตกทอดมาถึงเรา—ส่วนที่หนึ่ง
ส่วนที่ 2 และ 3 จะปรากฏในฉบับ 15 กันยายน และ 15 ตุลาคม ตามลำดับ.
ในโรงงานเล็ก ๆ แห่งหนึ่งช่างพิมพ์กับเด็กฝึกงานของเขาเดินเครื่องพิมพ์ที่มีโครงทำด้วยไม้นั้นอย่างมีจังหวะ, ค่อย ๆ วางแผ่นกระดาษเปล่าลงไปบนผิวหน้าของตัวพิมพ์. ขณะที่ดึงกระดาษออกเขาตรวจดูข้อความที่พิมพ์แล้ว. เขาพับหน้ากระดาษและพาดแขวนไว้บนเชือกที่ขึงจากผนังด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งเพื่อผึ่งให้แห้ง.
ทันใดนั้น มีเสียงทุบประตูอย่างแรง. ด้วยความตกใจ ช่างพิมพ์ดึงสลักประตูออก และทหารติดอาวุธกลุ่มหนึ่งพรวดพราดเข้ามา. พวกเขาเริ่มค้นหาสิ่งพิมพ์ที่ผิดกฎหมายประเภทที่ถูกประณามมากที่สุด—คัมภีร์ไบเบิลในภาษาของสามัญชน!
พวกเขามาช้าเกินไป. เพราะได้รับการเตือนถึงอันตราย ผู้แปลกับผู้ช่วยคนหนึ่งรีบไปที่โรงงานแล้ว ได้ชิงเอาหน้าหนังสือหอบไปจำนวนมาก และตอนนี้หนีไปตามแม่น้ำไรน์. อย่างน้อยที่สุด เขาได้เก็บผลงานของเขาบางส่วนไว้ได้.
ผู้แปลในกรณีนี้คือวิลเลียม ทินเดลซึ่งพยายามจะจัดพิมพ์ “พระคริสตธรรมใหม่” ภาษาอังกฤษซึ่งถูกสั่งห้ามนั้น ณ เมืองโคโลนจ์, ประเทศเยอรมนีในปี 1525. ประสบการณ์ของเขาเป็นเรื่องธรรมดาทีเดียว. ตลอดเกือบ 1,900 ปีตั้งแต่การจารึกคัมภีร์ไบเบิลเสร็จสิ้น ชายและหญิงหลายคนได้เสี่ยงทำทุกอย่างเพื่อแปลและเผยแพร่พระคำของพระเจ้า. เราในทุกวันนี้ยังคงได้รับประโยชน์จากผลงานของพวกเขาอยู่. พวกเขาได้ทำอะไร? คัมภีร์ไบเบิลที่เรามีอยู่ขณะนี้ตกทอดมาถึงเราโดยวิธีใด?
การคัดลอกและการแปลคัมภีร์ไบเบิลในสมัยแรก ๆ
ผู้รับใช้แท้ของพระเจ้ามีความนับถืออย่างสุดซึ้งต่อพระคำของพระองค์เสมอมา. สารานุกรมคาทอลิกฉบับใหม่ ยอมรับว่า “เช่นเดียวกับบรรพบุรุษชาวยิวของพวกเขา คริสเตียนยุคแรกให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือศักดิ์สิทธิ์นี้. โดยปฏิบัติตามตัวอย่างของพระเยซู (มัดธาย 4:4; 5:18; ลูกา 24:44; โยฮัน 5:39), เหล่าอัครสาวกมีความคุ้นเคยกับพระคริสตธรรมเดิมซึ่งหมายถึงการอ่านและการศึกษาอย่างยืดยาวและถี่ถ้วน และได้กระตุ้นเตือนพวกสาวกให้ทำเช่นนี้ด้วย (โรม 15:4; 2 ติโมเธียว 3:15-17).”
เพื่อบรรลุเป้าประสงค์นั้น ต้องมีการทำสำเนาของคัมภีร์ไบเบิล. ในช่วงก่อนยุคคริสเตียน ส่วนใหญ่ของงานนี้ทำโดย ‘อาลักษณ์’ อาชีพที่ ‘ชำนาญ’ อย่างยิ่งซึ่งกลัวมากในการทำผิดพลาด. (เอษรา 7:6, 11, 12) โดยพยายามผลิตสำเนาที่สมบูรณ์แบบ พวกเขาได้วางมาตรฐานอันสูงส่งไว้สำหรับนักคัดลอกคัมภีร์ไบเบิลทุกคนที่มาภายหลัง.
อย่างไรก็ดี ระหว่างศตวรรษที่สี่ก่อนสากลศักราช เกิดปัญหาขึ้น. อะเล็กซานเดอร์มหาราชประสงค์ให้ประชาชนทั้งโลกได้รับการศึกษาในวัฒนธรรมกรีก. ชัยชนะของเขามีผลให้ภาษากรีกสามัญ หรือคอยเนเป็นภาษาสากลตลอดทั่วตะวันออกกลาง. ผลก็คือ ชาวยิวหลายคนเติบโตขึ้นโดยไม่เคยอ่านภาษาฮีบรู และดังนั้นจึงไม่สามารถอ่านพระคัมภีร์ได้. เพราะฉะนั้น ราว ๆ ปี 280 ก.ส.ศ. ผู้คงแก่เรียนชาวฮีบรูกลุ่มหนึ่งได้ชุมนุมกันที่เมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ เพื่อแปลคัมภีร์ไบเบิลภาษาฮีบรูเป็นภาษาคอยเนที่แพร่หลาย. การแปลของพวกเขาได้กลายเป็นที่รู้จักว่าเซปตัวจินต์, ซึ่งเป็นคำกรีกที่แปลว่า “เจ็ดสิบ” และพาดพิงถึงจำนวนผู้แปลโดยประมาณที่เข้าใจกันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย. ฉบับแปลนี้แล้วเสร็จราว ๆ ปี 150 ก.ส.ศ.
ในสมัยของพระเยซู ภาษาฮีบรูยังคงใช้กันอยู่ในปาเลสไตน์. กระนั้น ภาษาคอยเนนั่นเองที่มีการใช้แพร่หลายในปาเลสไตน์และในมณฑลที่กว้างไกลอื่น ๆ ของโลกโรมัน. เพราะฉะนั้น ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลที่เป็นคริสเตียนจึงใช้ภาษากรีกที่แพร่หลายไปทั่วนี้เพื่อที่จะเข้าถึงผู้คนในชาติต่าง ๆ มากเท่าที่เป็นไปได้. นอกจากนี้ พวกเขายังได้ยกจากฉบับเซปตัวจินต์ อย่างไม่อั้นและใช้ถ้อยคำมากมายในฉบับนั้น.
เนื่องจากคริสเตียนยุคแรกเป็นมิชชันนารีที่มีใจแรงกล้า พวกเขาจึงชำนาญอย่างรวดเร็วในการใช้ฉบับเซปตัวจินต์ เพื่อพิสูจน์ว่า พระเยซูเป็นพระมาซีฮาที่รอกันมานานแล้ว. การทำเช่นนี้ได้ปลุกเร้าชาวยิวและได้กระตุ้นพวกเขาให้ผลิตฉบับใหม่ขึ้นในภาษากรีก โดยมุ่งมั่นจะทำให้คริสเตียนขาดเหตุผลไปโดยแก้ไขข้อความที่คริสเตียนชอบใช้เพื่อพิสูจน์คำสอนของเขา. ตัวอย่างเช่น ที่ยะซายา 7:14 ฉบับเซปตัวจินต์ ใช้คำภาษากรีกที่หมายถึง “หญิงพรหมจารี” พาดพิงเป็นเชิงพยากรณ์ถึงมารดาของพระมาซีฮา. ฉบับแปลใหม่ ๆ ใช้คำกรีกที่ต่างกัน ซึ่งหมายถึง “หญิงสาว.” การที่คริสเตียนยังคงใช้ฉบับแปลเซปตัวจินต์ ต่อ ๆ ไป ในที่สุดได้กระตุ้นชาวยิวให้ทิ้งกลยุทธ์ของเขาโดยสิ้นเชิงและส่งเสริมการกลับมาใช้ภาษาฮีบรู. สุดท้าย การกระทำเช่นนี้ปรากฏว่าเป็นประโยชน์ต่อการแปลคัมภีร์ไบเบิลในภายหลังเพราะนั่นช่วยรักษาภาษาฮีบรูเอาไว้.
ผู้จัดพิมพ์หนังสือ คริสเตียนกลุ่มแรก
คริสเตียนยุคแรกที่มีใจแรงกล้าได้ลงมือผลิตสำเนาของคัมภีร์ไบเบิลหลายฉบับเท่าที่สามารถทำได้ ทั้งหมดคัดลอกด้วยมือ. พวกเขายังได้ริเริ่มการใช้โคเดกซ์ ซึ่งมีหน้าต่าง ๆ เหมือนหนังสือสมัยปัจจุบัน แทนการใช้ม้วนหนังสือต่อไป. นอกจากสะดวกมากขึ้นในการหาข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วแล้ว โคเดกซ์สามารถบรรจุในเล่มเดียวได้มากกว่าที่บันทึกได้ในม้วนหนังสือม้วนเดียว—ตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์ภาษากรีกทั้งหมด หรือกระทั้งคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม.
สารบบที่เชื่อถือได้ของพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกได้เสร็จสิ้นราว ๆ ปี ส.ศ. 98 ด้วยหนังสือของโยฮันอัครสาวกคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่. มีเศษชิ้นส่วนของสำเนากิตติคุณของโยฮันอยู่ ที่มีชื่อว่าจอห์น ไรลันส์ พาไพรัส 457 (P52) ซึ่งมีอายุย้อนหลังไปไม่เกินปี ส.ศ. 125. ช่วงต้น ๆ ระหว่างปี ส.ศ.150 ถึง 170 เทเชียน นักศึกษาของจัสติน มาร์เทอร์ ได้ทำดิอาเทสซารอน ซึ่งเป็นการรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูจากกิตติคุณสี่เล่มที่มีเรื่องราวเดียวกันที่พบในคัมภีร์ไบเบิลสมัยปัจจุบัน.a นี่บ่งชี้ว่า เขาถือว่าเฉพาะแต่กิตติคุณเหล่านี้เท่านั้นที่เชื่อถือได้ และมีการแพร่กระจายไปแล้ว. ประมาณปี ส.ศ. 170 ได้มีการทำรายชื่อของหนังสือ “พระคริสตธรรมใหม่” ที่เรียกว่าชิ้นส่วนมูราโทรีซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นฉบับแรกสุด. ชิ้นส่วนนั้นมีรายชื่อหนังสือส่วนใหญ่ของพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก.
ในไม่ช้าการเผยแพร่ความเชื่อคริสเตียนได้ก่อให้เกิดความต้องการฉบับแปลพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกเช่นเดียวกับพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู. ในที่สุด ได้มีการผลิตฉบับแปลในหลาย ๆ ภาษา เช่น อาร์มีเนียน, คอปติก, จอร์เจียน, ซิรีแอค. บ่อยครั้ง ต้องประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเพียงเพื่อจุดประสงค์นั้น. ตัวอย่างเช่น ว่ากันว่า อุลฟิลัส บิชอปแห่งคริสตจักรโรมันในศตวรรษที่สี่ได้ประดิษฐ์ตัวอักษรกอทขึ้นเพื่อแปลคัมภีร์ไบเบิล. แต่เขาได้ตัดพระธรรมพงศาวดารกษัตริย์ออก เพราะเขาคิดว่าหนังสือเหล่านั้นจะส่งเสริมแนวโน้มของชาวกอทที่ชอบสงคราม. อย่างไรก็ดี การกระทำเช่นนั้นไม่ได้ยับยั้งชาวกอทที่ “ถูกทำให้เป็นคริสเตียน” ไว้จากการปล้นสะดมกรุงโรมในปี ส.ศ. 410!
คัมภีร์ไบเบิลภาษาลาตินและสลาโวนิก
ในระหว่างนั้น ภาษาลาตินมีความสำคัญมากขึ้น และฉบับแปลภาษาลาตินเก่าแก่หลายฉบับได้ปรากฏ ทว่าแตกต่างกันในด้านสำนวนและความถูกต้อง. ดังนั้น ในปี ส.ศ. 382 โปปดามาซัส ได้มอบหมายให้เจโรม เลขานุการของเขาจัดทำคัมภีร์ไบเบิลภาษาลาตินฉบับที่เชื่อถือได้.
เจโรมเริ่มโดยการแก้ไขใหม่ในฉบับแปลภาษาลาตินของพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก. อย่างไรก็ดี สำหรับพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู เขาได้ยืนกรานในการแปลจากภาษาฮีบรูเดิม. ฉะนั้น ในปี ส.ศ. 386 เขาได้ย้ายไปยังเมืองเบธเลเฮ็มเพื่อศึกษาภาษาฮีบรูและแสวงหาความช่วยเหลือจากรับบีคนหนึ่ง. โดยการทำเช่นนี้ เขาได้ปลุกเร้าการโต้เถียงมากทีเดียวในแวดวงคริสตจักร. บางคน รวมทั้งออกัสติน เพื่อนร่วมสมัยของเจโรมเชื่อว่าฉบับแปลเซปตัวจินต์ มีขึ้นโดยการดลใจ และพวกเขาได้กล่าวหาเจโรมในการ “แปรพักตร์ไปหาพวกยิว.” โดยรุดหน้าต่อไป เจโรมทำงานของเขาเสร็จราว ๆ ปี ส.ศ.400. โดยการเข้าใกล้ชิดต้นตอของภาษาเดิมและเอกสารต่าง ๆ และโดยการแปลเป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ในสมัยนั้น เจโรมจึงนำหน้าวิธีการแปลสมัยใหม่ราว ๆ หนึ่งพันปี. ผลงานของเขาเป็นที่รู้จักว่าฉบับวัลเกต, หรือฉบับแปลสากล และฉบับนี้ให้ประโยชน์แก่ผู้คนเป็นเวลาหลายศตวรรษ.
ในคริสต์ศาสนจักรทางยุโรปตะวันออก หลายคนยังคงสามารถอ่านฉบับเซปตัวจินต์ และพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกได้. อย่างไรก็ตาม ต่อมา ภาษาสลาโวนิกโบราณซึ่งมาก่อนภาษาสลาฟในปัจจุบัน กลายเป็นภาษาหลักในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยุโรป. ในปี ส.ศ. 863 สองพี่น้องที่พูดภาษากรีก คือ ซีริลและมิโธดีอัส ได้ไปยังโมราเวีย ปัจจุบันอยู่ในสาธารณรัฐเช็ก. เขาทั้งสองเริ่มแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาสลาโวนิกโบราณ. ที่จะทำเช่นนั้น เขาได้ประดิษฐ์อักษรแกล็กกอลิดิก แต่ภายหลังอักษรที่มีชื่อว่าซีริลลิค ตามชื่อซีริลถูกนำมาใช้แทน. นี่เป็นต้นตอของตัวหนังสือภาษารัสเซีย, ยูเครน, เซอร์เบีย, และบัลแกเรียในสมัยปัจจุบัน. คัมภีร์ไบเบิลภาษาสลาโวนิกเป็นประโยชน์แก่ผู้คนในภูมิภาคนั้นเป็นเวลาหลายชั่วอายุ. แต่ในที่สุด ขณะที่ภาษาเปลี่ยนไป ภาษานั้นจึงกลายเป็นภาษาที่เข้าใจยากสำหรับคนธรรมดา.
คัมภีร์ไบเบิลภาษาฮีบรูคงเหลืออยู่
ระหว่างช่วงเวลานี้ ตั้งแต่ราว ๆ ศตวรรษที่หกถึงสิบสากลศักราช ชาวยิวกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักว่า พวกมาโซเรตได้พัฒนาวิธีการคัดลอกอย่างมีระบบเพื่อรักษาต้นฉบับพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูไว้. พวกเขาถึงกับพยายามจะนับทุกบรรทัดและกระทั่งตัวอักษรแต่ละตัวด้วยซ้ำ โดยบันทึกความแตกต่างในระหว่างต้นฉบับต่าง ๆ ทั้งหมดด้วยความพยายามจะรักษาไว้ซึ่งข้อความที่แท้จริง. ความพยายามของพวกเขาไม่ไร้ประโยชน์. เพื่อยกตัวอย่างหนึ่ง การเปรียบเทียบข้อความของพวกมาโซเรตกับม้วนหนังสือทะเลตาย ซึ่งจารึกระหว่างปี 250 ก.ส.ศ. กับปี ส.ศ. 50 แสดงให้เห็นว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านคำสอนในช่วงมากกว่า 1,000 ปี.b
ในยุโรป ยุคกลางโดยทั่วไปแล้วเรียกได้ว่าเป็นยุคมืด. การอ่านและการเรียนของประชาชนลดต่ำลง. ในที่สุด แม้แต่นักเทศน์นักบวชส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถอ่านภาษาลาตินของคริสตจักรได้และบ่อยครั้งไม่สามารถอ่านได้แม้กระทั่งภาษาของตนเองด้วยซ้ำ. นี่ยังเป็นช่วงเวลาที่ในยุโรปชาวยิวถูกต้อนให้ไปอยู่รวมกันในชุมชนที่เรียกว่าเกทโท. การแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวเช่นนี้มีส่วนทำให้ความรู้ด้านภาษาฮีบรูจากคัมภีร์ไบเบิลถูกจำกัดไว้แต่ในกลุ่มชาวยิว. อย่างไรก็ดี เนื่องจากอคติและความไม่ไว้วางใจ บ่อยครั้งความรู้ของพวกยิวจึงไม่ได้แพร่กระจายออกไปนอกชุมชนชาวยิว. ในยุโรปตะวันตก ความรู้เกี่ยวกับภาษากรีกลดน้อยลงด้วย. สภาพการณ์กลับเลวร้ายยิ่งขึ้นเนื่องจากการที่คริสตจักรตะวันตกให้ความเคารพต่อฉบับแปลลาตินวัลเกต ของเจโรม. โดยทั่วไป ฉบับนี้ถือกันว่าเป็นเพียงฉบับแปลเดียวที่เชื่อถือได้ ถึงแม้ตอนใกล้สิ้นยุคมาโซเรต ภาษาลาตินกลายเป็นภาษาที่เลิกใช้ไปแล้วก็ตาม. ฉะนั้น ขณะที่ความปรารถนาจะรู้คัมภีร์ไบเบิลค่อย ๆ เริ่มพัฒนาขึ้น ได้มีการวางพื้นฐานไว้สำหรับการขัดแย้งมากมาย.
การแปลคัมภีร์ไบเบิลประสบการต่อต้าน
ในปี ส.ศ. 1079 โปปเกรกอรีที่ 7 ได้ประกาศราชโองการฉบับแรกในหลายฉบับของคริสตจักรในยุคกลางสั่งห้ามการผลิตและบางครั้งถึงกับห้ามการมีพระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาท้องถิ่นไว้ในครอบครองด้วยซ้ำ. เขาได้เพิกถอนการอนุญาตให้ประกอบพิธีมิสซาในภาษาสลาโวนิกโดยอาศัยข้อที่ว่า พิธีนั้นจะเรียกร้องให้มีการแปลบางตอนของพระคัมภีร์บริสุทธิ์. ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับจุดยืนของคริสเตียนสมัยแรก เขาเขียนว่า “เป็นการทำให้พระเจ้าองค์ทรงฤทธิ์พอพระทัยที่พระคัมภีร์บริสุทธิ์ควรเป็นความลับอยู่ในบางแห่ง.” โดยที่เรื่องนี้เป็นจุดยืนอย่างเป็นทางการของคริสตจักร มีการถือว่าผู้ส่งเสริมการอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นอันตรายมากขึ้นทุกที.
แม้จะมีสภาพแวดล้อมที่ไม่ราบรื่นก็ตาม การคัดลอกและการแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาของคนทั่วไปก็ได้ดำเนินต่อไป. ได้มีการเผยแพร่ฉบับแปลต่าง ๆ ในหลายภาษาอย่างลับ ๆ ในยุโรป. ทั้งหมดนี้เป็นฉบับที่คัดลอกด้วยมือ เนื่องจากในยุโรปยังไม่มีการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบตัวเรียงพิมพ์จนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 15. แต่โดยเหตุที่สำเนามีราคาแพงและมีจำนวนจำกัด คนธรรมดาอาจถือว่าเป็นการดีวิเศษที่ตัวเองจะมีเพียงแค่ตอนหนึ่งของหนังสือเล่มเดียวในคัมภีร์ไบเบิลหรือเพียงไม่กี่หน้า. บางคนได้ท่องจำตอนที่ยาว ๆ กระทั่งพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกทั้งเล่มด้วยซ้ำ!
อย่างไรก็ดี ในที่สุดมีการปลุกเร้าการดำเนินงานที่แพร่ไปอย่างกว้างขวางเพื่อปฏิรูปคริสตจักร. การดำเนินงานเหล่านี้ส่วนหนึ่งได้รับการกระตุ้นจากความสำนึกที่ฟื้นขึ้นอีกถึงความสำคัญแห่งพระคำของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน. การดำเนินงานเหล่านี้และพัฒนาการด้านการพิมพ์จะมีผลกระทบต่อคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร? และวิลเลียม ทินเดลกับการแปลของเขาที่กล่าวถึงในตอนต้นนั้นเป็นเช่นไร? เราจะติดตามเรื่องราวที่ตรึงใจนี้จนกระทั่งถึงสมัยของเราในฉบับต่อ ๆ ไป.
[เชิงอรรถ]
a หนังสือบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น, จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์แห่งนิวยอร์ก, เป็นตัวอย่างสมัยปัจจุบันเกี่ยวกับความประสานกันของกิตติคุณทั้งสี่.
b โปรดดูหนังสือการหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 2, หน้า 315, จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์แห่งนิวยอร์ก.
[แผนภูมิหน้า 8, 9]
วันเดือนปีที่สำคัญ ในการถ่ายทอดคัมภีร์ไบเบิล
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
ก่อนสากลศักราช (ก.ส.ศ.)
พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเขียนเสร็จประมาณปี 443 ก.ส.ศ.
ปี 400 ก.ส.ศ.
อะเล็กซานเดอร์มหาราช (สิ้นพระชนม์ปี 323 ก.ส.ศ.)
ปี 300 ก.ส.ศ.
เซปตัวจินต์ เริ่มแปลประมาณปี 280 ก.ส.ศ.
ปี 200 ก.ส.ศ.
ปี 100 ก.ส.ศ. ม้วนหนังสือทะเลตายส่วนใหญ่ ประมาณปี 100 ก.ส.ศ. ถึงปี ส.ศ. 68
สากลศักราช (ส.ศ.)
กรุงยะรูซาเลมถูกทำลายในปี ส.ศ. 70
พระคัมภีร์ภาคภาษากรีกเขียนเสร็จปี ส.ศ. 98
ปี ส.ศ. 100
ไรลันส์ พาไพรัสของ โยฮัน (ก่อนปี ส.ศ. 125)
ปี ส.ศ. 200
ปี ส.ศ. 300
ปี ส.ศ. 400 ฉบับลาตินวัลเกต ของเจโรม ประมาณ ปี ส.ศ. 400
ปี ส.ศ. 500
ปี ส.ศ. 600
การเตรียมข้อความของพวกมาโซเรต
ปี ส.ศ. 700
ปี ส.ศ. 800
ซีริลในโมราเวีย ปี ส.ศ. 863
ปี ส.ศ. 900
ปี ส.ศ. 1000
พระราชโองการห้ามคัมภีร์ไบเบิลภาษาท้องถิ่น ปี ส.ศ. 1079
ปี ส.ศ. 1100
ปี ส.ศ. 1200
ปี ส.ศ. 1300
[รูปภาพหน้า 9]
คริสเตียนสมัยแรกริเริ่มใช้โคเดกซ์
[รูปภาพหน้า 10]
เจโรมไปยังเมืองเบธเลเฮ็มเพื่อศึกษาภาษาฮีบรู