ต้นตอของคริสต์มาสสมัยปัจจุบัน
สำหรับหลายล้านคนทั่วโลก เทศกาลคริสต์มาสเป็นวาระหนึ่งของปีที่น่าปีติยินดีทีเดียว. นั่นเป็นโอกาสสำหรับการรับประทานอาหารดี ๆ อย่างเหลือเฟือ, การฉลองประเพณีที่มีประวัติอันยาวนาน, และการที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากัน. วันหยุดคริสต์มาสยังเป็นโอกาสที่เพื่อนฝูงและญาติมิตรชื่นชมยินดีกับการให้บัตรอวยพรและของขวัญแก่กันและกันด้วย.
อย่างไรก็ดี เพียง 150 ปีมานี้เอง คริสต์มาสเป็นวันหยุดที่ต่างออกไปทีเดียว. ในหนังสือการต่อสู้เพื่อคริสต์มาส (ภาษาอังกฤษ) สตีเฟน นิสเซนเบาว์ ศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์เขียนว่า “คริสต์มาส . . . เป็นโอกาสสำหรับการเมาเหล้าขณะที่กฎซึ่งควบคุมพฤติกรรมในที่สาธารณะของคนเราถูกทิ้งไปชั่วคราวเพื่อสนับสนุน ‘งานเลี้ยงรื่นเริง’ ที่ไม่มีการเหนี่ยวรั้ง, เสมือนงานมาร์ดีกราส์ที่จัดขึ้นในเดือนธันวาคม.”
สำหรับคนเหล่านั้นที่มองดูคริสต์มาสด้วยความเคารพยำเกรงแล้ว คำพรรณนาเช่นนี้อาจทำให้ไม่สบายใจ. ทำไมใครจะมาลบหลู่ดูหมิ่นวันหยุดที่มีจุดประสงค์จะระลึกถึงการประสูติของพระบุตรของพระเจ้า? คำตอบอาจทำให้คุณประหลาดใจ.
รากฐานที่บกพร่อง
ตั้งแต่เริ่มต้นในศตวรรษที่สี่ คริสต์มาสก็ตกเป็นเป้าของการโต้เถียง. ตัวอย่างเช่น มีข้อสงสัยเกี่ยวกับวันประสูติของพระเยซู. เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิลมิได้ระบุวันหรือเดือนที่พระคริสต์ประสูติ จึงมีการเสนอวันต่าง ๆ กัน. ในศตวรรษที่สาม นักเทววิทยาชาวอียิปต์กลุ่มหนึ่งกำหนดวันนั้นในวันที่ 20 พฤษภาคม ขณะที่คนอื่นเห็นว่าน่าจะเป็นวันซึ่งอยู่ก่อนหน้านั้น เช่น วันที่ 28 มีนาคม, 2 เมษายน, หรือ 19 เมษายน. พอถึงศตวรรษที่ 18 การประสูติของพระเยซูถูกนำมาเชื่อมโยงกับทุกเดือนของปีด้วยซ้ำ! ถ้าเช่นนั้น ในที่สุดมีการเลือกวันที่ 25 ธันวาคมได้อย่างไร?
ผู้คงแก่เรียนส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าคริสตจักรคาทอลิกได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันประสูติของพระเยซู. เพราะเหตุใด? สารานุกรมบริแทนนิกาฉบับใหม่ กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเหตุผลส่วนใหญ่คือการที่คริสเตียนสมัยแรกอยากให้วันนั้นตรงกับเทศกาลของชาวโรมันนอกรีตที่แสดงถึง ‘วันประสูติของพระอาทิตย์ซึ่งไม่มีใครพิชิตได้.’” แต่ทำไมคริสเตียนซึ่งได้รับการข่มเหงอย่างชั่วร้ายจากชนนอกรีตเป็นเวลากว่าสองร้อยห้าสิบปีจึงยอมจำนนต่อผู้ข่มเหงเขาโดยฉับพลัน?
มีการนำความเสื่อมเสียเข้ามา
ในศตวรรษแรก อัครสาวกเปาโลเตือนติโมเธียวว่า “คนชั่วและคนเจ้าเล่ห์” จะเล็ดลอดเข้ามาในประชาคมคริสเตียนและนำหลายคนไปผิดทาง. (2 ติโมเธียว 3:13) การออกหากครั้งใหญ่เริ่มหลังจากความตายของพวกอัครสาวก. (กิจการ 20:29, 30) หลังจากการเปลี่ยนความเชื่อของคอนสแตนตินตามที่ว่ากันนั้นในศตวรรษที่สี่ คนนอกรีตจำนวนมากมายได้หลั่งไหลมายังศาสนาคริสเตียนในรูปแบบที่แพร่หลายอยู่ในตอนนั้น. พร้อมด้วยผลประการใด? หนังสือศาสนาคริสเตียนสมัยแรกกับลัทธินอกรีต (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “ผู้มีความเชื่อที่จริงใจแท้ ๆ ซึ่งโดยเทียบเคียงแล้วเป็นกลุ่มน้อยได้หายเข้าไปในท่ามกลางมวลชนมากมายที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน.”
ถ้อยคำของเปาโลปรากฏว่าเป็นจริงสักเพียงไร! เป็นประหนึ่งว่าศาสนาคริสเตียนแท้ได้ถูกกลืนโดยความเสื่อมเสียแบบนอกรีต. และไม่มีโอกาสใดที่การแปดเปื้อนเช่นนี้ปรากฏชัดยิ่งไปกว่าในการฉลองวันนักขัตฤกษ์.
ที่จริง การฉลองอย่างเดียวที่คริสเตียนได้รับพระบัญชาให้ปฏิบัติคืออาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า. (1 โกรินโธ 11:23-26) เนื่องจากกิจปฏิบัติแบบไหว้รูปเคารพซึ่งเกี่ยวข้องอยู่ในเทศกาลต่าง ๆ ของชาวโรมัน คริสเตียนสมัยแรกจึงไม่มีส่วนในเทศกาลเหล่านั้น. เพราะเหตุนี้ ชนนอกรีตในศตวรรษที่สามจึงติเตียนคริสเตียนว่า “พวกเจ้าไม่ไปชมงานแสดง; พวกเจ้าไม่มีความสนใจการแสดงในที่สาธารณะ; เจ้าปฏิเสธงานเลี้ยงของสังคม และรังเกียจการแข่งขันศักดิ์สิทธิ์.” ในอีกด้านหนึ่ง คนนอกรีตอวดอ้างว่า “เรานมัสการเทพเจ้าต่าง ๆ ด้วยความร่าเริง, ด้วยงานเลี้ยง, ด้วยบทเพลงและการละเล่นต่าง ๆ.”
พอถึงกลางศตวรรษที่สี่ การบ่นติเตียนก็เงียบลง. เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ขณะที่คริสเตียนปลอมมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้เล็ดลอดเข้ามาในกลุ่มสานุศิษย์ แนวคิดออกหากก็ได้เพิ่มขึ้น. นี่นำไปสู่การประนีประนอมกับโลกแห่งจักรวรรดิโรมัน. เมื่ออธิบายเรื่องนี้ หนังสือลัทธินอกรีตในศาสนาคริสเตียนของเรา (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “เป็นนโยบายคริสเตียนอันแน่ชัดที่จะรับเอาเทศกาลนอกรีตซึ่งประชาชนชื่นชอบเนื่องจากเป็นประเพณีสืบทอดกันมา และทำให้เทศกาลเหล่านั้นมีความหมายแบบคริสเตียน.” ถูกแล้ว การออกหากครั้งใหญ่มีผลกระทบที่ยังความเสียหาย. ความเต็มใจของผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนที่จะรับเอาการฉลองนอกรีตในตอนนั้นจึงทำให้เกิดการยอมรับส่วนหนึ่งภายในชุมชน. ในไม่ช้า คริสเตียนจึงมีเทศกาลประจำปีมากพอ ๆ กับคนนอกรีต. ไม่ต้องสงสัย คริสต์มาสนับว่าเด่นที่สุดในบรรดาเทศกาลเหล่านั้น.
วันหยุดงานทั่วโลก
ขณะที่ลักษณะโดดเด่นของศาสนาคริสเตียนแพร่หลายไปทั่วยุโรป การฉลองคริสต์มาสก็ขยายขอบเขตตามไปด้วย. คริสตจักรคาทอลิกได้รับเอาทัศนะที่ว่าเป็นการเหมาะสมที่จะทำให้เทศกาลที่น่ายินดีในการฉลองวันประสูติของพระเยซูนั้นมีอยู่ตลอดไป. เพราะฉะนั้น ในปี ส.ศ. 567 สภาแห่งตูรส์ “ประกาศว่า 12 วันนับจากคริสต์มาสไปถึงวันเอพิฟานีเป็นเทศกาลฉลองที่ศักดิ์สิทธิ์.”—สารานุกรมคาทอลิกสำหรับโรงเรียนและบ้าน (ภาษาอังกฤษ).
ในไม่ช้าคริสต์มาสก็รับเอาลักษณะต่าง ๆ จากเทศกาลทางโลกที่ฉลองการเก็บเกี่ยวของยุโรปตอนเหนือ. การสนุกรื่นเริงยังคงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปยิ่งกว่าการแสดงความเลื่อมใสขณะที่คนสำมะเลเทเมาปล่อยตัวในการกินและดื่มอย่างตะกละ. แทนที่จะคัดค้านความประพฤติหละหลวม คริสตจักรเห็นชอบกับการทำเช่นนั้น. (เทียบกับโรม 13:13; 1 เปโตร 4:3.) ในปี ส.ศ. 601 โปปเกรกอรีที่ 1 เขียนถึงเมลลาทัส มิชชันนารีของเขาในอังกฤษ สั่งว่า “อย่าห้ามการฉลองนอกรีตโบราณเช่นนั้น แต่จงปรับการฉลองเหล่านั้นให้เข้ากับพิธีของคริสตจักร เพียงแต่เปลี่ยนเหตุผลในการฉลองจากแบบนอกรีตมาเป็นแรงจูงใจแบบคริสเตียน.” อาร์เทอร์ ไวกอลล์ ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าผู้ตรวจการด้านโบราณวัตถุของรัฐบาลอียิปต์รายงานไว้เช่นนั้น.
ระหว่างยุคกลาง บุคคลที่มีจิตใจฝักใฝ่การปฏิรูปสำนึกถึงความจำเป็นที่จะพูดคัดค้านความเลยเถิดดังกล่าว. เขาส่งคำตัดสินหลายฉบับคัดค้าน “การใช้ความสนุกรื่นเริงของคริสต์มาสในทางผิด.” ดร. เพนนี เรสแทด กล่าวในหนังสือคริสต์มาสในอเมริกา—ประวัติความเป็นมา (ภาษาอังกฤษ) ว่า “นักเทศน์บางคนได้เน้นว่า มนุษย์ไม่สมบูรณ์จำเป็นต้องมีวาระในการปล่อยตัวเต็มที่และสุดขีด ตราบใดที่ช่วงเวลานั้นดำเนินไปภายใต้การควบคุมดูแลแบบคริสเตียน.” แนวคิดเช่นนี้มีแต่จะเพิ่มความสับสนให้เท่านั้น. แต่ไม่สำคัญเท่าไรนัก เพราะธรรมเนียมนอกรีตได้ถูกหลอมรวมกับคริสต์มาสอยู่แล้วอย่างสนิทเสียจนคนส่วนใหญ่ไม่อยากจะเลิกธรรมเนียมเหล่านั้น. นักเขียนทริสทรัม คอฟฟินได้พูดเรื่องนั้นไว้ดังนี้ “ผู้คนโดยทั่วไปทำแค่สิ่งที่เคยทำเสมอมาเท่านั้นและไม่สนใจเท่าไรนักในการถกเถียงกันของผู้ตั้งกฎทางศีลธรรม.”
พอถึงเวลาที่ชาวยุโรปเริ่มตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกา คริสต์มาสก็เป็นวันหยุดที่รู้จักกันดี. กระนั้น คริสต์มาสยังไม่เป็นที่ยอมรับในอาณานิคม. นักปฏิรูปพูริตันถือว่าการฉลองนั้นเป็นแบบนอกรีตและสั่งห้ามการฉลองในรัฐแมสซาชูเซตส์ระหว่างปี 1659 ถึงปี 1681.
หลังจากมีการยกเลิกคำสั่งห้ามแล้ว การฉลองคริสต์มาสมีมากขึ้นตลอดทั่วอาณานิคม โดยเฉพาะทางใต้ของมลรัฐนิวอิงแลนด์. อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงประวัติความเป็นมาของวันหยุดนั้นแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่บางคนสนใจเรื่องการสนุกสนานยิ่งกว่าการถวายเกียรติแด่พระบุตรของพระเจ้า. ธรรมเนียมคริสต์มาสอย่างหนึ่งที่มีลักษณะทำลายเป็นพิเศษได้แก่ การดื่มเหล้าหัวราน้ำ. กลุ่มอันธพาลวัยรุ่นจะเข้าไปในเรือนของเพื่อนบ้านที่ร่ำรวยแล้วใช้เล่ห์บีบบังคับให้เลี้ยงอาหารและเครื่องดื่ม. หากเจ้าของบ้านปฏิเสธ เขามักจะถูกแช่งด่า และบางครั้งบ้านของเขาถูกทำให้เสียหาย.
ศาสตราจารย์นิสเซนเบาว์กล่าวว่า สภาพการณ์ในทศวรรษปี 1820 เลวร้ายลงถึงขั้นที่ “ความชุลมุนวุ่นวายระหว่างการฉลองคริสต์มาส” กลายเป็น “ภัยคุกคามทางสังคมอย่างร้ายแรง.” ในนครต่าง ๆ อย่างนิวยอร์กและฟิลาเดลเฟีย เจ้าของที่ดินผู้ร่ำรวยเริ่มจ้างยามให้ดูแลรักษาทรัพย์สินของตน. ถึงขนาดที่ว่ากันว่า นครนิวยอร์กจัดตั้งกองตำรวจมืออาชีพเป็นครั้งแรกเพื่อตอบโต้การจลาจลวุ่นวายที่ดุเดือดระหว่างเทศกาลคริสต์มาสปี 1827/1828!
คริสต์มาสปรับปรุงใหม่
ศตวรรษที่ 19 นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่มนุษยชาติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน. ผู้คนเริ่มเดินทางได้เร็วขึ้น มีการส่งสินค้าและข่าวสารเร็วขึ้นมากเมื่อมีการเชื่อมโยงถนนหนทางและทางรถไฟ. การปฏิวัติอุตสาหกรรมสร้างงานนับล้าน ๆ อย่าง และโรงงานต่าง ๆ ผลิตสินค้าได้อย่างรวดเร็วไม่ขาดสาย. การทำให้เป็นลักษณะอุตสาหกรรมยังก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมแบบใหม่และซับซ้อน ซึ่งในที่สุดก็มีผลกระทบต่อวิธีฉลองคริสต์มาส.
ผู้คนเคยใช้วันหยุดงานเป็นวิธีทำให้ความผูกพันในครอบครัวแน่นแฟ้นมานานแล้ว และก็เป็นเช่นนั้นกับคริสต์มาสด้วย. โดยการปรับปรุงประเพณีคริสต์มาสเก่า ๆ บางอย่างที่เลือกเฟ้นแล้ว ผู้ส่งเสริมประเพณีนั้นจึงได้เปลี่ยนคริสต์มาสอย่างได้ผลจากเทศกาลฉลองที่เหมือนงานรื่นเริงเอะอะอึกทึกมาเป็นวันหยุดงานที่ยึดครอบครัวเป็นหลัก.
ที่จริง พอถึงปลายศตวรรษที่ 19 มีการถือว่าคริสต์มาสเป็นยาถอนพิษชนิดหนึ่งสำหรับสภาพย่ำแย่ในชีวิตคนอเมริกันสมัยใหม่. ดร. เรสแทดกล่าวว่า “ในบรรดาวันหยุดงานทั้งหมด คริสต์มาสเป็นวิธีการที่ดีพร้อมสำหรับถ่ายทอดศาสนาและความรู้สึกศรัทธาเข้าในบ้านและแก้ไขความเลยเถิดต่าง ๆ และความล้มเหลวของสังคมโดยทั่วไปนั้นให้ถูกต้อง.” เธอกล่าวเสริมอีกว่า “การให้ของขวัญ, การแสดงออกด้วยใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, แม้แต่การกล่าวคำอวยพรวันหยุดต่อกันอย่างฉันมิตรและการประดับตกแต่งและสิ่งที่ทำให้เพลิดเพลินจากต้นไม้เขียวตลอดปีซึ่งตั้งอยู่ในห้องรับแขก, หรือต่อมาในห้องประชุมของโรงเรียนรวีวารศึกษา, ทำให้สมาชิกในครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อแม่ลูกแต่ละครอบครัวเชื่อมสัมพันธ์กันและกัน, กับคริสตจักร, และกับสังคม.”
ในทำนองคล้ายกัน หลายคนในทุกวันนี้ฉลองคริสต์มาสฐานะเป็นวิธียืนยันความรักต่อกันและกันและช่วยรักษาเอกภาพในครอบครัวไว้. แน่นอน ที่ไม่ควรมองข้ามคือแง่มุมฝ่ายวิญญาณ. ผู้คนนับล้านฉลองคริสต์มาสเพื่อให้เกียรติแก่การประสูติของพระเยซู. เขาอาจเข้าร่วมพิธีพิเศษของโบสถ์, จัดฉากเหตุการณ์การประสูติของพระเยซูที่บ้าน, หรือถวายคำอธิษฐานขอบพระคุณพระเยซูเอง. แต่พระเจ้าทรงมีทัศนะอย่างไรต่อเรื่องนั้น? พระองค์พอพระทัยสิ่งเหล่านี้ไหม? ขอพิจารณาดูว่าคัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวไว้อย่างไร.
“รักความจริงและสันติสุข”
ขณะที่พระเยซูอยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์วิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยวิญญาณและความจริง.” (โยฮัน 4:24, ล.ม.) พระเยซูทรงดำเนินชีวิตตามคำตรัสนั้น. พระองค์ตรัสความจริงเสมอ. พระองค์ทรงเลียนแบบพระบิดาของพระองค์ “พระยะโฮวา, พระเจ้าแห่งความสัตย์จริง” อย่างสมบูรณ์พร้อม.—บทเพลงสรรเสริญ 31:5; โยฮัน 14:9.
พระยะโฮวาทรงทำให้ชัดแจ้งตลอดคัมภีร์ไบเบิลว่า พระองค์เกลียดชังการหลอกลวงทุกรูปแบบ. (บทเพลงสรรเสริญ 5:6) เมื่อคำนึงถึงเรื่องนี้ เป็นเรื่องน่าขันมิใช่หรือที่ลักษณะเด่นหลายประการทีเดียวซึ่งเกี่ยวข้องกับคริสต์มาสนั้นมีร่องรอยของความเท็จ? ตัวอย่างเช่น ขอให้คิดถึงเทพนิยายเรื่องซานตาคลอส. คุณเคยพยายามอธิบายแก่เด็กถึงเหตุผลที่ซานตาคลอสชอบเข้าไปทางปล่องไฟมากกว่าที่จะเข้าทางประตู ดังที่เชื่อกันในหลายประเทศไหม? และซานตาไปเยี่ยมบ้านนับล้านในค่ำวันเดียวได้อย่างไร? จะว่าอย่างไรเรื่องกวางเรนเดียร์ที่เหาะไปนั้น? เมื่อเด็กเรียนรู้ว่าเขาถูกหลอกให้เชื่อว่าซานตาเป็นบุคคลจริง นั่นจะไม่บั่นทอนความไว้วางใจที่เขามีต่อบิดามารดาหรอกหรือ?
สารานุกรมคาทอลิก (ภาษาอังกฤษ) กล่าวอย่างชัดแจ้งว่า “ธรรมเนียมนอกรีต . . . ถูกดึงมายังคริสต์มาส.” ถ้าเช่นนั้น ทำไมคริสตจักรคาทอลิกและคริสตจักรอื่น ๆ ในคริสต์ศาสนจักรจึงทำให้วันหยุดงานซึ่งมีธรรมเนียมที่ไม่มีต้นตอแบบคริสเตียนนั้นคงอยู่ต่อไป? นั่นชี้ถึงการยอมให้กับคำสอนนอกรีตมิใช่หรือ?
ขณะอยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูไม่สนับสนุนผู้คนให้นมัสการพระองค์. พระเยซูเองตรัสว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้านั่นแหละ ที่เจ้าต้องนมัสการ และแด่พระองค์ผู้เดียวที่เจ้าต้องถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์.” (มัดธาย 4:10, ล.ม.) คล้ายกัน หลังจากพระเยซูได้รับสง่าราศีทางภาคสวรรค์แล้ว ทูตสวรรค์สั่งอัครสาวกโยฮันว่า “จงนมัสการพระเจ้าเถิด” ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับเรื่องนี้. (วิวรณ์ 19:10) นี่นำไปสู่คำถามที่ว่า พระเยซูจะพอพระทัยกับความเลื่อมใสในเชิงนมัสการทั้งสิ้นที่มุ่งถึงพระองค์ ไม่ใช่พระบิดาของพระองค์ระหว่างเทศกาลคริสต์มาสไหม?
ปรากฏชัดว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคริสต์มาสสมัยปัจจุบันไม่น่านิยมชมชอบเลย. นั่นเป็นวันหยุดที่ปั้นแต่งขึ้นเป็นส่วนใหญ่พร้อมกับหลักฐานมากมายที่ชี้ถึงประวัติอันเสื่อมเสีย. ดังนั้นแล้ว โดยอาศัยสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาด คริสเตียนหลายล้านคนได้ตัดสินใจไม่ฉลองคริสต์มาส. ตัวอย่างเช่น เด็กหนุ่มชื่อไรอันกล่าวเกี่ยวกับคริสต์มาสว่า “ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นเสียจริง ๆ กับช่วงไม่กี่วันในรอบปีเมื่อครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากันและทุกคนมีความสุข. แต่มีอะไรพิเศษจริง ๆ หรือกับช่วงเวลาเช่นนั้น? พ่อแม่ให้ของขวัญผมตลอดทั้งปี!” เด็กสาววัย 12 ปีอีกคนหนึ่งบอกว่า “หนูไม่รู้สึกว่าถูกตัดสิทธิ์. หนูได้รับของขวัญตลอดปี ไม่เพียงในวันพิเศษวันเดียวที่ผู้คนรู้สึกว่ามีพันธะต้องซื้อของขวัญให้กัน.”
ผู้พยากรณ์ซะคาระยาสนับสนุนเพื่อนชาวยิศราเอลให้ “รักความจริงและสันติสุข.” (ซะคาระยา 8:19, ล.ม.) หากเรา “รักความจริง” เช่นเดียวกับซะคาระยาและชนผู้ซื่อสัตย์คนอื่นในสมัยก่อนแล้ว สมควรมิใช่หรือที่เราจะหลีกเลี่ยงการฉลองทางศาสนาเท็จใด ๆ ที่หลู่เกียรติพระยะโฮวา “พระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์อยู่”?—1 เธซะโลนิเก 1:9.
[รูปภาพหน้า 7]
“หนูไม่รู้สึกว่าถูกตัดสิทธิ์. หนูได้รับของขวัญตลอดปี”