คุณสามารถก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณได้
คุณค่าแท้อาจยากที่จะรู้ได้. กรณีของเพชรก็เป็นอย่างนั้น. ถึงแม้เพชรที่เจียระไนแล้วมีประกายแวววาว แต่เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนย่อมขาดประกายแวววาว. กระนั้นก็ตาม ใต้ผิวของเพชรที่ยังไม่เจียระไนก็ยังคงเป็นเพชรที่พร้อมจะเปล่งประกายสดใสอย่างแน่แท้.
ในหลาย ๆ ทาง คริสเตียนก็คล้ายเพชรที่ไม่ได้เจียระไน. มาตรแม้นเรายังคงอยู่ห่างความสมบูรณ์ ทว่าเรามีส่วนดีแฝงอยู่ซึ่งพระยะโฮวาทรงเห็นคุณค่า. เช่นเดียวกับเพชร เราทุกคนล้วนมีคุณสมบัติเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร. และพวกเราแต่ละคนสามารถก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณยิ่งขึ้นได้หากเป็นความปรารถนาจากใจจริงของเรา. บุคลิกภาพของเราสามารถได้รับการขัดเกลา เพื่อที่บุคลิกภาพเหล่านั้นจะส่องประกายเจิดจ้ายิ่งขึ้นเป็นเกียรติแด่พระยะโฮวา.—1 โกรินโธ 10:31.
หลังจากเพชรถูกตัดและเจียระไนแล้ว ก็จะฝังเม็ดเพชรลงบนเรือนแหวนซึ่งเพิ่มคุณสมบัติสะท้อนแสงของเพชร. คล้ายกัน พระยะโฮวาสามารถใช้เราในหลายลักษณะหรือในงานมอบหมายที่แตกต่างกัน ถ้าเรา “สวมใส่บุคลิกภาพใหม่ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าในความชอบธรรมและความภักดีที่แท้จริง.”—เอเฟโซ 4:20-24, ล.ม.
ความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณดังกล่าวใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ เฉกเช่นเพชรในสภาพธรรมชาติน้อยนักที่จะแวววาวเหมือนเพชรที่เจียระไนแล้ว. เราอาจจะต้องกำจัดข้ออ่อนแอบางอย่างที่หลงเหลืออยู่, ปรับเปลี่ยนทัศนคติของเราต่อการรับเอาหน้าที่รับผิดชอบ, หรือกระทั่งทุ่มเทความพยายามเพื่อขจัดนิสัยเก่า ๆ ทางด้านวิญญาณ. แต่เราสามารถก้าวหน้าได้แน่ถ้าเราปรารถนาจะทำจริง ๆ เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าจะทรงประทาน “กำลังที่มากกว่าปกติ” แก่เรา.—2 โกรินโธ 4:7, ล.ม.; ฟิลิปปอย 4:13.
พระยะโฮวาทรงเพิ่มกำลังแก่ผู้รับใช้ของพระองค์
การตัดเพชรต้องมีความมั่นใจอันเป็นผลมาจากการรู้จริง เพราะเมื่อเนื้อเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนนั้นถูกตัดออกไป ปกติแล้วก็เสียไปเลย. ส่วนเกินที่ราคาแพงนี้—บางครั้งมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของเพชรที่ยังไม่ตัด—ต้องตัดทิ้งไปเพื่อจะได้รูปทรงตามที่ต้องการ. พวกเราก็เช่นกันต้องมีความมั่นใจอันเป็นผลมาจากความรู้ถ่องแท้เพื่อปั้นแต่งบุคลิกภาพของเราและมุ่งก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจำต้องมั่นใจว่าพระยะโฮวาจะทรงให้กำลังแก่เรา.
แต่เราอาจรู้สึกว่าไม่มีความสามารถพอ หรือคิดว่าไม่สามารถทำมากกว่านี้ได้. ในอดีต บางครั้งเหล่าผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าเคยรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน. (เอ็กโซโด 3:11, 12; 1 กษัตริย์ 19:1-4) เมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายยิระมะยาให้เป็น “ผู้ทำนายแก่เมืองทั้งปวง” ท่านร้องอุทานว่า “ดูเถิด, ข้าพเจ้าพูดไม่ได้, เพราะข้าพเจ้าเป็นเด็กอยู่.” (ยิระมะยา 1:5, 6) ทั้ง ๆ ที่เป็นคนพูดน้อย แต่ยิระมะยาก็กลายเป็นผู้พยากรณ์กล้าหาญซึ่งได้ประกาศข่าวสารอย่างไม่อ้อมค้อมแก่พลเมืองที่เป็นปรปักษ์. เป็นไปได้อย่างไร? ท่านได้เรียนรู้ที่จะหมายพึ่งพระยะโฮวา. ยิระมะยาเขียนในเวลาต่อมาว่า “ความสุขมากหลายจะมีแก่คนนั้นผู้ได้วางใจในพระยะโฮวา, แลที่พระยะโฮวาได้เป็นที่วางใจของตัว.”— ยิระมะยา 17:7; 20:11.
ทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน พระยะโฮวาทรงชูกำลังคนเหล่านั้นที่ไว้วางใจพระองค์. เอดเวิร์ดaบิดาลูกสี่ ซึ่งก้าวหน้าช้าทางฝ่ายวิญญาณได้ประสบว่าเรื่องนี้เป็นความจริง. เขาชี้แจงว่า “ผมเป็นพยานพระยะโฮวาได้เก้าปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายวิญญาณของผมไปไม่ถึงไหน. ปัญหาคือ ผมแทบไม่มีแรงกระตุ้นและขาดความมั่นใจ. หลังจากย้ายไปที่สเปน ผมมาอยู่ในประชาคมเล็ก ๆ ซึ่งมีแค่ผู้ปกครองหนึ่งคนและผู้ช่วยงานรับใช้อีกหนึ่งคน. เนื่องจากความจำเป็น ผู้ปกครองจึงขอให้ผมรับการมอบหมายหลายอย่าง. ผมสั่นสะท้านคราวที่ผมขึ้นบรรยายครั้งแรกและทำส่วนในวาระการประชุม. แต่ผมได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพระยะโฮวา. ผู้ปกครองออกปากชมผมเสมอและให้คำแนะนำอย่างผ่อนหนักผ่อนเบาเพื่อแก้ไขปรับปรุง.
“ในเวลาเดียวกัน ผมออกประกาศตามบ้านมากขึ้นและเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณที่ดีขึ้นแก่ครอบครัวของผม. ผลที่ได้คือความจริงมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับทุกคนในครอบครัว และตัวผมเองมีความอิ่มใจพอใจเพิ่มมากขึ้น. ตอนนี้ผมเป็นผู้ช่วยงานรับใช้ และผมเพียรพยายามจะพัฒนาคุณวุฒิต่าง ๆ ของคริสเตียนผู้ดูแล.”
“ถอดทิ้งบุคลิกภาพเก่า”
ดังเอดเวิร์ดได้ตระหนัก การจะก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณต้องไว้วางใจพระยะโฮวา. การพัฒนา “บุคลิกภาพใหม่” แบบพระคริสต์เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน. จะทำได้อย่างไร? ขั้นแรกคือ “ถอดทิ้ง” ลักษณะนิสัยต่าง ๆ อันเป็นส่วนของบุคลิกภาพเก่า. (โกโลซาย 3:9, 10, ล.ม.) รอยตำหนิ เช่น สิ่งแปลกปลอมในเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนจำเป็นต้องตัดทิ้ง ขัดให้หมดไปเพื่อทำให้เนื้อเพชรมีประกายวาววามฉันใด ก็จำต้องสลัดทิ้งทัศนคติซึ่ง “อยู่ใต้บังคับโลกธรรม” เพื่อบุคลิกภาพใหม่ของเราจะโดดเด่นขึ้นมาฉันนั้น.—ฆะลาเตีย 4:3.
ทัศนคติดังกล่าวอย่างหนึ่งคือการรีรอจะรับเอาหน้าที่รับผิดชอบ เนื่องจากเกรงว่าเราจะถูกเรียกร้องมากไป. จริงอยู่ หน้าที่รับผิดชอบย่อมหมายถึงงาน แต่เป็นงานที่ให้ความอิ่มใจพอใจ. (เทียบกับกิจการ 20:35.) เปาโลยอมรับว่าความเลื่อมใสในพระเจ้าเรียกร้องให้เรา “ทำงานหนักและทุ่มเทตัวเอง.” ท่านกล่าวว่า เราทำด้วยใจเบิกบานยินดี “เพราะเราได้ฝากความหวังไว้กับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” พระองค์ไม่ลืมการงานที่เรากระทำเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเพื่อนคริสเตียนและคนอื่น.—1 ติโมเธียว 4:9, 10, ล.ม.; เฮ็บราย 6:10, ล.ม.
เพชรบางเม็ดมี “รอยแตกง่าย” ซึ่งเกิดขึ้นตอนที่ก่อตัวขึ้นทีแรกและจึงต้องได้รับการเจียระไนอย่างระมัดระวัง. อย่างไรก็ดี โดยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่าโพลาริสโคป ผู้เจียระไนเพชรสามารถมองเห็นรอยแตกและจะทำงานได้อย่างสำเร็จผล. บางที เราอาจมีภาวะจิตใจเครียด หรือความบกพร่องด้านบุคลิกภาพ เนื่องด้วยภูมิหลังของเราหรือประสบการณ์ที่ก่อความบอบช้ำทางจิตใจ. เราจะทำอย่างไร? แรกทีเดียว เราเองต้องยอมรับปัญหาและตั้งใจแน่วแน่จะเอาชนะเท่าที่ทำได้. แน่นอน เราพึงปลดภาระหนักฝากไว้กับพระยะโฮวาโดยการอธิษฐาน และหากเป็นได้แสวงการช่วยเหลือฝ่ายวิญญาณจากคริสเตียนผู้ปกครอง.—บทเพลงสรรเสริญ 55:22; ยาโกโบ 5:14, 15.
ภาวะเครียดในจิตใจดังกล่าวกระทบนิโคลัส. “พ่อของผมเป็นคนติดเหล้า พ่อทำให้ผมกับน้องสาวลำบากมาก” เขาเล่า. “เมื่อผมออกจากโรงเรียน ผมสมัครเข้าเป็นทหาร แต่ไปได้ไม่นานเท่าไร แนวโน้มของผมในทางขืนอำนาจทำให้ผมตกอยู่ในภาวะลำบาก. นายทหารสั่งจำคุกผมเพราะขายยาเสพย์ติด และอีกคราวหนึ่ง ผมละทิ้งหน้าที่. ท้ายที่สุด ผมเลิกเป็นทหาร แต่ผมยังมีความยุ่งยากอยู่. ถึงแม้ชีวิตผมอยู่ในสภาพสับสนเพราะการใช้ยาเสพย์ติดและดื่มจัด ผมสนใจคัมภีร์ไบเบิลและโหยหาการมีจุดมุ่งหมายในชีวิต. ในเวลาต่อมา ผมได้ติดต่อกับพยานพระยะโฮวา ผมเปลี่ยนวิถีชีวิตและได้รับเอาความจริง.
“แต่กว่าผมจะยอมรับและปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องด้านบุคลิกภาพของผมได้ก็ใช้เวลาหลายปี. ผมเกลียดผู้มีอำนาจเข้ากระดูกดำและรู้สึกเดือดดาลเมื่อได้รับคำแนะนำใด ๆ. ถึงแม้ผมต้องการรับใช้พระยะโฮวาอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่จุดอ่อนนี้แหละที่คอยขัดขวางผม. ในที่สุด ด้วยการช่วยเหลือของผู้ปกครองสองคนซึ่งเข้าใจและเห็นใจ ผมถึงได้ยอมรับปัญหาและเริ่มปฏิบัติตามคำแนะนำของเขาอันเปี่ยมด้วยความรักตามหลักพระคัมภีร์. มาตรแม้นเกิดความขุ่นเคืองเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นครั้งคราว เวลานี้ผมควบคุมนิสัยขืนอำนาจได้. ผมรู้สึกขอบคุณที่พระยะโฮวาทรงแสดงพระทัยอดกลั้นทนนานต่อผมและขอบคุณการช่วยเหลือด้วยความรักใคร่จากพวกผู้ปกครอง. เนื่องด้วยความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณของผม ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยงานรับใช้เมื่อเร็ว ๆ นี้.”
ดังที่นิโคลัสแสดงให้เห็น ไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนทัศนคติซึ่งหยั่งรากลึก. เราอาจเผชิญข้อท้าทายคล้าย ๆ กัน. บางทีเราอาจเป็นคนอ่อนไหวเกินไป. เราอาจจมอยู่กับความไม่พอใจ หรือเราอาจเน้นมากไปกับการไม่พึ่งพาใคร. เมื่อเป็นเช่นนั้น ความก้าวหน้าของเราในทางคริสเตียนอาจมีจำกัด. พวกที่เจียระไนเพชรเคยมีประสบการณ์ทำนองนั้นกับเพชรที่เขาเรียกว่า นัต (naats). ตามจริงแล้ว เป็นเนื้อหินสองก้อนที่ได้หลอมละลายรวมกันเป็นเนื้อเดียวในระหว่างการก่อตัวของเพชร. ผลที่ออกมาคือ naats มีแนวเนื้อเพชรที่ไปคนละทางซึ่งยากต่อการจะเจียระไนตามแนวนั้น. ในกรณีของเรา เราพบ “แนวโน้ม” แห่งน้ำใจที่พร้อมจะทำซึ่งต่อสู้กับ “แนวโน้มเอียง” ของเนื้อหนังที่ไม่สมบูรณ์. (มัดธาย 26:41; ฆะลาเตีย 5:17) บางครั้ง เราอาจเคยคิดจะเลิกความพยายามทุกอย่าง โดยหาเหตุผลว่าความบกพร่องทางบุคลิกภาพของเรานั้นไม่สำคัญอะไร. เราอาจพูดทำนองนี้ ‘ถึงอย่างไร ครอบครัวของฉันและเพื่อน ๆ ก็ยังรักฉันอยู่.’
แต่ถ้าเราต้องการรับใช้พี่น้องและถวายเกียรติยศแด่พระบิดาทางภาคสวรรค์ของเรา เราจำเป็นต้อง ‘ถูกเปลี่ยนใหม่ในพลังที่กระตุ้นจิตใจของเรา’ โดยการสวมบุคลิกภาพใหม่. ความบากบั่นย่อมให้ผลคุ้มค่า ดังนิโคลัสและคนอื่นอีกนับไม่ถ้วนสามารถยืนยันได้. คนเจียระไนเพชรรู้ว่าตำหนิเพียงจุดเดียวอาจทำให้เพชรทั้งก้อนเสียไป. เช่นเดียวกัน โดยการละเลยไม่แก้จุดอ่อนด้านบุคลิกภาพของเรา เราอาจทำให้การปรากฏตัวฝ่ายวิญญาณของเราเสียหาย. ซ้ำร้ายกว่านั้น ความอ่อนแออย่างรุนแรงอาจนำเราสู่ความหายนะฝ่ายวิญญาณ.—สุภาษิต 8:33.
เหมือน “ไฟ” ภายในตัวเรา
คนเจียระไนเพชรพยายามทำให้มีประกายแวววาวภายในเนื้อเพชรออกมา. เขาจะทำเช่นนั้นโดยการเจียระไนเหลี่ยมต่าง ๆ เพื่อจะก่อให้เกิดประกายแวววาวของแสงสีต่าง ๆ. ในเนื้อเพชรแสงสีต่าง ๆ สะท้อนกลับไปกลับมา ทำให้เกิดประกายแวววาว. ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณของพระเจ้าเป็นประหนึ่ง “ไฟ” ภายในตัวเรา.—1 เธซะโลนิเก 5:19; กิจการ 18:25; โรม 12:11.
แต่จะว่าอย่างไรถ้าเรารู้ถึงความจำเป็นที่ต้องได้รับแรงกระตุ้นฝ่ายวิญญาณ? เรื่องนี้อาจจัดการได้อย่างไร? เราจำต้อง ‘คิดถึงทางประพฤติของตัวเอง.’ (บทเพลงสรรเสริญ 119:59, 60) ทั้งนี้คงรวมถึงการชี้ชัดถึงสิ่งต่าง ๆ ซึ่งคอยจะฉุดถ่วงเราให้เลื่อยล้าฝ่ายวิญญาณ และจากนั้นก็ตรวจสอบดูว่าจะต้องติดตามกิจกรรมด้านไหนตามระบอบของพระเจ้าอย่างแข็งขันให้มากขึ้น. เราสามารถทำให้ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณลึกซึ้งยิ่งขึ้นโดยศึกษาส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอและอธิษฐานด้วยใจแรงกล้า. (บทเพลงสรรเสริญ 119:18, 32; 143:1, 5, 8, 10) ยิ่งกว่านั้น โดยการคบหากับคนเหล่านั้นที่เอาการเอางานในความเชื่อ เรายิ่งเสริมความตั้งใจของเราให้แน่วแน่ยิ่งขึ้นที่จะรับใช้พระยะโฮวาอย่างกระตือรือร้น.—ติโต 2:14.
ลูอิส สตรีคริสเตียนวัยสาวยอมรับดังนี้: “ดิฉันได้พิจารณาการเป็นไพโอเนียร์ประจำนานถึงสองปีก่อนสมัครเป็นไพโอเนียร์หรือผู้ประกาศข่าวราชอาณาจักรเต็มเวลาจริง ๆ. ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค แต่ดิฉันใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ และดิฉันก็พอใจจะอยู่ในสภาพนั้น. ครั้นแล้ว คุณพ่อเสียชีวิตกะทันหัน. ดิฉันจึงได้ตระหนักว่าชีวิตเปราะบางเพียงใดและได้สำนึกว่าดิฉันไม่ได้ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์เต็มที่. ดังนั้น ดิฉันจึงเปลี่ยนทัศนะฝ่ายวิญญาณเสียใหม่ ทำงานรับใช้ให้มากขึ้นและเป็นไพโอเนียร์ประจำ. การช่วยเหลือโดยเฉพาะที่ดิฉันได้รับเพื่อจะสามารถเป็นไพโอเนียร์นั้นมาจากบรรดาพี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณของดิฉันซึ่งให้การสนับสนุนอยู่เสมอในด้านการจัดเตรียมเพื่อไปประกาศตามบ้านเรือน และไปเป็นเพื่อนดิฉันเป็นประจำในเขตงาน. ดิฉันได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าสภาพการณ์เอื้ออำนวยหรือไม่ก็ตาม เรามีส่วนร่วมในค่านิยมและเป้าหมายของผู้ที่เราคบหาสมาคมด้วย.”
ประหนึ่งลับด้วยเหล็ก
เพชรเป็นสสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่แข็งที่สุดในโลก. ดังนั้น จึงต้องใช้เพชรตัดเพชร. ทั้งนี้อาจสะกิดใจนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้นึกถึงสุภาษิตที่ว่า “เหล็กลับเหล็กให้คมได้ฉันใด, คนเราก็ลับเพื่อนของเราให้เฉียบแหลมขึ้นได้ฉันนั้น.” (สุภาษิต 27:17) คนเราจะได้รับการ “ลับ” ให้เฉียบแหลมโดยวิธีใด? คนหนึ่งอาจสามารถทำให้สติปัญญาและสภาพฝ่ายวิญญาณของอีกคนหนึ่งเฉียบแหลมได้ เช่นเดียวกับเหล็กสามารถใช้ลับมีดที่ทำด้วยเหล็กชนิดเดียวกันได้. ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเกิดความรู้สึกหดหู่ท้อแท้เพราะผิดหวังจากอะไรบางอย่าง การหนุนใจจากอีกคนหนึ่งก็ย่อมเป็นกำลังใจได้มาก. โดยวิธีนี้สีหน้าอันหม่นหมองของเราอาจดูสดใสขึ้นได้ และเราจะมีชีวิตชีวาทำกิจกรรมด้วยความกระตือรือร้นได้อีก. (สุภาษิต 13:12) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้ดูแลในประชาคมสามารถช่วยลับเราให้เฉียบแหลมได้โดยการหนุนใจและคำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์เพื่อการแก้ไขปรับปรุง. พวกผู้ปกครองปฏิบัติตามหลักการที่ซะโลโมให้ไว้ดังนี้: “เมื่อให้คำสั่งสอนแก่คนมีปัญญา, ก็ยิ่งทำให้เขามีปัญญามากขึ้น: เมื่อสอนคนชอบธรรม, ก็จะทำให้เขาทวีความรู้ยิ่งขึ้น.”—สุภาษิต 9:9.
จริงอยู่ การอบรมฝ่ายวิญญาณต้องใช้เวลา. นานกว่าสิบปีทีเดียวที่อัครสาวกเปาโลมีประสบการณ์และวิธีการสั่งสอนร่วมกับติโมเธียว. (1 โกรินโธ 4:17; 1 ติโมเธียว 4:6, 16) ช่วงเวลา 40 กว่าปีที่โมเซได้อบรมยะโฮซูอะนั้นเป็นประโยชน์ยืนนานสำหรับชาติยิศราเอล. (ยะโฮซูอะ 1:1, 2; 24:29, 31) อะลีซาร่วมทางทำงานกับผู้พยากรณ์เอลียา บางทีราว ๆ 6 ปี รับเอาพื้นฐานที่ดีสำหรับงานรับใช้ที่ตัวเองต้องทำต่อไปอีกประมาณ 60 ปี. (1 กษัตริย์ 19:21; 2 กษัตริย์ 3:11) โดยความพากเพียรจัดการฝึกอบรมซึ่งดำเนินต่อไป พวกผู้ปกครองก็ได้ทำตามแบบอย่างของเปาโล, โมเซ, และเอลียา.
การกล่าวชมเชยเป็นส่วนสำคัญของการอบรม. การพูดจากใจจริงแสดงความพอใจยินดีต่อการทำตามหน้าที่มอบหมายอย่างเรียบร้อย หรือต่อการกระทำซึ่งควรได้รับคำสรรเสริญอาจกระตุ้นคนอื่น ๆ ปรารถนาจะรับใช้พระเจ้าให้เต็มที่ยิ่งขึ้น. การพูดชมเชยเสริมสร้างความมั่นใจ ซึ่งยังผลเป็นกำลังใจที่จะเอาชนะความอ่อนแออีกต่อหนึ่ง. (เทียบกับ 1 โกรินโธ 11:2.) นอกจากนั้น การจะได้รับกำลังใจเพื่อความก้าวหน้าในทางความจริงย่อมมาจากการ หม ก มุ่ น แข็ง ขั น อยู่กับงานเผยแพร่เรื่องราชอาณาจักรและกิจกรรมด้านอื่น ๆ ของประชาคม. (กิจการ 18:5) เมื่อผู้ปกครองมอบหมายพี่น้องทำหน้าที่รับผิดชอบอย่างที่สอดคล้องกับความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณของเขา บุคคลดังกล่าวย่อมจะมีประสบการณ์ที่มีค่า และดูเหมือนจะเป็นการทำให้ความปรารถนาของเขาที่จะก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณต่อ ๆ ไปนั้นแรงกล้ายิ่งขึ้น.—ฟิลิปปอย 1:8, 9.
เหตุผลอันดีเพื่อทำความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ
ถือกันว่าเพชรเป็นวัตถุที่มีค่า. เป็นจริงเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นที่เข้ามาเป็นส่วนของครอบครัวผู้นมัสการพระยะโฮวาที่มีอยู่ทั่วโลกในขณะนี้. จริง ๆ แล้ว พระเจ้าเองทรงเรียกเขาเป็น “สิ่งน่าปรารถนา” หรือ “สิ่งมีค่า” แห่งชาติทั้งปวง. (ฮาฆี 2:7, ล.ม., เชิงอรรถ.) เมื่อปีกลาย มี 375,923 คนได้มาเป็นพยานพระยะโฮวาที่รับบัพติสมา. เพื่อรองรับการเติบโตอย่างนี้ จึงจำเป็นต้อง ‘ขยายกระโจมให้เขื่องออกไป.’ โดยการก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ—และจากการขวนขวายที่จะได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ในงานรับใช้ของคริสเตียน—จึงเป็นไปได้ที่จะเข้าส่วนในการเอาใจใส่ดูแลเพื่อการแผ่ขยายนี้.—ยะซายา 54:2; 60:22.
ไม่เหมือนเพชรล้ำค่าหลายชนิดซึ่งเก็บรักษาไว้ในห้องนิรภัยของธนาคารและไม่ค่อยได้เห็น คุณค่าฝ่ายวิญญาณของเรานั้นสามารถเปล่งแสงเจิดจ้า. และขณะที่เราขัดเกลาและแสดงคุณลักษณะคริสเตียนให้ปรากฏแจ้งอยู่เสมอ เราถวายเกียรติแด่พระยะโฮวาพระเจ้า. พระเยซูทรงกระตุ้นเตือนเหล่าสาวกของพระองค์ดังนี้: “ให้ความสว่างของท่านส่องไปต่อหน้าคนทั้งปวงอย่างนั้น, เพื่อเขาจะได้เห็นการดีของท่าน, แล้วจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์.” (มัดธาย 5:16) แน่นอน ด้วยประการฉะนี้ เราจึงมีเหตุผลอันดีที่จะทำความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ.
[เชิงอรรถ]
a ชื่อที่ปรากฏในบทความนี้เป็นนามสมมุติ.