ทัลมุดคืออะไร?
“ทัลมุดเป็นหนึ่งในผลงานวรรณกรรมอันโดดเด่นที่สุดแห่งทุกยุคทุกสมัยอย่างไม่ต้องสงสัย.”—สารานุกรมยิวสากล.
“[ทัลมุดเป็น] หนึ่งในผลสำเร็จทางปัญญาอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ, มีเนื้อหาแน่นมาก, มีความหมายสำคัญยิ่ง, ลึกซึ้งนัก จนได้ทำให้เหล่าผู้ทรงภูมิปัญญาสูงส่งมีธุระมากมานานกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี.”—เจคอบ นอยสเนอร์ ผู้คงแก่เรียนและนักประพันธ์ชาวยิว.
“ทัลมุดเป็นเสาเอก [ของศาสนายิว] ซึ่งค้ำจุนโครงสร้างทางศาสนาและภูมิปัญญาแห่งชีวิตชาวยิวไว้.”—เอดิน สไตน์ซาลซ์ รับบีและผู้คงแก่เรียนด้านทัลมุด.
ทัลมุดมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้คนชาวยิวมาหลายศตวรรษอย่างไม่ต้องสงสัย. แต่ตรงข้ามกับคำกล่าวยกย่องที่ยกมากล่าวข้างต้น ทัลมุดเคยถูกเหยียดค่าและเรียกว่า “ทะเลแห่งความเคลือบคลุมและขุ่นคลั่ก.” ทัลมุดเคยถูกประจานว่าเป็นผลงานหมิ่นประมาทของพญามาร. โดยกฤษฎีกาของโปป ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทัลมุดถูกตรวจสอบ, ถูกยึด, และกระทั่งถูกเผาเป็นจำนวนมากตามจัตุรัสต่าง ๆ ในยุโรป.
หนังสือที่ปลุกเร้าให้เกิดความขัดแย้งมากมายนี้คืออะไรกันแน่? อะไรทำให้ทัลมุดโดดเด่นท่ามกลางงานเขียนทั้งหลายของชาวยิว? เหตุใดจึงมีการเขียนทัลมุด? เป็นไปอย่างไรที่ทัลมุดได้ส่งผลกระทบถึงขนาดนั้นต่อศาสนายิว? ทัลมุดมีความหมายต่อโลกที่ไม่ใช่ชาวยิวไหม?
ในช่วง 150 ปีภายหลังจากความพินาศของพระวิหารในเยรูซาเลมในปี ส.ศ. 70 สำนักต่าง ๆ ของพวกปราชญ์ที่เป็นรับบีทั่วทั้งอิสราเอลต่างรีบเร่งแสวงหาพื้นฐานใหม่เพื่อธำรงไว้ซึ่งกิจปฏิบัติของชาวยิว. พวกเขาถกกันและจึงได้รวบรวมประเพณีต่าง ๆ แห่งกฎหมายสืบปากของตนเข้าด้วยกัน. โดยการสร้างบนรากฐานนี้ พวกเขาตั้งข้อกำหนดและข้อเรียกร้องขึ้นใหม่สำหรับศาสนายิว ให้การชี้นำสำหรับชีวิตประจำวันที่บริสุทธิ์โดยปราศจากพระวิหาร. โครงสร้างใหม่ทางศาสนานี้มีชี้แจงไว้ในมิชนาห์ซึ่งรวมรวมโดย จูดาห์ ฮา-นาซี เมื่อตอนต้นศตวรรษที่สาม ส.ศ.a
มิชนาห์มีเนื้อหาของตัวเอง ไม่พยายามพิสูจน์ความถูกต้องโดยอาศัยข้ออ้างอิงตามคัมภีร์ไบเบิล. วิธีการพิจารณาและแม้แต่สำนวนภาษาฮีบรูในมิชนาห์เป็นแบบของตนเองโดยเฉพาะ แตกต่างจากข้อความในคัมภีร์ไบเบิลโดยสิ้นเชิง. การตัดสินต่าง ๆ ของพวกรับบีซึ่งมียกมากล่าวในมิชนาห์คงจะส่งผลกระทบชีวิตประจำวันของชาวยิวทุกหนทุกแห่ง. ที่จริง เจคอบ นอยสเนอร์ให้ข้อคิดเห็นดังนี้: “มิชนาห์ให้รัฐธรรมนูญของอิสราเอล. . . . มิชนาห์เรียกร้องการยินยอมและการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของมิชนาห์.”
แต่จะว่าอย่างไรหากมีคนถามว่า อำนาจของพวกปราชญ์ตามที่ยกมากล่าวในมิชนาห์นั้นเท่าเทียมกับพระคัมภีร์ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยหรือไม่? พวกรับบีคงต้องแสดงให้เห็นว่าคำสอนต่าง ๆ ของพวกทันนาอิม (อาจารย์สอนกฎหมายสืบปาก) ที่พบในมิชนาห์นั้นประสานกับพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูโดยสมบูรณ์. คำอรรถาธิบายเพิ่มเติมกลายเป็นสิ่งจำเป็น. พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องอธิบายและพิสูจน์ความถูกต้องของมิชนาห์และพิสูจน์ว่ามิชนาห์มีต้นตอจากพระบัญญัติที่โมเซได้รับ ณ ภูเขาซีนาย. พวกรับบีรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ว่ากฎหมายสืบปากกับกฎหมายที่เขียนเป็นหนังสือมีเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์เดียวกัน. ฉะนั้น แทนที่จะเป็นคำอธิบายในลักษณะที่เด็ดขาดเกี่ยวกับศาสนายิว มิชนาห์กลายเป็นรากฐานใหม่สำหรับการพิจารณาและการถกเหตุผลทางศาสนา.
กำเนิดทัลมุด
พวกรับบีที่รับเอาข้อท้าทายใหม่นี้เป็นที่รู้จักว่า อัมโมราอิม คือ “ผู้ตีความ,” หรือ “ผู้อธิบาย” มิชนาห์. แต่ละสำนักรวมศูนย์อยู่กับรับบีที่เด่น. พวกผู้คงแก่เรียนและศิษย์ในแวดวงเล็ก ๆ จัดการพิจารณากันตลอดปี. แต่การประชุมสำคัญที่สุดได้มีการจัดขึ้นปีละสองครั้ง ระหว่างเดือนอะดาร์และเอลูล ในช่วงที่ไม่ต้องรีบเร่งทำงานเกษตรกรรมและผู้คนหลายร้อยหรือกระทั่งหลายพันคนเข้าร่วมได้.
เอดิน สไตน์ซาลซ์ ชี้แจงว่า “หัวหน้าสำนักเป็นประธาน นั่งบนเก้าอี้หรือไม่ก็บนเสื่อชนิดพิเศษ. พวกผู้คงแก่เรียนคนสำคัญ ๆ นั่งในแถวแรกข้างหน้าเขา ซึ่งรวมถึงเพื่อนร่วมงานหรือศิษย์ที่เด่น ๆ และผู้คงแก่เรียนคนอื่น ๆ ทั้งหมดก็นั่งแถวหลัง ๆ. . . . ระเบียบที่นั่งเป็นไปตามลำดับชั้นที่กำหนดอย่างละเอียด [ตามลำดับความสำคัญ]. จะมีการอ่านข้อความตอนหนึ่งของมิชนาห์. แล้วข้อความนั้นจะถูกเทียบกับเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันหรือเนื้อหาเสริมที่รวบรวมโดยทันนาอิมแต่ไม่ถูกรวมไว้ในมิชนาห์. กระบวนการวิเคราะห์จะเริ่มต้น. มีการยกคำถามขึ้นมา และจะมีการวิเคราะห์ข้อแตกต่างเพื่อหาความสอดคล้องกันภายในระหว่างคำสอนต่าง ๆ. จะมีการค้นหาข้อความพิสูจน์ยืนยันจากพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเพื่อสนับสนุนคำสอนต่าง ๆ ของพวกรับบี.
ถึงแม้มีการกำหนดโครงสร้างอย่างระมัดระวัง การพิจารณาเหล่านั้นก็ค่อนข้างตึงเครียด บางครั้งถึงขั้นชุลมุนวุ่นวาย. ปราชญ์ผู้หนึ่งที่มีกล่าวถึงในทัลมุดได้พูดถึง “ประกายไฟ” ที่กระโดดไปมาระหว่างปากของพวกรับบีในช่วงที่ถกกัน. (ฮุลลิน 137b, ทัลมุดของบาบูโลน) สไตน์ซาลซ์กล่าวถึงขั้นตอนดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้: “หัวหน้าสำนัก หรือปราชญ์ที่บรรยาย จะบอกถึงการตีความของตนเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ. พวกผู้คงแก่เรียนที่ฟังมักจะโจมตีเขาด้วยคำถามต่าง ๆ ที่อาศัยแหล่งข้อมูลอื่น, ความคิดเห็นของผู้ให้อรรถาธิบายคนอื่น, หรือการลงความเห็นตามหลักตรรกวิทยาของเขาเอง. บางครั้งการถกกันสั้นมากและจำกัดอยู่แค่คำตอบที่ชัดเจนและเด็ดขาดสำหรับคำถามที่ยกขึ้นมา. ส่วนในกรณีอื่น ๆ ผู้คนแก่เรียนคนอื่นจะเสนอทางแก้ที่ต่างออกไปและการถกอย่างกว้างขวางก็จะมีขึ้น.” ทุกคนที่เข้าร่วมจะมีส่วนร่วมได้อย่างอิสระ. ประเด็นต่าง ๆ ที่ถูกทำให้ชัดแจ้ง ณ การประชุมจะถูกถ่ายทอดแก่สำนักอื่น ๆ เพื่อให้ผู้คงแก่เรียนคนอื่น ๆ ตรวจดู.
กระนั้น การประชุมเหล่านั้นไม่ใช่แค่การถกไม่รู้จบเกี่ยวกับกฎหมายเท่านั้น. เรื่องราวทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎและข้อบังคับต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตทางศาสนาของชาวยิวเรียกว่า ฮาลากาห์. คำนี้มาจากรากคำในภาษาฮีบรูที่หมายถึง “ไป” และบ่งถึง ‘วิถีชีวิตที่คนเราควรดำเนินตาม.’ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ทั้งหมด เช่น เรื่องเกี่ยวกับรับบีและบุคคลต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล, คำกล่าวที่สุขุม, แนวความคิดเกี่ยวกับความเชื่อและหลักปรัชญานั้นเรียกว่า ฮากกาดาห์ มาจากรากคำในภาษาฮีบรูซึ่งหมายถึง “บอก.” ฮาลากาห์และฮากกาดาห์ถูกผสมเข้าด้วยกันระหว่างการถกของพวกรับบี.
มอร์ริส แอดเลอร์ ให้ความเห็นไว้ในหนังสือของเขาชื่อ โลกแห่งทัลมุด (ภาษาอังกฤษ) ดังนี้: “อาจารย์ที่ฉลาดจะขัดจังหวะการถกเรื่องกฎหมายที่ยืดยาวและยุ่งยากด้วยการเปลี่ยนหัวข้อที่ถกกันไปยังเรื่องปลีกย่อยที่ไม่หนักมากและที่เสริมสร้างมากกว่า. . . . ด้วยเหตุนั้น เราจึงพบตำนานและประวัติศาสตร์, ศาสตร์และคติชาวบ้านร่วมสมัย, คำอธิบายและชีวประวัติในคัมภีร์ไบเบิล, คำเทศน์และเทววิทยาซึ่งประกอบเข้าด้วยกันเป็นสิ่งที่ สำหรับผู้ไม่คุ้นเคยกับวิธีการของสำนักต่าง ๆ แล้ว ดูเหมือนเป็นข้อมูลไร้ระเบียบที่ปนเปกันจนน่าประหลาดใจ.” สำหรับพวกผู้คงแก่เรียนในสำนักต่าง ๆ แล้ว เรื่องปลีกย่อยดังกล่าวทั้งหมดนั้นก็เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งและพัวพันกับประเด็นที่กำลังพิจารณา. ฮาลากาห์และฮากกาดาห์เป็นอิฐก่อโครงสร้างใหม่ทางศาสนาระหว่างการก่อสร้างในสำนักต่าง ๆ ของพวกรับบี.
การกำเนิดของทัลมุดสองแบบ
ผลสุดท้าย ศูนย์กลางหลักของพวกรับบีในปาเลสไตน์ก็ย้ายไปยังติเบเรียส. สำนักสำคัญอื่น ๆ ตั้งอยู่ที่เซปฟอรีส, ซีซาเรีย, และลีดดา. แต่สภาพเสื่อมทรุดทางเศรษฐกิจ, ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง, และสุดท้าย ความกดดันและการกดขี่ข่มเหงจากศาสนาคริสเตียนที่ออกหากก็ได้ทำให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ไปสู่ศูนย์กลางประชากรชาวยิวอันสำคัญอีกแห่งหนึ่งทางตะวันออก คือบาบิโลเนีย.
เป็นเวลาหลายศตวรรษที่เหล่าสานุศิษย์เดินทางจากบาบิโลเนียสู่ปาเลสไตน์เพื่อศึกษากับพวกรับบีคนสำคัญ ๆ ที่สำนักต่าง ๆ. ศิษย์ดังกล่าวคนหนึ่งคือ อับบา เบน อีโบ เรียกอีกอย่างว่า อับบา อารีกา—คือเจ้าโย่งอับบา—แต่ต่อมาได้เรียกกันง่าย ๆ ว่า รับ. เขากลับสู่บาบิโลเนียราว ๆ ปี ส.ศ. 219 หลังจากศึกษากับจูดาห์ ฮา-นาซีแล้ว และนี่เป็นจุดเปลี่ยนสำหรับความสำคัญทางศาสนาของชุมชนชาวยิวในบาบิโลเนีย. รับ ได้ตั้งสำนักขึ้นที่ซูรา เขตที่มีชาวยิวเป็นจำนวนมากแต่มีผู้คงแก่เรียนไม่กี่คน. ชื่อเสียงอันดีของเขาดึงดูดศิษย์ที่เข้าเรียนเป็นประจำ 1,200 คนให้มายังสำนักของเขา อีกหลายพันคนเข้าเรียนในช่วงเดือนอะดาร์และเอลูลตามปฏิทินยิว. แซมมวล เพื่อนร่วมรุ่นที่เด่นคนหนึ่งของรับ ได้ตั้งสำนักขึ้นในเมืองเนฮาร์เดีย. สำนักสำคัญอื่น ๆ อีกได้เกิดขึ้นที่เมืองปัมเบดิทาและเมโฮซา.
ตอนนี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปปาเลสไตน์ เพราะผู้คนอาจศึกษาได้จากพวกผู้คงแก่เรียนคนสำคัญ ๆ ในบาบิโลเนีย. การกำหนดมิชนาห์เป็นตำราต่างหากได้ช่วยแผ้วทางไว้สำหรับความเป็นเอกเทศโดยสมบูรณ์ของสำนักต่าง ๆ ในบาบิโลเนีย. แม้บัดนี้มีการพัฒนาแบบและวิธีการศึกษาที่ต่างกันขึ้นในปาเลสไตน์และบาบิโลเนีย แต่การติดต่อและแลกเปลี่ยนเหล่าอาจารย์บ่อย ๆ ก็ได้ช่วยคงความเป็นเอกภาพของสำนักต่าง ๆ ไว้.
พอถึงปลายศตวรรษที่สี่และในตอนต้นศตวรรษที่ห้า ส.ศ. สถานการณ์กลับกลายเป็นยุ่งยากโดยเฉพาะสำหรับชาวยิวในปาเลสไตน์. คลื่นแห่งการจำกัดสิทธิ์และการกดขี่ข่มเหงภายใต้อำนาจที่เพิ่มขึ้นของคริสต์ศาสนจักรที่ออกหากได้นำไปสู่การโจมตีทำลายขั้นเด็ดขาดทั้งซันเฮดรินและตำแหน่งนาซี (ผู้ก่อตั้งสำนัก) ในราวปี ส.ศ. 425. ดังนั้น พวกอัมโมราอิมที่เป็นชาวปาเลสไตน์จึงเริ่มรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นเป็นหนึ่งเดียวเพื่อทำบทสรุปการถกครั้งต่าง ๆ ในสำนักทั้งหลายเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการรักษาไว้. บทสรุปนี้ซึ่งถูกรวบรวมอย่างรีบเร่งในช่วงปลายศตวรรษที่สี่ ส.ศ. เป็นที่รู้จักกันว่า ทัลมุดของปาเลสไตน์.b
ขณะที่สำนักต่าง ๆ ในปาเลสไตน์เสื่อม พวกอัมโมราอิมที่บาบิโลเนียก็กำลังบรรลุจุดสุดยอดแห่งสมรรถนะของตน. อะบาเยและราบาได้พัฒนาระดับการถกเข้าสู่การหาเหตุผลที่ซับซ้อนและลึกซึ้งซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแบบของการวิเคราะห์ทัลมุด. ต่อจากนั้น อาชี หัวหน้าสำนักที่ซุรา (ส.ศ. 371-427) เริ่มรวบรวมและเรียบเรียงบันทึกการถกเหล่านั้นไว้. ตามที่สไตน์ซาลซ์กล่าว เขาทำเช่นนั้นด้วย “ความเป็นห่วงว่า ถ้าไม่มีการจัดระเบียบ เนื้อเรื่องที่บอกเล่าสืบปากกันมากมายนั้นจะตกอยู่ในอันตรายแห่งการค่อย ๆ ถูกลืมเลือนไป.
เนื้อหากองใหญ่นี้มากเกินกว่าที่คนหนึ่งหรือแม้กระทั่งคนชั่วอายุหนึ่งจะจัดระเบียบได้. ยุคของพวกอัมโมราอิมสิ้นสุดในบาบิโลเนียในศตวรรษที่ห้า ส.ศ. แต่งานเรียบเรียงทัลมุดของบาบิโลเนียยังดำเนินต่อมาจนในศตวรรษที่หก ส.ศ. โดยกลุ่มที่เรียกว่า ซาโบราอิม คำในภาษาอะราเมอิกที่หมายถึง “ผู้ให้อรรถาธิบาย” หรือ “ผู้ให้ความคิดเห็น.” ผู้เรียบเรียงกลุ่มสุดท้ายเหล่านี้ได้รวบรวมการถกไม่รู้จบหลายพันครั้งและหลายศตวรรษของพวกรับบีเข้าไว้ด้วยกัน โดยใส่รูปแบบและโครงสร้างตามทัลมุดของบาบิโลเนียซึ่งทำให้มีความแตกต่างจากหนังสือทั้งปวงของชาวยิวที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น.
ทัลมุดทำอะไรให้สำเร็จ?
พวกรับบีแห่งทัลมุดตั้งใจพิสูจน์ว่า มิชนาห์มาจากแหล่งเดียวกับพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู. เพราะเหตุใด? เจคอบ นอยสเนอร์ให้ความเห็นว่า “ประเด็นที่มีกล่าวถึงคือสถานะของมิชนาห์. แต่ใจความสำคัญของเรื่องนั้นกลับกลายเป็นเรื่องอำนาจของพวกปราชญ์เอง.” เพื่อเสริมอำนาจของพวกปราชญ์ แต่ละบรรทัดในมิชนาห์ บางครั้งทุกคำ จึงมีการตรวจสอบ, ตั้งปัญหา, อธิบาย, และทำให้สอดคล้องเป็นแนวเดียวกันโดยเฉพาะ. นอยสเนอร์สังเกตว่า ด้วยวิธีนี้พวกรับบี “ได้เปลี่ยนแนวทางของมิชนาห์จากเส้นทางหนึ่งไปเป็นอีกเส้นทางหนึ่ง.” แม้ว่าถูกสร้างขึ้นเป็นผลงานที่สมบูรณ์ในตัวเอง แต่ในตอนนี้มิชนาห์ถูกวิเคราะห์และตีความอย่างละเอียดไปแล้ว. ระหว่างขั้นตอนนี้ มิชนาห์ได้ถูกทำขึ้นใหม่และถูกอธิบายความหมายเสียใหม่.
ทัลมุดที่เป็นผลงานใหม่นี้สนองความประสงค์ของพวกรับบี. พวกเขาตั้งกฎการวิเคราะห์ และด้วยเหตุนั้น กฎนี้จึงสอนประชาชนให้คิดเหมือนพวกรับบี. พวกรับบีเชื่อว่าวิธีการศึกษาและวิเคราะห์ของตนสะท้อนพระทัยของพระเจ้า. การศึกษาทัลมุดเองได้กลายเป็นเป้าหมาย เป็นรูปแบบหนึ่งของการนมัสการ—คือการใช้จิตใจโดยคิดเอาว่าเป็นการเลียนแบบพระเจ้า. สำหรับคนชั่วอายุต่อไป ทัลมุดก็จะถูกวิเคราะห์โดยวิธีการเดียวกันนี้. ผลนะหรือ? นักประวัติศาสตร์ เซซิล รอท เขียนว่า “ทัลมุด . . . ให้ลักษณะเฉพาะที่ฝังลึกลบไม่ออก [แก่ชาวยิว] ซึ่งแยกพวกเขาออกจากคนอื่น ๆ รวมทั้งพลังอันโดดเด่นของพวกเขาในการต้านทานและการรวมตัวกัน. การหาเหตุผลในทัลมุดทำให้การวินิจฉัยของพวกเขาเฉียบแหลม และทำให้พวกเขามี . . . การสังเกตเข้าใจที่เฉียบคม. . . . ทัลมุดทำให้ชาวยิวที่ถูกกดขี่ข่มเหงในยุคกลางมีอีกโลกหนึ่งที่เขาอาจหนีเข้าไปได้ . . . ทัลมุดทำให้เขาเสมือนมีปิตุภูมิซึ่งเขาอาจนำติดตัวไปด้วยได้เมื่อสูญเสียแผ่นดินของตน.”
โดยการสอนความคิดของพวกรับบีแก่คนอื่น ๆ แน่นอนว่าทัลมุดได้มีพลัง. แต่คำถามสำหรับทุกคน—ทั้งชาวยิวและผู้ที่ไม่ใช่ชาวยิวด้วย—คือว่า ทัลมุดสะท้อนถึงพระทัยของพระเจ้าจริง ๆ ไหม?—1 โกรินโธ 2:11-16.
[เชิงอรรถ]
a สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับพัฒนาการและเนื้อหาของมิชนาห์ โปรดดูบทความ “มิชนาห์และพระบัญญัติที่พระเจ้าทรงประทานแก่โมเซ” ในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 พฤศจิกายน 1997.
b ทัลมุดของปาเลสไตน์เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า เจรูซาเลม ทัลมุด. แต่ชื่อนี้เป็นชื่อเรียกที่ไม่ถูก เนื่องจากในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของพวกอัมโมราอิมนั้นชาวยิวถูกห้ามเข้าในกรุงเยรูซาเลม.
[กรอบหน้า 31]
ทัลมุดสองแบบ—เทียบกันแล้วเป็นอย่างไร?
คำ “ทัลมุด” ในภาษาฮีบรูหมายถึง “การศึกษา” หรือ “การเรียนรู้.” พวกอัมโมราอิมในปาเลสไตน์และในบาบิโลเนียได้เริ่มศึกษาหรือวิเคราะห์มิชนาห์. ทัลมุดทั้งสองแบบ (ของชาวปาเลสไตน์กับของชาวบาบิโลเนีย) ทำเช่นนั้น แต่สองเล่มเทียบกันแล้วเป็นอย่างไร? เจคอบ นอยสเนอร์เขียนว่า “ทัลมุดเล่มแรกวิเคราะห์หลักฐาน ส่วนเล่มที่สองตรวจสอบข้อเสนอแนะต่าง ๆ; เล่มแรกคงอยู่ในขอบเขตเป้าหมายแห่งการตรวจสอบโดยตลอด ส่วนเล่มที่สองออกนอกเหนือเขตเป้าหมายแห่งการตรวจสอบไปไกลมาก.”
การเรียบเรียงทัลมุดของบาบิโลเนียที่ละเอียดลึกซึ้งและถี่ถ้วนมากกว่าทำให้ทัลมุดนี้ไม่เพียงแต่ขนาดใหญ่กว่าเท่านั้น แต่ยังมีความลึกซึ้งกว่าและเฉียบแหลมกว่าในด้านความคิดและการวิเคราะห์. เมื่อกล่าวคำว่า “ทัลมุด” ตามปกติแล้วจะหมายถึงทัลมุดของบาบิโลเนีย. นี่คือทัลมุดซึ่งได้มีการค้นคว้าศึกษาและให้ความคิดเห็นไว้มากที่สุดตลอดหลายศตวรรษ. ในความเห็นของนอยสเนอร์แล้ว ทัลมุดของปาเลสไตน์ “เป็นผลงานแห่งสมรรถนะ” และทัลมุดของบาบิโลเนีย “เป็นผลงานแห่งอัจฉริยะ.”