การถือว่าสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์มีค่าสูง
งานมอบหมายเกี่ยวกับการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรถือว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ. เมื่อพวกปุโรหิตในอาณาจักรยูดาโบราณแสดงเจตคติที่ไม่แยแสต่อสิทธิพิเศษอันเกี่ยวข้องกับพระวิหารของพระยะโฮวาแล้ว พระองค์ทรงว่ากล่าวพวกเขาอย่างแรง. (มาลาคี 1:6-14) และเมื่อบางคนในยิศราเอลยุพวกนาษารีษให้ถือว่าภาระรับผิดชอบซึ่งพวกเขาได้ยอมรับที่เกี่ยวข้องกับการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเรื่องไม่สำคัญ พระยะโฮวาทรงตำหนิชนยิศราเอลที่เลวทรามเหล่านั้น. (อาโมศ 2:11-16) คริสเตียนแท้เข้าส่วนในการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ และพวกเขาถือว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญ. (โรม 12:1) การรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้มีหลายด้าน ทุกด้านนับว่าสำคัญ.
ขณะที่พระเยซูยังอยู่บนแผ่นดินโลกกับเหล่าสาวก พระองค์ทรงอบรมพวกเขาเป็นผู้ประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้า. ในที่สุด ข่าวสารของพวกเขาจะไปถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก. (มัดธาย 28:19, 20; กิจการ 1:8) การเผยแพร่นี้มีความเร่งด่วนยิ่งกว่านั้นอีกระหว่างช่วงระยะท้าย ๆ ของระบบปัจจุบัน.
พยานพระยะโฮวาทุกคนมีส่วนร่วมในงานนี้. หลายแสนคนประสบความยินดีที่สามารถทำเช่นนั้นได้ฐานะเป็นไพโอเนียร์. เพื่อจะสนองความต้องการที่สำคัญในงานนี้ทั่วโลก หลายพันคนได้ทำให้ตัวเองอยู่พร้อมสำหรับการรับใช้พิเศษเต็มเวลา ณ สำนักเบเธล, ในงานเดินทางฐานะผู้ดูแลหมวดและผู้ดูแลภาค, หรือในการรับใช้ประเภทมิชชันนารี. นี่อาจเกี่ยวข้องกับอะไรในส่วนของคนเหล่านั้นซึ่งต้องการอยู่ในการรับใช้พิเศษเช่นนั้นต่อไป?
เมื่อมีความจำเป็นที่เร่งด่วนในครอบครัว
ก่อนรับเอาการรับใช้พิเศษเต็มเวลา ตามปกติคนเราต้องปรับเปลี่ยนสภาพการณ์บางอย่างของเขา. ไม่ใช่ทุกคนทำเช่นนั้นได้. พันธะตามหลักพระคัมภีร์ที่เขามีอยู่อาจทำให้เขาทำไม่ได้. แต่จะว่าอย่างไรเมื่อคนเหล่านั้นซึ่งอยู่ในการรับใช้พิเศษอยู่แล้วเผชิญกับความจำเป็นอันเร่งด่วนของครอบครัว บางทีเกี่ยวข้องกับบิดามารดาที่สูงอายุ? หลักการและคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลดังต่อไปนี้ให้การชี้นำที่จำเป็น.
ชีวิตทั้งสิ้นของเราควรพัฒนาขึ้นโดยมีจุดรวมอยู่ที่สัมพันธภาพของเรากับพระยะโฮวา. (ท่านผู้ประกาศ 12:13; มาระโก 12:28-30) อะไรที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มอบไว้ในความดูแลของเรานั้นต้องถือว่ามีค่าสูง. (ลูกา 1:74, 75; เฮ็บราย 12:16) ในโอกาสหนึ่ง พระเยซูตรัสกับชายคนหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนการจัดลำดับความสำคัญว่า เขาควรหมกมุ่นอย่างเต็มที่ในการประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้า. เห็นได้ชัดว่า ชายผู้นี้ตั้งใจจะเลื่อนกิจกรรมดังกล่าวออกไปจนกระทั่งภายหลังบิดาของเขาเสียชีวิตแล้ว. (ลูกา 9:59, 60) ในอีกด้านหนึ่ง พระเยซูทรงเปิดโปงแนวคิดผิด ๆ ของใคร ๆ ที่อ้างว่าได้อุทิศทุกสิ่งให้พระเจ้า และดังนั้นแล้วไม่ต้อง “ทำสิ่งใดต่อไปเป็นที่ช่วยบำรุงบิดามารดาของตน.” (มาระโก 7:9-13) อัครสาวกเปาโลก็เช่นเดียวกัน ได้แสดงให้เห็นหน้าที่รับผิดชอบสำคัญในการจัดหามาเลี้ยง “คนเหล่านั้นซึ่งเป็นของตนเอง” รวมทั้งบิดามารดาและปู่ย่าตายายด้วย.—1 ติโมเธียว 5:3-8, ล.ม.
นี่หมายความว่าเมื่อเกิดความจำเป็นที่เร่งด่วนขึ้น คนเหล่านั้นที่อยู่ในการรับใช้พิเศษควรออกจากงานมอบหมายเพื่อจะมาเป็นผู้ให้ความเอาใจใส่ดูแลไหม? คำตอบขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง. การตัดสินใจเป็นเรื่องส่วนตัว. (ฆะลาเตีย 6:5) หลายคนรู้สึกว่าถึงแม้เขารักงานมอบหมายของตนก็ตาม คงจะดีที่จะอยู่กับบิดามารดาเพื่อให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่ท่าน. เพราะเหตุใด? ความจำเป็นนั้นอาจถึงขั้นวิกฤติ อาจไม่มีสมาชิกคนอื่นในครอบครัวซึ่งสามารถช่วยได้ หรือประชาคมท้องถิ่นอาจไม่สามารถให้การช่วยเหลือที่จำเป็นนั้นได้. บางคนสามารถเป็นไพโอเนียร์ได้ขณะที่ให้ความช่วยเหลือดังกล่าว. คนอื่นสามารถเริ่มการรับใช้พิเศษเต็มเวลาได้อีกหลังจากสภาพการณ์ของครอบครัวได้รับการดูแล. อย่างไรก็ตาม ในหลายกรณี มีทางเป็นไปได้ที่จะจัดการกับสภาพการณ์ในวิธีอื่น.
การแบกหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา
เมื่อเกิดความจำเป็นอันเร่งด่วนขึ้น บางคนที่อยู่ในการรับใช้พิเศษเต็มเวลาสามารถให้ความเอาใจใส่ต่อความจำเป็นเหล่านั้นโดยไม่ต้องลาออกจากงานมอบหมายของเขา. ขอพิจารณาบางรายจากหลายตัวอย่างก็แล้วกัน.
สามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งรับใช้ ณ สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวา หลังจากได้มีส่วนร่วมในงานหมวดและภาคแล้วก็ได้เข้าสู่การรับใช้ที่สำนักเบเธลในปี 1978. งานมอบหมายของพี่น้องชายคนนี้เกี่ยวข้องกับภาระรับผิดชอบที่หนักในองค์การตามระบอบของพระเจ้า. แต่บิดามารดาของเขาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือด้วย. คู่สมรสที่รับใช้ ณ เบเธลคู่นี้ได้เดินทางปีละสามหรือสี่ครั้ง—ไปกลับเป็นระยะทาง 3,500 กิโลเมตร—เพื่อดูแลเอาใจใส่บิดามารดา. เขาเองได้สร้างบ้านไว้หลังหนึ่งเพื่อสนองความจำเป็นของท่าน. มีการเดินทางไปดูแลเมื่อต้องได้รับการรักษาอย่างปัจจุบันทันด่วนก็หลายครั้ง. ตลอดการทำงานราว 20 ปีเขาได้ใช้เวลาสำหรับการหยุดพักร้อนแทบทั้งหมดไปในการเอาใจใส่หน้าที่รับผิดชอบนี้. เขารักและให้เกียรติบิดามารดา แต่ก็รักทะนุถนอมสิทธิพิเศษในการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ด้วย.
พี่น้องชายอีกคนหนึ่งอยู่ในงานเดินทางมาเป็นเวลา 36 ปีประสบกับสิ่งที่เขาพรรณนาว่าเป็นหนึ่งในสถานการณ์ท้าทายที่สุดในชีวิตเขา. แม่ยายของเขาวัย 85 ปีซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวา จำเป็นต้องอยู่กับใครสักคนซึ่งสามารถช่วยเหลือเธอได้. ตอนนั้น ลูกส่วนใหญ่ของเธอรู้สึกว่าไม่สะดวกที่จะให้แม่ไปอยู่ด้วย. ญาติคนหนึ่งบอกผู้ดูแลเดินทางคนนี้ว่า เขากับภรรยาควรลาออกจากการรับใช้และเอาใจใส่ดูแลแม่แทนคนอื่นในครอบครัว. แต่คู่สมรสคู่นี้มิได้ละทิ้งการรับใช้อันล้ำค่า ทั้งเขามิได้ดูเบาความจำเป็นของแม่ด้วย. เป็นเวลาเก้าปีต่อมา แม่ได้อยู่กับเขาเป็นส่วนใหญ่. ทีแรกพวกเขาอยู่ในบ้านรถพ่วง ครั้นแล้วก็อยู่ในอพาร์ตเมนต์ต่าง ๆ ที่หมวดได้จัดไว้ให้. เป็นระยะเวลายาวนานที่พี่น้องชายคนนี้ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้ดูแลภาค ได้เดินทางอยู่เรื่อย ๆ เพื่อเอาใจใส่งานมอบหมายของเขาขณะที่ภรรยาก็อยู่กับแม่เพื่อให้การเอาใจใส่ดูแลด้วยความรักตลอดเวลา. แต่ละสัปดาห์หลังการประชุมในวันอาทิตย์ สามีก็จะเดินทางไกลกลับมาช่วย. หลายคนซึ่งทราบความเป็นไปเช่นนั้นแสดงความหยั่งรู้ค่าอย่างสุดซึ้งต่อสิ่งที่คู่สมรสคู่นี้ทำอยู่. ในที่สุด สมาชิกคนอื่น ๆ ของครอบครัวรู้สึกถูกกระตุ้นให้เสนอความช่วยเหลือบางอย่างด้วย. ไพร่พลของพระยะโฮวาหลายพันคนยังคงได้รับประโยชน์ต่อไปจากการรับใช้ของคู่สมรสที่เสียสละคู่นี้เพราะเขาทั้งสองยึดมั่นกับสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้พิเศษเต็มเวลาต่อไป.
โดยความร่วมมือของครอบครัว
เมื่อสมาชิกคนอื่น ๆ ของครอบครัวหยั่งรู้คุณค่าของการรับใช้พิเศษเต็มเวลา พวกเขาอาจร่วมมือเพื่อว่าอย่างน้อยที่สุดบางคนในครอบครัวสามารถมีส่วนในงานนี้ได้.
น้ำใจของความร่วมมือกันภายในครอบครัวเช่นนั้นเป็นประโยชน์ต่อคู่สมรสชาวแคนาดาซึ่งรับใช้ฐานะมิชชันนารีในแอฟริกาตะวันตก. เขามิได้คอยจนกว่าเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้น โดยเพียงแต่หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น. ก่อนที่ทั้งคู่เข้าโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด เพื่อเตรียมตัวสำหรับการรับใช้ในต่างประเทศนั้น สามีได้ปรึกษากับน้องชายเรื่องการเอาใจใส่ดูแลแม่ ถ้าหากแม่เกิดป่วยหรือทุพพลภาพ. โดยแสดงความรักต่อแม่อีกทั้งความหยั่งรู้คุณค่าของงานมิชชันนารี น้องชายพูดว่า “ตอนนี้ผมมีครอบครัวและลูก ๆ. ผมไม่สามารถไปอยู่ไหนไกล ๆ และทำเหมือนพี่ได้. ดังนั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่ ผมจะดูแลท่านเอง.”
คู่สมรสคู่หนึ่งที่รับใช้ในอเมริกาใต้ได้รับความร่วมมือมากมายจากครอบครัวของภรรยาในการเอาใจใส่ดูแลแม่ผู้สูงอายุของเธอ. พี่สาวของเธอคนหนึ่งกับสามีเอาใจใส่ดูแลแม่จนกระทั่งพี่สาวป่วยหนัก. ทีนี้จะทำอย่างไรดี? เพื่อให้คลายความกังวลใด ๆ ที่อาจจะมี พี่เขยเขียนจดหมายว่า “ตราบใดที่พี่กับลูก ๆ ยังอยู่ น้องไม่จำเป็นต้องออกจากงานรับใช้ฐานะมิชชันนารีเลย.” มีความช่วยเหลือจากคนในครอบครัวเพิ่มขึ้นเมื่อน้องสาวอีกคนหนึ่งกับสามีได้ย้ายออกจากบ้านของตนแล้วไปอยู่กับแม่เพื่อดูแลท่าน และพวกเขาอยู่ดูแลจนกระทั่งแม่เสียชีวิต. ช่างเป็นน้ำใจแห่งความร่วมมือที่ดีงามเสียจริง ๆ! พวกเขาทุกคนล้วนให้ความช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนการรับใช้ประเภทมิชชันนารี.
บิดามารดาผู้ถวายให้พระยะโฮวาอย่างไม่อั้น
บ่อยครั้งบิดามารดาแสดงความหยั่งรู้ค่าอย่างโดดเด่นต่อการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์. ในบรรดาทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่สุดซึ่งพวกเขาสามารถถวายเกียรติแด่พระยะโฮวาได้ก็คือลูกของเขาเอง. (สุภาษิต 3:9) บิดามารดาที่เป็นคริสเตียนหลายคนสนับสนุนลูกให้เข้าสู่การรับใช้เต็มเวลา. และบางคนในพวกเขารู้สึกเหมือนนางฮันนาซึ่งถวายซามูเอลบุตรชายของเธอให้พระยะโฮวาเพื่อรับใช้พระองค์ “เป็นนิตย์” กล่าวคือตลอด “จนชีวิตหาไม่.”—1 ซามูเอล 1:22, 28.
มารดาเช่นว่านั้นคนหนึ่งเขียนถึงลูกสาวในแอฟริกาว่า “ทั้งพ่อกับแม่ขอบพระคุณพระยะโฮวาสำหรับสิทธิพิเศษอันยอดเยี่ยมที่ลูกมีอยู่นั้น. ลูกทำให้ความคาดหวังสูงสุดของพ่อแม่เป็นจริง.” และเธอกล่าวในอีกโอกาสหนึ่งว่า “เป็นความจริงที่เราต้องเสียสละเนื่องจากอยู่ห่างกัน แต่น่ายินดีสักเพียงไรที่เห็นว่าพระยะโฮวาทรงดูแลลูกอย่างไร!”
หลังจากทบทวนสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้นในการให้ความเอาใจใส่ที่จำเป็นต่อบิดามารดาผู้สูงอายุแล้ว มิชชันนารีคนหนึ่งในเอกวาดอร์เขียนว่า “ผมคิดว่าการช่วยเหลือมากที่สุดซึ่งผมกับภรรยาอาจได้รับนั้นก็คือคำอธิษฐานของคุณพ่อ. หลังจากท่านเสียชีวิตแล้ว คุณแม่บอกเราว่า ‘ไม่มีสักวันหนึ่งผ่านไปโดยที่คุณพ่อไม่ได้อธิษฐานขอพระยะโฮวาเปิดโอกาสให้ลูกทั้งสองอยู่ในงานมอบหมายของลูกต่อไป.’”
คู่สมรสสูงอายุคู่หนึ่งในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา รู้สึกยินดีที่ลูกชายคนหนึ่งอยู่ในการรับใช้เต็มเวลา. ลูกชายคนนั้นกับภรรยาของเขาอยู่ในสเปนตอนที่แม่เสียชีวิต. สมาชิกคนอื่นในครอบครัวรู้สึกว่าต้องมีการจัดการเพื่อดูแลพ่อ. เนื่องจากยุ่งอยู่กับงานอาชีพและการเลี้ยงดูลูก ๆ ของตน พวกเขาจึงรู้สึกว่าไม่สามารถรับหน้าที่รับผิดชอบนั้นได้. พวกเขาจึงเร่งเร้าอย่างหนักให้คู่สมรสซึ่งอยู่ในการรับใช้พิเศษเต็มเวลานั้นกลับมาอยู่บ้านเพื่อดูแลพ่อ. อย่างไรก็ตาม พ่อซึ่งแม้จะอายุ 79 ปีแล้ว ยังคงมีสุขภาพดีอยู่ และเขามีวิสัยทัศน์ฝ่ายวิญญาณที่แจ่มชัดด้วย. ณ การประชุมของครอบครัว หลังจากหลายคนออกความเห็นแล้ว พ่อยืนขึ้นแล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “พ่อต้องการให้สองคนกลับไปสเปนแล้วทำงานต่อไป.” เขาทั้งสองกลับไป แต่ก็ได้ช่วยพ่อในวิธีต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรมด้วย. งานมอบหมายปัจจุบันของเขาคืองานหมวดในสเปน. ตั้งแต่การประชุมของครอบครัวครั้งนั้น สมาชิกคนอื่นในครอบครัวได้แสดงความหยั่งรู้ค่าต่อสิ่งที่คู่สมรสซึ่งรับใช้ในต่างประเทศนั้นทำอยู่. หลังจากหลายปีผ่านไป ลูกชายอีกคนหนึ่งได้รับพ่อมาอยู่ที่บ้านเขาเพื่อดูแลจนกระทั่งพ่อเสียชีวิต.
ในเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา พี่น้องชายผู้ถูกเจิมคนหนึ่งซึ่งเป็นไพโอเนียร์มาประมาณ 40 ปีมีอายุ 90 กว่าปีตอนที่ภรรยาของเขาป่วยหนักและเสียชีวิต. นอกจากลูกฝ่ายวิญญาณจำนวนมากแล้ว เขามีลูกชายคนหนึ่งกับลูกสาวสามคนที่มีชีวิตอยู่ในตอนนั้น. ลูกสาวคนหนึ่งอยู่ในการรับใช้เต็มเวลามากกว่า 40 ปี ได้รับใช้ร่วมกับสามีฐานะมิชชันนารี, ในงานเดินทาง, และที่สำนักเบเธล. เธอช่วยทำการจัดเตรียมต่าง ๆ เพื่อจะมีการให้ความเอาใจใส่ดูแลพ่อของเธออย่างเหมาะสม. นอกจากนี้ พี่น้องในท้องถิ่นช่วยพาเขาไปประชุมที่หอประชุม. ต่อมา หลังจากที่สามีเธอเสียชีวิต เธอถามพ่อว่า ต้องการให้เธอลาออกจากเบเธลเพื่อดูแลท่านหรือไม่. พ่อถือว่าการงานอันศักดิ์สิทธิ์มีค่าสูง และท่านรู้สึกว่าอาจดูแลความจำเป็นของท่านในวิธีอื่นได้. ดังนั้น ท่านตอบว่า “นั่นคงจะเป็นสิ่งแย่ที่สุดเท่าที่ลูกทำได้ และคงจะเป็นเรื่องแย่กว่านั้นอีกหากพ่อยอมให้ลูกทำอย่างนั้น.”
ประชาคมที่ให้การเกื้อหนุน
บางประชาคมให้การช่วยเหลือมากในการดูแลบิดามารดาผู้สูงอายุของคนเหล่านั้นที่อยู่ในการรับใช้พิเศษเต็มเวลา. ประชาคมหยั่งรู้ค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเหล่านั้นซึ่งได้อุทิศเวลาหลายปีให้กับการรับใช้ดังกล่าว. ขณะที่ไม่สามารถปลดเปลื้องคนเหล่านั้นจากหน้าที่รับผิดชอบตามหลักพระคัมภีร์ ประชาคมเหล่านี้ช่วยได้มากในการทำให้ภาระเบาลงเพื่อว่าจะไม่จำเป็นที่ลูกต้องลาออกจากงานมอบหมายพิเศษของเขา.
คู่สมรสคู่หนึ่งจากเยอรมนีอยู่ในงานมอบหมายต่างประเทศเป็นเวลาประมาณ 17 ปี ส่วนใหญ่ของเวลานั้นใช้ในงานเดินทาง เมื่อความจำเป็นของแม่ผู้สูงอายุของฝ่ายชายมีมากขึ้นเรื่อย ๆ. ทุกปีพวกเขาใช้ช่วงหยุดพักร้อนไปช่วยเธอ. เพื่อนบ้านที่เป็นพยานฯ ได้ให้การช่วยเหลือด้วยความรักเช่นกัน. ครั้นเมื่อคู่สมรสที่รับใช้เต็มเวลานั้นมาอยู่กับแม่ของเขาระหว่างช่วงวิกฤติ ผู้ปกครองในประชาคมท้องถิ่นได้จัดแจงที่จะพบกับเขาทั้งสอง. พวกเขาทราบดีถึงสิ่งที่คู่สมรสนั้นทำเพื่อแม่เป็นประจำ. พวกเขาหยั่งรู้คุณค่าของการรับใช้พิเศษซึ่งคู่สมรสนั้นมีส่วนร่วมอยู่ด้วย. ดังนั้น ผู้ปกครองได้กล่าวย่อ ๆ ถึงโครงการที่เสนอให้ในการดูแลแม่ของเขา แล้วพูดว่า “คุณไม่สามารถดูแลเธอได้มากไปกว่าที่คุณกำลังทำอยู่ เราจะช่วยเพื่อคุณจะอยู่ในงานมอบหมายที่สเปนต่อไปได้.” เป็นเวลาเจ็ดปีผ่านไป ผู้ปกครองเหล่านี้ได้ทำเช่นนั้นอยู่ต่อไป.
คล้ายกัน พี่น้องชายคนหนึ่งซึ่งรับใช้ในเซเนกัลตั้งแต่ปี 1967 ได้รับการเกื้อหนุนด้วยความรักจากประชาคมที่พ่อของเขาประจำอยู่. เมื่อเกิดภาวะวิกฤติ ด้วยความร่วมมืออย่างเต็มใจของภรรยาที่เปี่ยมด้วยความรัก สามีได้เดินทางตามลำพังไปสหรัฐเพื่อช่วยพ่อแม่ของเขา. เขาพบว่าจำเป็นต้องอยู่ที่นั่นต่อไปหลายเดือน. สภาพการณ์ลำบาก แต่เมื่อเขาทำเท่าที่ทำได้ ประชาคมได้เข้าช่วยเหลือเพื่อเขาจะรับใช้ฐานะมิชชันนารีต่อไปได้. ตลอดช่วงเวลาประมาณ 18 ปี ประชาคมให้ความช่วยเหลือด้วยความรักในวิธีต่าง ๆ นับไม่ถ้วน ทีแรกช่วยพ่อ (ถึงแม้เขาจำหลายคนในประชาคมไม่ได้อีกต่อไป) ครั้นแล้วก็ช่วยแม่. นั่นทำให้ลูกชายพ้นจากหน้าที่รับผิดชอบไหม? ไม่เลย เขาเดินทางจากเซเนกัลบ่อย ๆ และใช้วันหยุดพักร้อนเพื่อให้ความช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่ทำได้. แต่หลายคนในประชาคมนั้นมีความยินดีที่รู้ว่าพวกเขามีส่วนร่วมในการทำให้คู่สมรสที่ทำงานหนักคู่นี้อยู่ในการรับใช้พิเศษเต็มเวลาในเซเนกัลต่อไปได้.
พระเยซูตรัสว่าคนเหล่านั้นซึ่งละทิ้งทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่ข่าวดีจะได้พี่น้องชายหญิง, บิดามารดา, และลูก ๆ ร้อยเท่า. (มาระโก 10:29, 30) นั่นเป็นความจริงแน่นอนในท่ามกลางผู้รับใช้ของพระยะโฮวา. คู่สมรสซึ่งตอนนี้รับใช้ในเบนิน แอฟริกาตะวันตก ประสบข้อนี้ในวิธีพิเศษเมื่อพยานฯ สองคนในประชาคมของพ่อแม่บอกเขาว่าไม่ต้องกังวลเรื่องพ่อแม่. เขาพูดเสริมว่า “พ่อแม่ของคุณก็เป็นพ่อแม่ของเราด้วยเช่นกัน.”
ถูกแล้ว มีหลายวิธีที่เราสามารถแสดงว่าเราถือว่าสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์มีค่าสูง. มีแนวทางใดอีกไหมซึ่งคุณอาจทำเช่นนี้ได้อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้น?
[รูปภาพหน้า 26]
พวกเขาได้ทำตัวอยู่พร้อมสำหรับการรับใช้พิเศษเต็มเวลา