การงานของคุณจะทนไฟไหม?
“ทุกคนจงระวังให้ดีว่าจะก่ออย่างไรขึ้นบนรากนั้น.”—1 โกรินโธ 3:10.
1. คริสเตียนที่ซื่อสัตย์มีความหวังอะไรเกี่ยวด้วยคนที่คาดว่าจะเข้ามาเป็นสาวก?
สายตาของคู่สมรสคริสเตียนจับจ้องอยู่ที่ลูกน้อยที่เพิ่งเกิด. ผู้ประกาศข่าวราชอาณาจักรมองเห็นอาการใคร่รู้และสนใจบนใบหน้าของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. คริสเตียนผู้ปกครองที่กำลังสอนจากเวทีสังเกตว่าในหมู่ผู้ฟังมีผู้สนใจใหม่คนหนึ่งกำลังพลิกหาข้อพระคัมภีร์เองอย่างกระตือรือร้น. ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ของพระยะโฮวามีหัวใจอันเปี่ยมด้วยความหวัง. ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาอาจเกิดมีข้อสงสัยขึ้นมาว่า ‘คนผู้นี้จะรักและรับใช้พระยะโฮวา—และคง ความซื่อสัตย์ไว้ไหม?’ แน่ละ ผลเช่นนั้นย่อมไม่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ. จำเป็นต้องอาศัยการงาน.
2. อัครสาวกเปาโลเตือนใจคริสเตียนชาวฮีบรูอย่างไรถึงความสำคัญของงานสอน และเรื่องนี้อาจกระตุ้นเราให้ตรวจสอบตัวเองเช่นไร?
2 อัครสาวกเปาโลเองซึ่งเป็นครูที่ชำนาญเน้นความสำคัญของงานสั่งสอนและการทำให้คนเป็นสาวกเมื่อท่านเขียนดังนี้: “ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว.” (เฮ็บราย 5:12) เมื่อคำนึงถึงระยะเวลาที่พวกเขาได้เข้ามาเป็นผู้เชื่อถือ กล่าวได้ว่าเหล่าคริสเตียนที่ท่านเขียนถึงแทบไม่ได้ก้าวหน้า. ไม่เพียงพวกเขาไม่พร้อมจะสอนผู้อื่น แต่เขายังจำเป็นต้องได้รับการย้ำเตือนถึงแง่มุมพื้นฐานของความจริงอีกด้วย. ในปัจจุบัน เราทุกคนควรประเมินความสามารถของเราเองในการเป็นครูเป็นระยะ ๆ และหาทางปรับปรุงให้ดีขึ้น. หลายชีวิตอยู่ในระหว่างเสี่ยง. เราจะทำอะไรได้บ้าง?
3. (ก) อัครสาวกเปาโลเปรียบกระบวนการทำให้คนเป็นสาวกกับอะไร? (ข) ในฐานะช่างก่อสร้างคริสเตียน เรามีสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่อะไร?
3 โดยใช้ภาพเปรียบเทียบที่กินความกว้าง เปาโลเปรียบการทำคนให้เป็นสาวกว่าเป็นเหมือนกระบวนการสร้างตึก. ท่านเริ่มโดยกล่าวดังนี้: “เราทั้งหลายเป็นผู้ร่วมทำการด้วยกันกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า, และเป็นตึกที่พระองค์ทรงสร้าง.” (1 โกรินโธ 3:9) ดังนั้น เรามีส่วนร่วมในงานก่อสร้างที่เกี่ยวกับผู้คน; เราช่วยสร้างผู้คนให้เป็นสาวกของพระคริสต์. เราทำดังนั้นในฐานะเพื่อนร่วมทำการของพระองค์ผู้ “ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง.” (เฮ็บราย 3:4) ช่างเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ! ให้เรามาดูว่าคำแนะนำที่มีขึ้นโดยการดลใจซึ่งมีไปยังชาวโกรินโธจะช่วยเราให้ชำนาญมากขึ้นในงานของเราได้อย่างไร. เราจะเพ่งเล็งเป็นพิเศษที่ “ศิลปะแห่งการสั่งสอน” ของเรา.—2 ติโมเธียว 4:2, ล.ม.
การวางรากฐานที่ถูกต้อง
4. (ก) บทบาทของเปาโลในงานก่อสร้างคริสเตียนคืออะไร? (ข) เหตุใดจึงอาจกล่าวได้ว่าทั้งพระเยซูและผู้ฟังของพระองค์ทราบถึงความสำคัญของฐานรากที่ดี?
4 เพื่อตึกจะมั่นคงและทนทาน ตึกนั้นต้องมีฐานรากที่ดี. ด้วยเหตุนี้ เปาโลจึงเขียนว่า “ตามพระคุณซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าเป็นเหมือนนายช่างชำนาญผู้ได้วางรากลงแล้ว.” (1 โกรินโธ 3:10) โดยใช้ภาพเปรียบเทียบคล้าย ๆ กัน พระเยซูคริสต์ตรัสถึงบ้านที่รอดผ่านพายุได้เนื่องจากผู้สร้างบ้านนั้นได้เลือกฐานรากที่แข็งแกร่ง. (ลูกา 6:47-49) พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งเกี่ยวด้วยความสำคัญของฐานราก. พระองค์ทรงอยู่ด้วยเมื่อพระยะโฮวาทรงวางรากพิภพ.a (สุภาษิต 8:29-31) ผู้ฟังของพระเยซูก็เข้าใจความสำคัญของฐานรากที่ดีด้วยเช่นกัน. เฉพาะบ้านที่ตั้งอยู่บนฐานรากที่ดีจึงจะทนกระแสน้ำป่าและแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเป็นบางครั้งในปาเลสไตน์. แต่ว่าฐานรากที่เปาโลคิดถึงคืออะไร?
5. ใครเป็นรากฐานของประชาคมคริสเตียน และเรื่องนี้มีบอกล่วงหน้าไว้อย่างไร?
5 เปาโลเขียนดังนี้: “ผู้ใดจะวางรากชนิดอื่นอีกไม่ได้. นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์.” (1 โกรินโธ 3:11) นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระเยซูทรงถูกเปรียบเป็นฐานราก. ที่จริง ยะซายา 28:16 บอกล่วงหน้าว่า “พระยะโฮวาเจ้าจึงตรัสว่า, ‘นี่แน่ะ, ในเมืองซีโอนนั้นเราได้วางรากแล้วโดยศิลาก้อนหนึ่ง, สำหรับเป็นหัวมุมอันเป็นรากฐานอันมั่นคง.’” พระยะโฮวาทรงมีพระประสงค์ไว้นานแล้วที่จะให้พระบุตรเป็นรากฐานของประชาคมคริสเตียน.—บทเพลงสรรเสริญ 118:22; เอเฟโซ 2:19-22; 1 เปโตร 2:4-6.
6. เปาโลวางรากฐานที่ถูกต้องไว้ในคริสเตียนชาวโกรินโธอย่างไร?
6 อะไรคือรากฐานสำหรับคริสเตียนแต่ละคน? ดังที่เปาโลกล่าว ไม่มีรากฐานสำหรับคริสเตียนแท้เว้นแต่รากฐานที่ได้วางไว้ในพระคำของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์. แน่ละ เปาโลวางรากฐานเช่นนั้น. ที่เมืองโกรินโธซึ่งผู้คนนิยมยกย่องปรัชญากันมาก ท่านไม่ได้พยายามทำให้ผู้คนประทับใจโดยใช้สติปัญญาฝ่ายโลก. แทนที่จะทำอย่างนั้น เปาโลประกาศเรื่อง “พระคริสต์ผู้ถูกตรึง” ซึ่งชาติต่าง ๆ ถือว่าเป็น “การโฉดเขลา” อย่างยิ่ง. (1 โกรินโธ 1:23) เปาโลสอนว่า พระเยซูทรงเป็นแกนกลางแห่งพระประสงค์ของพระยะโฮวา.—2 โกรินโธ 1:20; โกโลซาย 2:2, 3.
7. เราสามารถเรียนอะไรได้จากการที่เปาโลกล่าวถึงตัวท่านเองว่าเป็น “เหมือนนายช่างชำนาญ”?
7 เปาโลชี้ว่า ท่านสอนเรื่องเช่นนั้น “เหมือนนายช่างชำนาญ.” คำกล่าวนี้ไม่ใช่การยกตน. หากแต่เป็นเพียงการยอมรับเกี่ยวกับของประทานอันยอดเยี่ยมที่พระยะโฮวาได้ประทานแก่ท่านเกี่ยวด้วยงานการจัดระเบียบหรือการชี้นำ. (1 โกรินโธ 12:28) จริงอยู่ เราในทุกวันนี้ไม่มีของประทานอันเป็นการอัศจรรย์เหมือนที่คริสเตียนในศตวรรษแรกได้รับ. และเราอาจคิดว่าตัวเองเป็นครูที่ไม่มีพรสวรรค์. แต่ตามความหมายอย่างหนึ่งที่สำคัญ เราเป็นครูที่มีพรสวรรค์. ขอให้พิจารณาประเด็นต่อไปนี้: พระยะโฮวาประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อช่วยเรา. (เทียบกับลูกา 12:11, 12.) และเรามีความรักของพระยะโฮวาและความรู้เกี่ยวกับคำสอนพื้นฐานจากพระคำของพระองค์. สิ่งเหล่านี้เป็นของประทานอันมหัศจรรย์อย่างแท้จริงที่จะใช้ในการสอนคนอื่น ๆ. ให้เราตั้งใจแน่วแน่จะใช้ของประทานเหล่านี้เพื่อวางรากฐานที่ถูกต้อง.
8. เราทำอย่างไรเพื่อให้พระคริสต์เป็นรากฐานของผู้ที่คาดว่าจะเป็นสาวก?
8 ในขณะที่เราให้พระคริสต์ทรงเป็นรากฐาน เราไม่เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ว่าเป็นทารกที่ดูแลตัวเองไม่ได้ในรางหญ้า หรือเป็นองค์ที่เท่าเทียมกับพระยะโฮวาในตรีเอกานุภาพ. ความคิดที่ไม่เป็นตามหลักพระคัมภีร์เช่นนั้นเป็นรากฐานสำหรับคริสเตียนปลอม. แทนที่จะสอนอย่างนั้น เราสอนว่าพระองค์ทรงเป็นบุรุษใหญ่ยิ่งที่สุดเท่าที่เคยมี, สอนว่าพระองค์ทรงสละชีวิตสมบูรณ์ของพระองค์เพื่อเห็นแก่เรา, และสอนว่าในขณะนี้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ปกครองอยู่ในสวรรค์ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากพระยะโฮวา. (โรม 5:8; วิวรณ์ 11:15) นอกจากนี้ เรายังพยายามกระตุ้นใจนักศึกษาของเราให้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระเยซูและเลียนแบบคุณลักษณะของพระองค์. (1 เปโตร 2:21) เราต้องการให้เขาได้รับแรงกระตุ้นอย่างลึกซึ้งจากความมีใจแรงกล้าของพระเยซูในงานรับใช้, ความกรุณาของพระองค์ต่อคนต่ำต้อยและผู้ถูกเหยียบย่ำ, ความเมตตาของพระองค์ต่อคนบาปที่ชอกช้ำใจเนื่องด้วยบาปของตนเอง, ความกล้าหาญอย่างไม่หวั่นไหวของพระองค์เมื่อเผชิญการทดลอง. จริงทีเดียว พระเยซูทรงเป็นรากฐานที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ. แต่นอกจากนี้ยังมีอะไรอีก?
การก่อด้วยวัสดุที่ถูกต้อง
9. แม้ว่าเปาโลเป็นผู้วางรากฐานไว้ในตอนต้น ท่านเป็นห่วงในเรื่องใดเกี่ยวกับคนที่ตอบรับความจริงที่ท่านสอน?
9 เปาโลเขียนดังนี้: “เขาจะเอาทองคำ, เงิน, หรือเพชรพลอย, หรือจะเอาไม้, หญ้าแห้ง, หรือฟางมาก่อขึ้นบนรากนั้น การของทุกคนก็จะได้ปรากฏแจ้ง. ด้วยว่าเวลาวันนั้นจะเห็นได้ชัดเจน. เหตุว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ และไฟนั้นจะได้ทดลองดูการของทุกคนว่าเป็นอย่างไร.” (1 โกรินโธ 3:12, 13) เปาโลหมายความเช่นไร? ขอให้พิจารณาภูมิหลัง. ส่วนใหญ่แล้ว เปาโลเป็นผู้ที่วางรากฐานไว้. ในการเดินทางในฐานะมิชชันนารี ท่านเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง ประกาศแก่ผู้คนมากมายที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระคริสต์. (โรม 15:20) เมื่อประชาชนตอบรับความจริงที่ท่านสอน ก็ได้มีการก่อตั้งประชาคมต่าง ๆ ขึ้น. เปาโลห่วงใยผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้อย่างยิ่ง. (2 โกรินโธ 11:28, 29) อย่างไรก็ตาม งานรับใช้ทำให้ท่านต้องเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ. ดังนั้น หลังจากใช้เวลา 18 เดือนวางรากฐานไว้ที่เมืองโกรินโธ ท่านก็จากไปเพื่อจะประกาศในเมืองอื่นต่อไป. กระนั้น ท่านสนใจอย่างยิ่งว่าคนอื่น ๆ สานต่อการงานที่ท่านได้ทำไว้ที่นั่นอย่างไรบ้าง.—กิจการ 18:8-11; 1 โกรินโธ 3:6.
10, 11. (ก) เปาโลเปรียบเทียบอย่างไรให้เห็นความแตกต่างของวัสดุก่อสร้าง? (ข) สิ่งปลูกสร้างตามตัวอักษรแบบใดที่อาจมีอยู่ในเมืองโกรินโธโบราณ? (ค) สิ่งปลูกสร้างแบบใดที่น่าจะทนไฟมากกว่า และนั่นเป็นตัวอย่างจริงที่ใช้เป็นบทเรียนในเรื่องใดสำหรับผู้ทำให้คนเป็นสาวกคริสเตียน?
10 ดูเหมือนว่า บางคนซึ่งกำลังก่อบนรากฐานที่เปาโลได้วางไว้ที่เมืองโกรินโธทำได้ไม่ดีนัก. เพื่อเผยให้เห็นปัญหา เปาโลเปรียบให้เห็นความแตกต่างของวัสดุก่อสร้างสองชนิด คือทองคำ, เงิน, และเพชรพลอยพวกหนึ่ง; ไม้, ฟาง, และหญ้าแห้งอีกพวกหนึ่ง. สิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งอาจสร้างขึ้นจากวัสดุที่ดี, คงทน, และทนไฟ; หรืออาจสร้างขึ้นอย่างเร่งรีบโดยใช้วัสดุที่รื้อทิ้งได้ง่าย, ไม่คงทนถาวร, และติดไฟได้ง่าย. ไม่มีข้อสงสัยว่าเมืองใหญ่อย่างโกรินโธคงเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างทั้งสองแบบนี้. มีวิหารอันโอ่อ่าที่ทำด้วยหินขนาดมหึมาราคาแพง ซึ่งอาจเคลือบหรือตกแต่งบางส่วนด้วยทองคำและเงิน.b อาคารอันโอ่อ่าที่คงทนเหล่านี้อาจตั้งเด่นเป็นสง่าโดยมีกระต๊อบ, กระท่อมโกโรโกโส, และเพิงขายของซึ่งสร้างขึ้นโดยใช้โครงไม้หยาบ ๆ และหลังคามุงด้วยฟางตั้งเรียงรายอยู่ในบริเวณเดียวกัน.
11 ถ้าไฟไหม้ สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้จะเป็นเช่นไร? คำตอบย่อมชัดเจนไม่ว่าจะในสมัยของเราหรือในสมัยของเปาโล. ที่จริง ย้อนไปในปี 146 ก.ส.ศ. เมืองโกรินโธเคยถูกพิชิตและเผาโดยมัมมิอุสนายพลชาวโรมัน. แน่ละ โครงสร้างทั้งหลายที่ทำด้วยไม้, ฟาง, หรือหญ้าแห้งถูกทำลายเสียสิ้น. ส่วนสิ่งปลูกสร้างที่แข็งแกร่งซึ่งทำด้วยหิน ประดับด้วยเงินและทองคำล่ะเป็นอย่างไร? ไม่ต้องสงสัย อาคารเหล่านี้ยังคงยืนอยู่ได้. นักศึกษาของเปาโลในเมืองโกรินโธอาจได้ผ่านอาคารเหล่านี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน—สิ่งปลูกสร้างที่สง่างามซึ่งรอดจากภัยพิบัติที่ได้ทำลายสิ่งปลูกสร้างข้างเคียงที่ไม่คงทนเท่าจนราบไปนานแล้ว. ดังนั้น เปาโลเน้นจุดสำคัญไว้อย่างชัดเจนสักเพียงไร! เมื่อสอน เราต้องถือว่าตัวเราเป็นช่างก่อสร้าง. เราต้องการใช้วัสดุที่ดีที่สุด คงทนที่สุด เท่าที่เป็นได้. ด้วยวิธีนี้ งานของเราจึงมีโอกาสจะคงทนมากกว่า. วัสดุที่คงทนเหล่านี้คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญที่จะใช้วัสดุเหล่านี้?
งานของคุณจะทนไฟไหม?
12. โดยวิธีใดคริสเตียนบางคนในเมืองโกรินโธทำการก่อสร้างอย่างลวก ๆ?
12 เห็นได้ชัด เปาโลเห็นว่าคริสเตียนบางคนที่เมืองโกรินโธกำลังทำการก่อสร้างได้ไม่ดีนัก. มีอะไรผิดไปหรือ? ตามที่บริบทแสดงให้เห็น ประชาคมนี้ประสบปัญหาเนื่องด้วยการแตกแยก การยกย่องบุคคลที่มีชื่อเสียงเด่นแม้จะเสี่ยงต่อการทำให้เอกภาพของประชาคมเสียหายก็ตาม. บางคนกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์เปาโล” ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งยืนยันว่า “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์อะโปโล.” ดูเหมือนว่า มีบางคนถือว่าสติปัญญาของตนเองนั้นสูงส่ง. จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรยากาศอบอวลด้วยแนวคิดอย่างเนื้อหนัง, ความไม่อาวุโสฝ่ายวิญญาณ, และมีความ “อิจฉากัน, ขัดเคืองใจกัน” อยู่ทั่วไป. (1 โกรินโธ 1:12; 3:1-4, 18) เจตคติเหล่านี้ย่อมสะท้อนออกมาในการสอนที่ประชาคมและในการรับใช้. ผลก็คือ งานทำให้คนเป็นสาวกจึงออกมาอย่างลวก ๆ เหมือนงานก่อสร้างที่ใช้วัสดุที่มีคุณภาพต่ำ. งานนั้นย่อมไม่อาจรอดจาก “ไฟ.” ไฟที่เปาโลกล่าวถึงนี้คืออะไร?
13. ไฟในอุทาหรณ์ของเปาโลหมายถึงอะไร และคริสเตียนทุกคนควรระวังอะไร?
13 มีไฟอยู่อย่างหนึ่งที่เราทุกคนเผชิญในชีวิต นั่นคือการทดสอบความเชื่อของเรา. (โยฮัน 15:20; ยาโกโบ 1:2, 3) คริสเตียนที่เมืองโกรินโธจำต้องทราบ เช่นเดียวกับเราในทุกวันนี้จำเป็นต้องทราบ ในข้อที่ว่าทุกคนที่เราสอนความจริงแก่เขาจะ ถูกทดสอบ. หากเราสอนไว้ไม่ดี ผลก็อาจเป็นเรื่องน่าเศร้า. เปาโลเตือนดังนี้: “ถ้าการของผู้ใดที่ก่อขึ้นบนรากนั้นทนอยู่ได้. ผู้นั้นจะได้บำเหน็จ. ถ้าการของผู้ใดไหม้เสีย. ผู้นั้นก็จะขาดบำเหน็จ แต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ.”c—1 โกรินโธ 3:14, 15.
14. (ก) คนที่ทำให้ผู้อื่นเป็นสาวกคริสเตียนอาจ “ขาดบำเหน็จ” อย่างไร แต่ถึงกระนั้นเขาก็อาจได้รับความรอดเหมือนดังรอดจากไฟอย่างไร? (ข) เราจะลดความเสี่ยงที่อาจสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุดได้อย่างไร?
14 ช่างเป็นคำพูดที่น่าคิดทีเดียว! คงเป็นเรื่องที่ทำให้ปวดร้าวใจจริง ๆ ที่ได้พยายามอย่างหนักเพื่อช่วยใครสักคนให้เข้ามาเป็นสาวก แต่แล้วกลับต้องมาเห็นคนนั้นพ่ายแพ้การล่อใจหรือการกดขี่และท้ายที่สุดก็ออกจากแนวทางแห่งความจริงไป. เปาโลตระหนักอย่างนั้นเมื่อท่านกล่าวว่าเราประสบความสูญเสียในกรณีดังกล่าว. ประสบการณ์เช่นนั้นอาจสร้างความเจ็บปวดใจมากจนถึงกับมีการพรรณนาว่าการที่เรารอดนั้น “เหมือนดังรอดจากไฟ” คือเหมือนคนที่สูญสิ้นทุกสิ่งในกองเพลิงและแม้แต่ตัวเขาเองก็แทบเอาตัวไม่รอด. สำหรับในส่วนของเรานั้น เราจะลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุดได้อย่างไร? จงก่อด้วยวัสดุที่ทนทาน! ถ้าเราสอนนักศึกษาของเราอย่างที่เข้าถึงหัวใจเขา กระตุ้นเขาให้ประเมินค่าคุณลักษณะอย่างคริสเตียนไว้สูง เช่นสติปัญญา, ความสังเกตเข้าใจ, ความเกรงกลัวพระยะโฮวา, และความเชื่อแท้ เราก็กำลังก่อด้วยวัสดุที่ทนทานและทนไฟ. (บทเพลงสรรเสริญ 19:9, 10; สุภาษิต 3:13-15; 1 เปโตร 1:6, 7) คนที่มีคุณลักษณะเหล่านี้จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าอยู่เรื่อยไป; เขามีความหวังที่แน่นอนในการมีชีวิตอยู่ตลอดไป. (1 โยฮัน 2:17) อย่างไรก็ตาม เราจะใช้ภาพเปรียบเทียบของเปาโลในภาคปฏิบัติได้โดยวิธีใด? ขอให้พิจารณาสักสองสามตัวอย่าง.
15. เราอาจทำให้แน่ใจว่าเราจะไม่ทำงานสร้างนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างลวก ๆ ได้โดยวิธีใดบ้าง?
15 เมื่อสอนนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เราไม่ควรยกย่องมนุษย์ยิ่งกว่าพระยะโฮวาพระเจ้า. เป้าหมายของเราไม่ใช่เพื่อสอนเขาให้มองดูเราในฐานะแหล่งสำคัญแห่งสติปัญญา. เราต้องการให้เขาหมายพึ่งพระยะโฮวา, พระคำของพระองค์, และองค์การของพระองค์เพื่อการชี้นำ. เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น เราจะไม่ใช้ทัศนะของเราเองในการตอบคำถามของเขา. แทนที่จะทำอย่างนั้น เราสอนเขาให้หาคำตอบโดยใช้คัมภีร์ไบเบิลและสรรพหนังสือที่ “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” จัดไว้ให้. (มัดธาย 24:45-47, ล.ม.) ด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กันนั้น เราระมัดระวังไม่แสดงความหวงแหนนักศึกษาพระคัมภีร์ของเรา. แทนที่จะขุ่นเคืองเมื่อคนอื่นแสดงความสนใจเขา เราควรสนับสนุนนักศึกษาของเราให้ “ตีแผ่ใจ” ในด้านความรักของเขา ทำความรู้จักและหยั่งรู้ค่าหลาย ๆ คนในประชาคมเท่าที่เป็นไปได้.—2 โกรินโธ 6:12, 13.
16. ผู้ปกครองอาจก่อด้วยวัสดุทนไฟอย่างไร?
16 คริสเตียนผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญด้วยในการเสริมสร้างสาวก. เมื่อเขาสอนพี่น้องในประชาคม เขาพยายามก่อด้วยวัสดุที่ทนไฟ. ความสามารถในการสอน, ประสบการณ์, และบุคลิกภาพของเขาแต่ละคนอาจต่างกันมาก แต่เขาไม่ฉวยประโยชน์จากข้อแตกต่างดังกล่าวเพื่อดึงพี่น้องให้ติดตามเขาไป. (เทียบกับกิจการ 20:29, 30.) เราไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไมบางคนในเมืองโกรินโธกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์เปาโล” หรือ “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์อะโปโล.” แต่เราแน่ใจได้ว่า ผู้ปกครองที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ทุกคนไม่มีใครส่งเสริมให้เกิดความคิดแตกแยกเช่นนั้น. เปาโลไม่ได้รู้สึกหลงใหลได้ปลื้มไปกับความคิดเช่นนั้น; ท่านคัดค้านความคิดเช่นนั้นอย่างแรง. (1 โกรินโธ 3:5-7) เช่นเดียวกันในทุกวันนี้ เหล่าผู้ปกครองระลึกเสมอว่าเขาเป็นผู้บำรุงเลี้ยง “ฝูงแกะของพระเจ้า.” (1 เปโตร 5:2) ฝูงแกะนี้มิได้เป็นของมนุษย์คนหนึ่งคนใด. ดังนั้น ผู้ปกครองยืนหยัดต่อต้านแนวโน้มใด ๆ ที่ใครจะสร้างอิทธิพลเหนือฝูงแกะหรือคณะผู้ปกครอง. ตราบใดผู้ปกครองได้รับแรงกระตุ้นโดยความปรารถนาด้วยใจถ่อมที่จะรับใช้ประชาคม, เข้าถึงหัวใจ, และช่วยแกะให้รับใช้พระยะโฮวาอย่างสิ้นสุดจิตวิญญาณ ตราบนั้นเขาก็กำลังก่อด้วยวัสดุทนไฟ.
17. คริสเตียนที่เป็นบิดามารดาบากบั่นพยายามในการก่อด้วยวัสดุที่ทนไฟอย่างไร?
17 คริสเตียนที่เป็นบิดามารดาก็เป็นห่วงอย่างยิ่งในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน. เขาปรารถนาอย่างยิ่งให้ลูก ๆ ได้มีชีวิตตลอดไป! นั่นเป็นเหตุที่เขาพยายามอย่างหนักที่จะ “พร่ำสอน” หลักการแห่งพระคำของพระเจ้าเข้าไว้ในหัวใจบุตร. (พระบัญญัติ 6:6, 7, ล.ม.) เขาต้องการให้บุตรรู้จักความจริง ไม่ใช่เหมือนเป็นประมวลกฎระเบียบหรือข้อเท็จจริงที่พึงจำ หากแต่เป็นแนวทางชีวิตที่อิ่มเอิบซึ่งให้บำเหน็จและมีความสุข. (1 ติโมเธียว 1:11) เพื่อเสริมสร้างบุตรของตนให้เป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์ บิดามารดาที่เปี่ยมด้วยความรักเพียรพยายามที่จะใช้วัสดุทนไฟ. เขาพยายามเสริมสร้างบุตรขึ้นอย่างอดทน ช่วยเขาขจัดคุณลักษณะที่พระยะโฮวาทรงเกลียดและปลูกฝังคุณลักษณะที่พระองค์ทรงรัก.—ฆะลาเตีย 5:22, 23.
ใครต้องรับผิดชอบ?
18. เมื่อสาวกคนหนึ่งปฏิเสธคำสอนที่ทำให้เกิดปกติสุข เหตุใดจึงไม่จำเป็นต้องเป็นความผิดของคนที่พยายามสอนและฝึกอบรมเขาเสมอไป?
18 การพิจารณานี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาข้อหนึ่ง. หากบางคนที่เราพยายามช่วยเขาได้ล้มพลาดไปจากความจริง นั่นหมายความไหมว่าเราล้มเหลวในฐานะครู หรือหมายความว่าเราได้ก่อสร้างด้วยวัสดุที่มีคุณภาพต่ำ? ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป. แน่ละ คำพูดของเปาโลเตือนใจเราให้สำนึกว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบใหญ่หลวงที่มีส่วนร่วมในการสร้างสาวก. เราต้องการทำทุกสิ่งที่เราทำได้เพื่อจะก่อสร้างอย่างดี. แต่พระคำของพระเจ้าไม่ได้บอกว่าเราต้องแบกความรับผิดชอบทั้งหมดและรับภาระหนักด้วยความรู้สึกผิดเมื่อคนที่เราพยายามช่วยหันเหออกไปจากความจริง. มีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยนอกเหนือจากบทบาทของเราในฐานะช่างก่อสร้าง. ตัวอย่างเช่น โปรดสังเกตสิ่งที่เปาโลกล่าวเกี่ยวกับคนที่เป็นครูซึ่งทำได้ไม่ดีนักในงานก่อสร้างของเขา: “ผู้นั้นก็จะขาดบำเหน็จ แต่ตัวเขาเองจะรอด.” (1 โกรินโธ 3:15) ถ้าในที่สุดคนผู้นี้ได้รับความรอด—แม้ว่ามีการให้ภาพว่าบุคลิกภาพแบบคริสเตียนที่เขาพยายามสร้างขึ้นในตัวนักศึกษาของเขาถูกไฟ “ไหม้เสีย” ในการทดสอบที่ร้อนแรง—เราคงต้องสรุปเช่นไร? แน่นอน ก็ต้องสรุปว่าพระยะโฮวาทรงถือว่านักศึกษาผู้นั้นต้องรับผิดชอบเป็นอันดับแรกสำหรับการตัดสินใจของเขาเองว่าจะดำเนินตามแนวทางที่ซื่อสัตย์หรือไม่.
19. เราจะพิจารณาอะไรในบทความถัดไป?
19 ความรับผิดชอบในส่วนของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง. เรื่องนี้มีผลกระทบเราแต่ละคน. เกี่ยวด้วยเรื่องดังกล่าวนี้ คำสอนของคัมภีร์ไบเบิลเป็นเช่นไร? บทความถัดไปจะพิจารณาจุดนี้.
[เชิงอรรถ]
a “รากพิภพ” อาจหมายถึงแรงต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติซึ่งยึดลูกโลกและเทห์ฟากฟ้าทั้งสิ้นให้ตั้งมั่นคงในตำแหน่งของมัน. นอกจากนี้ ตัวแผ่นดินโลกเองถูกสร้างอย่างที่จะไม่มีวัน “หวั่นไหว” หรือพินาศ.—บทเพลงสรรเสริญ [สดุดี] 104:5, ฉบับแปลใหม่.
b “เพชรพลอย” ที่เปาโลเอ่ยถึงนี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงเพชรพลอยอย่างเช่นพวกเพชรหรือทับทิมก็ได้. คำนี้อาจใช้หมายถึงหินก่อสร้างที่มีราคาแพงอย่างเช่นหินอ่อน, หินปูนขาว, หรือแกรนิต.
c เปาโลกำลังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความรอดของ “การ” ของช่างก่อสร้าง ไม่ใช่ความรอดของช่างก่อสร้างเอง. ฉบับแปลเดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล แปลข้อนี้ว่า “ถ้าตึกของผู้นั้นตั้งอยู่ได้ เขาจะได้รับรางวัล; ถ้าตึกนั้นไหม้ไฟ เขาก็จะประสบความสูญเสีย; กระนั้น เขาจะเอาชีวิตรอดได้เหมือนคนที่รอดจากไฟ.”
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ “รากฐาน” สำหรับคริสเตียนแท้คืออะไร และมีการวางรากฐานนั้นอย่างไร?
▫ เราอาจเรียนรู้อะไรจากวัสดุก่อสร้างชนิดต่าง ๆ?
▫ “ไฟ” หมายถึงอะไร และไฟอาจทำให้บางคน “ขาดบำเหน็จ” อย่างไร?
▫ ครูผู้สอนคัมภีร์ไบเบิล, ผู้ปกครอง, และบิดามารดาจะก่อด้วยวัสดุทนไฟได้อย่างไร?
[รูปภาพหน้า 9]
ตามเมืองต่าง ๆ ในสมัยโบราณ สิ่งปลูกสร้างที่ทำด้วยหินซึ่งทนไฟปรากฏอยู่ด้วยกันกับสิ่งปลูกสร้างที่เปราะบาง