ละจากการนมัสการจักรพรรดิไปสู่การนมัสการแท้
เล่าโดยอิซะมุ ซูกิอูระ
ถึงแม้ปรากฏชัดแจ้งว่าในปี 1945 ญี่ปุ่นได้พ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง เราก็ยังคงเชื่อมั่นว่าคามิคาเซ (“ลมจากพระเจ้า”) จะพัดกระหน่ำ เป็นเหตุให้ฝ่ายศัตรูพ่ายแพ้. คามิคาเซพาดพิงถึงพายุปี 1274 และปี 1281 ซึ่งทั้งสองครั้งได้ทำลายขบวนเรือรบของชาวมองโกลที่ล่วงล้ำเข้ามานอกชายฝั่งญี่ปุ่นจนเสียหายยับเยิน ด้วยเหตุนี้ฝ่ายศัตรูจึงต้องล่าถอย.
ดังนั้น เมื่อจักรพรรดิฮิโรฮิโตได้ประกาศแก่ทวยราษฎร์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1945 ว่าญี่ปุ่นยอมแพ้กองกำลังฝ่ายพันธมิตร ความหวังของผู้คนนับร้อยล้านที่เลื่อมใสจักรพรรดิจึงมลายโดยสิ้นเชิง. เวลานั้นผมยังเป็นเด็กนักเรียน และความหวังของผมก็มลายเช่นกัน. ผมอยากรู้ว่า ‘ถ้าจักรพรรดิไม่ใช่พระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ ใครล่ะเป็นพระเจ้า? ผมควรไว้วางใจใคร?’
แต่จริง ๆ แล้ว ความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองเปิดช่องทางแก่ผมและชาวญี่ปุ่นอีกหลายพันคนได้เรียนรู้เรื่องพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้. ก่อนผมจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ผมต้องทำ ขอให้ผมเล่าเรื่องการปลูกฝังอบรมทางศาสนาของผมบ้าง.
อิทธิพลศาสนาในตอนเยาว์วัย
ผมเกิดวันที่ 16 มิถุนายน 1932 ที่เมืองนาโกยา เป็นคนสุดท้องในจำนวนลูกชายสี่คน. พ่อเป็นเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินในเมืองนั้น. แม่เป็นคนถือเคร่งในศาสนาชินโต นิกายเทนริเกียว และพี่ชายคนโตของผมได้รับการฝึกอบรมด้านศาสนาเพื่อจะเป็นครูสอนธรรมะเทนริเกียว. แม่กับผมใกล้ชิดสนิทกันมากเป็นพิเศษ และแม่มักจะพาผมไปยังสถานที่ประชุมนมัสการด้วย.
ผมถูกสอนให้ก้มศีรษะอธิษฐาน. ศาสนาเทนริเกียวสอนข้อเชื่อเรื่องผู้สร้างชื่อ เทนริ โอ โน มิโกโตะ อีกทั้งเทพเจ้าชั้นรองลงมาสิบองค์. สมาชิกนิกายนี้รักษาโรคด้วยความเชื่อ ทั้งได้เน้นการช่วยเหลือผู้อื่นและการเผยแพร่ความเชื่อศรัทธาของตน.
ครั้งเป็นเด็ก ผมมักอยากรู้อยากเห็น. ผมพิศวงเมื่อมองดูท้องฟ้าเวลากลางคืน และเห็นดวงจันทร์และดวงดาวมากเหลือคณานับ และอยากรู้ว่าที่เวิ้งว้างบนฟ้านั้นจะกว้างไกลไปถึงที่ไหน. ผมรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เฝ้าดูการเติบโตของมะเขือและแตงกวาที่ผมปลูกบนเนื้อที่เล็ก ๆ หลังบ้าน. การพินิจธรรมชาติได้เสริมความเชื่อของผมในเรื่องพระเจ้าให้มั่นคงยิ่งขึ้น.
หลายปีที่มีสงคราม
นับจากปี 1939 ถึง 1945 ผมอยู่โรงเรียนชั้นประถมซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองพอดี. การศึกษาที่โรงเรียนของเราเน้นการบูชาจักรพรรดิอันเป็นหลักสำคัญของศาสนาชินโต. เรารับคำสั่งสอนเกี่ยวกับหลักจริยธรรมชูชิน ซึ่งรวมเอาการอบรมทางศีลธรรมเข้ากับการรักชาติและลัทธิการทหาร. พิธีชักธงสู่ยอดเสา, การร้องเพลงชาติ, การศึกษาพระราชกำหนดการศึกษาเกี่ยวกับจักรพรรดิ, และการทำความเคารพฉายาลักษณ์จักรพรรดิ ทุกอย่างเป็นกิจวัตรในโรงเรียนของเรา.
เราไปที่อารามชินโตในท้องถิ่นด้วยเพื่อวิงวอนพระเจ้าโปรดช่วยกองทัพของจักรพรรดิประสบชัยชนะ. พี่ชายสองคนของผมเป็นทหารประจำกองทัพ. เนื่องจากได้รับการอบรมทางศาสนาตามรูปแบบชาตินิยม ผมดีใจเมื่อได้ข่าวกองทัพญี่ปุ่นประสบชัยชนะ.
นาโกยาเป็นศูนย์อุตสาหกรรมสร้างเครื่องบินของญี่ปุ่น ดังนั้น เมืองนี้จึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่หน่วยรบทางอากาศของสหรัฐจะโจมตีอย่างหนัก. ในช่วงกลางวัน ฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ บี 29 บินเป็นขบวนเหนือเมืองในระดับสูงประมาณ 9,000 เมตร แล้วระดมทิ้งระเบิดแบบปูพรมจำนวนหลายร้อยตันใส่เป้าหมายคือเขตโรงงาน. ตอนกลางคืน ไฟส่องหาเครื่องบินทิ้งระเบิดได้ค้นพบฝูงบินอยู่ในระดับต่ำแค่ 1,300 เมตรเท่านั้น. มีการโจมตีทางอากาศด้วยระเบิดเพลิงครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ย่านที่อยู่อาศัยตกอยู่ในทะเลเพลิง. นาโกยาแห่งเดียวถูกโจมตีทางอากาศถึง 54 ครั้งภายในช่วงเก้าเดือนสุดท้ายของสงครามซึ่งยังความทุกข์ยากอย่างหนักและมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 7,700 คน.
ในเวลาเดียวกัน เรือรบเริ่มยิงปืนใหญ่ถล่มสิบเมืองตามชายฝั่งทะเล และผู้คนพูดกันถึงความเป็นไปได้ที่กองกำลังสหรัฐจะยกพลขึ้นบกใกล้กรุงโตเกียว. ผู้หญิงและเด็กชายได้รับการฝึกฝนให้ใช้หลาวไม้ไผ่สู้รบป้องกันประเทศ. คำขวัญของพวกเราคือ “อิชิโอกุ โซอุเกียวกุไซ” มีความหมายว่า “ตาย 100 ล้านดีกว่ายอมแพ้.”
วันที่ 7 สิงหาคม 1945 หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวว่า “ฮิโรชิมาถูกถล่มด้วยระเบิดชนิดใหม่.” สองวันต่อมา ระเบิดอีกลูกหนึ่งได้ทิ้งลงที่เมืองนางาซากิ. ระเบิดเหล่านี้เป็นระเบิดปรมาณู และเราได้มารู้ทีหลังว่ามันคร่าชีวิตผู้คนรวมทั้งสิ้นมากกว่า 300,000 คน. ครั้นแล้ว ในวันที่ 15 สิงหาคม เมื่อเสร็จการฝึกเดินแถวแบกปืนไม้ เราได้ฟังจักรพรรดิแถลงการณ์ประกาศการยอมแพ้ของญี่ปุ่น. เราเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าเราจะชนะ บัดนี้เราถูกทำลายอย่างย่อยยับ!
ความหวังใหม่ค่อย ๆ ปรากฏชัด
ขณะที่กองทหารอเมริกันเริ่มเข้ายึดครอง เราก็ค่อย ๆ ยอมรับข้อเท็จจริงว่าสหรัฐเป็นฝ่ายชนะสงคราม. ระบอบประชาธิปไตยเริ่มเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่รับรองสิทธิเสรีภาพในการนมัสการ. สภาพความเป็นอยู่ลำบากยากแค้น อาหารขาดแคลน และปี 1946 พ่อผมเสียชีวิตเนื่องจากทุโภชนาการ.
ระหว่างนั้น เริ่มมีการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่ผมเข้าเรียน และสถานีวิทยุ เอ็นเอชเค ของญี่ปุ่นเริ่มจัดรายการสนทนาภาษาอังกฤษ. ทุกวันตลอดเวลาห้าปีผมเปิดฟังรายการซึ่งคนนิยมชมชอบนี้พร้อม ๆ กับเปิดตำราเรียนควบกันไป. การทั้งนี้เร้าใจผมให้ใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งผมจะไปสหรัฐ. เพราะความผิดหวังกับศาสนาชินโตและศาสนาพุทธ ผมเริ่มคิดว่าบางทีอาจจะพบความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าจากศาสนาทางตะวันตก.
ต้นเดือนเมษายน 1951 ผมได้พบเกรซ เกรกอรี มิชชันนารีจากสมาคมว็อชเทาเวอร์. เธอยืนอยู่หน้าสถานีรถไฟนาโกยาเสนอวารสารหอสังเกตการณ์ ภาษาอังกฤษและหนังสือเล่มเล็กภาษาญี่ปุ่น อันเป็นเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล. ผมประทับใจความถ่อมใจของเธอในการทำงานดังกล่าว. ผมได้รับไว้ทั้งสองอย่างและตอบรับทันทีเมื่อเธอเสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่บ้าน. ผมสัญญาจะไปหาเธออีกภายในสองสามวันถัดจากนั้นเพื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิล.
เมื่อผมได้ที่นั่งบนรถไฟและเริ่มอ่านหอสังเกตการณ์ ผมสะดุดตาทันทีที่เห็นคำ “ยะโฮวา” ขึ้นต้นในบทความแรก. ผมไม่เคยพบเห็นชื่อนี้มาก่อน. ผมไม่คาดหมายจะเห็นชื่อนี้ในพจนานุกรมอังกฤษ-ญี่ปุ่นเล่มจิ๋วที่ผมพกติดตัว แต่ปรากฏว่ามีชื่อนี้อยู่! “พระยะโฮวา . . . พระเจ้าแห่งคัมภีร์ไบเบิล.” บัดนี้ผมกำลังเริ่มเรียนรู้ข้อเท็จจริงเรื่องพระเจ้าของศาสนาคริสเตียน!
การไปเยี่ยมบ้านมิชชันนารีครั้งแรกนั้นผมได้รับทราบว่าอีกประมาณสองหรือสามสัปดาห์ นาทาน เอช. นอรร์นายกสมาคมสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ในเวลานั้นจะบรรยายโดยยึดคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก. ท่านจะเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นพร้อมกับมิลตัน เฮนเชล เลขานุการส่วนตัว และกำลังจะมาที่เมืองนาโกยา. แม้ว่าความรู้ของผมเกี่ยวกับเรื่องในคัมภีร์ไบเบิลมีจำกัด แต่ผมชื่นชอบคำบรรยายมากจริง ๆ และรวมทั้งการได้พบปะพูดคุยกับมิชชันนารีและคนอื่นที่เข้าร่วมประชุม.
ในช่วงเวลาประมาณสองเดือน ผมได้เรียนรู้ความจริงพื้นฐานจากเกรซเรื่องพระยะโฮวา, พระเยซูคริสต์, ค่าไถ่, ซาตานพญามาร, อาร์มาเก็ดดอน, และแผ่นดินโลกที่จะกลายเป็นอุทยาน. ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรตรงกับข่าวสารที่ผมกำลังแสวงหาอยู่. ในช่วงเดียวกันที่ผมเริ่มศึกษา ผมก็เข้าร่วมการประชุมของประชาคมด้วย. ผมชอบบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นมิตร ณ การชุมนุมเหล่านั้น มิชชันนารีเป็นกันเองกับคนญี่ปุ่น และนั่งบนทาทามิ (เสื่อญี่ปุ่น) กับพวกเรา.
ในเดือนตุลาคม 1951 การประชุมหมวดครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นถูกจัดขึ้นที่หอประชุมนะกะโนะชิมะ เมืองโอซากา. ตอนนั้นพยานพระยะโฮวาในญี่ปุ่นมีไม่ถึง 300 คน แต่มีประมาณ 300 คนร่วมการประชุม รวมทั้งมิชชันนารีเกือบ 50 คน. ผมเองได้มีส่วนร่วมในระเบียบวาระนิดหน่อย. สิ่งที่ผมได้เห็นได้ฟังประทับใจผมมาก ผมจึงปลงใจแน่วแน่จะรับใช้พระยะโฮวาไปจนตลอดชีวิต. วันถัดมา ผมได้รับบัพติสมาในโรงแช่น้ำอุ่นสาธารณะที่อยู่ใกล้เคียง.
ความยินดีที่ได้จากงานไพโอเนียร์
ผมอยากเป็นไพโอเนียร์ ชื่อที่เรียกผู้เผยแพร่เต็มเวลาของพยานพระยะโฮวา แต่ผมก็นึกถึงพันธะต้องช่วยครอบครัวเหมือนกัน. ครั้นผมรวบรวมความกล้าและแจ้งให้นายจ้างทราบความประสงค์ของผม ผมรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเขาพูดว่า “ผมยินดีร่วมมือกับคุณ หากว่างานนั้นทำให้คุณมีความสุข.” ผมจึงได้ทำงานเพียงสองวันในหนึ่งสัปดาห์ และยังสามารถให้เงินแม่เป็นการช่วยค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้. จริง ๆ แล้วผมรู้สึกเหมือนเป็นนกหลุดออกจากกรง.
เนื่องจากสถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมจึงเริ่มต้นทำงานไพโอเนียร์เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1954 ที่เขตงานหลังสถานีรถไฟนาโกยา เดินเพียงไม่กี่นาทีจากจุดที่ผมได้พบเกรซครั้งแรก. หลังจากเวลาผ่านไปหลายเดือน ผมถูกมอบหมายไปทำงานในฐานะไพโอเนียร์พิเศษที่เมืองเบปปุ บนเกาะคิวชูทางตะวันตก. สึโตมุ มิอูระถูกมอบหมายเป็นเพื่อนทำงานกับผม.a เวลานั้น ทั่วทั้งเกาะไม่มีประชาคมพยานพระยะโฮวาเลย แต่เดี๋ยวนี้มีหลายร้อยประชาคม และจัดแบ่งออกเป็น 22 หมวด!
ลิ้มรสโลกใหม่ล่วงหน้า
เมื่อบราเดอร์นอรร์มาเยือนญี่ปุ่นอีกในเดือนเมษายน 1956 ท่านได้ขอให้ผมอ่านออกเสียงจากหอสังเกตการณ์ ภาษาอังกฤษสองสามวรรค. ผมไม่ทราบว่าให้อ่านทำไม แต่ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ผมได้รับจดหมายเชิญผมเข้าโรงเรียนกิเลียดรับการอบรมเป็นมิชชันนารี รุ่นที่ 29. ดังนั้น เดือนพฤศจิกายนปีนั้นเอง ผมออกเดินทางด้วยความตื่นเต้นไปสหรัฐซึ่งเป็นความฝันมานานแล้วได้กลายเป็นจริง. การได้อยู่และทำงานสองเดือนกับครอบครัวใหญ่ที่เบเธลบรุกลินเสริมความเชื่อของผมให้มั่นคงยิ่งขึ้นเกี่ยวด้วยองค์การของพระยะโฮวาที่ประจักษ์แก่ตา.
เดือนกุมภาพันธ์ 1957 บราเดอร์นอรร์ขับรถนำเราสามคนไปถึงบริเวณที่ตั้งโรงเรียนกิเลียดในเซาท์แลนซิง เขตภาคเหนือของมลรัฐนิวยอร์ก. ห้าเดือนต่อจากนั้นในโรงเรียนกิเลียด ผมได้รับคำแนะนำจากพระคำของพระยะโฮวาและอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่สวยงามกับเพื่อนนักเรียน ผมถือว่าได้ลิ้มรสแผ่นดินโลกใหม่ในสภาพอุทยานก่อนล่วงหน้า. จากจำนวนนักเรียน 103 คน สิบคนรวมทั้งผมด้วยได้รับมอบเขตงานในประเทศญี่ปุ่น.
การหยั่งรู้ค่างานมอบหมายของผม
ตอนที่ผมกลับเดือนตุลาคม 1957 มีพยานพระยะโฮวาประมาณ 860 คนในญี่ปุ่น. ผมได้รับมอบหน้าที่งานเดินทางฐานะผู้ดูแลหมวด แต่ก่อนอื่น ผมได้รับการฝึกอบรมงานด้านนี้อยู่สองสามวันจากแอเดรียน ทอมป์สันในเมืองนาโกยา. เขตงานเยี่ยมหมวดของผมคลุมจากเมืองชิมิสุใกล้ภูเขาฟูจิจรดเกาะชิโกกุ และรวมไปถึงเมืองใหญ่ ๆ อาทิ เกียวโต, โอซากา, โกเบ, และฮิโรชิมา.
ปี 1961 ผมได้รับมอบหมายเป็นผู้ดูแลภาค. ทั้งนี้รวมถึงการเดินทางจากเกาะฮอกไกโดทางเหนือที่มีหิมะมากไปจนถึงโอกินาวาเกาะในบริเวณเขตร้อน และเลยไปจนถึงหมู่เกาะอิชิงากิใกล้ไต้หวันเสียด้วยซ้ำ ระยะทางราว ๆ 3,000 กิโลเมตร.
แล้วมาถึงปี 1963 ผมได้รับเชิญเข้าโรงเรียนกิเลียดหลักสูตรสิบเดือนที่สำนักเบเธล ในบรุกลิน. ระหว่างการเรียน บราเดอร์นอรร์ได้เน้นความสำคัญเกี่ยวกับการมีเจตคติที่ถูกต้องต่องานมอบหมาย. ท่านพูดว่างานทำความสะอาดห้องน้ำมีความสำคัญพอ ๆ กันกับงานในสำนักงาน. ถ้าห้องน้ำไม่สะอาด คงมีผลกระทบต่อครอบครัวเบเธลและการงานทุกอย่าง. ต่อมางานส่วนหนึ่งที่ผมทำที่เบเธลในญี่ปุ่นคืองานทำความสะอาดห้องสุขา และผมไม่ลืมคำแนะนำครั้งนั้น.
หลังจากกลับมาญี่ปุ่นแล้ว ผมได้รับมอบหมายงานเดินทางอีกครั้งหนึ่ง. สองปีต่อจากนั้น ในปี 1966 ผมแต่งงานกับจุนโกะ อิวะซะกิ ไพโอเนียร์พิเศษซึ่งปฏิบัติงานในเมืองมัตสุเอะ. ลอยด์ แบร์รีผู้ดูแลสาขาญี่ปุ่นสมัยนั้นเป็นผู้ให้คำบรรยายงานสมรสอย่างน่าอบอุ่นใจ. ตั้งแต่นั้นมาจุนโกะก็ได้ร่วมงานเดินทางกับผม.
ปี 1968 หน้าที่มอบหมายของเราเปลี่ยนไปเมื่อผมถูกเรียกเข้าสำนักงานสาขาในโตเกียวเพื่อทำงานด้านแปลหนังสือ. เนื่องจากไม่มีห้องพอ ผมจึงเดินทางไปกลับจากเขตซุมิดะ โตเกียว และจุนโกะทำงานฐานะไพโอเนียร์พิเศษร่วมกับประชาคมท้องถิ่น. มาถึงตอนนี้ อาคารที่ใหญ่กว่าสำหรับสำนักงานสาขาเป็นเรื่องจำเป็น. ดังนั้น ปี 1970 จึงได้ดำเนินงานจัดซื้อที่ดินในเมืองนุมะซุ ไม่ไกลจากภูเขาฟูจิ. แล้วได้มีการก่อสร้างอาคารโรงงานสามชั้นและอาคารที่พักอาศัย. ก่อนเริ่มต้นการก่อสร้าง บ้านเรือนหลายหลังบนที่ดินถูกใช้เป็นโรงเรียนพระราชกิจสำหรับการอบรมบรรดาผู้ดูแลประชาคมต่าง ๆ. ผมมีสิทธิพิเศษได้สอนในโรงเรียนนี้ และจุนโกะทำอาหารเลี้ยงผู้เข้ารับการอบรม. นับเป็นความตื่นเต้นที่ได้เห็นผู้ชายคริสเตียนหลายร้อยคนรับการอบรมเป็นพิเศษเพื่องานรับใช้.
บ่ายวันหนึ่ง ผมได้รับโทรเลขด่วน. แม่เข้าโรงพยาบาลและคาดว่าจะเสียชีวิต. ผมจับรถไฟความเร็วสูงไปนาโกยาและตรงไปโรงพยาบาลทันที. แม่ไม่รู้สึกตัวแล้ว แต่ผมก็อยู่ข้างเตียงเฝ้าแม่ตลอดคืน. พอเช้าตรู่แม่ก็สิ้นใจ. ระหว่างเดินทางกลับนุมะซุ ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อคิดถึงชีวิตแม่ที่ยากลำบากในอดีต และความรักใคร่ที่แม่มีให้ผม. หากเป็นไปตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา ผมคงได้พบแม่อีกในคราวการกลับเป็นขึ้นจากตาย.
ไม่นานต่อมา อาคารที่อยู่อาศัยในนุมะซุคับแคบไปสำหรับครอบครัวเบเธลของเรา. ฉะนั้น จึงมีการจัดซื้อที่ดิน 45 ไร่ในเมืองเอบินา แล้วการก่อสร้างอาคารชุดเป็นสาขาแห่งใหม่ก็เริ่มขึ้นในปี 1978. เวลานี้พื้นที่อันเป็นประโยชน์ใช้สอยบนที่ดินเต็มไปด้วยอาคารโรงพิมพ์, อาคารที่อยู่อาศัย, และหอประชุมใหญ่ซึ่งจุได้มากกว่า 2,800 ที่นั่ง. ส่วนต่อเติมล่าสุดซึ่งสร้างเสร็จไปแล้วเมื่อต้นปีนี้ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยสูง 13 ชั้นสองหลัง และอาคารสูง 5 ชั้นหนึ่งหลังสำหรับจอดรถ. ตอนนี้ ครอบครัวเบเธลของเรามีสมาชิกประมาณ 530 คน แต่การต่อเติมอาคารนั้นทำให้เราสามารถจะรับสมาชิกเข้าอยู่ได้ประมาณ 900 คน.
เหตุผลมากมายที่ยังความยินดีปรีดา
เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่เห็นคำพยากรณ์ของคัมภีร์ไบเบิลสำเร็จเป็นจริง คือเห็น ‘คนตัวเล็กเพิ่มเป็นชนชาติใหญ่.’ (ยะซายา 60:22, ล.ม.) ผมจำคำพูดที่พี่ชายถามผมได้ย้อนหลังไปเมื่อปี 1951 ว่า “มีพยานฯ กี่คนในประเทศญี่ปุ่น?”
ผมตอบ “ประมาณ 260 คน.”
เขาถามด้วยน้ำเสียงเชิงดูหมิ่นว่า “แค่นั้นเองหรือ?”
ผมจำสิ่งที่ผมคิดขณะนั้น ‘กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพระยะโฮวาจะทรงนำผู้คนสักกี่มากน้อยในประเทศที่นับถือพุทธศาสนาลัทธิชินโตนี้เข้ามานมัสการพระองค์.’ และพระยะโฮวาทรงให้คำตอบ! เวลานี้ ในญี่ปุ่นเขตงานที่ไม่ได้มอบหมายให้ประกาศเผยแพร่นั้นไม่มีเลย และจำนวนผู้นมัสการแท้เพิ่มมากขึ้นกว่า 222,000 คนใน 3,800 ประชาคม!
ชีวิตในงานรับใช้เต็มเวลา 44 ปีที่ผ่านมา—ร่วมชีวิต 32 ปีกับภรรยาสุดที่รัก—เป็นเวลาที่ผมมีความสุขเป็นพิเศษ. ระหว่างปีเหล่านี้ ผมทำงานในแผนกแปลที่เบเธล 25 ปี. เดือนกันยายน ปี 1979 ผมได้รับเชิญเป็นสมาชิกกรรมการสาขาแห่งพยานพระยะโฮวาในญี่ปุ่นอีกด้วย.
ผมถือเป็นสิทธิพิเศษและเป็นพระพรที่มีส่วนอยู่บ้างเล็กน้อยช่วยสุจริตชนผู้รักสันติให้มาร่วมการนมัสการพระยะโฮวา. หลายคนได้ทำเหมือนที่ผมทำ คือเปลี่ยนจากการให้ความเลื่อมใสศรัทธาแด่องค์จักรพรรดิมาเป็นการนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว. ความปรารถนาจากใจจริงของผมคือจะช่วยผู้คนอีกมากให้เข้ามาอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาที่มีชัยชนะ และจะได้ชีวิตไม่สิ้นสุดในโลกใหม่อันสงบสุข.—วิวรณ์ 22:17.
[เชิงอรรถ]
a พ่อของเขาเป็นพยานฯ ซื่อสัตย์ซึ่งรอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูที่ถล่มเมืองฮิโรชิมาในปี 1945 ขณะถูกขังในเรือนจำญี่ปุ่น. ดูจากวารสารตื่นเถิด! ฉบับ 8 ตุลาคม 1994 หน้า 13-17.
[รูปภาพหน้า 29]
วิชาการศึกษาในโรงเรียนรวมจุดอยู่ที่การบูชาองค์จักรพรรดิ
[ที่มาของภาพ]
The Mainichi Newspapers
[รูปภาพหน้า 29]
ในนิวยอร์ก กับบราเดอร์แฟรนซ์
[รูปภาพหน้า 29]
กับจุนโกะ ภรรยาของผม
[รูปภาพหน้า 31]
ขณะทำงานในแผนกแปล