คุณพ่อของผม “ถูกระเบิดปรมาณูปล่อยออกจากคุก”
เวลา 8:15 น. ของวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ระเบิดปรมาณูลูกหนึ่งถล่มเหนือเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ทำลายตัวเมืองย่อยยับ และคร่าชีวิตประชากรหลายหมื่น. คุณพ่อของผมปฏิเสธที่จะนมัสการองค์จักรพรรดิและไม่ยอมสนับสนุนลัทธิแสนยานุภาพของญี่ปุ่น ดังนั้น ช่วงเวลาดังกล่าวท่านจึงเป็นนักโทษถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำของเมืองฮิโรชิมา.
คุณพ่อพรรณนาบ่อย ๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าที่ยากจะลืมเลือนนั้น. ท่านบอกว่า “มีแสงสว่างวาบเป็นประกายที่เพดานห้องขังของพ่อ. จากนั้น พ่อก็ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับภูเขาทั้งหมดถล่มลงมาพร้อมกันอย่างนั้นแหละ. ทันใดนั้น ห้องขังก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดทึบ. พ่อเอาหัวซุกเข้าไปใต้ฟูก เพื่อหลีกหนีสิ่งที่ดูเหมือนเป็นแก๊สสีดำมืด.
“จากนั้นเจ็ดหรือแปดนาที พ่อก็โผล่หัวออกมาจากใต้ฟูกและพบว่า ‘แก๊ส’ นั้นจางหายไปแล้ว. มีแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง. ของบนชั้นและฝุ่นเป็นจำนวนมากได้ตกลงมา ทำให้สกปรกเลอะเทอะไปหมด. เนื่องจากมีกำแพงสูงล้อมรอบเรือนจำ จึงไม่มีเปลวไฟลามเข้ามาจากด้านนอก.
“พ่อมองออกไปทางหน้าต่างด้านหลังและตกใจราวกับถูกสายฟ้าฟาด! โรงฝึกงานในเรือนจำและเรือนไม้ต่าง ๆ พังราบเป็นหน้ากลอง. จากนั้น พ่อก็มองออกไปทางหน้าต่างเล็ก ๆ ด้านหน้า. ห้องขังต่าง ๆ ในตึกตรงข้ามถูกทำลายจนยับเยิน. นักโทษซึ่งรอดชีวิตต่างร้องระงมขอความช่วยเหลือ. มีทั้งความกลัวและความตื่นตระหนก—เป็นฉากแห่งความชุลมุนยุ่งเหยิงและสยดสยองอย่างมหันต์.”
ตอนเป็นเด็ก ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ฟังคุณพ่อเล่าเรื่องการ “ถูกระเบิดปรมาณูปล่อยออกจากคุก” ตามคำที่ท่านใช้. ท่านเล่าเรื่องให้ฟังโดยไม่รู้สึกผิด เพราะท่านถูกคุมขังอย่างไม่เป็นธรรม. ก่อนจะเล่าถึงข้อกล่าวหาต่อคุณพ่อและท่านได้รับการปฏิบัติอย่างไรในช่วงที่ถูกกักขังอยู่หลายปี ขอให้ผมอธิบายถึงวิธีที่คุณพ่อคุณแม่ของผมได้เข้าไปติดต่อเกี่ยวพันกับโทไดชา ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ในญี่ปุ่นเวลานั้น.
แสวงหาจุดมุ่งหมาย
คุณพ่อเป็นคนที่รักหนังสือมาก และในวัยเด็ก ท่านเสาะหาวิธีที่จะปรับปรุงฐานะของตัวเอง. ตอนที่ท่านยังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ห้า ท่านแอบหนีออกจากบ้านในเมืองอิชิโนโมริทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น. พร้อมด้วยเงินเพียงแค่พอสำหรับตั๋วเที่ยวเดียว ท่านขึ้นรถไฟไปโตเกียว ที่ซึ่งท่านตั้งใจจะเป็นเด็กรับใช้ในบ้านของชิเกโนบุ โอกุมะ ซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นถึงสองสมัย. แต่เมื่อเด็กบ้านนอกที่แต่งตัวซอมซ่อคนนี้ปรากฏตัวที่บ้านของท่านโอกุมะ การขอทำงานของท่านจึงถูกปฏิเสธ. ต่อมา คุณพ่อได้งานทำในร้านขายนม ซึ่งมีที่พักให้ด้วย.
ขณะที่ยังเป็นวัยรุ่น คุณพ่อเริ่มเข้าฟังปาฐกถาต่าง ๆ โดยนักการเมืองและผู้คงแก่เรียน. ในคำปาฐกถาหนึ่ง มีการกล่าวถึงคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นหนังสือที่สำคัญมาก. ดังนั้น คุณพ่อจึงหาคัมภีร์ไบเบิลมาเล่มหนึ่ง ซึ่งมีทั้งข้ออ้างอิงและแผนที่เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลพร้อมสรรพ. ท่านประทับใจมากในสิ่งที่ท่านอ่าน และได้รับแรงกระตุ้นให้อยากทำงานซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติทั้งมวล.
ในที่สุด คุณพ่อกลับบ้าน และในเดือนเมษายน 1931 เมื่อท่านอายุได้ 24 ปี ท่านแต่งงานกับฮากิโนะ อายุ 17 ปี. ไม่นานหลังจากที่คุณพ่อแต่งงาน ญาติคนหนึ่งก็ส่งหนังสือให้ท่าน ซึ่งพิมพ์โดยโทไดชา. เนื่องจากประทับใจในสิ่งที่ท่านอ่าน คุณพ่อจึงเขียนจดหมายไปถึงโทไดชาในโตเกียว. ในเดือนมิถุนายน 1931 ผู้เผยแพร่ศาสนาเต็มเวลาคนหนึ่งจากเซนได ซึ่งมีชื่อว่า มัตสึเอะ อิชิ มาหาท่านในเมืองอิชิโนโมริ.a คุณพ่อรับหนังสือจากเธอไว้ชุดหนึ่ง ซึ่งรวมทั้งหนังสือพิณของพระเจ้า, การทรงสร้าง, และการปกครอง.
พบจุดมุ่งหมายในชีวิต
แทบจะทันทีที่คุณพ่อเข้าใจว่า คำสอนต่าง ๆ ของคริสตจักร เช่น มนุษย์มีจิตวิญญาณอมตะ, คนชั่วถูกทรมานตลอดไปในไฟนรก, และพระผู้สร้างเป็นพระตรีเอกานุภาพ เป็นคำสอนเท็จ. (ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10; ยะเอศเคล 18:4; โยฮัน 14:28) ท่านยังตระหนักด้วยว่าโลกนี้จะถึงอวสาน. (1 โยฮัน 2:17) เนื่องจากอยากทราบว่าท่านควรทำอะไรบ้าง ท่านจึงติดต่อกับตัวแทนที่ได้รับการแต่งตั้งของโทไดชา. ผู้ซึ่งไปเยี่ยมท่านในเดือนสิงหาคม 1931 และจากผลของการหาเหตุผลกัน คุณพ่อจึงรับบัพติสมาและตัดสินใจที่จะเข้ามาเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาเต็มเวลาของพระยะโฮวา.
หลังจากการหาเหตุผลนานพอดู คุณแม่ก็ได้มาเชื่อมั่นด้วยว่า สิ่งที่เธอเรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิลเป็นความจริง. ท่านอุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวา และรับบัพติสมาในเดือนตุลาคม 1931. เมื่อคุณพ่อเอาทรัพย์สินของตัวเองออกประมูลขาย ญาติ ๆ คิดว่าท่านเสียสติไปแล้ว.
ชีวิตในฐานะผู้เผยแพร่ศาสนาเต็มเวลา
คุณพ่อเอาเงินทั้งหมดที่ได้จากการประมูลให้คุณย่า และท่านกับคุณแม่ไปโตเกียวในเดือนพฤศจิกายน 1931. แม้ท่านทั้งสองไม่เคยได้รับการสอนถึงวิธีพูดกับคนอื่นเกี่ยวกับข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร แต่ท่านก็เริ่มประกาศในวันรุ่งขึ้นหลังจากไปถึงที่นั่น.—มัดธาย 24:14.
ชีวิตของท่านทั้งสองไม่ง่าย. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการยากสำหรับคุณแม่ ซึ่งเวลานั้นมีอายุเพียง 17 ปี. ไม่มีเพื่อนพยานฯ, ไม่มีการประชุม, และไม่มีประชาคม—มีเพียงตารางเวลาประจำวันในการจำหน่ายหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลตามบ้านตั้งแต่ 9 ถึง 16 นาฬิกา.
ในปี 1933 มีการเปลี่ยนงานมอบหมายของท่านจากการประกาศในโตเกียวเป็นโกเบ. ผมเกิดที่นั่นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1934. คุณแม่ทำงานอย่างกระตือรือร้นในงานเผยแพร่ จนกระทั่งหนึ่งเดือนก่อนผมคลอด. จากนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็ย้ายไปที่เขตยามากูชิ, ไปเมืองอูเบ, ไปเมืองคูเร, และในที่สุดไปเมืองฮิโรชิมา โดยประกาศแห่งละประมาณหนึ่งปี.
คุณพ่อคุณแม่ถูกจับ
ขณะที่ลัทธิแสนยานุภาพในญี่ปุ่นรุนแรงขึ้น สิ่งพิมพ์ของสมาคมว็อชเทาเวอร์ก็ถูกสั่งห้าม และบรรดาพยานฯ ถูกจับตาดูอย่างเข้มงวดโดยพวกตำรวจลับพิเศษ. และแล้วในวันที่ 21 มิถุนายน 1939 ผู้เผยแพร่เต็มเวลาของพยานพระยะโฮวาทั่วญี่ปุ่นก็ถูกจับมาอยู่รวมกัน. คุณพ่อและคุณแม่ก็อยู่ในพวกที่ถูกจับ. ผมถูกมอบให้อยู่ในความดูแลของคุณย่า ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองอิชิโนโมริ. หลังจากที่ถูกควบคุมตัวอยู่แปดเดือน คุณแม่ก็ถูกปล่อยตัวและถูกคุมการประพฤติ และในที่สุดปี 1942 ผมจึงไปอยู่กับท่านได้ในเซนได.
ในระหว่างนั้น คุณพ่อพร้อมด้วยพยานฯ คนอื่น ๆ ถูกสอบปากคำโดยพวกตำรวจลับที่สถานีตำรวจฮิโรชิมา. เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธที่จะนมัสการองค์จักรพรรดิหรือสนับสนุนลัทธิแสนยานุภาพของญี่ปุ่น พยานฯ จึงถูกโบยตีอย่างรุนแรง. ผู้ที่สอบปากคำไม่อาจหันเหคุณพ่อไปจากการนมัสการพระยะโฮวาได้.
หลังจากที่ถูกคุมขังอยู่กว่าสองปี คุณพ่อถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดี. ระหว่างการพิจารณาความครั้งหนึ่ง ผู้พิพากษาถามว่า “มิอูระ คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับองค์พระจักรพรรดิ?”
“องค์จักรพรรดิก็เป็นลูกหลานของอาดาม และเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ที่ต้องตายเหมือนกัน” คุณพ่อตอบ. คำบอกกล่าวนั้นทำให้เจ้าหน้าที่บันทึกคำให้การถึงกับตะลึงงัน จนไม่ได้บันทึกคำกล่าวนั้นไว้. คุณคงรู้ว่า ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในเวลานั้นเชื่อว่าจักรพรรดิเป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง. คุณพ่อถูกตัดสินจำคุกห้าปี และผู้พิพากษาบอกท่านว่า หากท่านไม่ละทิ้งความเชื่อ ท่านจะติดคุกชั่วชีวิต.
ไม่นานหลังจากนั้น ในเดือนธันวาคม 1941 ญี่ปุ่นโจมตีสหรัฐที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์ เกาะฮาวาย. อาหารในคุกขาดแคลน และในช่วงฤดูหนาว หลายคืนคุณพ่อหนาวสั่น นอนก็ไม่หลับเนื่องจากขาดเครื่องนุ่งห่ม. แม้ถูกตัดขาดจากการคบหาทางฝ่ายวิญญาณทั้งหมด แต่ท่านก็มีโอกาสได้อ่านคัมภีร์ไบเบิลในห้องสมุดของเรือนจำ และโดยการอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านจึงรักษาความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณไว้ได้.
เมื่อลูกระเบิดถล่ม
ตอนเช้าตรู่ของวันที่ 6 สิงหาคม 1945 นักโทษคนหนึ่งอยากจะแลกหนังสือกับคุณพ่อ. การทำเช่นนี้เป็นสิ่งต้องห้าม แต่เนื่องจากนักโทษคนนั้นไสหนังสือของเขาข้ามทางเดินเข้ามาในห้องขังของคุณพ่อแล้ว คุณพ่อจึงไสหนังสือของท่านเข้าไปในห้องขังของนักโทษคนนั้น. ดังนั้นแทนที่จะทำตามตารางเวลาซึ่งตามปกติจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง คุณพ่อจึงกำลังอ่านหนังสืออยู่ตอนที่ลูกระเบิดลง. ปกติท่านจะใช้ส้วมในห้องขังในตอนเช้าเวลานั้นพอดี. หลังจากระเบิด คุณพ่อเห็นบริเวณส้วมพังพินาศเนื่องจากซากที่ถล่มลงมา.
จากนั้น คุณพ่อก็ถูกส่งไปที่เรือนจำอิวาคูนิ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้เคียง. ไม่นานหลังจากนั้น ญี่ปุ่นยอมแพ้กองกำลังฝ่ายพันธมิตร และท่านได้รับการปล่อยตัวจากคุกท่ามกลางความโกลาหลหลังสงคราม. ท่านกลับบ้านที่อิชิโนโมริในเดือนธันวาคม 1945. สุขภาพของท่านทรุดโทรม. ท่านมีอายุเพียง 38 ปีแต่ดูราวกับคนแก่. ตอนแรก ผมไม่เชื่อว่าท่านเป็นคุณพ่อของผม.
ความเชื่อของท่านยังคงเข้มแข็ง
ญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาพโกลาหล และเราไม่รู้ว่าพยานฯ ที่ซื่อสัตย์ซึ่งมีเพียงหยิบมือกระจัดกระจายไปที่ใดบ้าง. อีกทั้งไม่มีหนังสือใด ๆ ของพยานพระยะโฮวาด้วย. กระนั้น คุณพ่อสอนผมโดยตรงจากคัมภีร์ไบเบิล ให้รู้ความจริงเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระยะโฮวา, โลกใหม่, และสงครามอาร์มาเก็ดดอนที่คืบใกล้เข้ามา.—บทเพลงสรรเสริญ 37:9-11, 29; ยะซายา 9:6, 7; 11:6-9; 65:17, 21-24; ดานิเอล 2:44; มัดธาย 6:9, 10.
ต่อมา เมื่อมีการสอนทฤษฎีวิวัฒนาการในชั้นมัธยม และผมเริ่มสงสัยการดำรงอยู่ของพระเจ้า คุณพ่อก็พยายามทำให้ผมมั่นใจในการดำรงอยู่ของพระเจ้า. เมื่อผมลังเลใจที่จะเชื่อ ในที่สุดท่านก็บอกว่า “ผู้คนส่วนใหญ่ของโลกสนับสนุนการสงครามและได้มีความผิดฐานทำให้โลหิตตก. ส่วนพ่อยึดมั่นในความจริงของคัมภีร์ไบเบิลและไม่เคยสนับสนุนไม่ว่าลัทธิการทหาร, การนมัสการจักรพรรดิ, หรือสงคราม. ดังนั้น คิดดูให้ดีด้วยตัวเองก็แล้วกันว่า ทางไหนเป็นทางชีวิตที่แท้จริงที่ลูกควรเดิน.”
จากสิ่งที่คุณพ่อสอนและหลักที่ท่านใช้ในการดำเนินชีวิต ประกอบกับการเปรียบเทียบสิ่งนั้นกับสิ่งที่ผมเรียนที่โรงเรียน ผมจึงเห็นได้ว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่อาจเป็นแนวความคิดที่ถูกต้องได้. แม้ไม่มีนักวิวัฒนาการคนใดเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อสิ่งที่ตนเชื่อ แต่คุณพ่อของผมก็เต็มใจสละชีวิตเพื่อสิ่งที่ท่านเชื่อ.
วันหนึ่งในเดือนมีนาคม 1951 ซึ่งเป็นเวลากว่าห้าปีหลังสงครามยุติ คุณพ่อกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อาซาฮี. ทันใดนั้น ท่านก็ร้องออกมาว่า “เฮ้ พวกเขามาแล้ว พวกเขามาแล้ว!” ท่านเอาหนังสือพิมพ์ให้ผมดู. เป็นบทความหนึ่งเกี่ยวกับมิชชันนารีห้าคนของพยานพระยะโฮวา ที่เพิ่งมาถึงโอซากา. ด้วยอาการโลดเต้นยินดี คุณพ่อจึงติดต่อหนังสือพิมพ์และทราบว่า พยานพระยะโฮวาตั้งสำนักงานสาขาในกรุงโตเกียว. ท่านได้ที่อยู่และไปเยี่ยมสาขานั้น ด้วยวิธีนี้จึงได้ฟื้นฟูการติดต่อกับองค์การของพระยะโฮวาอีก.
ซื่อสัตย์ถึงที่สุด
ในปี 1952 ครอบครัวของเราย้ายไปที่เซนได. มิชชันนารีของสมาคมว็อชเทาเวอร์คือ โดนัลด์ และเมเบิล แฮสเล็ตต์ ย้ายไปที่นั่นในปีเดียวกันนั้น และเช่าบ้านหลังหนึ่งเพื่อจัดให้มีการศึกษาหอสังเกตการณ์. มีเพียงสี่คนที่เข้าร่วมการประชุมครั้งแรก—คือครอบครัวแฮสเล็ตต์, คุณพ่อของผม, และผม. ต่อมา ชินิชิและมาซาโกะ โตฮารา, แอเดลีน นาโกะ, และลิเลียน แซมสัน ได้สมทบกับครอบครัวแฮสเล็ตต์ในฐานะมิชชันนารีที่เซนได.
โดยการคบหาสมาคมกับมิชชันนารีเหล่านี้ ครอบครัวของเราได้ก้าวหน้าในความรู้เกี่ยวกับพระวจนะและองค์การของพระเจ้า. คุณแม่ ซึ่งมีความเชื่อคลอนแคลนเนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสงคราม ไม่ช้าก็ไปประชุมร่วมกับเราและมีส่วนในงานประกาศ. ผมได้รับแรงกระตุ้นให้อุทิศชีวิตรับใช้พระเจ้ายะโฮวา และรับบัพติสมาวันที่ 18 เมษายน 1953.
ภายหลังสงคราม คุณพ่อทำงานเป็นพนักงานขายให้บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง. แม้จะได้รับผลกระทบจากการถูกคุมขัง ซึ่งรวมทั้งไตพิการและความดันโลหิตสูง แต่ท่านมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะกลับไปเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลาฐานะไพโอเนียร์อีก. ท่านทำเช่นนั้นประมาณเวลาเดียวกันกับที่ผมรับบัพติสมา. แม้สุขภาพที่ไม่ดีจะกีดกันท่านจากการเป็นไพโอเนียร์ต่อไปนาน ๆ แต่ความกระตือรือร้นอันแรงกล้าของท่านที่มีต่องานเผยแพร่กระตุ้นผมให้ลาออกจากมหาวิทยาลัยซึ่งผมเรียนอยู่ และเข้าสู่งานเผยแพร่เต็มเวลาฐานะงานประจำชีพ.
อิซามุ ซูกิอูระ เด็กหนุ่มซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีจากเมืองนาโงยา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคู่ร่วมทำงานกับผม. วันที่ 1 พฤษภาคม 1955 เราเริ่มงานเผยแพร่ในฐานะไพโอเนียร์พิเศษในเมืองเบปปูบนเกาะคิวชู. ทั้งเกาะมีพยานฯ เพียงหยิบมือในเวลานั้น. ปัจจุบันกว่า 39 ปีต่อมา เรามีหมวดที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูทางฝ่ายวิญญาณ 15 หมวดด้วยจำนวนพยานฯ กว่า 18,000 คนบนเกาะนั้น. และทั่วทั้งญี่ปุ่น มีพยานฯ เกือบ 200,000 คนในเวลานี้.
ในฤดูใบไม้ผลิปี 1956 อิซามุและผมได้รับเชิญให้เข้าโรงเรียนกิเลียดว็อชเทาเวอร์ไบเบิลในสหรัฐ. เรายินดีเป็นล้นพ้น. อย่างไรก็ตาม เมื่อผมได้รับการตรวจร่างกายเพื่อเตรียมตัวเดินทาง แพทย์พบว่าผมเป็นวัณโรค. ด้วยความผิดหวังอย่างยิ่ง ผมจึงกลับบ้านที่เซนได.
เวลานั้น สุขภาพของคุณพ่อทรุดลง และท่านนอนพักอยู่ที่บ้าน. บ้านเช่าของเราประกอบด้วยห้องขนาด 100 ตารางฟุตเพียงห้องเดียวซึ่งปูด้วยเสื่อทาทามิ. คุณพ่อกับผมนอนติดกัน. เนื่องจากคุณพ่อทำงานไม่ได้ จึงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับคุณแม่ในการดูแลความจำเป็นทางการเงินของเรา.
ในเดือนมกราคม 1957 เฟรดเดอริก ดับเบิลยู. แฟรนซ์ ซึ่งในเวลานั้นเป็นรองนายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ มาเยี่ยมประเทศญี่ปุ่น และมีการจัดการประชุมพิเศษขึ้นในกรุงเกียวโต. คุณพ่อสนับสนุนให้คุณแม่ไปร่วมประชุม. แม้ลังเลใจที่จะทิ้งเราไว้ในสภาพที่ป่วยเช่นนี้ แต่ท่านก็เชื่อฟังคุณพ่อและไปยังการประชุม.
ไม่นานหลังจากนั้น อาการของคุณพ่อเริ่มทรุดลงไปทุกวัน ๆ. ขณะที่เรานอนติดกัน ผมเริ่มวิตกและถามท่านว่า เราจะหาเลี้ยงตัวเองอย่างไร. ท่านตอบว่า “เรารับใช้พระเจ้ายะโฮวามาแล้ว แม้กระทั่งเสี่ยงชีวิตของเรา และพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. ทำไมลูกจึงกังวล? พระยะโฮวาจะจัดหาสิ่งจำเป็นให้แก่เราอย่างแน่นอน.” แล้วท่านก็ตักเตือนผมอย่างอ่อนละมุนที่สุด โดยกล่าวว่า “ลูกต้องปลูกฝังความเชื่อที่เข้มแข็งกว่านี้ให้กับตัวเอง.”
ในวันที่ 24 มีนาคม 1957 คุณพ่อสิ้นลมหายใจอย่างสงบ. หลังจากงานศพของท่าน ผมแวะไปบริษัทประกันภัยที่ท่านทำงานเพื่อจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้เรียบร้อย. ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไป ผู้จัดการสาขายื่นถุงกระดาษใบหนึ่งให้ผมและบอกว่า “นี่เป็นของคุณพ่อคุณ.”
เมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมพบเงินก้อนใหญ่อยู่ในนั้น. ครั้นผมถามผู้จัดการถึงเรื่องนี้ในเวลาต่อมา เขาอธิบายว่า เงินนั้นคือเงินสะสมที่หักจากเงินเดือนของคุณพ่อทุกเดือนโดยที่ท่านไม่ทราบ. โดยวิธีนี้ คำพูดของคุณพ่อที่ว่า “พระยะโฮวาจะจัดหาสิ่งจำเป็นให้แก่เราอย่างแน่นอน” จึงเป็นจริง. สิ่งนี้เสริมความเชื่อของผมให้เข้มแข็งอย่างมากเรื่องการดูแลปกป้องของพระยะโฮวา.
รับใช้ต่อไปหลายสิบปี
ความช่วยเหลือด้านวัตถุที่ได้จากเงินก้อนนั้นช่วยผมให้ตั้งใจมุ่งมั่นรักษาสุขภาพให้แข็งแรงดังเดิมที่บ้าน. หนึ่งปีให้หลัง คือในปี 1958 คุณแม่และผมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไพโอเนียร์พิเศษ. หลังจากนั้น ผมรับใช้เป็นผู้ดูแลเดินทางในญี่ปุ่น และแล้วในปี 1961 ผมได้รับสิทธิพิเศษเข้าเรียนในหลักสูตรสิบเดือนของโรงเรียนกิเลียดที่สำนักงานกลางของพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน นิวยอร์ก.
เมื่อผมกลับญี่ปุ่น ผมรับใช้ประชาคมต่าง ๆ ในฐานะผู้ดูแลเดินทางอีกครั้งหนึ่ง. ครั้นแล้วในปี 1963 ผมแต่งงานกับยาซูโกะ ฮาบะ ซึ่งทำงานที่สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในโตเกียว. เธอสมทบกับผมในงานผู้ดูแลเดินทางจนกระทั่งปี 1965 ซึ่งเป็นปีที่เราได้รับเชิญให้ไปรับใช้ที่สำนักงานสาขาในโตเกียว. นับแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็รับใช้ร่วมกัน—ตอนแรกที่สำนักงานสาขาซึ่งตั้งอยู่ในโตเกียว, ถัดจากนั้นในเมืองนูมาสุ, และขณะนี้ในเมืองเอบินา.
คุณแม่ยังคงเป็นผู้เผยแพร่ในฐานะไพโอเนียร์พิเศษจนกระทั่งปี 1965. ตั้งแต่นั้นมา ท่านยังคงขยันขันแข็งในการช่วยหลายคนให้รับเอาความจริงเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. ขณะนี้ ท่านมีอายุ 79 ปีแต่สุขภาพยังแข็งแรงเมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในวัยเดียวกัน. เราสุขใจที่ท่านอยู่ใกล้ ๆ และสามารถเข้าร่วมประชุมในประชาคมเดียวกับเรา ใกล้สำนักงานสาขาเอบินา.
เราขอบคุณพระเจ้ายะโฮวาอย่างแท้จริงที่คุณพ่อรอดชีวิตผ่านการถล่มของระเบิดปรมาณูเหนือเมืองฮิโรชิมา. ท่านธำรงไว้ซึ่งความเชื่อ และผมปรารถนาที่จะต้อนรับท่านกลับมาในโลกใหม่ และเล่าให้ท่านฟังถึงวิธีที่เราได้รับการช่วยให้รอดผ่านอาร์มาเก็ดดอน สงครามที่ท่านอยากเห็นเหลือเกิน. (วิวรณ์ 16:14, 16; 21:3, 4)—เล่าโดยสึโตมุ มิอูระ.
[เชิงอรรถ]
a สำหรับเรื่องราวชีวิตของ มัตสึเอะ อิชิ โปรดดูวารสารว็อชเทาเวอร์ ฉบับ 1 พฤษภาคม 1988 หน้า 21-25.
[รูปภาพหน้า 13]
กัตสุโอะ และฮากิโนะ มิอูระพร้อมด้วยลูกชายสึโตมุ
[รูปภาพหน้า 17]
สึโตมุ มิอูระ ทำงาน ที่สำนักงานสาขาในญี่ปุ่น
[ที่มาของภาพหน้า 15]
Hiroshima Peace and Culture Foundation from material returned by the United States Armed Forces Institute of Pathology