เมื่อมีใครเรียก คุณตอบรับไหม?
เล่าโดยชินอิชิ โตฮารา
ในช่วงแรกของชีวิต ผมไม่ได้เรียกหาพระเจ้า หรือแสวงการนำทางจากพระองค์. คุณปู่คุณย่าอพยพจากประเทศญี่ปุ่นมาตั้งถิ่นฐานที่ฮาวาย และคุณพ่อคุณแม่ของผมก็เป็นพุทธศาสนิกชน. ท่านไม่ได้ถือจริงจังตามความเชื่อเท่าไร ดังนั้น ผมจึงไม่มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้ามากนักในขณะที่ผมเติบโตขึ้น.
ต่อมาผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการ จึงคิดว่าช่างโง่เขลาเสียจริงที่จะเชื่อว่ามีพระเจ้า. อย่างไรก็ตาม เมื่อผมได้ศึกษาในชั้นสูงขึ้น วิชาวิทยาศาสตร์ช่วยให้ผมได้เรียนเกี่ยวกับดาราศาสตร์, ฟิสิกส์, และชีววิทยา. ในตอนกลางคืน ผมจะเพ่งมองท้องฟ้า แล้วนึกสงสัยว่าดวงดาวทั้งหลายมาอยู่ที่นั่นได้อย่างไร. เริ่มมีเสียงถามตัวเองอย่างแผ่วเบาอยู่ภายในว่า ‘เป็นไปได้ไหมที่จะมีพระเจ้าซึ่งควบคุมสิ่งทั้งหมดเหล่านี้?’ ผมเริ่มมีความรู้สึกว่าจะต้องมีใครสักคนอยู่ที่นั่น. หัวใจของผมเริ่มเรียกหา ‘พระเจ้าองค์นี้เป็นใครกัน?’
หลังจากที่จบชั้นมัธยม ในฐานะที่เป็นช่างเครื่องที่โรงงานต้มเหล้าสาเกแห่งหนึ่ง ผมพบว่างานรัดตัวจนไม่มีเวลาที่จะไปคิดรำพึงถึงคำถามเกี่ยวกับพระเจ้า. ไม่นาน ผมก็พบมาซาโกะ ซึ่งได้มาเป็นภรรยาผมในปี 1937 และในที่สุด เราได้รับพระพรด้วยการมีบุตรสามคน. มาซาโกะพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอเป็นคู่ชีวิตที่สัตย์ซื่อและเป็นมารดาที่ขยันขันแข็งจริง ๆ!
เนื่องจากมีครอบครัว ผมจึงคิดจริงจังเกี่ยวกับอนาคตของเรา. อีกครั้งหนึ่ง ผมเริ่มออกไปข้างนอกบ้านแล้วจ้องดูดวงดาว. ผมมั่นใจว่าจะต้องมีพระเจ้า. ผมไม่รู้ว่าพระเจ้าองค์นั้นเป็นใคร แต่ผมก็เริ่มร้องหาพระองค์. ผมวอนขอว่า ‘หากพระองค์สถิตอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ขอทรงโปรดช่วยครอบครัวของข้าพเจ้าให้พบวิถีทางที่จะเดินอยู่ในความสุขได้.’
เสียงเรียกของผมได้รับคำตอบในที่สุด
ก่อนหน้านี้ เราอาศัยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ของผมนับตั้งแต่เราแต่งงาน แต่ในปี 1941 เราเริ่มออกมาอยู่ที่ของเราเองในเมืองฮีโล เกาะฮาวาย. พอเราย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ของเรา ญี่ปุ่นก็โจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ในวันที่ 7 ธันวาคม 1941. เป็นช่วงที่มีแต่ความตึงเครียด ทุกคนเป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับอนาคต.
หนึ่งเดือนหลังจากการโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ขณะที่ผมกำลังขัดรถอยู่ ก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาหาผมแล้วเสนอหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่าเด็ก ๆ (ภาษาอังกฤษ). เขาแนะนำตัวว่าชื่อราล์ฟ การุตต์ เป็นผู้เผยแพร่ของพยานพระยะโฮวา. ผมไม่เข้าใจหรอกว่าเขากำลังพูดอะไร แต่ผมสนใจเรื่องพระเจ้า จึงรับหนังสือเล่มนั้นไว้. ในสัปดาห์ถัดมา ราล์ฟก็กลับมาอีกและเสนอการศึกษาพระคัมภีร์ที่บ้าน. แม้ว่าผมจะเคยได้ยินเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคัมภีร์ไบเบิลจริง ๆ. ผมตอบรับการศึกษาพระคัมภีร์ และภรรยาผมและน้องสาวของเธอก็เข้าร่วมด้วย.
ความจริงที่ว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระวจนะของพระเจ้าประทับใจผมจริง ๆ. (2 ติโมเธียว 3:16, 17) ที่ว่าพระยะโฮวาทรงมีจุดมุ่งหมายนั้นยิ่งวิเศษยิ่งขึ้นอีก. พระองค์เป็นพระผู้สร้างที่ผมแสวงมาตลอด! (ยะซายา 45:18) เราตื่นเต้นที่เรียนรู้ว่าอุทยานแรกเดิมที่สูญเสียไปจะได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่บนแผ่นดินโลกนี้เอง และเราอาจเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานนั้นได้. (วิวรณ์ 21:1-4) นี่คือคำตอบสำหรับการเรียกหาพระเจ้าของผม!
เราพูดกับทุกคนเกี่ยวกับความจริงที่เราเพิ่งพบ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม. คุณพ่อคุณแม่คิดว่าเราเสียสติไปแล้ว แต่นั่นไม่ได้ทำให้เราท้อใจ. หลังจากที่ศึกษาพระคัมภีร์อย่างเอาจริงเอาจังอยู่สามเดือน ในวันที่ 19 เมษายน 1942 ผมพร้อมด้วยภรรยาก็รับบัพติสมา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาพระเจ้าของเรา. โยชิ น้องสาวของมาซาโกะ และเจอร์รี สามีของเธอ ซึ่งในเวลานั้นได้ศึกษาพระคัมภีร์ร่วมกับเราก็รับบัพติสมาพร้อมกับเราด้วย. เรามีความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์บริสุทธิ์เพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็เพียงพอเพื่อกระตุ้นเราให้มีความต้องการที่จะรับใช้พระเจ้า.
ขณะที่สงครามโลกครั้งที่สองยังคุกรุ่นอยู่ ผมก็คาดการณ์ว่าอวสานของระบบนี้จวนจะถึงแล้ว ผมและภรรยาจึงสำนึกถึงความจำเป็นที่จะเตือนให้ประชาชนทราบ. ครอบครัวการุตต์เป็นแบบอย่างสำหรับเราในเรื่องนี้. ทั้งราล์ฟและภรรยาต่างรับใช้ในฐานะไพโอเนียร์ ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลาของพยานพระยะโฮวา. ผมเปรียบเทียบสภาพการณ์ของเรากับของราล์ฟ. เขามีภรรยาและบุตรสี่คน. ส่วนผมมีภรรยาและบุตรเพียงสามคน. ถ้าเขาทำได้ ผมก็น่าจะทำได้ด้วย. ดังนั้น ในเดือนถัดจากที่เรารับบัพติสมา เราก็สมัครเพื่อรับใช้เป็นไพโอเนียร์.
แม้แต่ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นไพโอเนียร์ ผมก็ขายสิ่งของที่ไม่จำเป็นทั้งหมด รวมทั้งกีตาร์ฮาวาย, แซ็กโซโฟน, และไวโอลิน. ก่อนหน้านี้ ผมเป็นคนที่หลงใหลดนตรีมาก แต่ผมก็ทิ้งทุกสิ่งยกเว้นหีบเพลงอันเล็ก ๆ ของผม. ยิ่งกว่านั้น งานที่ทำอยู่ในโรงงานต้มเหล้าสาเกก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไป. (ฟิลิปปอย 3:8) ผมต่อรถพ่วงคันหนึ่ง แล้วรอคอยว่าพระยะโฮวาจะทรงตอบคำทูลวิงวอนของผมที่จะให้ใช้ผมหรือไม่. ผมไม่ต้องคอยนาน. เราได้รับการแต่งตั้งเป็นไพโอเนียร์ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 1942. เรามุ่งตรงสู่งานรับใช้พระยะโฮวาเต็มเวลาทันที และไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนั้น.
งานไพโอเนียร์ในฮาวาย
พร้อมกับครอบครัวการุตต์ เราประกาศทั่วฮาวายซึ่งเป็นเกาะใหญ่ รวมทั้งโคนา ซึ่งเป็นบริเวณที่เลื่องชื่อในการปลูกกาแฟ และคาอู. ในสมัยนั้นเราทำงานโดยใช้เครื่องเล่นจานเสียง ซึ่งออกจะหนัก แต่เรายังหนุ่มแน่นและแข็งแรง. ดังนั้น เราจะถือเครื่องเล่นจานเสียงไว้มือหนึ่ง แล้วหิ้วกระเป๋าหนังสือไว้อีกมือหนึ่ง แล้วเดินไปตามทางซึ่งอาจนำเราไปสู่คนที่มีหูรับฟังในไร่กาแฟน้อยใหญ่และที่อื่น ๆ ทุกที่. เมื่อเราประกาศจนทั่วเกาะแล้ว เราได้รับมอบหมายให้ไปที่โคฮาลาบนเกาะใหญ่. โคฮาลาเป็นบริเวณที่มีการปลูกสวนอ้อยขนาดย่อม มีชาวคอเคเชียน, ชาวฟิลิปินส์, ชาวจีน, ชาวฮาวาย, ชาวญี่ปุ่น, และชาวโปรตุเกสอาศัยอยู่. แต่ละกลุ่มมีขนบธรรมเนียมประเพณี, ความคิด, รสนิยม, และศาสนาของตนเอง.
ครั้นผมเริ่มงานไพโอเนียร์ ผมก็ไม่เคยจับงานฝ่ายโลกอีกเลย. เราอาศัยเงินที่ผมเก็บออมไว้อยู่ชั่วระยะหนึ่ง และเมื่อมีความจำเป็น ผมจะใช้ฉมวกจับปลา. ไม่น่าเชื่อ ผมกลับบ้านด้วยมีปลาบ้างเสมอ. เราเก็บผักและพืชสมุนไพรที่ขึ้นเองตามริมทาง ซึ่งช่วยประดับประดาจานอาหารของเราให้สวยงามในอาหารมื้อเย็น. ผมทำเตาอบโดยใช้สังกะสีเคลือบดีบุก และมาซาโกะก็หัดทำขนมปัง. นับเป็นขนมปังที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยรับประทานมา.
เมื่อเราไปที่ฮอโนลูลูเพื่อประชุมใหญ่ฝ่ายคริสเตียนในปี 1943 โดนัลด์ แฮสเล็ตต์ ซึ่งในเวลานั้นเป็นผู้ดูแลสาขาในฮาวาย เชิญเราให้ย้ายไปที่นั่นและอาศัยในห้องชุดเล็ก ๆ ที่สร้างอยู่บนโรงรถของสมาคมว็อชเทาเวอร์. ผมได้รับมอบหมายให้เป็นคนดูแลอาคารของทางสำนักงานสาขา และได้ชื่นชมกับงานไพโอเนียร์จากที่นั่นเป็นเวลาห้าปี.
การเรียกที่ไม่คาดคิดมาก่อน
ในปี 1943 เราทราบมาว่าทางสมาคมเริ่มมีโรงเรียนฝึกอบรมมิชชันนารีสำหรับงานรับใช้ในต่างแดน. เราอยากจะเข้าร่วมเหลือเกิน! แต่ครอบครัวที่มีบุตรไม่ได้รับเชิญ เราจึงไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก. อย่างไรก็ตาม ในปี 1947 บราเดอร์แฮสเล็ตต์บอกเราว่าทางสมาคมอยากจะทราบว่าจะมีชาวฮาวายคนใดที่เต็มใจจะรับงานรับใช้ต่างแดนในประเทศญี่ปุ่นบ้าง. เขาถามว่าเราคิดอย่างไร ผมจึงตอบเหมือนยะซายาว่า “ทรงใช้ข้าพเจ้าเถิด.” (ยะซายา 6:8) ภรรยาของผมก็รู้สึกเช่นเดียวกัน. เราไม่ลังเลที่จะตอบรับการทรงเรียกของพระยะโฮวา.
ดังนั้น เราจึงได้รับเชิญให้เข้าร่วมโรงเรียนกิเลียดว็อชเทาเวอร์ไบเบิล เพื่อรับการฝึกอบรมเป็นมิชชันนารี. คำเชิญนั้นรวมลูกเล็ก ๆ สามคนของเราด้วย. อีกห้าคนได้รับเชิญเช่นกันก็คือ โดนัลด์และมาเบล แฮสเล็ตต์, เจอร์รีและโยชิ โตมา, และเอลซี ทานิกาวา แล้วเราก็ออกเดินทางไปนิวยอร์กพร้อมกัน ในช่วงฤดูหนาวของปี 1948.
เราข้ามทวีปด้วยรถโดยสารประจำทาง. หลังจากที่อยู่บนรถโดยสารสามวัน เราต่างเหนื่อยอ่อน บราเดอร์แฮสเล็ตต์จึงเสนอแนะว่าเราน่าจะหยุดพักและนอนค้างในโรงแรมสักคืน. เมื่อเราลงจากรถโดยสาร ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเรา แล้วตะโกนว่า “ไอ้ยุ่น! ฉันจะกลับบ้านไปเอาปืนมายิงพวกมัน!”
“พวกเขาไม่ใช่คนญี่ปุ่น” บราเดอร์แฮสเล็ตต์บอก. “พวกเขาเป็นคนฮาวาย. คุณดูไม่ออกหรือ?” เราจึงรอดชีวิตมาได้ด้วยคำพูดที่มีปฏิภาณไหวพริบของเขา.
เราเป็นส่วนหนึ่งของชั้นเรียนที่ 11 ของโรงเรียนกิเลียดจริง ๆ หรือ? ดูเหมือนว่าจะเป็นความฝันอันสูงส่ง. อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้า ความเป็นจริงก็ปรากฏแจ้ง. ในชั้นเรียนของเรา นักเรียน 25 คนได้รับการคัดเลือกโดยนายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ซึ่งในเวลานั้นคือ นาธาน เอช. นอรร์ เพื่อรับการฝึกอบรมสำหรับงานรับใช้เป็นมิชชันนารีถ้าเป็นได้ในญี่ปุ่น. เนื่องจากผมมีเชื้อสายเป็นคนญี่ปุ่นและพูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้าง ผมจึงได้รับมอบหมายให้สอนภาษาแก่นักเรียนกลุ่มนี้. เนื่องจากผมไม่ชำนาญในภาษานี้ จึงไม่ง่าย แต่ถึงอย่างไร เราก็ไปได้ตลอดรอดฝั่ง!
ตอนนั้น ลอย ลูกชายของเราอายุสิบขวบ ส่วนเธลมาและแซลลี ลูกสาวของเราอายุแปดและหกขวบ. ในช่วงที่เราเข้าโรงเรียน พวกลูก ๆ ทำอะไร? พวกเขาก็ไปโรงเรียนด้วย! มีรถโดยสารมารับพวกเขาในตอนเช้า แล้วก็พาเขากลับบ้านในตอนบ่ายของวันนั้น. เมื่อลูก ๆ กลับจากโรงเรียน ลอยจะทำงานกับพี่น้องชายที่ฟาร์มของสมาคม ส่วนเธลมากับแซลลีจะทำงานในห้องซักรีด โดยช่วยพับผ้าเช็ดหน้า.
ปรับความคิดจิตใจไปสู่ที่ที่ไม่รู้จัก
เมื่อเราจบจากกิเลียดในวันที่ 1 สิงหาคม 1948 เราอยากจะไปถึงเขตมอบหมายของเราเหลือเกิน. บราเดอร์แฮสเล็ตต์ล่วงหน้าเราไปก่อน เพื่อหาที่พักสำหรับมิชชันนารี. ในที่สุด เขาก็พบบ้านสองชั้นหลังหนึ่งในกรุงโตเกียว และในวันที่ 20 สิงหาคม 1949 ครอบครัวของเราก็ออกเดินทางมุ่งสู่บ้านในอนาคตของเรา.
ก่อนที่จะมาถึงญี่ปุ่น ผมเคยคิดอยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับแดนบูรพาแห่งนี้. ผมครุ่นคิดถึงความจงรักภักดีของคนญี่ปุ่นที่มีต่อเจ้าขุนที่เป็นมนุษย์และต่อจักรพรรดิ. คนญี่ปุ่นจำนวนมากมอบชีวิตของเขาให้ผู้ครอบครองที่เป็นมนุษย์เหล่านี้. ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง นักบินกามิกาเซยอมตายเพื่อจักรพรรดิ โดยขับเครื่องบินพุ่งเข้าใส่ปล่องควันของเรือรบศัตรู. ผมจำได้ว่าเคยคิดถึงว่าถ้าคนญี่ปุ่นภักดีต่อผู้ที่เป็นเจ้านายที่เป็นมนุษย์ถึงเพียงนี้ พวกเขาจะเป็นอย่างไรหากได้พบพระเจ้าเที่ยงแท้ พระยะโฮวา?
ตอนที่เรามาถึงญี่ปุ่น มีมิชชันนารีอยู่เพียงเจ็ดคนและผู้ประกาศหยิบมือเดียวทั่วทั้งประเทศ. พวกเราทุกคนลงมือทำงาน ผมพยายามปรับปรุงความรู้เกี่ยวกับภาษา จนสามารถเริ่มการศึกษาพระคัมภีร์หลายรายกับผู้ซึ่งหัวใจกำลังเรียกหาพระเจ้า. นักศึกษาพระคัมภีร์จำนวนหนึ่งในสมัยแรก ๆ เหล่านั้นยังคงรักษาความซื่อสัตย์จนถึงทุกวันนี้.
รับใช้เป็นมิชชันนารีพร้อมกับลูก ๆ ของเรา
เราทำงานรับใช้เป็นมิชชันนารีให้ลุล่วงไปได้อย่างไรโดยมีลูกเล็ก ๆ สามคนที่ต้องดูแล? พระยะโฮวาทรงหนุนหลังเรื่องนี้ทั้งหมด. เราได้รับเบี้ยเลี้ยงจำนวนเล็กน้อยจากทางสมาคม ส่วนมาซาโกะก็เย็บเสื้อผ้าให้ลูก. นอกจากนี้ เรายังรับความช่วยเหลือจากคุณพ่อคุณแม่ของผมบ้าง.
หลังจากที่ลอยจบชั้นมัธยมต้น เขาก็ทำงานรับใช้ที่สาขาของสมาคมว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแอนด์แทรกต์ที่ญี่ปุ่นอยู่ระยะหนึ่ง. อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัญหาทางด้านสุขภาพ เขาจึงตัดสินใจกลับไปที่ฮาวายเพื่อรับการรักษา. เวลานี้ เขาและภรรยากำลังรับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย. การสมรสของเขาทำให้เราได้ชื่นชมกับหลานที่ซื่อสัตย์สี่คน. ทุกคนรับบัพติสมา และคนหนึ่งพร้อมด้วยภรรยากำลังรับใช้ที่สำนักเบเธลในบรุกลิน ซึ่งเป็นสำนักงานกลางของพยานพระยะโฮวาทั่วโลก.
ลูกสาวของผม เธลมาและแซลลี ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นมิชชันนารีเมื่อเขาทั้งสองเติบโตขึ้น. ขณะนี้ เธลมากำลังรับใช้ในฐานะมิชชันนารีในเมืองโตยามา. ส่วนแซลลีแต่งงานกับพี่น้องมิชชันนารีชื่อรอน ทรอสต์ และทั้งสองได้ทำงานรับใช้ในประเทศญี่ปุ่นในฐานะมิชชันนารีในงานซึ่งต้องเดินทาง เป็นเวลากว่า 25 ปี.
จากเหนือลงใต้
หลังจากที่อยู่ในโตเกียวสองปี เราก็ถูกส่งไปยังเมืองโอซากาเป็นเวลาสองปี. งานมอบหมายถัดไปนำเราขึ้นเหนือไปยังเมืองเซนได เราทำงานรับใช้ที่นั่นอยู่ประมาณหกปี. ระยะเวลาที่อยู่ในเซนไดช่วยหล่อหลอมเราสำหรับงานมอบหมายต่าง ๆ ในเกาะที่อยู่เหนือสุดของญี่ปุ่น คือเกาะฮอกไกโด. ที่ฮอกไกโดนี้เองที่ลูกสาวสองคนของเราได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมิชชันนารี. และก็ที่นั่นอีกเช่นกันที่เราต้องทำตัวให้ชินกับอุณหภูมิในฤดูหนาวซึ่งบางครั้งต่ำกว่าศูนย์. หลังจากที่อยู่ในฮาวายซึ่งเป็นเมืองร้อนจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงมากทีเดียว.
แล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้ยินการทรงเรียกครั้งใหม่ในรูปแบบของจดหมายจากทางสมาคม ขอให้ผมไปเปิดสำนักงานสาขาที่เกาะโอกินาวา ซึ่งในเวลานั้นยังอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯอยู่. การย้ายจากจุดเหนือสุดอันหนาวเย็นของประเทศญี่ปุ่นไปยังที่ซึ่งในเวลานี้ได้กลายมาเป็นเขตที่อยู่ใต้สุดของประเทศญี่ปุ่นนับเป็นการท้าทายมากทีเดียว. ผมจะทำอย่างไร? แม้จะรู้สึกว่าความสามารถยังไม่พอ แต่ผมก็ไปถึงเกาะโอกินาวาในเดือนพฤศจิกายน 1965 โดยมีภรรยาที่สัตย์ซื่ออยู่เคียงข้างเหมือนเช่นทุกครั้ง. ชีวิตที่เกาะโอกินาวาจะเหมือนกับชีวิตในประเทศญี่ปุ่นไหม? วัฒนธรรมจะเป็นอย่างไร? ประชาชนจะตอบรับต่อข่าวสารแห่งความรอดจากพระยะโฮวาไหม?
ตอนที่เราไปถึง มีผู้ประกาศไม่ถึง 200 คนในโอกินาวา. ปัจจุบัน มีกว่า 2,000 คน. ในสมัยแรกเริ่ม ครึ่งหนึ่งของเวลาผมเป็นผู้ดูแลหมวดและอีกครึ่งหนึ่งของเวลาผมเป็นผู้ดูแลสาขา. การที่ได้เดินทางทั่วเกาะต่าง ๆ ช่วยให้ผมได้สร้างสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพี่น้องที่นั่น และผมถือว่าเป็นสิทธิพิเศษที่ได้รับใช้พวกเขา.
ปราศจากอุปสรรคหรือ?
งานมิชชันนารีของเราใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรค. ในขณะที่เรากำลังพักร้อนอยู่ในสหรัฐฯในปี 1968 นั้น มาซาโกะก็ล้มป่วยและต้องรับการผ่าตัด. เธอมีเนื้องอกในลำไส้ที่ต้องเอาออก ซึ่งเธอก็ฟื้นตัวเร็วอย่างน่าประหลาด. เราไม่ได้ประกันสุขภาพ จึงเป็นห่วงว่าเราอาจจะไม่สามารถกลับไปทำงานมอบหมายของเราต่อได้. อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังความประหลาดใจแก่เราเป็นอย่างยิ่งก็คือพี่น้องในความเชื่อเอาใจใส่ในทุกเรื่องแทนเรา.
ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวผมเอง ในเวลานี้ ผมต้องรับมือกับปัญหาซึ่งเกิดกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน. แม้ว่าจะไม่ถึงกับตาบอด แต่สายตาของผมก็เสียไปมาก. แต่ด้วยความรักกรุณาของพระยะโฮวา ผมสามารถรับอาหารฝ่ายวิญญาณเป็นประจำด้วยการฟังเทปบันทึกเสียงของวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด. พี่น้องชายหญิงก็ช่วยอ่านเรื่องราวต่าง ๆ ให้ผมฟังด้วย.
ผมจะให้คำบรรยายสาธารณะต่อไปได้อย่างไรในเมื่อสายตาของผมเสียไปแล้วเช่นนี้? ตอนแรก ผมบันทึกคำบรรยายของผมลงเทป แล้วเล่นเทปผ่านระบบเสียงในขณะเดียวกันผมจะแสดงท่าทางประกอบ. อย่างไรก็ตาม ผมปรับปรุงเรื่องนี้โดยทำตามคำเสนอแนะของลูกสาว. เวลานี้ ผมจะบันทึกคำบรรยายต่าง ๆ โดยใช้เครื่องบันทึกเสียงอันเล็ก ๆ แล้วให้คำบรรยายในขณะที่ฟังคำบรรยายที่บันทึกไว้ล่วงหน้าด้วยหูฟัง.
เมื่อไรก็ตามที่เราเผชิญปัญหาจริง ๆ เราไม่เคยละเลยการทูลขอพระยะโฮวา. ในที่สุด พระพรต่าง ๆ ที่ได้จากการที่พระยะโฮวาทรงแก้ไขปัญหาเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นปัญหาเสมอ. การคงอยู่ในงานรับใช้พระองค์ต่อไปเป็นวิถีทางเดียวที่จะแสดงการขอบพระคุณพระองค์.
หลังจากที่อยู่ในเกาะโอกินาวา 23 ปี เราก็ได้รับมอบหมายอีกครั้งหนึ่งให้ไปยังตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ซึ่งเราเคยรับใช้มาก่อนเมื่อเราเหยียบย่างเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก. สำนักงานใหญ่และบ้านพักมิชชันนารีที่ใหญ่ที่สุดของทางสมาคมก็ตั้งอยู่ในที่ที่มีอยู่แต่แรกของอาคารสองชั้นหลังนั้นในโตเกียว ที่บราเดอร์แฮสเล็ตต์ซื้อไว้เมื่อหลายปีก่อน.
นอกจากมาซาโกะและผมแล้ว ญาติ ๆ ของเรา 11 คนก็กำลังรับใช้ในฐานะมิชชันนารีอยู่ในประเทศญี่ปุ่น. ทุกคนถือว่าเป็นสิทธิพิเศษยิ่งที่ได้เห็นความเจริญก้าวหน้าที่พระยะโฮวาทรงนำมาสู่ดินแดนแห่งวัฒนธรรมที่ศาสนาพุทธและศาสนาชินโตมีอิทธิพลอยู่. การงานในประเทศญี่ปุ่นนั้นเริ่มจากจุดเล็ก ๆ แต่พระเดชานุภาพของพระยะโฮวาทรงสร้าง “ชาติ” หนึ่งขึ้นซึ่งประกอบด้วยผู้ประกาศข่าวดีกว่า 167,000 คน.—ยะซายา 60:22.
เมื่อผมเรียกหาพระยะโฮวา พระองค์ทรงตอบผม. เมื่อพระองค์ทรงเชื้อเชิญผม ผมก็ตอบรับอย่างไม่รอรี. ผมและภรรยารู้สึกว่าเราได้ทำในสิ่งที่น่าจะทำ. แล้วคุณละ? เมื่อพระผู้สร้างทรงเรียก คุณตอบรับไหม?
[รูปภาพหน้า 28]
ครอบครัวโตฮารากับเพื่อนไพโอเนียร์ในฮาวาย ปี 1942
[รูปภาพหน้า 29]
ลูก ๆ ของครอบครัวโตฮาราที่กิเลียดในปี 1948
[รูปภาพหน้า 31]
ชินอิชิ และมาซาโกะ โตฮารามีความสุขที่ตอบรับการทรงเรียกด้วยการทำงานรับใช้เป็นมิชชันนารี 43 ปี