ผลประโยชน์จากการรักพระคำของพระเจ้า
“จงรักพระปัญญา, และพระปัญญาจะบำรุงรักษาเจ้าไว้. . . . พระปัญญาจะนำพาเกียรติศักดิ์มาสู่เจ้า, เมื่อเจ้ากลมกลืนอยู่กับพระปัญญา.”—สุภาษิต 4:6, 8.
1. การรักพระคำของพระเจ้าอย่างแท้จริงหมายรวมถึงอะไร?
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคริสเตียน. อย่างไรก็ตาม การอ่านเพียงอย่างเดียวไม่ได้แสดงถึงความรักต่อพระคำของพระเจ้า. จะเป็นอย่างไรถ้าใครคนหนึ่งอ่านคัมภีร์ไบเบิล แต่แล้วก็ทำสิ่งต่าง ๆ ที่คัมภีร์ไบเบิลตำหนิ? เห็นได้ชัด เขาไม่ได้รักพระคำของพระเจ้าอย่างที่ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบท 119 รัก. ความรักต่อพระคำของพระเจ้าชักนำท่านให้ดำเนินชีวิตประสานกับข้อเรียกร้องของพระคำนั้น.—บทเพลงสรรเสริญ 119:97, 101, 105.
2. มีผลประโยชน์อะไรจากสติปัญญาที่อาศัยพระคำของพระเจ้า?
2 เพื่อจะดำเนินชีวิตประสานกับพระคำของพระเจ้า คนเราจำต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดและแนวดำเนินชีวิตอยู่เสมอ. แนวทางดังกล่าวสะท้อนพระสติปัญญาของพระเจ้า ซึ่งได้แก่การใช้ประโยชน์จากความรู้และความเข้าใจที่ได้รับจากการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. “จงรักพระปัญญา, และพระปัญญาจะบำรุงรักษาเจ้าไว้. จงตีราคาพระปัญญาให้สูง, และพระปัญญาก็จะเลื่อนเจ้าขึ้นสู่ระดับสูง; พระปัญญาจะนำพาเกียรติศักดิ์มาสู่เจ้า, เมื่อเจ้ากลมกลืนอยู่กับพระปัญญา. พระปัญญาจะให้คุณมงคลสวมศีรษะเจ้า; พระปัญญาจะนำมงกุฎแห่งความงามมาให้แก่เจ้า.” (สุภาษิต 4:6, 8, 9) ช่างให้กำลังใจอย่างดีสักเพียงไรที่จะพัฒนาความรักต่อพระคำของพระเจ้าและได้รับการชี้นำจากพระคำนั้น! ใครล่ะที่ไม่ต้องการการปกป้อง, การยกย่อง, และสง่าราศี?
ได้รับการป้องกันจากผลเสียหายถาวร
3. เหตุใดคริสเตียนจำเป็นต้องได้รับการปกป้องยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา และให้พ้นจากใคร?
3 คนเราได้รับการป้องกันในทางใดโดยสติปัญญาที่ได้รับจากการศึกษาและการใช้พระคำของพระเจ้า? ประการหนึ่งนั้น เขาได้รับการปกป้องให้พ้นจากซาตานพญามาร. พระเยซูทรงสอนเหล่าสาวกให้อธิษฐานขอทรงช่วยให้รอดจากตัวชั่วร้าย คือซาตาน. (มัดธาย 6:13) ทุกวันนี้ นับว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริงที่ต้องรวมเรื่องนี้เข้าไว้ในคำอธิษฐานของเรา. ซาตานและพวกผีปิศาจของมันถูกเหวี่ยงจากสวรรค์หลังปี 1914 และด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงมี “ความโกรธยิ่งนัก ด้วยรู้ว่ามันมีระยะเวลาอันสั้น.” (วิวรณ์ 12:9, 10, 12, ล.ม.) ณ เวลาที่ล่วงเลยมามากแล้วนี้ มันคงโกรธจัดแน่ ๆ เมื่อไม่ประสบความสำเร็จในการทำสงครามต่อสู้คนเหล่านั้น “ซึ่งปฏิบัติตามข้อบัญญัติต่าง ๆ ของพระเจ้าและมีงานเป็นพยานถึงพระเยซู.”—วิวรณ์ 12:17, ล.ม.
4. คริสเตียนได้รับการปกป้องจากแรงกดดันและบ่วงแร้วของซาตานโดยวิธีใด?
4 ด้วยความโกรธ ซาตานยังคงกระตุ้นให้เกิดความยุ่งยากขึ้นกับคริสเตียนผู้รับใช้เหล่านี้ต่อไป และปลุกเร้าให้เกิดการกดขี่อย่างรุนแรงหรือก่อให้เกิดอุปสรรคอื่น ๆ เพื่อขัดขวางกิจการงานของพวกเขา. มันยังต้องการจะล่อลวงผู้ประกาศราชอาณาจักรให้มุ่งเน้นในสิ่งต่าง ๆ อย่างเช่น ความเด่นดังทางโลก, การรักความสบาย, การได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติฝ่ายวัตถุ, และการมุ่งติดตามความเพลิดเพลิน แทนที่จะเน้นเกี่ยวกับงานประกาศเรื่องราชอาณาจักร. อะไรปกป้องผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าไว้จากการยอมแพ้แก่แรงกดดันจากซาตานหรือการติดบ่วงแร้วของมัน? แน่นอน คำอธิษฐาน, สัมพันธภาพที่ใกล้ชิดเป็นส่วนตัวกับพระยะโฮวา, และความเชื่อมั่นในความแน่นอนแห่งคำสัญญาของพระองค์นับว่าสำคัญ. แต่ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกับความรู้และความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเอาใจใส่ข้อเตือนใจจากพระคำของพระเจ้า. ข้อเตือนใจเหล่านี้มาทางการอ่านคัมภีร์ไบเบิลและเครื่องช่วยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล, การเข้าร่วมการประชุมของคริสเตียน, การเอาใจใส่คำแนะนำของพระคัมภีร์จากเพื่อนร่วมความเชื่อ, หรือเพียงแต่โดยคิดรำพึงพร้อมด้วยการอธิษฐานเกี่ยวด้วยหลักการของคัมภีร์ไบเบิลซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าช่วยให้ระลึกขึ้นได้.—ยะซายา 30:21; โยฮัน 14:26; 1 โยฮัน 2:15-17.
5. สติปัญญาที่อาศัยพระคำของพระเจ้าช่วยปกป้องเราไว้ในทางใดบ้าง?
5 คนที่รักพระคำของพระเจ้าได้รับการปกป้องในทางอื่นด้วย. ตัวอย่างเช่น พวกเขาหลีกเลี่ยงความปวดร้าวทางอารมณ์และโรคทางกายซึ่งเป็นผลจากการกระทำต่าง ๆ อย่างเช่นการใช้ยาเสพย์ติด, การใช้ยาสูบ, และการประพฤติผิดศีลธรรม. (1 โกรินโธ 5:11; 2 โกรินโธ 7:1) พวกเขาไม่มีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ร้าวฉานโดยการซุบซิบนินทาหรือด้วยคำพูดที่ไม่กรุณา. (เอเฟโซ 4:31) อีกทั้งพวกเขาไม่ตกเป็นเหยื่อของความสงสัยด้วยการเจาะลึกเข้าไปในปรัชญาอันลวงหลอกแห่งสติปัญญาของโลก. (1 โกรินโธ 3:19) ด้วยความรักที่มีต่อพระคำของพระเจ้า พวกเขาป้องกันตัวจากสิ่งต่าง ๆ ที่อาจทำลายสัมพันธภาพของตนกับพระเจ้าและความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์. พวกเขาเอาเป็นธุระในการช่วยเพื่อนบ้านให้แสดงความเชื่อในคำสัญญาอันยอดเยี่ยมที่มีในคัมภีร์ไบเบิล โดยทราบว่าด้วยการทำอย่างนี้เขาจะ ‘ช่วยทั้งตัวของเขาและคนทั้งปวงที่ฟังเขาให้รอด.’—1 ติโมเธียว 4:16.
6. สติปัญญาที่อาศัยพระคำของพระเจ้าจะปกป้องเราไว้แม้แต่ภายใต้สภาพการณ์ที่ลำบากได้อย่างไร?
6 จริงอยู่ ทุกคน—แม้แต่คนที่รักพระคำของพระเจ้า—อยู่ภายใต้ “วาระและเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดล่วงหน้า.” (ท่านผู้ประกาศ 9:11, ล.ม.) เป็นเรื่องไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่บางคนในพวกเราประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ, ความเจ็บป่วยร้ายแรง, อุบัติเหตุ, หรือความตายก่อนเวลาอันควร. ถึงกระนั้น เราได้รับการปกป้อง. ไม่มีภัยพิบัติใดสามารถก่อผลเสียหายถาวรแก่คนที่รักพระคำของพระเจ้าอย่างแท้จริง. ฉะนั้น เราไม่ควรเป็นห่วงเกินไปเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต. เมื่อได้ทำทุกสิ่งที่ควรทำเพื่อป้องกันเอาไว้แล้ว ก็ควรทิ้งเรื่องต่าง ๆ ไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่ปล่อยให้ความไม่มั่นคงของชีวิตในปัจจุบันมาทำลายสันติสุขของเรา. (มัดธาย 6:33, 34; ฟิลิปปอย 4:6, 7) พึงระลึกเสมอถึงความแน่นอนแห่งความหวังเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายและชีวิตที่ดีกว่าเมื่อพระเจ้า “ทำสิ่งทั้งปวงให้ใหม่.”—วิวรณ์ 21:5, ล.ม.; โยฮัน 11:25.
จงพิสูจน์ตัวคุณเองว่าเป็น “ดินดี”
7. พระเยซูทรงเล่าอุทาหรณ์อะไรแก่ฝูงชนที่มาฟังพระองค์?
7 มีการเน้นถึงความสำคัญของการมีทัศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระคำของพระเจ้าในอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งของพระเยซู. ขณะที่พระเยซูทรงประกาศข่าวดีไปทั่วปาเลสไตน์ ฝูงชนพากันมาฟังพระองค์. (ลูกา 8:1, 4) อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนรักพระคำของพระเจ้าจริง ๆ. ไม่ต้องสงสัย หลายคนมาฟังพระองค์เพราะเขาอยากเห็นการอัศจรรย์ หรือไม่ก็เพราะเขาชอบวิธีอันน่าทึ่งในการสอนของพระองค์. ด้วยเหตุนั้น พระเยซูทรงเล่าอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งแก่ฝูงชน: “มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช [“เมล็ด,” ล.ม.] ของตน และเมื่อเขาหว่าน, พืชนั้นก็ตกอยู่ริมหนทางบ้าง ถูกเหยียบย่ำ, และนกในอากาศมาเก็บกินเสีย. บ้างก็ตกที่หินและเมื่องอกขึ้นแล้วก็เหี่ยวแห้งไปเพราะที่ไม่ชื้น. บ้างก็ตกที่กลางหนาม, หนามก็งอกขึ้นมาด้วยปกคลุมเสีย. บ้างก็ตกที่ดินดี, จึงงอกขึ้นเกิดผลร้อยเท่า.”—ลูกา 8:5-8.
8. ในอุทาหรณ์ของพระเยซู เมล็ดหมายถึงอะไร?
8 อุทาหรณ์ของพระเยซูแสดงว่าจะมีการตอบรับที่แตกต่างกันต่อการประกาศข่าวดี ขึ้นอยู่กับสภาพหัวใจของผู้ฟัง. เมล็ดที่หว่านได้แก่ “พระวจนะของพระเจ้า.” (ลูกา 8:11) หรือดังที่บันทึกอุทาหรณ์นี้อีกแห่งหนึ่งกล่าวไว้ว่า เมล็ดนั้นได้แก่ “คำแห่งแผ่นดินพระเจ้า.” (มัดธาย 13:19) พระเยซูสามารถใช้ทั้งสองวลีนี้ เนื่องจากสาระสำคัญแห่งพระคำของพระเจ้าก็คือเรื่องราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ภายใต้เยซูคริสต์ผู้เป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งโดยทางราชอาณาจักรนี้ พระยะโฮวาจะพิสูจน์ความถูกต้องแห่งพระบรมเดชานุภาพและทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์. (มัดธาย 6:9, 10) ดังนั้น โดยแท้แล้ว เมล็ดหมายถึงข่าวสารที่เป็นข่าวดีในพระคำของพระเจ้า คือคัมภีร์ไบเบิล. พยานพระยะโฮวาเน้นข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรขณะที่พวกเขาหว่านเมล็ดตามแบบอย่างของผู้เริ่มการหว่าน คือพระเยซูคริสต์. พวกเขาพบการตอบรับเช่นไร?
9. เมล็ดที่ตกตามที่ต่าง ๆ หมายถึงอะไร (ก) ตกริมทาง? (ข) ตกบนหิน? (ค) ตกบนดินมีหนามคลุม?
9 พระเยซูตรัสว่าเมล็ดบางเมล็ดตกริมทางและถูกย่ำเหยียบ. นี่หมายถึงคนที่มีธุระยุ่งเกินไปจนเมล็ดแห่งราชอาณาจักรไม่อาจงอกรากในหัวใจของเขาได้. ก่อนที่เขาจะสามารถพัฒนาความรักต่อพระคำของพระเจ้า “มารมาชิงเอาพระวจนะจากใจของเขา, เพื่อไม่ให้เขาเชื่อและรอดได้.” (ลูกา 8:12) เมล็ดบางเมล็ดตกบนหิน. นี่หมายถึงคนที่ถูกดึงดูดโดยข่าวสารของคัมภีร์ไบเบิล แต่ไม่ยอมให้ข่าวสารนั้นก่อผลกระทบหัวใจของตน. เมื่อเกิดการต่อต้านหรือเมื่อเขาพบว่ายากจะทำตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิล “เขาก็หลงเสียไป” เพราะเขาไม่มีรากหยั่งลึก. (ลูกา 8:13) นอกจากนั้นก็มีคนที่ได้ยินพระคำแต่ถูกครอบงำด้วย “ความกระวนกระวายและความมั่งคั่งและความสนุกสนานของชีวิตนี้.” ในที่สุด เช่นเดียวกับพืชที่ถูกหนามปกคลุม เขา “จึงถูกปิดคลุมไว้มิด.”—ลูกา 8:14.
10, 11. (ก) ดินดีหมายถึงใคร? (ข) เราต้องทำอะไรเพื่อจะ “รักษา” พระคำของพระเจ้าไว้ในหัวใจเรา?
10 ในที่สุด มีเมล็ดที่ตกบนดินดี. นี่หมายถึงคนที่รับข่าวสาร “ด้วยใจเลื่อมใสศรัทธา.” ตามธรรมดาแล้ว เราแต่ละคนย่อมคิดว่าตัวเองจัดอยู่ในประเภทนี้. แต่ถ้าจะกล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ทัศนะของของพระเจ้าต่างหากที่นับว่าสำคัญ. (สุภาษิต 17:3; 1 โกรินโธ 4:4, 5) พระคำของพระองค์กล่าวว่าการที่เรามี “ใจเลื่อมใสศรัทธา” นั้นพิสูจน์ได้ด้วยการกระทำของเรานับแต่นี้ไปจนกระทั่งเราเสียชีวิตหรือจนกระทั่งพระเจ้าทรงนำอวสานมาสู่ระบบชั่วนี้. หากเรายินดีตอบรับข่าวสารราชอาณาจักรตั้งแต่แรกก็นับว่าดี. อย่างไรก็ตาม คนที่มีใจเลื่อมใสศรัทธาจะยอมรับพระคำของพระเจ้าและ “จดจำ [“รักษา,” ล.ม.] ไว้, จึงเกิดผลโดยความเพียร.”—ลูกา 8:15.
11 ทางเดียวที่แน่ใจได้ในการรักษาพระคำของพระเจ้าไว้ในหัวใจเราได้แก่การอ่านและศึกษาพระคำนั้น ทั้งเป็นส่วนตัวและร่วมกันกับเพื่อนร่วมความเชื่อ. นี่หมายรวมถึงการรับผลประโยชน์เต็มที่จากอาหารฝ่ายวิญญาณผ่านช่องทางที่ทรงแต่งตั้งไว้ให้ดูแลผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณของเหล่าสาวกแท้ของพระเยซู. (มัดธาย 24:45-47) ด้วยวิธีนี้เอง คนที่รักษาพระคำของพระเจ้าไว้ในหัวใจตนได้รับแรงบันดาลใจจากความรักที่จะ “เกิดผลโดยความเพียร.”
12. เราต้องเกิดผลเช่นไรด้วยความอดทน?
12 เกิดผลเช่นไรจากดินดี? ในธรรมชาติ เมล็ดเติบโตขึ้นเป็นต้นพืชที่เกิดดอกออกผลชนิดเดียวกับเมล็ด ซึ่งก็จะสามารถขยายดอกออกผลต่อ ๆ ไป. ในทำนองเดียวกัน สำหรับผู้มีหัวใจดีงาม เมล็ดแห่งพระคำนั้นงอกงามขึ้นในตัวเขา ทำให้เขาก้าวหน้าทางฝ่ายวิญญาณจนกระทั่งเขาสามารถหว่านเมล็ดนั้นในหัวใจของผู้อื่นต่อไป. (มัดธาย 28:19, 20) และงานของพวกเขาในการหว่านมีลักษณะเด่นที่ความอดทน. พระเยซูทรงแสดงถึงความสำคัญของความอดทนในการหว่านโดยตรัสว่า “ผู้ใดที่ได้อดทนจนถึงที่สุดผู้นั้นจะได้รับการช่วยให้รอด. และข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ; และครั้นแล้วอวสานจะมาถึง.”—มัดธาย 24:13, 14, ล.ม.
“เกิดผลต่อไปในการงานที่ดีทุกอย่าง”
13. เปาโลกล่าวคำอธิษฐานอะไรซึ่งเชื่อมโยงการเกิดผลเข้ากับความรู้เกี่ยวกับพระคำของพระเจ้า?
13 อัครสาวกเปาโลก็เช่นกันกล่าวถึงความจำเป็นต้องเกิดผล และท่านเชื่อมโยงการเกิดผลเข้ากับพระคำของพระเจ้า. ท่านอธิษฐานขอให้เพื่อนร่วมความเชื่อ “ประกอบด้วยความรู้ถ่องแท้เรื่องพระทัยประสงค์ของ [พระเจ้า] ในสรรพปัญญา และความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ เพื่อจะดำเนินคู่ควรกับพระยะโฮวา เพื่อทำให้พระองค์พอพระทัยอย่างเต็มเปี่ยม ขณะที่ท่านทั้งหลายเกิดผลต่อไปในการงานที่ดีทุกอย่าง.”—โกโลซาย 1:9, 10, ล.ม.; ฟิลิปปอย 1:9-11.
14-16. สอดคล้องกับคำอธิษฐานของเปาโล คนเหล่านั้นที่รักพระคำของพระเจ้าเกิดผลเช่นไร?
14 โดยวิธีนั้น เปาโลชี้ว่าการรับความรู้ในคัมภีร์ไบเบิล ในตัวมันเองแล้ว ไม่ใช่เป้าหมายสุดยอด. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ความรักต่อพระคำของพระเจ้าก่อแรงบันดาลใจให้เรา “ดำเนินคู่ควรกับพระยะโฮวา” ด้วยการ “เกิดผลต่อไปในการงานที่ดีทุกอย่าง.” การงานที่ดีอะไร? การประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรเป็นงานมอบหมายที่โดดเด่นสำหรับคริสเตียนในสมัยสุดท้ายนี้. (มาระโก 13:10) นอกจากนี้ คนที่รักพระคำของพระเจ้าพยายามอย่างดีที่สุดที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินเป็น ประจำ แก่ งาน นี้. พวกเขายินดีในสิทธิพิเศษนี้ โดยทราบว่า “พระเจ้าทรงรักผู้ให้ด้วยใจยินดี.” (2 โกรินโธ 9:7, ล.ม.) การบริจาคของพวกเขาจะถูกนำไปใช้สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสำนักเบเธลมากกว่าหนึ่งร้อยแห่ง ซึ่งดูแลเอาใจใส่กิจการงานประกาศเรื่องราชอาณาจักร และในบางแห่งจัดพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลและสรรพหนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิลด้วย. การบริจาคของพวกเขายังช่วยค่าใช้จ่ายในการจัดการประชุมใหญ่ของคริสเตียนและในการส่งผู้ดูแลเดินทาง, มิชชันนารี, และผู้ประกาศเต็มเวลาออกไปในงานรับใช้ด้วย.
15 การงานที่ดีอย่างอื่นรวมถึงการก่อสร้างและบำรุงรักษาศูนย์กลางต่าง ๆ แห่งการนมัสการแท้. ความรักต่อพระคำของพระเจ้ากระตุ้นผู้นมัสการพระองค์ในการทำให้แน่ใจว่าหอประชุมใหญ่และหอประชุมราชอาณาจักรจะไม่ถูกละเลย. (เทียบกับนะเฮมยา 10:39.) เนื่องจากพระนามของพระเจ้าปรากฏอยู่หน้าอาคารเหล่านี้ จึงสำคัญที่มีการรักษาทั้งภายในและภายนอกให้สะอาดและเป็นที่ดึงดูดความสนใจอยู่เสมอ ตลอดจนความประพฤติของผู้ที่นมัสการในหอประชุมเหล่านี้ต้องไม่ให้ใครตำหนิได้. (2 โกรินโธ 6:3) คริสเตียนบางคนสามารถทำได้มากกว่า. ความรักต่อพระคำของพระเจ้ากระตุ้นพวกเขาให้เดินทางไกลเพื่อร่วมในการก่อสร้างสถานนมัสการแห่งใหม่ในส่วนต่าง ๆ ของโลกที่มีความจำเป็นเนื่องจากความยากจนหรือขาดความชำนาญ.—2 โกรินโธ 8:14.
16 การ “เกิดผลต่อไปในการงานที่ดีทุกอย่าง” ยังรวมไปถึงการเอาใจใส่พันธะหน้าที่ต่อครอบครัวและการแสดงความห่วงใยต่อเพื่อนคริสเตียน. ความรักต่อพระคำของพระเจ้ากระตุ้นเราให้มีความรู้สึกไวที่จะสังเกตเห็นความจำเป็นของคนเหล่านั้น “ที่สัมพันธ์กับเราในความเชื่อ” และ “แสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าในครอบครัวของตัวเอง.” (ฆะลาเตีย 6:10, ล.ม.; 1 ติโมเธียว 5:4, 8, ล.ม.) เมื่อคำนึงถึงข้อนี้ เป็นการงานที่ดีที่จะไปเยี่ยมคนป่วยและปลอบประโลมผู้โศกเศร้า. และผู้ปกครองในประชาคมและคณะกรรมการประสานงานกับโรงพยาบาลได้ทำการงานที่ดียิ่งสักเพียงไรในการช่วยพี่น้องที่เผชิญสถานการณ์ที่ท้าทายทางการแพทย์! (กิจการ 15:29) นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีภัยพิบัติที่เพิ่มมากขึ้น—บางอย่างเกิดจากธรรมชาติและบางอย่างเกิดจากความเขลาของมนุษย์. ด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระเจ้า พยานพระยะโฮวาได้สร้างประวัติที่ดีในหลายส่วนของโลกด้วยการให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์อย่างรวดเร็วแก่เพื่อนร่วมความเชื่อรวมทั้งคนอื่น ๆ ด้วยที่ประสบภัยพิบัติและอุบัติเหตุ. ทั้งหมดนี้เป็นผลที่ดีซึ่งคนเหล่านั้นที่รักพระคำของพระเจ้าแสดงออกให้เห็นชัด.
ผลประโยชน์แห่งอนาคตที่รุ่งโรจน์
17, 18. (ก) การหว่านเมล็ดแห่งราชอาณาจักรกำลังประสบผลสำเร็จเช่นไร? (ข) เหตุการณ์สะท้านโลกอะไรที่ผู้รักพระคำของพระเจ้าจะได้เห็นในอีกไม่ช้านี้?
17 การหว่านเมล็ดแห่งราชอาณาจักรยังคงนำผลประโยชน์ใหญ่หลวงสู่มนุษยชาติ. ในช่วงไม่กี่ปีนี้ แต่ละปีมีมากกว่า 300,000 คนที่ได้ยอมให้ข่าวสารของคัมภีร์ไบเบิลหยั่งรากในหัวใจตนจนถึงขั้นได้อุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาและแสดงสัญลักษณ์ด้วยการรับบัพติสมาในน้ำ. อนาคตอันรุ่งโรจน์คอยท่าพวกเขาอยู่!
18 ชนผู้รักพระคำของพระเจ้าทราบว่า อีกไม่นานพระยะโฮวาจะทรงลุกขึ้นเพื่อทำให้พระนามของพระองค์ได้รับคำสรรเสริญ. “บาบูโลนใหญ่” จักรวรรดิโลกแห่งศาสนาเท็จจะถูกทำลาย. (วิวรณ์ 18:2, 8) ต่อจากนั้น คนที่ปฏิเสธที่จะดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระคำของพระเจ้าจะถูกสำเร็จโทษโดยองค์มหากษัตริย์ พระเยซูคริสต์. (บทเพลงสรรเสริญ 2:9-11; ดานิเอล 2:44) หลังจากนั้น ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะช่วยให้หลุดพ้นอย่างถาวรจากอาชญากรรม, สงคราม, และภัยพิบัติอื่น ๆ. จะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปที่จะปลอบโยนผู้คนเนื่องด้วยความเจ็บปวด, ความป่วยไข้, และความตาย.—วิวรณ์ 21:3, 4.
19, 20. อนาคตอันรุ่งโรจน์อะไรมีไว้สำหรับผู้ที่รักพระคำของพระเจ้าอย่างแท้จริง?
19 ถึงตอนนั้น ชนผู้รักพระคำของพระเจ้าก็จะประสบผลสำเร็จในงานที่ดียอดเยี่ยมสักเพียงไร! ผู้รอดชีวิตจากอาร์มาเก็ดดอนจะเริ่มต้นงานอันน่าเพลิดเพลินในการเปลี่ยนแผ่นดินโลกนี้ให้เป็นอุทยาน. พวกเขาจะมีสิทธิพิเศษอันน่าตื่นเต้นในการตระเตรียมสิ่งจำเป็นต่าง ๆ สำหรับคนที่ได้ตายไป ซึ่งบัดนี้พักอยู่ในหลุมฝังศพและอยู่ในความทรงจำของพระเจ้าพร้อมด้วยความคาดหมายที่จะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย. (โยฮัน 5:28, 29) ระหว่างช่วงเวลานั้น การชี้นำที่สมบูรณ์จะหลั่งไหลสู่ประชากรโลกจากพระยะโฮวา พระผู้เป็นเจ้าองค์บรมมหิศร โดยทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรผู้ได้รับการยกชู. ‘ม้วนหนังสือทั้งหลายจะถูกคลี่ออก’ เปิดเผยถึงพระบัญชาของพระยะโฮวาสำหรับการมีชีวิตในโลกใหม่.—วิวรณ์ 20:12, ล.ม.
20 เมื่อถึงเวลากำหนดของพระยะโฮวา ร่างกายอันครบถ้วนของคริสเตียนผู้ถูกเจิมที่ซื่อสัตย์จะได้รับการปลุกขึ้นมารับรางวัลฝ่ายสวรรค์ในฐานะ “ทายาทร่วมกับพระคริสต์” (โรม 8:17, ล.ม.) ในระหว่างรัชสมัยพันปีของพระคริสต์ มนุษย์ทุกคนบนแผ่นดินโลกที่รักพระคำของพระเจ้าจะได้รับการฟื้นฟูให้มีจิตใจและร่างกายที่สมบูรณ์. หลังจากที่ได้พิสูจน์ตัวซื่อสัตย์ภายใต้การทดสอบครั้งสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็จะได้รับรางวัลชีวิตนิรันดร์และจะชื่นชมกับ “เสรีภาพอันรุ่งโรจน์แห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า.” (โรม 8:21, ล.ม.; วิวรณ์ 20:1-3, 7-10) ช่างจะเป็นเวลาอันยอดเยี่ยมสักเพียงไร! จริงทีเดียว ไม่ว่าพระยะโฮวาได้ทรงประทานความหวังฝ่ายสวรรค์หรือความหวังฝ่ายแผ่นดินโลกแก่เรา ความรักอันยืนนานของเราที่มีต่อพระคำของพระองค์และความตั้งใจแน่วแน่ที่จะดำเนินชีวิตตามพระสติปัญญาของพระเจ้าย่อมจะปกป้องเราไว้ในขณะนี้ และในอนาคตก็ ‘จะนำพาเกียรติศักดิ์มาสู่เรา เพราะเรากลมกลืนอยู่กับพระปัญญา.’—สุภาษิต 4:6, 8.
คุณอธิบายได้ไหม?
▫ ความรักต่อพระคำของพระเจ้าจะช่วยปกป้องเราไว้อย่างไร?
▫ เมล็ดในอุทาหรณ์ของพระเยซูหมายถึงอะไร และเมล็ดนั้นถูกหว่านไปอย่างไร?
▫ เราจะพิสูจน์ตัวได้อย่างไรว่าเป็น “ดินดี”?
▫ ผู้รักพระคำของพระเจ้าสามารถคาดหมายว่าจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง?
[รูปภาพหน้า 16]
เมล็ดในอุทาหรณ์ของพระเยซูหมายถึงข่าวสารที่เป็นข่าวดีในพระคำของพระเจ้า
[ที่มาของรูปภาพหน้า 16]
Garo Nalbandian
[รูปภาพหน้า 17]
พยานพระยะโฮวาเลียนแบบอย่างของผู้หว่านองค์ยิ่งใหญ่
[รูปภาพหน้า 18]
ผู้รอดชีวิตจากอาร์มาเก็ดดอนจะชื่นชมกับผลผลิตแห่งแผ่นดินโลก