เรื่องราวชีวิตจริง
เบิกบานยินดีและขอบคุณถึงแม้ประสบความสูญเสียที่ทำให้หัวใจแทบจะขาด
เล่าโดยแนนซี อี. พอร์เทอร์
วันนั้นตรงกับวันที่ 5 มิถุนายน 1947 ยามเย็นอากาศอบอุ่นที่หมู่เกาะบาฮามาสนอกฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ. เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากกองตรวจคนเข้าเมืองได้ไปพบดิฉันกับจอร์จสามีโดยไม่คาดคิด. เขายื่นจดหมายซึ่งแจ้งว่าเราจะอยู่ในหมู่เกาะแห่งนี้ไม่ได้อีกต่อไป และเราจะต้อง “ออกไปจากอาณานิคมทันที!”
จอร์จกับดิฉันเป็นมิชชันนารีพยานพระยะโฮวารุ่นแรกที่มาถึงนัสซอ เมืองใหญ่สุดในบาฮามาส. เมื่อจบหลักสูตรรุ่นที่แปดจากกิเลียด โรงเรียนฝึกอบรมมิชชันนารีในเขตภาคเหนือของมลรัฐนิวยอร์ก เราได้รับมอบหมายให้มาอยู่ที่นี่. เราไปทำอะไรหรือถึงได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงภายหลังการเข้ามาอยู่เพียงสามเดือนเท่านั้น? และเป็นไปได้อย่างไรที่เวลาล่วงเลยมา 50 กว่าปีแล้วดิฉันก็ยังอยู่ที่นี่?
การฝึกอบรมเพื่องานรับใช้
แฮร์รี คิลเนอร์ พ่อของดิฉันเป็นแรงจูงใจที่มีพลังต่อวิถีชีวิตของดิฉัน. ท่านได้วางแบบอย่างอันดียิ่งสำหรับดิฉัน โดยการเสียสละหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อมาเป็นพยานพระยะโฮวา. แม้สุขภาพร่างกายของท่านไม่สู้ดีนัก กระนั้น ท่านออกไปทำงานเผยแพร่แทบทุกสุดสัปดาห์ ด้วยใจแรงกล้าท่านถือเอาผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรมาเป็นอันดับแรก. (มัดธาย 6:33) ฐานะทางการเงินของพวกเราไม่ค่อยดี แต่ร้านรองเท้าของพ่อเป็นศูนย์กิจกรรมฝ่ายวิญญาณในเขตเลทบริดจ์ มณฑลแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ในช่วงทศวรรษ 1930. ความทรงจำแรกสุดของดิฉันในวัยเด็กเป็นเรื่องที่พยานพระยะโฮวาผู้รับใช้เต็มเวลาที่เรียกว่าไพโอเนียร์ ได้มาเยี่ยมเยือนที่บ้านและเล่าประสบการณ์ให้พวกเราฟัง.
ปี 1943 ดิฉันเริ่มงานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์ใกล้เมืองฟอร์ต แมคล็อด และเมืองแคลส์ฮอล์ม ในแอลเบอร์ตา. ตอนนั้นงานประกาศเผยแพร่ของเราในแคนาดาถูกห้ามเนื่องจากพวกต่อต้านได้แพร่ข้อมูลผิด ๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2. สุดเขตงานของเราด้านหนึ่งไปจรดอีกด้านหนึ่งห่างกันประมาณ 100 กิโลเมตร แต่ในวัยหนุ่มสาวและมีกำลังวังชา เราไม่คิดว่าการขี่จักรยานหรือเดินไปจนถึงชุมชนเล็ก ๆ และฟาร์มเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่นั้นเป็นเรื่องหนักใจ. ในช่วงเวลานั้น ดิฉันมีโอกาสได้สนทนากับพี่น้องบางคนที่จบจากโรงเรียนกิเลียดและประสบการณ์ของพวกเขาเร้าใจดิฉันให้ปรารถนาจะเป็นมิชชันนารี.
ปี 1945 ดิฉันแต่งงานกับจอร์จ พอร์เทอร์ ซึ่งมาจากจังหวัดซัสแคตเชวัน ประเทศแคนาดา. พ่อแม่ของจอร์จเป็นพยานฯ ที่กระตือรือร้นตั้งแต่ปี 1916 และเขาก็เช่นกันได้เลือกงานรับใช้เต็มเวลาเป็นงานประจำชีพ. เขตงานมอบหมายแห่งแรกของเราอยู่ที่ลีนน์ วัลเลย์อันสวยงาม ชานเมืองนอร์ทแวนคูเวอร์ แคนาดา. หลังจากนั้นไม่นาน เราก็ได้รับเชิญไปกิเลียด.
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดิฉันเคยสนทนากับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันอบรมบาทหลวงและผู้สอนศาสนาหลายแห่ง และได้เห็นว่าการอบรมทางด้านเทววิทยาของเขาได้กัดกร่อนความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าและพระคำของพระองค์คือคัมภีร์ไบเบิล. ในทางกลับกัน สิ่งที่เราได้เรียนจากกิเลียดทำให้สมรรถนะในการคิดของเราเฉียบแหลมยิ่งขึ้น และที่สำคัญอย่างยิ่ง ความเชื่อของเราในพระยะโฮวาพระเจ้าและพระคำของพระองค์ได้รับการเสริมให้มั่นคง. เพื่อนร่วมรุ่นของเราถูกมอบหมายให้ไปประเทศจีน, สิงคโปร์, อินเดีย, หลายประเทศในแอฟริกา, อเมริกาใต้, และที่อื่น ๆ. ดิฉันยังจำความรู้สึกตื่นเต้นครั้งนั้นได้เมื่อทราบว่าเราถูกมอบหมายให้ไปที่หมู่เกาะบาฮามาสในเขตร้อน.
เราสามารถอยู่ที่นั่นได้อย่างไร
เมื่อเปรียบเทียบกับการเดินทางของเพื่อนร่วมรุ่นที่ไปยังเขตมอบหมายของเขา การเดินทางของเรามายังบาฮามาสนับว่าสั้น. ไม่นานเท่าไร เราก็ได้รับความเพลิดเพลินจากอากาศอุ่นสบาย, ท้องฟ้าสีคราม, น้ำทะเลสีเขียวเข้ม, อาคารบ้านเรือนที่มีสีอ่อนงามเย็นตา, และจักรยานมากมายจนนับไม่ถ้วน. อย่างไรก็ดี ความประทับใจที่ติดตาตรึงใจตั้งแต่แรกคือกลุ่มพยานฯ ห้าคนซึ่งรอต้อนรับเราเมื่อเรือเข้าเทียบท่า. ไม่นานนักเราก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่นี่ว่าแตกต่างกันมากจากที่เราเคยชิน. ตัวอย่างเช่น สามีดิฉันได้รับการขอร้องไม่ให้เรียกดิฉันว่าหวานใจต่อหน้าธารกำนัล เนื่องจากคำนี้ตามปกติสงวนไว้ใช้กับคนที่ลักลอบเป็นชู้กัน.
มิช้ามินาน นักเทศน์นักบวชดูเหมือนจะรู้สึกว่าถูกคุกคาม เนื่องจากเราคลุกคลีใกล้ชิดประชาชน เขาตั้งข้อกล่าวหาเท็จว่าพวกเราเป็นคอมมิวนิสต์. ผลคือ เราได้รับคำสั่งให้ออกไปจากประเทศ. แต่เหล่าพยานฯ—ทั่วทั้งเกาะสมัยนั้นมีไม่ถึง 20 คน—ได้ออกล่าลายเซ็นหลายพันชื่อทันทีและร้องเรียนขออนุญาตให้พวกเราอยู่ในประเทศต่อไป. ดังนั้น คำสั่งขับไล่จึงล้มเลิกไป.
ไปยังเขตงานใหม่
ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลงอกงามอย่างรวดเร็วภายในหัวใจที่รักพระเจ้า จึงมีมิชชันนารีจากกิเลียดมากขึ้นถูกส่งไปที่บาฮามาส. ครั้นแล้ว ในปี 1950 มีการตั้งสำนักงานสาขา. สิบปีต่อมา มิลตัน เฮนเชล สมาชิกคณะกรรมการจากสำนักงานกลางในบรุกลิน นิวยอร์กได้ไปเยี่ยมเกาะบาฮามาสและถามพวกมิชชันนารีว่าใครสมัครใจอยากไปเปิดงานประกาศอีกเกาะหนึ่งในหมู่เกาะบาฮามาส. จอร์จกับดิฉันอาสา และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเริ่มต้นการอยู่ 11 ปี บนเกาะลองไอแลนด์.
เกาะแห่งนี้เป็นหนึ่งในจำนวนเกาะที่ประกอบกันเป็นหมู่เกาะบาฮามาส มีความยาว 140 กิโลเมตร กว้าง 6 กิโลเมตร และสมัยนั้นตัวเมืองจริง ๆ ไม่มี. คลาเรนส์ทาวน์เป็นเมืองหลัก ประกอบด้วยบ้านประมาณ 50 หลังคาเรือน. ความเป็นอยู่ยังไม่ทันสมัย—ไม่มีไฟฟ้า, ไม่มีน้ำประปา, ไม่มีห้องครัวหรือห้องน้ำในตัวเรือน. ฉะนั้น เราจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่ห่างไกลความเจริญ. ที่เกาะแห่งนี้ การสนทนาเรื่องสุขภาพเป็นสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบ. เมื่อพบปะทักทายกัน เราได้เรียนรู้เพื่อจะไม่ถามว่า “วันนี้เป็นอย่างไร สบายดีหรือ?” เพราะบ่อยครั้งคำตอบจะยืดยาวถี่ถ้วนทุกแง่ทุกมุมเกี่ยวกับประวัติการเยียวยารักษา.
ส่วนใหญ่เราให้คำพยานจากครัวไฟหนึ่งไปอีกครัวไฟหนึ่ง เพราะจะพบผู้คนอยู่ในโรงครัวหลังคามุงจาก ตั้งอยู่นอกตัวบ้าน และมีเตาที่ใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง. ชุมชนส่วนใหญ่ประกอบด้วยชาวไร่ชาวนาและชาวประมงที่ยากจน แต่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ. พวกเขาโดยมากไม่เพียงแต่เคร่งศาสนา แถมยังเชื่อโชคลางอย่างจริงจังอีกด้วย. ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ผิดปกติมักถูกตีความเป็นลางบอกเหตุ.
นักเทศน์นักบวชไม่ยี่หระแม้แต่น้อยเมื่อเดินเข้าไปในบ้านของประชาชนโดยไม่ได้ถูกเชิญ และฉีกทำลายสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลที่เราละไว้ให้เจ้าของบ้าน. ที่พวกเขาทำแบบนั้นเป็นการขู่คนขี้ขลาด แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนขยาดกลัว. ตัวอย่างเช่น หญิงใจกล้าวัย 70 ปีคนหนึ่งไม่ยอมค้อมหัวให้ผู้ข่มขู่. เธอต้องการเข้าใจคัมภีร์ไบเบิล และในที่สุดเธอและอีกหลายคนได้มาเป็นพยานพระยะโฮวา. เนื่องด้วยเราพบผู้สนใจจำนวนมาก วันอาทิตย์บางวัน จอร์จต้องขับรถระยะทาง 300 กิโลเมตรเพื่อช่วยพวกเขาให้เข้าร่วมการประชุม.
ในระหว่างเดือนแรก ๆ เมื่อยังไม่มีพยานฯ คนอื่น ๆ จอร์จกับดิฉันรักษาสภาพฝ่ายวิญญาณของเราให้คงอยู่ได้โดยจัดการประชุมคริสเตียนทุกวาระเป็นประจำ. นอกเหนือจากได้ทำดังกล่าว เราติดตามระเบียบวาระการศึกษาบทความในวารสารหอสังเกตการณ์ อย่างแข็งขันทุกคืนวันจันทร์ และอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นการส่วนตัว. ครั้นวารสารหอสังเกตการณ์และตื่นเถิด! มาถึง เราก็จะอ่านทุกฉบับอย่างไม่รอช้าด้วย.
พ่อดิฉันเสียชีวิตขณะเราอยู่ที่ลองไอแลนด์. ฤดูร้อนถัดมา ปี 1963 เราจัดแจงชวนแม่มาอยู่ใกล้ ๆ. ถึงแม้อายุมากแล้วก็ตาม แต่แม่ปรับตัวได้ดีพอสมควรและอยู่ที่ลองไอแลนด์กระทั่งสิ้นชีวิตในปี 1971. ลองไอแลนด์ในปัจจุบันมีหนึ่งประชาคมพร้อมกับมีหอประชุมใหม่เอี่ยม.
การท้าทายที่ยากยิ่ง
ปี 1980 จอร์จสังเกตออกว่าสุขภาพของเขาเริ่มทรุดโทรมลง. ดังนั้น ประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดอย่างหนึ่งเริ่มขึ้นแล้วในชีวิตดิฉัน—การเฝ้าดูสามีสุดที่รัก ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขป่วยหนักด้วยโรคสมองฝ่อ (อัลไซเมอร์). บุคลิกภาพทุกอย่างของเขาเปลี่ยน. ช่วงสุดท้ายอันเป็นช่วงที่ยากเย็นแสนเข็ญที่สุดนั้นยืดเยื้ออยู่นานร่วมสี่ปีก่อนเขาเสียชีวิตในปี 1987. เขาได้ออกไปในงานรับใช้กับดิฉันและไปร่วมการประชุมบ่อยครั้งเท่าที่เขาสามารถทำได้ แม้ว่าหลายครั้งเมื่อเขาบากบั่นพยายามทำเอาดิฉันต้องร้องไห้. การแสดงความรักอย่างท่วมท้นของพี่น้องคริสเตียนเป็นการปลอบโยนอย่างแท้จริง แต่ดิฉันก็ยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ.
แง่มุมด้านหนึ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตสมรสของดิฉันกับจอร์จคือการติดต่อสื่อความกันเป็นประจำ และในรูปแบบที่สนุกและสบายใจ. ตอนนี้เมื่อจอร์จจากไปแล้ว ดิฉันยิ่งรู้สึกขอบคุณมากกว่าครั้งใด ๆ ในการที่พระยะโฮวาทรงเชิญชวนผู้รับใช้ของพระองค์ให้ “อธิษฐานอย่างไม่ละลด,” “หมั่นอธิษฐานอยู่เสมอ,” และใช้ประโยชน์จาก ‘คำอธิษฐานทุกอย่าง.’ (1 เธซะโลนิเก 5:17, ล.ม.; โรม 12:12; เอเฟโซ 6:18) นับว่าเป็นการปลอบโยนอย่างแท้จริงที่รู้ว่าพระยะโฮวาทรงห่วงใยสวัสดิภาพของเรา. ตามจริงแล้ว ดิฉันมีความรู้สึกเหมือนผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่ได้ร้องเพลงว่า “ความบรมสุขจงมีแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า, ผู้ทรงแบกภาระของพวกเราทุก ๆ วัน.” (บทเพลงสรรเสริญ 68:19) การดำรงชีวิตอยู่เป็นวัน ๆ ไป, การยอมรับขีดจำกัดของตัวเอง, และแต่ละวันสำนึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับ ดังที่พระเยซูทรงแนะนำ จริง ๆ แล้ว เป็นวิธีดีที่สุดในการดำรงชีวิต.—มัดธาย 6:34.
ผลตอบแทนที่น่ายินดีอันเนื่องมาจากงานรับใช้
การหมกมุ่นตั้งใจอยู่กับงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียนได้ช่วยให้ดิฉันไม่จมอยู่กับอดีตมากเกินไป. ดังนั้น ดิฉันจึงสามารถเอาชนะอารมณ์ความรู้สึกซึ่งอาจทำให้ซึมเศร้าได้. การสอนผู้คนให้รู้ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลเป็นแหล่งที่ให้ความชื่นชมยินดีเป็นพิเศษ. งานนี้ทำให้ดิฉันมีกิจวัตรฝ่ายวิญญาณอย่างเป็นระเบียบซึ่งก่อให้เกิดแบบแผนที่แน่นอนและความมั่นคงในชีวิต.—ฟิลิปปอย 3:16.
ครั้งหนึ่ง ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากสุภาพสตรีที่ดิฉันเคยให้คำพยานเรื่องราชอาณาจักรแก่เธอประมาณ 47 ปีก่อนหน้านั้น. เธอเป็นลูกสาวของชายผู้หนึ่งในจำพวกแรก ๆ ที่ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเราตอนที่มาถึงบาฮามาสในปี 1947. พ่อแม่พร้อมกับพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนของเธอได้มาเป็นพยานพระยะโฮวา อีกทั้งลูก ๆ หลาน ๆ ส่วนใหญ่ของพวกเขาด้วย. อันที่จริงมากกว่า 60 คนในครอบครัวของสตรีคนนี้ได้เข้ามาเป็นพยานฯ. แต่เธอเองกลับไม่ได้ตอบรับความจริงในคัมภีร์ไบเบิล. แต่บัดนี้ เธอพร้อมจะเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาพระเจ้าในที่สุด. ช่างเป็นความยินดีเสียนี่กระไรเมื่อสังเกตเห็นพยานพระยะโฮวาเพียงไม่กี่คนในบาฮามาสตอนที่จอร์จกับดิฉันมาถึง แต่แล้วจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 1,400 กว่าคน!
บางครั้งมีคนถามดิฉันว่ารู้สึกเสียดายไหมที่ไม่มีลูก. จริงอยู่ การมีบุตรอาจเป็นพระพร. กระนั้น ความรักที่ดิฉันได้รับจากลูกหลานและเหลนฝ่ายวิญญาณอย่างสม่ำเสมอนั้นเป็นอะไรบางอย่างซึ่งผู้เป็นพ่อแม่จริง ๆ อาจจะไม่ได้รับก็ได้. แท้จริง คนเหล่านั้นที่ “ทำการดี” และ “ร่ำรวยในการงานอันดี” เป็นคนมีความสุขมากที่สุด. (1 ติโมเธียว 6:18, ล.ม.) นี่คือเหตุผลที่ดิฉันมีส่วนร่วมในงานรับใช้ตราบเท่าที่สุขภาพอำนวย.
วันหนึ่ง ณ คลินิกทันตแพทย์ หญิงสาวคนหนึ่งได้เข้ามาทักดิฉันและพูดว่า “คุณไม่รู้จักฉันหรอกค่ะ แต่ฉันรู้จักคุณ และเพียงอยากให้คุณรู้ว่าฉันรักคุณ.” แล้วเธอก็เล่าเรื่องที่เธอได้เรียนความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลและรู้สึกขอบคุณพวกเรามิชชันนารีมากเพียงใดที่มาถึงบาฮามาส.
อีกโอกาสหนึ่ง เมื่อดิฉันกลับจากการพักร้อน ดิฉันพบกุหลาบดอกหนึ่งเสียบไว้ที่ประตูห้อง ซึ่งตอนนี้ดิฉันพักอยู่ที่สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในเมืองนัสซอ. มีข้อความสั้น ๆ ติดไว้ว่า “เราดีใจที่คุณกลับบ้าน.” หัวใจดิฉันเปี่ยมล้นด้วยความรู้สึกขอบคุณ มันทำให้ดิฉันรักพระยะโฮวามากทีเดียวเมื่อดิฉันได้มาเห็นผู้คนแบบนี้ซึ่งเป็นผลที่มาจากพระคำ, องค์การ, และพระวิญญาณของพระองค์! โดยแท้แล้ว การค้ำจุนจากพระหัตถ์ของพระยะโฮวานั้นบ่อยครั้งมักจะผ่านมาทางคนเหล่านั้นที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา.
เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
ชีวิตดิฉันใช่ว่าราบรื่นมาโดยตลอด หรือเวลานี้บางด้านของชีวิตก็ไม่ง่ายนัก. แต่ดิฉันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกขอบคุณ อาทิ ความชื่นชมยินดีในงานรับใช้, ความรักใคร่เอ็นดูของพี่น้องคริสเตียนมากมายทั้งชายและหญิง, การดูแลเอาใจใส่ด้วยความรักจากองค์การของพระยะโฮวา, ความจริงต่าง ๆ ที่ยอดเยี่ยมจากคัมภีร์ไบเบิล, ความหวังที่จะได้อยู่กับคนที่เรารักเมื่อพวกเขาถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย, และความทรงจำตลอดช่วงเวลา 42 ปีที่ได้ร่วมชีวิตคู่กับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวา. ก่อนแต่งงาน ดิฉันได้ทูลอธิษฐานขอพระองค์โปรดให้ดิฉันได้เป็นผู้ช่วยและสนับสนุนสามีเสมอเพื่อเขาสามารถจะอยู่ในงานรับใช้เต็มเวลาได้ ซึ่งเขาเองรักงานนี้มากเหลือเกิน. พระยะโฮวาทรงตอบคำอธิษฐานนั้นอย่างเอื้ออารี. ด้วยเหตุนี้ ดิฉันจึงอยากแสดงความรู้สึกขอบพระคุณพระยะโฮวาด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์ภักดีต่อพระองค์ตลอดเวลา.
หมู่เกาะบาฮามาสเป็นจุดหมายปลายทางที่นิยมชมชอบของนักท่องเที่ยว ซึ่งใช้เงินหลายพันดอลลาร์เพื่อหาความเพลิดเพลินเจริญใจในเขตร้อน. เมื่อได้เลือกเอาการรับใช้พระยะโฮวาไม่ว่าที่ไหนก็ตามซึ่งองค์การของพระองค์ชี้นำ ดิฉันมีประสบการณ์ที่น่ายินดีจากการเดินทางประกาศเผยแพร่ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าไปทั่วหมู่เกาะ ตั้งแต่สุดปลายเกาะด้านหนึ่งจรดปลายเกาะอีกด้านหนึ่ง. แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ดิฉันได้มารู้จักและหยั่งรู้ค่าความรักของชาวบาฮามาสผู้มากด้วยไมตรีจิตมิตรภาพที่ดีเยี่ยม.
ดิฉันนึกขอบคุณคนเหล่านั้นมากจริง ๆ ที่นำความจริงมาให้พ่อแม่ แล้วท่านทั้งสองก็ได้บ่มเพาะความปรารถนาอย่างแรงกล้าไว้ในความคิดจิตใจของดิฉันผู้เยาว์วัยให้แสวงราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อนสิ่งอื่น. เวลานี้บรรดาหนุ่มสาวที่เป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาก็สามารถได้รับพระพรมากมายเช่นเดียวกัน ถ้าเขาเข้าไปทาง “ประตูใหญ่” สู่โอกาสต่าง ๆ อันดีเยี่ยมด้านงานรับใช้ที่เปิดไว้ให้. (1 โกรินโธ 16:9, ล.ม.) คุณก็จะเปี่ยมล้นด้วยความรู้สึกขอบคุณเช่นเดียวกัน ถ้าคุณใช้ชีวิตเพื่อถวายเกียรติแด่พระยะโฮวา “พระเจ้าเหนือพระอื่นทั้งปวง.”—พระบัญญัติ 10:17; ดานิเอล 2:47.
[ภาพหน้า 24]
ให้คำพยานตามถนนที่วิกตอเรีย บี.ซี. ในปี 1944
[ภาพหน้า 24]
จอร์จกับดิฉันเข้าโรงเรียนกิเลียดในปี 1946
[ภาพหน้า 25]
กับจอร์จที่หน้าบ้านพักมิชชันนารีในเมืองนัสซอ บาฮามาส ปี 1955
[ภาพหน้า 26]
บ้านพักมิชชันนารีในเดดแมนส์เคย์ เราทำงานรับใช้ที่นี่ตั้งแต่ปี 1961-1972