คุณลักษณะที่เราต้องแสวงหา
“จงแสวงหาความชอบธรรม ความเลื่อมใสพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความเพียรอดทน [และ] จิตใจที่อ่อนโยน.”—1 ติโม. 6:11.
1. จงยกตัวอย่างที่แสดงความหมายของคำว่า “ไล่ตาม.”
คุณนึกถึงอะไรเมื่อได้ยินคำว่า “ไล่ตาม”? คุณอาจนึกถึงสมัยของโมเซเมื่อกองทัพอียิปต์ “ไล่ตาม” ชาวอิสราเอล แต่แล้วก็ต้องประสบกับความพินาศในทะเลแดง. (เอ็ก. 14:23) หรือคุณอาจนึกถึงอันตรายที่ผู้ฆ่าคนโดยไม่เจตนาในชาติอิสราเอลโบราณต้องประสบ. เขาต้องรีบหนีไปยังเมืองคุ้มภัยเมืองใดเมืองหนึ่งซึ่งมีทั้งหมดหกเมือง. มิฉะนั้น “ผู้กระทำตอบแทนโลหิตมีใจร้อน [อาจ] จะไล่ตามผู้ฆ่าคนนั้น . . . แล้วฆ่าเขาเสีย.”—บัญ. 19:6.
2. (ก) พระเจ้าทรงเชิญคริสเตียนบางคนให้มุ่งไปในแนวทางที่จะทำให้เขาได้รับรางวัลอะไร? (ข) พระยะโฮวาทรงเสนอความหวังอะไรแก่คริสเตียนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้?
2 ขอให้พิจารณาเจตคติในแง่บวกที่อัครสาวกเปาโลมีซึ่งต่างจากตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลข้างต้น ดังที่ท่านเขียนว่า “ข้าพเจ้ากำลังมุ่งสู่เป้าหมายเพื่อจะได้รางวัล คือการที่พระเจ้าทรงเรียกให้ไปสวรรค์โดยใช้พระคริสต์เยซู.” (ฟิ-ลิป. 3:14) คัมภีร์ไบเบิลแสดงว่าคริสเตียนผู้ถูกเจิมทั้งหมด 144,000 คน รวมทั้งเปาโลด้วย ได้รับรางวัลดังกล่าวอันได้แก่ชีวิตในสวรรค์. พวกเขาจะปกครองโลกร่วมกับพระเยซูคริสต์ในช่วงรัชสมัยพันปี. ช่างเป็นเป้าหมายอันยอดเยี่ยมจริง ๆ ที่คนเหล่านั้นซึ่งได้รับเชิญจากพระเจ้าจะมุ่งไปให้ถึง! แต่คริสเตียนแท้ส่วนใหญ่ในทุกวันนี้มีความหวังหรือเป้าหมายที่ต่างออกไป. ด้วยความรัก พระยะโฮวาทรงเสนอให้พวกเขาได้รับสิ่งที่อาดามและฮาวาสูญเสียไป ซึ่งก็คือความหวังที่จะมีชีวิตนิรันดร์โดยมีสุขภาพสมบูรณ์บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน.—วิ. 7:4, 9; 21:1-4.
3. เราจะแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อพระกรุณาอันใหญ่หลวงของพระเจ้าได้โดยวิธีใด?
3 มนุษย์ผิดบาปไม่สามารถได้ชีวิตนิรันดร์โดยอาศัยความพยายามที่ไม่สมบูรณ์ของเขาเองที่จะทำสิ่งถูกต้อง. (ยซา. 64:6) เขาสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์ก็เฉพาะแต่เมื่อเขาแสดงความเชื่อในการจัดเตรียมอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้าเกี่ยวกับความรอดโดยทางพระเยซูคริสต์. เราจะทำอะไรได้เพื่อแสดงว่าเราหยั่งรู้ค่าพระกรุณาอันใหญ่หลวงนั้นของพระเจ้า? สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้ก็คือทำตามคำสั่งนี้ ที่ว่า “จงแสวงหาความชอบธรรม ความเลื่อมใสพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความเพียรอดทน [และ] จิตใจที่อ่อนโยน.”a (1 ติโม. 6:11) การพิจารณาคุณลักษณะเหล่านี้อาจช่วยเราแต่ละคนให้ตั้งใจแน่วแน่ยิ่งขึ้นที่จะแสวงหาคุณลักษณะเหล่านี้ “มากยิ่งขึ้น.”—1 เทส. 4:1.
“จงแสวงหาความชอบธรรม”
4. เหตุใดเราจึงแน่ใจได้ว่าการแสวงหา “ความชอบธรรม” เป็นเรื่องสำคัญ และคนเราจะเริ่มแสวงหาความชอบธรรมได้โดยวิธีใด?
4 ในจดหมายทั้งสองฉบับถึงติโมเธียว อัครสาวกเปาโลกล่าวถึงคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ควรแสวงหา และในแต่ละครั้งท่านจะกล่าวถึง “ความชอบธรรม” ก่อน. (1 ติโม. 6:11; 2 ติโม. 2:22) นอกจากนั้น ในส่วนอื่น ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลก็มีการกระตุ้นเราครั้งแล้วครั้งเล่าให้แสวงหาความชอบธรรม. (สุภา. 15:9; 21:21; ยซา. 51:1, ล.ม.) วิธีหนึ่งที่จะเริ่มทำอย่างนั้นก็คือโดย “รับความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา คือเยซูคริสต์.” (โย. 17:3) การแสวงหาความชอบธรรมจะกระตุ้นคนเราให้กลับใจจากบาปที่ทำในอดีตและ “เปลี่ยนวิถีชีวิต” เพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า.—กิจ. 3:19.
5. เราต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับและรักษาฐานะที่ชอบธรรมกับพระเจ้า?
5 หลายล้านคนที่แสวงหาความชอบธรรมอย่างแท้จริงได้อุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาและแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวเช่นนั้นด้วยการรับบัพติสมาในน้ำ. คุณเคยคิดไหมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า ถ้าตอนนี้คุณเป็นคริสเตียนที่รับบัพติสมาแล้วแนวทางชีวิตของคุณน่าจะเผยให้เห็นว่าคุณกำลังแสวงหาความชอบธรรมอยู่เสมอ ซึ่งก็คงเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว? แง่หนึ่งในการแสวงหาความชอบธรรมก็คือการที่คุณบอกได้อย่างถูกต้องโดยอาศัยหลักจากคัมภีร์ไบเบิลว่า “อะไรถูกอะไรผิด” เมื่อต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในชีวิต. (อ่านฮีบรู 5:14.) ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคริสเตียนโสดซึ่งอยู่ในวัยจะสมรสได้ คุณตั้งใจแน่วแน่จริง ๆ ไหมที่จะหลีกเลี่ยงการสร้างความผูกพันรักใคร่กับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนที่รับบัพติสมาแล้ว? คุณจะตั้งใจอย่างนั้นถ้าคุณกำลังแสวงหาความชอบธรรม.—1 โค. 7:39.
6. การแสวงหาความชอบธรรมอย่างแท้จริงหมายรวมถึงอะไรบ้าง?
6 การเป็นคนชอบธรรมไม่ได้หมายถึงการถือตัวชอบธรรมหรือ “เป็นคนชอบธรรมเกินไป.” (ผู้ป. 7:16, ฉบับแปลใหม่) พระเยซูทรงเตือนให้ระวังการแสดงตัวเป็นคนชอบธรรมเพื่อให้ตัวเองดูดีกว่าคนอื่น ๆ. (มัด. 6:1) การแสวงหาความชอบธรรมอย่างแท้จริงเกี่ยวข้องกับหัวใจ—การแก้ไขความคิด, เจตคติ, แรงกระตุ้น, และความปรารถนาที่ไม่ถูกต้อง. ถ้าเราพยายามทำอย่างนี้อยู่เสมอ เราคงจะไม่พลาดพลั้งทำบาปร้ายแรง. (อ่านสุภาษิต 4:23; เทียบกับยาโกโบ 1:14, 15.) นอกจากนั้น พระยะโฮวาจะทรงอวยพรเราและช่วยเราในการแสวงหาคุณลักษณะอื่น ๆ ที่สำคัญของคริสเตียน.
“จงแสวงหา . . . ความเลื่อมใสพระเจ้า”
7. “ความเลื่อมใสพระเจ้า” คืออะไร?
7 ความเลื่อมใสเกี่ยวข้องกับการอุทิศตัวให้ด้วยใจแรงกล้าและความภักดี. พจนานุกรมคัมภีร์ไบเบิลฉบับหนึ่งให้ข้อสังเกตว่าคำภาษากรีกที่มักแปลว่า “ความเลื่อมใสพระเจ้า” พรรณนาถึง “เจตคติที่เหมาะสมในการระมัดระวังไม่ให้สิ่งใดมาทำให้เกรงกลัวพระเจ้าน้อยลง.” บ่อยครั้งชาวอิสราเอลไม่ได้แสดงความเลื่อมใสเช่นนั้น ดังที่เห็นได้จากการกระทำที่ไม่เชื่อฟังของพวกเขาแม้แต่หลังจากที่พระเจ้าช่วยพวกเขาให้เป็นอิสระจากอียิปต์.
8. (ก) บาปของอาดามทำให้เกิดคำถามอะไรขึ้นมา? (ข) คำตอบสำหรับ “ความลับอันศักดิ์สิทธิ์” ถูกเปิดเผยอย่างไร?
8 เป็นเวลาหลายพันปีหลังจากที่อาดามมนุษย์สมบูรณ์ทำบาป เกิดคำถามขึ้นมาอยู่ตลอดว่า “จะมีมนุษย์คนใดไหมที่สามารถแสดงความเลื่อมใสพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์?” ตลอดหลายศตวรรษ ไม่มีมนุษย์ผิดบาปคนใดสามารถดำเนินชีวิตด้วยความเลื่อมใสพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ. แต่ในเวลาอันเหมาะ พระยะโฮวาทรงเผยให้เห็นคำตอบสำหรับ “ความลับอันศักดิ์สิทธิ์” นี้. พระองค์ทรงย้ายชีวิตพระบุตรองค์เดียวที่พระองค์ทรงสร้างซึ่งอยู่ในสวรรค์มาสู่ครรภ์ของมาเรียเพื่อจะประสูติเป็นมนุษย์สมบูรณ์. ตลอดชีวิตบนแผ่นดินโลกซึ่งรวมถึงการสิ้นพระชนม์อย่างที่ถูกลบหลู่ดูหมิ่น พระเยซูทรงแสดงให้เห็นว่าการอุทิศตัวด้วยใจแรงกล้าและความภักดีอย่างเต็มที่ต่อพระเจ้าองค์เที่ยงแท้นั้นต้องทำอย่างไร. คำอธิษฐานของพระองค์เผยให้เห็นความเคารพยำเกรงต่อพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรักในสวรรค์. (มัด. 11:25; โย. 12:27, 28) ด้วยเหตุนั้น พระยะโฮวาทรงดลใจให้เปาโลกล่าวถึง “ความเลื่อมใสพระเจ้า” เมื่อท่านพรรณนาถึงแนวทางชีวิตของพระเยซูที่เป็นแบบอย่างอันยอดเยี่ยม.—อ่าน 1 ติโมเธียว 3:16.
9. เราแสวงหาความเลื่อมใสพระเจ้าได้โดยวิธีใด?
9 ในสภาพผิดบาป เราไม่สามารถแสดงความเลื่อมใสพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ. แต่เราสามารถแสวงหาความเลื่อมใสพระเจ้าได้. นั่นเรียกร้องให้เราทำตามแบบอย่างของพระคริสต์อย่างใกล้ชิดเท่าที่เป็นไปได้. (1 เป. 2:21) ด้วยเหตุนั้น เราจะไม่เป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคดที่ “เลื่อมใสพระเจ้าแต่เปลือกนอกแต่ไม่ดำเนินชีวิตอย่างคนที่ถูกกระตุ้นจากพลังของความเลื่อมใสพระเจ้า.” (2 ติโม. 3:5) นี่ไม่ได้หมายความว่าความเลื่อมใสพระเจ้าที่แท้จริงนั้นไม่เกี่ยวข้องเลยกับสิ่งที่ปรากฏภายนอก. ความเลื่อมใสพระเจ้าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ปรากฏภายนอกด้วยอย่างแน่นอน. ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าเราจะเลือกชุดแต่งงานหรือตัดสินใจว่าจะสวมชุดอะไรไปซื้อของ การปรากฏตัวของเราควรสอดคล้องกับการที่เราอ้างว่า “นับถือพระเจ้า” เสมอ. (1 ติโม. 2:9, 10) จริงทีเดียว การแสวงหาความเลื่อมใสพระเจ้าเรียกร้องให้เราคำนึงถึงมาตรฐานอันชอบธรรมของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา.
“จงแสวงหา . . . ความเชื่อ”
10. เราต้องทำอะไรเพื่อจะรักษาความเชื่อให้เข้มแข็ง?
10 อ่านโรม 10:17. เพื่อจะมีและรักษาความเชื่อที่เข้มแข็ง คริสเตียนต้องคิดใคร่ครวญเสมอถึงความจริงอันล้ำค่าที่พบในพระคำของพระเจ้า. “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ได้จัดเตรียมสรรพหนังสือที่ดีมากมายให้เรา. หนังสือสามเล่มที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น, จงเรียนจากครูผู้ยิ่งใหญ่, และ “เชิญตามเรามา” ซึ่งออกแบบไว้เพื่อช่วยเราให้รู้จักพระคริสต์ดีขึ้นเพื่อจะสามารถเลียนแบบพระองค์ได้. (มัด. 24:45-47) ชนชั้นทาสยังจัดเตรียมการประชุมประชาคม, การประชุมพิเศษวันเดียว, การประชุมหมวด, การประชุมภาค ซึ่งหลายครั้งเน้น “ถ้อยคำเรื่องพระคริสต์.” คุณมองเห็นทางใดบ้างที่คุณจะสามารถได้รับประโยชน์มากขึ้นจากสิ่งเหล่านี้ ขณะที่คุณ “เอาใจใส่ . . . ให้มากกว่าปกติ” ต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้?—ฮีบรู 2:1.
11. การอธิษฐานและการเชื่อฟังมีบทบาทเช่นไรในการแสวงหาความเชื่อ?
11 คำอธิษฐานเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเสริมความเชื่อให้เข้มแข็ง. ครั้งหนึ่ง สาวกของพระเยซูทูลขอพระองค์ว่า “ขอทรงโปรดให้พวกข้าพเจ้ามีความเชื่อมากขึ้น.” เราสามารถทูลขอพระเจ้าแบบเดียวกันนั้นด้วยความถ่อมใจ. (ลูกา 17:5) เพื่อจะมีความเชื่อมากขึ้น เราควรอธิษฐานขอพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์มาช่วยเรา เพราะความเชื่อเป็นแง่หนึ่งใน “ผลของพระวิญญาณ.” (กลา. 5:22) นอกจากนั้น การเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าช่วยเสริมความเชื่อของเรา. ตัวอย่างเช่น เราอาจทุ่มเทตัวเองเพื่อจะมีส่วนร่วมมากขึ้นในงานประกาศ. นั่นคงจะทำให้เรามีความสุขมาก. และขณะที่เราคิดใคร่ครวญถึงพระพรที่มาจากการ “แสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของ [พระเจ้า] ก่อน” ความเชื่อของเราก็จะเติบโตยิ่งขึ้น.—มัด. 6:33.
“จงแสวงหา . . . ความรัก”
12, 13. (ก) พระบัญญัติใหม่ของพระเยซูคืออะไร? (ข) เราต้องแสวงหาความรักแบบพระคริสต์ในแนวทางที่สำคัญอะไรบ้าง?
12 อ่าน 1 ติโมเธียว 5:1, 2. เปาโลให้คำแนะนำที่ใช้ได้จริงเกี่ยวกับวิธีที่คริสเตียนสามารถแสดงความรักต่อกัน. ความเลื่อมใสพระเจ้าต้องหมายรวมไปถึงการที่เราเชื่อฟังพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูที่ให้ “รักกัน” เหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา. (โย. 13:34) อัครสาวกโยฮันชี้ให้เห็นว่า “ถ้าผู้ใดมีสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตและเห็นพี่น้องขัดสนแต่ยังใจดำไม่ยอมแสดงความเอื้อเฟื้อต่อเขา จะบอกได้อย่างไรว่าเขารักพระเจ้า?” (1 โย. 3:17) คุณนึกออกไหมถึงโอกาสต่าง ๆ ที่คุณได้แสดงความรักในภาคปฏิบัติ?
13 อีกวิธีหนึ่งที่เราแสวงหาความรักก็คือโดยให้อภัย ไม่เก็บความขุ่นเคืองที่มีต่อพี่น้องเอาไว้. (อ่าน 1 โยฮัน 4:20.) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราต้องการทำตามคำแนะนำที่มาจากการดลใจที่ว่า “จงทนกันและกันเรื่อยไปและให้อภัยกันอย่างใจกว้างถ้าใครมีเหตุจะบ่นว่าผู้อื่น. พระยะโฮวาเต็มพระทัยให้อภัยท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านทั้งหลายก็จงทำอย่างนั้น.” (โกโล. 3:13) มีใครบางคนไหมในประชาคมที่ทำผิดต่อคุณซึ่งคุณจะสามารถนำคำแนะนำนี้ไปใช้? คุณจะให้อภัยเขาไหม?
“จงแสวงหา . . . ความเพียรอดทน”
14. เราอาจเรียนอะไรได้จากประชาคมฟีลาเดลเฟีย?
14 การพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อบรรลุเป้าหมายระยะสั้นอาจไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่ว่าเป็นคนละเรื่องกันเลยเมื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ยากจะบรรลุหรืออยู่ไกลกว่าที่เราคาดหมายไว้. เห็นได้ชัด การมุ่งบรรลุเป้าหมายที่จะได้ชีวิตนิรันดร์จำเป็นต้องใช้ความเพียรอดทน. พระเยซูเจ้าทรงบอกประชาคมในเมืองฟีลาเดลเฟียว่า “เพราะเจ้าทำตามคำที่เขียนไว้เกี่ยวกับความเพียรอดทนของเรา เราจะปกป้องเจ้าในเวลาแห่งการทดสอบ.” (วิ. 3:10) จริงทีเดียว พระเยซูทรงสอนว่าจำเป็นต้องมีความเพียรอดทน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ช่วยเราไม่ให้ยอมแพ้เมื่อเผชิญกับการทดสอบและการล่อใจ. พี่น้องที่ประชาคมฟีลาเดลเฟียในศตวรรษแรกคงต้องได้แสดงความเพียรอดทนอย่างโดดเด่นเมื่อผ่านการทดสอบความเชื่อหลายอย่าง. ด้วยเหตุนั้น พระเยซูทรงรับรองกับพวกเขาว่าจะทรงช่วยพวกเขาต่อไปในช่วงการทดสอบครั้งใหญ่ที่จะมีมา.—ลูกา 16:10.
15. พระเยซูทรงสอนอะไรในเรื่องความเพียรอดทน?
15 พระเยซูทรงทราบว่าเหล่าสาวกจะเผชิญกับความเกลียดชังจากญาติ ๆ ที่ไม่มีความเชื่อและผู้คนทั่วไปในโลก ด้วยเหตุนั้นอย่างน้อยในสองโอกาส พระองค์ทรงหนุนกำลังใจพวกเขาโดยตรัสว่า “ผู้ที่เพียรอดทนจนถึงที่สุดจะได้รับการช่วยให้รอด.” (มัด. 10:22; 24:13) พระเยซูยังแสดงให้เห็นด้วยถึงวิธีที่เหล่าสาวกของพระองค์สามารถได้รับกำลังที่จำเป็นเพื่อจะอดทนได้ในโอกาสนั้น. ในคำอุปมาหนึ่ง พระองค์ทรงเปรียบดินปนหินกับคนที่ “รับ [พระคำของพระเจ้า] ไว้ด้วยความยินดี” แต่ก็ถอยห่างไปเมื่อเผชิญกับการทดสอบความเชื่อ. อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงเปรียบเหล่าสาวกที่ซื่อสัตย์ว่าเป็นเหมือนกับดินดีซึ่ง “จดจำ” พระคำของพระเจ้าไว้และ “เกิดผลด้วยความเพียรอดทน.”—ลูกา 8:13, 15.
16. การจัดเตรียมอันเปี่ยมด้วยความรักอะไรที่ได้ช่วยหลายล้านคนให้เพียรอดทน?
16 คุณสังเกตเห็นเคล็ดลับของการมีความเพียรอดทนไหม? เราต้อง “จดจำ” พระคำของพระเจ้าไว้ และให้พระคำนั้นมีชีวิตอยู่ในหัวใจและจิตใจของเราเสมอ. การที่พระคัมภีร์บริสุทธิ์ฉบับแปลโลกใหม่—ซึ่งเป็นคัมภีร์ไบเบิลที่แปลได้ถูกต้องชัดเจนและอ่านง่าย—มีในภาษาต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สะดวกและเป็นไปได้ที่จะทำอย่างนั้น. ถ้าเราคิดรำพึงส่วนหนึ่งจากพระคำของพระเจ้าทุก ๆ วัน นั่นจะช่วยเราให้ได้รับกำลังที่จำเป็นเพื่อจะเกิดผลต่อ ๆ ไป “ด้วยความเพียรอดทน.”—เพลง. 1:1, 2.
“จงแสวงหา . . . จิตใจที่อ่อนโยน” และสันติสุข
17. (ก) เหตุใดการมี “จิตใจที่อ่อนโยน” จึงสำคัญมาก? (ข) พระเยซูทรงแสดงให้เห็นอย่างไรว่าพระองค์ทรงมีจิตใจอ่อนโยน?
17 ไม่มีใครชอบถูกกล่าวหาด้วยเรื่องที่เขาไม่ได้พูดไม่ได้ทำ. วิธีหนึ่งที่คนเรามักทำเพื่อตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่ยุติธรรมอย่างนั้นก็คือปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นด้วยความโมโห. คงดีกว่าสักเพียงไรที่จะแสดง “จิตใจที่อ่อนโยน”! (อ่านสุภาษิต 15:1.) เพื่อจะแสดงความอ่อนโยนได้เมื่อรับมือกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรม จำเป็นต้องมีความเข้มแข็งมากทีเดียว. พระเยซูคริสต์ทรงวางตัวอย่างไว้อย่างสมบูรณ์แบบในเรื่องนี้. “เมื่อพระองค์ถูกด่า พระองค์ไม่ได้ด่าตอบ. เมื่อพระองค์ทนทุกข์ทรมาน พระองค์ไม่ได้ขู่ แต่ทรงฝากพระองค์เองไว้กับพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาด้วยความชอบธรรม.” (1 เป. 2:23) เราไม่อาจคาดหมายได้ว่าเราจะทำได้ถึงระดับที่พระเยซูทรงทำในแง่นี้ แต่เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะแสดงความอ่อนโยนมากขึ้นได้ไหม?
18. (ก) การมีอารมณ์อ่อนโยนก่อผลดีเช่นไร? (ข) คุณลักษณะอะไรอีกอย่างหนึ่งที่เราได้รับการกระตุ้นให้แสวงหา?
18 ในการเลียนแบบพระเยซู ขอให้เรา “พร้อมเสมอที่จะปกป้อง” ความเชื่อของเรา และ “ทำเช่นนั้นด้วยอารมณ์อ่อนโยนและด้วยความนับถืออย่างยิ่ง.” (1 เป. 3:15) การที่เรามีอารมณ์อ่อนโยนสามารถป้องกันไม่ให้การมีความคิดเห็นแตกต่างกันลุกลามกลายเป็นการโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อน ไม่ว่าจะกับคนที่เราพบในงานรับใช้หรือกับเพื่อนร่วมความเชื่อ. (2 ติโม. 2:24, 25) ความอ่อนโยนช่วยส่งเสริมให้เรามีสันติสุข. อาจเป็นเพราะเหตุนี้ที่ในจดหมายฉบับที่สองถึงติโมเธียว เปาโลจัดให้ “สันติสุข” อยู่ในกลุ่มของคุณลักษณะที่ควรแสวงหา. (2 ติโม. 2:22; เทียบกับ 1 ติโมเธียว 6:11.) เพราะฉะนั้น “สันติสุข” จึงเป็นคุณลักษณะอีกอย่างหนึ่งที่พระคัมภีร์สนับสนุนเราให้แสวงหา.—เพลง. 34:14; ฮีบรู 12:14.
19. หลังจากพิจารณาคุณลักษณะคริสเตียนเจ็ดประการแล้ว คุณตั้งใจแน่วแน่จะแสวงหาอะไร และเพราะเหตุใด?
19 เราได้พิจารณากันสั้น ๆ ถึงคุณลักษณะแบบคริสเตียนเจ็ดประการที่เราได้รับการสนับสนุนให้แสวงหา กล่าวคือความชอบธรรม, ความเลื่อมใสพระเจ้า, ความเชื่อ, ความรัก, ความเพียรอดทน, จิตใจที่อ่อนโยน, และสันติสุข. ช่างเป็นพระพรจริง ๆ ในทุกประชาคมเมื่อพี่น้องพยายามแสดงคุณลักษณะอันมีค่าเหล่านี้มากยิ่งขึ้น! ทั้งนี้ย่อมจะนำพระเกียรติมาสู่พระยะโฮวาและเป็นการยอมให้พระองค์นวดปั้นเราแต่ละคนซึ่งจะยังผลเป็นการสรรเสริญพระองค์.
[เชิงอรรถ]
a คำ “แสวงหา” ในภาษาเดิมที่เปาโลใช้ในที่นี้มีความหมายตรงตัวว่า “ไล่ตาม, วิ่งตาม” และมีความหมายโดยนัยว่า “แสวงหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น, พยายามทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ, พยายามเพื่อให้ได้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง.”
ข้อคิดที่น่าใคร่ครวญ
• การแสวงหาความชอบธรรมและความเลื่อมใสพระเจ้าเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง?
• อะไรจะช่วยเราให้แสวงหาความเชื่อและความเพียรอดทน?
• ความรักควรส่งผลต่อความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่น ๆ อย่างไร?
• เหตุใดเราจำเป็นต้องแสวงหาความอ่อนโยนและสันติสุข?
[ภาพหน้า 12]
พระเยซูทรงเตือนให้ระวังการแสดงตัวเป็นคนชอบธรรมเพื่อให้ผู้คนประทับใจ
[ภาพหน้า 13]
เราแสวงหาความเชื่อได้โดยคิดรำพึงความจริงในพระคำของพระเจ้า
[ภาพหน้า 15]
เราแสวงหาความรักและจิตใจที่อ่อนโยนได้