จงรับประโยชน์เต็มที่จากการอ่านคัมภีร์ไบเบิล
“ข้าพเจ้าปีติยินดีจริง ๆ ในพระบัญญัติของพระเจ้า.”—โรม 7:22
1-3. การอ่านคัมภีร์ไบเบิลและการทำตามสิ่งที่ได้เรียนรู้จะช่วยเราอย่างไร?
“ดิฉันขอบคุณพระยะโฮวาทุกเช้าที่ช่วยดิฉันให้เข้าใจคัมภีร์ไบเบิล.” พี่น้องหญิงสูงอายุที่กล่าวประโยคนี้ได้อ่านคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มมากกว่า 40 รอบ และเธอยังอ่านอยู่. พี่น้องหญิงที่อายุน้อยกว่าคนหนึ่งเขียนจดหมายมาบอกว่าการอ่านคัมภีร์ไบเบิลได้ช่วยเธอให้เห็นว่าพระยะโฮวาทรงเป็นบุคคลจริง. เธอถูกชักนำให้ใกล้ชิดพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์มากยิ่งขึ้น. เธอกล่าวว่า “ดิฉันไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิตดิฉัน!”
2 อัครสาวกเปโตรสนับสนุนทุกคนให้ “เพาะความปรารถนาจะได้น้ำนมที่มีอยู่ในพระคำซึ่งเป็นน้ำนมที่ไม่มีอะไรเจือปน.” (1 เป. 2:2) การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและทำตามสิ่งที่พระคัมภีร์สอนทำให้เรามีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาดและมีจุดมุ่งหมายในชีวิต. การศึกษาพระคัมภีร์สามารถช่วยเราให้มีสายสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับคนอื่น ๆ ที่รักและรับใช้พระเจ้าองค์เที่ยงแท้เช่นเดียวกับเรา. ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ดีที่เราจะ “ปีติยินดีจริง ๆ ในพระบัญญัติของพระเจ้า.” (โรม 7:22) การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลยังให้ประโยชน์อะไรแก่เราอีก?
3 ยิ่งคุณเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระยะโฮวาและพระบุตร ความรักที่คุณมีต่อพระองค์ทั้งสองและต่อเพื่อนมนุษย์ก็จะยิ่งมีมากขึ้น. การมีความรู้ถ่องแท้ในพระคัมภีร์ช่วยคุณให้เห็นว่าในไม่ช้าพระเจ้าจะทรงช่วยมนุษย์ที่เชื่อฟังให้รอดจากระบบนี้ที่กำลังจะพินาศ. คุณมีข่าวดีที่จะบอกผู้คนในงานประกาศ. พระยะโฮวาจะทรงอวยพรคุณขณะที่คุณสอนคนอื่น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากการอ่านพระคำของพระเจ้า.
อ่านและใคร่ครวญ
4. การอ่านคัมภีร์ไบเบิลโดย “ออกเสียงเบา ๆ” หมายความอย่างไร?
4 พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้เราใช้เวลาใคร่ครวญและทำความเข้าใจเรื่องที่เราอ่านในคัมภีร์ไบเบิล. พระองค์ทรงสั่งยะโฮซูอะว่า “หนังสือกฎหมายนี้อย่าให้ขาดจากปาก ของเจ้า; แต่เจ้าจงตรึกตรอง [“อ่านออกเสียงเบา ๆ,” เชิงอรรถฉบับแปลโลกใหม่ ] ในข้อกฎหมายนั้นทั้งวันและคืน.” (ยโฮ. 1:8; เพลง. 1:2) นี่หมายความว่าเราต้องอ่านทุกคำในพระคัมภีร์ตั้งแต่เยเนซิศจนถึงวิวรณ์โดยออกเสียงเบา ๆ ไหม? ไม่. แต่หมายความว่าคุณควรอ่านให้ช้าพอที่จะใคร่ครวญเรื่องที่คุณอ่านได้. เมื่อคุณอ่านคัมภีร์ไบเบิลโดย “ออกเสียงเบา ๆ” นั่นจะช่วยให้คุณจดจ่ออยู่กับส่วนที่เป็นประโยชน์และหนุนใจคุณเป็นพิเศษ. เมื่อพบวลี ข้อ หรือเรื่องราวที่คุณสนใจเป็นพิเศษ ให้อ่านส่วนนั้นอย่างช้า ๆ หรืออาจออกเสียงคำเหล่านั้นเบา ๆ. เมื่อทำอย่างนั้นสิ่งที่คุณอ่านก็จะเข้าถึงหัวใจคุณจริง ๆ. ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ? เพราะถ้าคุณเข้าใจคำแนะนำของพระเจ้าจริง ๆ คุณก็จะต้องการดำเนินชีวิตตามคำแนะนำนั้น.
5-7. จงยกตัวอย่างว่าการอ่านพระคำของพระเจ้าอย่างช้า ๆ และถี่ถ้วนอาจช่วยคุณอย่างไรให้ (ก) ทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า (ข) พูดกับคนอื่นอย่างกรุณา (ค) ไว้วางใจพระยะโฮวาแม้ในยามยากลำบาก.
5 เมื่อเราอ่านหนังสือบางเล่มของคัมภีร์ไบเบิลที่เราคิดว่าเข้าใจยาก อาจเป็นประโยชน์ที่จะอ่านอย่างช้า ๆ และถี่ถ้วนเพื่อเราจะสามารถใคร่ครวญสิ่งที่เรากำลังอ่าน. ตัวอย่างเช่น ขอให้คิดถึงพี่น้องหนุ่มที่อ่านหนังสือโฮเซอาอย่างถี่ถ้วน. ในบท 4 หลังจากที่อ่านข้อ 11 ถึง 13 แล้วเขาก็หยุดเพื่อจะใคร่ครวญ. (อ่านโฮเซอา 4:11-13 ) เพราะเหตุใด? สามข้อนี้กระตุ้นความสนใจของเขาเป็นพิเศษเพราะที่โรงเรียนเขามักถูกล่อใจให้ทำผิดศีลธรรม. เขาใคร่ครวญข้อนี้และพูดกับตัวเองว่า ‘พระยะโฮวาทรงเห็นสิ่งชั่วร้ายที่ผู้คนทำแม้แต่เมื่อพวกเขาอยู่ตามลำพัง. ผมไม่ต้องการจะทำให้พระองค์ขัดเคืองพระทัย.’ พี่น้องหนุ่มคนนี้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะรักษาตัวสะอาดด้านศีลธรรมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ.
6 ตัวอย่างที่สอง ขอให้คิดถึงพี่น้องหญิงที่กำลังอ่านคำพยากรณ์ของโยเอลอย่างถี่ถ้วนจนมาถึงบท 2 ข้อ 13. (อ่านโยเอล 2:13 ) ขณะที่เธออ่านข้อนี้ เธอใคร่ครวญถึงวิธีที่เธอควรเลียนแบบพระยะโฮวาผู้ทรง “พระกรุณาและเมตตา, ทรงอดกลั้นพระพิโรธไว้ได้ช้านาน, ทรงพระกรุณาธิคุณเหลือล้น.” เธอตัดสินใจว่าจะเลิกใช้คำพูดแบบเหน็บแนมและเกรี้ยวกราดซึ่งบางครั้งหลุดปากออกมาเมื่อเธอพูดกับสามีและคนอื่น ๆ.
7 ตัวอย่างที่สาม ขอให้นึกภาพพี่น้องชายที่ตกงานและกังวลว่าเขาจะดูแลภรรยาและลูกอย่างไร. เขาอ่านหนังสือนาฮูมอย่างถี่ถ้วน. ที่นาฮูม 1:7 เขาอ่านว่าพระยะโฮวา “ทรงรู้จักพวกที่เข้ามาพึ่งอาศัยในพระองค์” และทรงปกป้องพวกเขาเหมือนทรงเป็น “สถานนิรภัยในคราวภัยพิบัติ.” ข้อนี้ช่วยเขาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระยะโฮวาทรงรักเขาและครอบครัว และตอนนี้เขาจึงไม่กังวลจนเกินไป. แล้วเขาก็อ่านข้อ 15 อย่างถี่ถ้วน. (อ่านนาฮูม 1:15 ) เขามองเห็นว่าเขาสามารถพิสูจน์ความไว้วางใจที่มีต่อพระยะโฮวาได้ด้วยการประกาศข่าวดีในยามยากลำบาก. ดังนั้น ขณะที่เขาพยายามหางานต่อไป เขาจะประกาศกลางสัปดาห์มากขึ้น.
8. จงอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับบางสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากการอ่านคัมภีร์ไบเบิล.
8 ตัวอย่างที่เราเพิ่งพิจารณาไปเกี่ยวข้องกับการอ่านหนังสือบางเล่มในคัมภีร์ไบเบิลที่บางคนคิดว่าเข้าใจยาก. แต่เมื่อคุณพบบางข้อที่ให้กำลังใจ คุณก็จะอยากอ่านหนังสือเหล่านี้ต่อ ๆ ไป. ขอให้นึกภาพดูว่าคุณจะได้สติปัญญาและการปลอบโยนมากมายสักเพียงไรจากการอ่านข้อเขียนของผู้พยากรณ์เหล่านี้! หนังสือเล่มอื่น ๆ ทั้งหมดในคัมภีร์ไบเบิลก็สามารถช่วยเราอย่างนั้นด้วย. พระคำของพระเจ้าเป็นเหมือนเหมืองที่มีเพชรมากมายฝังลึกอยู่ใต้ดิน. ขณะที่คุณอ่านคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม ขอให้คอยมองหา “เพชร” ซึ่งก็คือการชี้นำและการหนุนใจที่มีอยู่ในพระคัมภีร์!
พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่คุณอ่าน
9. เราจะทำอะไรได้เพื่อจะเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลดีขึ้น?
9 เป็นเรื่องสำคัญที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน. แต่คุณควรเข้าใจสิ่งที่คุณอ่านด้วย. ด้วยเหตุนั้น จงค้นคว้าในหนังสือต่าง ๆ ของเราเพื่อจะเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิหลังของผู้คน สถานที่ และเหตุการณ์ที่คุณกำลังอ่าน. ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าควรนำสิ่งที่อ่านในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้อย่างไร คุณอาจขอผู้ปกครองหรือพี่น้องชายหญิงที่อาวุโสให้ช่วยคุณ. เพื่อจะเห็นชัดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความสำคัญของการมีความเข้าใจมากขึ้น ขอให้เราพิจารณาตัวอย่างของคริสเตียนคนหนึ่งในศตวรรษแรกที่พยายามทำอย่างนั้น. คริสเตียนคนนี้ชื่ออะโปลโลส.
10, 11. (ก) อะโปลโลสได้รับความช่วยเหลืออย่างไรให้เป็นผู้ประกาศข่าวดีที่ดียิ่งขึ้น? (ข) เราเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของอะโปลโลส? (โปรดดูกรอบ “คุณสอนตามความเข้าใจล่าสุดไหม?”)
10 อะโปลโลสเป็นคริสเตียนชาวยิวที่ “รู้เรื่องพระคัมภีร์เป็นอย่างดี” และ “มีใจแรงกล้าเนื่องด้วยพระวิญญาณ.” หนังสือกิจการรายงานว่าเขา “พูดและสอนเรื่องพระเยซูอย่างถูกต้อง แต่ก็รู้แค่เรื่องบัพติสมาของโยฮันเท่านั้น.” อะโปลโลสไม่รู้ว่าพระเยซูทรงสอนเหล่าสาวกเกี่ยวกับแง่มุมใหม่ของการรับบัพติสมา. เมื่อได้ยินว่าเขาสอนในเมืองเอเฟโซส์ คู่สามีภรรยาที่ชื่อปริสกิลลากับอะคีลัสจึงได้ “อธิบายให้เขาเข้าใจแนวทางของพระเจ้าอย่างถูกต้องยิ่งขึ้น.” (กิจ. 18:24-26) อะโปลโลสได้รับประโยชน์อย่างไรจากความช่วยเหลือนี้?
11 หลังจากประกาศในเมืองเอเฟโซส์ อะโปลโลสก็ไปที่แคว้นอะคายะ. “เมื่ออะโปลโลสไปถึงเขาได้ให้ความช่วยเหลืออย่างมากแก่คนเหล่านั้นที่เชื่อเนื่องด้วยพระกรุณาอันใหญ่หลวงของพระเจ้า เพราะด้วยใจแรงกล้า เขาได้พิสูจน์อย่างถี่ถ้วนให้คนทั้งปวงเห็นว่าพวกยิวเป็นฝ่ายผิดโดยใช้พระคัมภีร์แสดงว่าพระเยซูคือพระคริสต์.” (กิจ. 18:27, 28) ถึงตอนนั้น อะโปลโลสสามารถอธิบายความหมายของการรับบัพติสมาของคริสเตียนได้อย่างถูกต้อง. ด้วยความเข้าใจที่มีมากขึ้น เขาจึง “ให้ความช่วยเหลืออย่างมาก” เพื่อคนใหม่ ๆ จะก้าวหน้าในการนมัสการแท้. เราเรียนอะไรได้จากเรื่องนี้? เช่นเดียวกับอะโปลโลส เราพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เราอ่านในคัมภีร์ไบเบิล. อย่างไรก็ตาม หากเพื่อนร่วมความเชื่อที่มีประสบการณ์ชี้แนะวิธีที่เราจะสามารถสอนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราควรตอบรับการช่วยเหลือนั้นด้วยความถ่อมใจและขอบคุณ. เมื่อเราทำอย่างนั้น เราจะเป็นผู้สอนที่ดีขึ้นได้.
ใช้สิ่งที่คุณเรียนเพื่อช่วยคนอื่น
12, 13. เราจะใช้พระคัมภีร์อย่างกรุณาเพื่อช่วยนักศึกษาให้ก้าวหน้าได้อย่างไร?
12 เช่นเดียวกับปริสกิลลา อะคีลัส และอะโปลโลส เราสามารถช่วยคนอื่น ๆ ได้. คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณได้ช่วยผู้สนใจให้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาเพื่อจะก้าวหน้าในความจริง? หรือในฐานะผู้ปกครอง คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อเพื่อนผู้นมัสการขอบคุณที่คุณได้ให้คำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์เพื่อช่วยเขาผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก? การใช้พระคำของพระเจ้าเพื่อช่วยคนอื่น ๆ ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นทำให้เรามีความอิ่มใจและยินดีอย่างแน่นอน.a คุณจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
13 ชาวอิสราเอลหลายคนในสมัยเอลียาห์เหยียบเรือสองแคมโดยนมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้และพระเท็จในเวลาเดียวกัน. คำแนะนำของเอลียาห์ที่ให้แก่คนเหล่านั้นอาจช่วยนักศึกษาพระคัมภีร์ที่ยังลังเลในการตัดสินใจรับใช้พระยะโฮวาได้. (อ่าน 1 กษัตริย์ 18:21 ) หรือผู้สนใจอาจกลัวว่าเพื่อนและคนในครอบครัวจะต่อว่าหรือตำหนิที่เขาศึกษาพระคัมภีร์. คุณอาจช่วยเขาได้ให้ตัดสินใจรับใช้พระยะโฮวาโดยใช้ถ้อยคำที่อยู่ในยะซายา 51:12, 13—อ่าน.
14. อะไรจะช่วยคุณให้นึกข้อคัมภีร์ออกเมื่อถึงคราวที่คุณจำเป็นต้องใช้เพื่อช่วยคนอื่น?
14 เห็นได้ชัดว่าคัมภีร์ไบเบิลมีถ้อยคำมากมายที่สามารถหนุนใจเรา ช่วยเราปรับปรุงแก้ไข หรือทำให้เราเข้มแข็งยิ่งขึ้น. แต่คุณอาจถามว่า ‘ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าควรใช้พระคัมภีร์ข้อใดเมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องใช้?’ จงอ่านคัมภีร์ไบเบิลและใคร่ครวญสิ่งที่คุณอ่านทุกวัน. โดยวิธีนี้ คุณจะค่อย ๆ คุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น และพระยะโฮวาทรงสามารถใช้พระวิญญาณของพระองค์ช่วยคุณให้นึกถึงข้อพระคัมภีร์ได้เมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องใช้.—มโก. 13:11; อ่านโยฮัน 14:26 b
15. อะไรจะช่วยคุณให้เข้าใจพระคำของพระเจ้าดียิ่งขึ้น?
15 เช่นเดียวกับกษัตริย์โซโลมอน จงอธิษฐานขอสติปัญญาจากพระยะโฮวา. คุณจำเป็นต้องมีสติปัญญาเพื่อจะรับใช้และทำหน้าที่ในประชาคม. (2 โคร. 1:7-10) เช่นเดียวกับผู้พยากรณ์ในสมัยโบราณ จงค้นคว้าพระคำของพระเจ้าอย่างถี่ถ้วน. การทำอย่างนี้จะช่วยคุณมีความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระยะโฮวาและพระประสงค์ของพระองค์. (1 เป. 1:10-12) อัครสาวกเปาโลสนับสนุนติโมเธียวให้ “หล่อเลี้ยงจิตใจด้วยถ้อยคำแห่งความเชื่อและคำสอนอันดี.” (1 ติโม. 4:6) ถ้าคุณหมั่นศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอยู่เสมอ คุณจะเข้าใจพระคัมภีร์ดีขึ้นและจะรู้วิธีใช้พระคัมภีร์เพื่อช่วยคนอื่น ๆ. ในขณะเดียวกัน ความเชื่อของคุณก็จะมั่นคงเข้มแข็งยิ่งขึ้น.
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วยปกป้องเรา
16. (ก) ชาวเมืองเบโรยาได้รับประโยชน์จากการอ่านพระคัมภีร์ทุกวันอย่างไร? (ข) ทำไมจึงสำคัญที่เราจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน?
16 ชาวยิวที่อยู่ในเมืองเบโรยาอ่านพระคัมภีร์อย่างถี่ถ้วนทุกวัน. เมื่อเปาโลประกาศข่าวดีแก่ชาวยิวเหล่านี้ พวกเขาเทียบคำพูดของท่านกับสิ่งที่พวกเขารู้จากพระคัมภีร์. ผลเป็นอย่างไร? หลายคนมั่นใจว่าสิ่งที่ท่านสอนเป็นความจริง และพวกเขา “จึงมาเป็นผู้เชื่อถือ.” (กิจ. 17:10-12) นี่แสดงให้เห็นว่าการอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันสามารถช่วยเสริมความเชื่อของเราในพระยะโฮวาให้เข้มแข็ง. เราต้องมีความเชื่อที่เข้มแข็งหากต้องการจะรอดชีวิตเข้าสู่โลกใหม่ของพระเจ้า.—ฮีบรู 11:1
17, 18. (ก) ความเชื่อที่มั่นคงและความรักอันแรงกล้าช่วยปกป้องหัวใจโดยนัยของเราอย่างไร? (ข) ความหวังช่วยปกป้องเราอย่างไร?
17 เปาโลมีเหตุผลที่ดีที่เขียนว่า “ส่วนเราที่เป็นฝ่ายกลางวัน ให้เรามีสติอยู่เสมอ เอาความเชื่อและความรักสวมเป็นเกราะป้องกันอก และเอาความหวังเรื่องความรอดสวมเป็นหมวกเกราะ.” (1 เทส. 5:8) เกราะป้องกันอกที่ทหารสวมช่วยปกป้องหัวใจของเขาไว้. หัวใจโดยนัยของเราก็จำเป็นต้องได้รับการปกป้องด้วยเช่นกัน. เมื่อผู้รับใช้ของพระยะโฮวามีความเชื่อเข้มแข็งในคำสัญญาของพระเจ้าและมีความรักอันแรงกล้าต่อพระองค์และต่อเพื่อนมนุษย์ ก็เหมือนกับว่าเขากำลังสวมเกราะป้องกันอกที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุด. เมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็จะทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อจะได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้าเสมอ.
18 เปาโลยังกล่าวถึงหมวกเกราะด้วย ซึ่งก็คือ “ความหวังเรื่องความรอด.” หากไม่มีหมวกป้องกันศีรษะ ทหารในสมัยคัมภีร์ไบเบิลอาจเสียชีวิตในสงครามได้อย่างง่ายดาย. แต่เมื่อมีหมวกเกราะดี ๆ เขาอาจรอดชีวิตโดยไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อถูกตีที่ศีรษะ. เมื่อเรามีความหวังอันมั่นคงว่าพระยะโฮวาทรงสามารถช่วยให้เรารอด ความหวังนั้นก็จะช่วยปกป้องความคิดของเราไว้. ความหวังอันมั่นคงนั้นทำให้เรามีเหตุผลหนักแน่นที่จะไม่สนใจพวกผู้ออกหากและ “การพูดไร้สาระ” ของคนพวกนี้ที่เป็นเหมือนเนื้อตายเน่าซึ่งจะลุกลามไปอย่างรวดเร็วในประชาคม. (2 ติโม. 2:16-19) ความหวังของเรายังจะช่วยให้เราเข้มแข็งและมีเหตุผลหนักแน่นที่จะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ไม่ดีด้วย.
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้รอดในสมัยสุดท้ายนี้
19, 20. ทำไมเราจึงเห็นคุณค่าพระคำของพระเจ้าอย่างยิ่ง และเราจะแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเราเห็นคุณค่า? (โปรดดูกรอบ “พระยะโฮวาประทานสิ่งที่ดิฉันจำเป็นต้องได้รับจริง ๆ”)
19 ยิ่งใกล้จะถึงอวสานของระบบนี้มากเท่าไร เราก็ยิ่งจำเป็นต้องหมายพึ่งพระคำของพระยะโฮวามากเท่านั้น. พระคำของพระเจ้าสามารถช่วยเราให้เลิกนิสัยที่ไม่ดีและต้านทานความปรารถนาที่จะทำผิด. พระคำของพระเจ้าจะปลอบโยนและหนุนใจเราให้ผ่านการทดสอบต่าง ๆ จากซาตานและโลกของมัน. ด้วยการชี้นำจากพระคำของพระยะโฮวา เราจะรักษาตัวอยู่บนเส้นทางสู่ชีวิตต่อ ๆ ไป.
20 ขอให้จำไว้ว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้ “คนทุกชนิดรอด.” นั่นรวมถึงผู้รับใช้ทุกคนของพระองค์และคนที่เต็มใจฟังเมื่อเราประกาศและสอนพวกเขาเกี่ยวกับข่าวดี. แต่ทุกคนที่ต้องการจะรอดชีวิตเมื่อระบบนี้สิ้นสุดลงต้องมี “ความรู้ถ่องแท้เรื่องความจริง.” (1 ติโม. 2:4) ด้วยเหตุนั้น ถ้าเราต้องการจะรอดชีวิตเราต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลและทำตามคำสอนที่อยู่ในพระคัมภีร์. การอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันแสดงให้เห็นว่าเราเห็นคุณค่าความจริงในพระคำของพระยะโฮวาอย่างยิ่ง.—โย. 17:17
a เราไม่ควรใช้คำแนะนำในพระคัมภีร์เพื่อบังคับคนอื่นให้เปลี่ยนหรือประณามว่าเขาเป็นคนไม่ดี. เราควรอดทนและแสดงความกรุณาต่อนักศึกษาของเราอย่างที่พระยะโฮวาทรงแสดงต่อเรา.—เพลง. 103:8
b จะว่าอย่างไรถ้าคุณจำคำสำคัญที่อยู่ในข้อความตอนหนึ่งได้ แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ในหนังสือเล่มไหน และบทใดข้อใด? คุณสามารถหาข้อคัมภีร์นั้นได้โดยการค้นดูคำนั้นในดัชนีที่อยู่ในส่วนท้ายของคัมภีร์ไบเบิล หรือในห้องสมุดของว็อชเทาเวอร์ (ภาษาอังกฤษ).