-
คุณเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหม?หอสังเกตการณ์ 1997 | พฤษภาคม 15
-
-
คุณเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหม?
“ลูกจำเด็กสาวที่อยู่ใกล้บ้านเราได้ไหม คนที่ลูกเคยหลงรักขณะที่ลูกเติบโตขึ้นที่นี่ในอินเดีย?” มูคันไบได้เขียนดังกล่าวถึงลูกชายซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในสหรัฐ. “เธอกำลังจะแต่งงานในไม่กี่สัปดาห์นี้แล้ว. พ่อคิดว่าลูกน่าจะรู้เรื่องนี้.”
ทำไมพ่อจึงบอกข่าวนี้กับลูกชายของตน? ที่แท้แล้ว มูคันไบทำให้เรื่องรักใคร่ตอนวัยรุ่นยุติลงอย่างเฉียบพลันเมื่อหลายปีก่อนนั้น. นอกจากนี้ ลูกชายอยู่ในสหรัฐ มุ่งหน้าเรียนในระดับอุดมศึกษาเป็นเวลาหกปี. เขาไม่ได้ติดต่อกับเด็กสาวคนนั้นระหว่างช่วงนั้น และมูคันไบก็ทราบเรื่องนั้น.
ถ้าเช่นนั้น ทำไมจึงเป็นห่วง? มูคันไบแสดงความเป็นห่วงก็เพราะเขาเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด หรือการเกิดใหม่.a หากโดยบังเอิญเรื่องรักใคร่ตอนเป็นวัยรุ่นระหว่างสองคนเป็นไปเนื่องจากการที่เขาทั้งสองเคยเป็นคู่ชีวิตกันมาในชาติก่อนแล้ว ก็นับว่าโหดร้ายที่จะแยกเขาทั้งสองออกจากกันในเมื่อถึงวัยที่จะแต่งงานได้. มูคันไบเพียงแต่ต้องการบอกให้ลูกชายทราบเหตุการณ์ก่อนที่เด็กสาวคนนั้นจะกลายเป็นภรรยาของคนอื่นไปในชาตินี้.
ขอพิจารณาอีกตัวอย่างหนึ่ง. เด็กหญิงวัยสี่ขวบอยู่อย่างเจ็บปวดทรมานหลายครั้งในโรงพยาบาลที่เมืองมุมไบ, อินเดีย. ปัญหาของเธอคือลิ้นหัวใจพิการ. พ่อแม่ของเธอซึ่งเป็นผู้มีอันจะกินทนไม่ได้ที่เห็นลูกได้รับความเจ็บปวด. แต่เขาทั้งสองให้เหตุผลว่า “เราต้องยอมรับเรื่องนี้. ลูกคงต้องทำอะไรไว้ในชาติก่อนจึงสมควรได้รับสภาพแบบนี้.”
ความเชื่อในการกลับชาติมาเกิดมีบทบาทสำคัญในชีวิตของหลายล้านคนในศาสนาฮินดู, พุทธ, เชน, ซิก, และศาสนาอื่น ๆ ที่มีแหล่งกำเนิดอยู่ในอินเดีย. ประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต—นับจากการตกหลุมรักไปจนถึงความทุกข์สาหัส—ถูกถือว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการกระทำในชาติก่อน.
หลายคนในประเทศทางตะวันตกติดใจหลงใหลในคำสอนเรื่องการกลับชาติมาเกิด. นักแสดงหญิงชาวอเมริกันชื่อเชอร์ลีย์ แมคเลนยอมรับว่าเชื่อเรื่องนี้. นักเขียนชื่อลอเรล เฟลัน จากเมืองแวนคูเวอร์, บริติชโคลัมเบีย, แคนาดา อ้างว่าระลึกถึงชาติก่อนได้ 50 ชาติ. ในการหยั่งเสียงประชาชนโดยแกลลัปเมื่อปี 1994 ที่ดำเนินการให้กับเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นและหนังสือพิมพ์ยูเอสเอ ทูเดย์นั้น ผู้ใหญ่มากกว่า 270 คนจากจำนวน 1,016 คนที่ถูกสัมภาษณ์ยอมรับว่า เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด. ความเชื่อในการกลับชาติมาเกิดยังเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการยุคใหม่ด้วย. แต่มีหลักฐานอะไรสนับสนุนความเชื่อเช่นนี้?
“ความทรงจำเกี่ยวกับชาติก่อนน่ะสิ!” ผู้เชื่อในการกลับชาติมาเกิดบอกเช่นนั้น. เพราะฉะนั้น เมื่อรัตนาวัยสามขวบจากกรุงเทพฯ เริ่ม “ระลึกได้ว่าชาติก่อนเป็นหญิงผู้เคร่งศาสนาซึ่งตายเมื่ออายุ 60 กว่าปี” ผู้สังเกตส่วนใหญ่ยอมรับเหตุการณ์นั้นว่าเป็นข้อพิสูจน์ที่ฟังขึ้นในเรื่องการกลับชาติมาเกิด.
อย่างไรก็ดี ความสงสัยมีอยู่ดาษดื่น. และเป็นไปได้ที่จะมีคำอธิบายอย่างอื่นเกี่ยวกับความทรงจำที่ถือว่าเป็นของชาติก่อนนั้น.b ในหนังสือศาสนาฮินดู: ความหมายของศาสนานั้นสำหรับการปลดปล่อยวิญญาณ (ภาษาอังกฤษ) นักปรัชญาชาวฮินดูชื่อนิคิลานันทะ บอกว่า ‘ประสบการณ์หลังจากตายไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยเหตุด้วยผล.’ กระนั้น เขายืนยันว่า “คำสอนเรื่องการเกิดใหม่ดูเหมือนจะมีทางเป็นไปได้มากกว่าเป็นไปไม่ได้.”
แต่คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนคำสอนนี้ไหม? และพระคำของพระเจ้าที่มีขึ้นโดยการดลใจนั้นเสนอความหวังอะไรสำหรับคนตาย?
-
-
คุณควรเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหม?หอสังเกตการณ์ 1997 | พฤษภาคม 15
-
-
คุณควรเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหม?
เพลโตนักปรัชญากรีกได้เชื่อมโยงการตกหลุมรักเข้ากับแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิด. เขาเชื่อว่า หลังจากร่างกายตายแล้ว เนื่องจากเป็นอมตะ จิตวิญญาณจึงโยกย้ายไปยัง “อาณาจักรแห่งรูปแบบแท้.” โดยปราศจากร่างกายเนื้อหนัง จิตวิญญาณยังคงอยู่ที่นั่นต่อไปชั่วระยะหนึ่ง เพื่อพินิจพิจารณาดูรูปแบบต่าง ๆ. เมื่อจิตวิญญาณกลับชาติมาเกิดในอีกร่างหนึ่งในภายหลัง จิตวิญญาณนั้นจะระลึกถึงและใฝ่หาอาณาจักรแห่งรูปแบบขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว. ตามที่เพลโตกล่าวนั้น คนเราตกหลุมรักเพราะเขามองเห็นรูปแบบอันดีเลิศของความสวยงามในตัวคนรักซึ่งเขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาและแสวงหา.
การระบุแหล่งที่มาและรากฐาน
คำสอนเรื่องการกลับชาติมาเกิดทำให้จำเป็นต้องมีจิตวิญญาณอมตะ. ดังนั้นแล้ว ต้นตอของการกลับชาติมาเกิดคงต้องสืบร่องรอยไปจนถึงผู้คนหรือชาติเหล่านั้นที่ยึดถือความเชื่อดังกล่าว. โดยอาศัยพื้นฐานนี้ บางคนคิดว่าเรื่องนี้มีแหล่งกำเนิดในอียิปต์โบราณ. คนอื่นเชื่อว่าเรื่องนี้เริ่มต้นในบาบิโลเนียโบราณ. เพื่อสร้างความเคารพนับถือให้กับศาสนาแบบบาบูโลน พวกนักบวชของศาสนานั้นได้เสนอคำสอนเรื่องการโยกย้ายจิตวิญญาณ. ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถอ้างได้ว่า วีรบุรุษทางศาสนาของพวกเขานั้นคือบรรพบุรุษผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขาที่กลับชาติมาเกิด ถึงแม้จะตายมานานแล้ว.
อย่างไรก็ดี ในอินเดียนั่นเองที่ความเชื่อในการกลับชาติมาเกิดได้พัฒนาขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ. พวกปราชญ์ชาวฮินดูได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาสากลในเรื่องความชั่วและความทุกข์ในท่ามกลางมนุษย์. พวกเขาถามว่า ‘จะทำให้ปัญหาเหล่านี้ประสานกับแนวคิดเรื่องพระผู้สร้างองค์ชอบธรรมได้อย่างไร?’ เขาพยายามจะขจัดข้อขัดแย้งระหว่างความชอบธรรมของพระเจ้ากับภัยพิบัติที่ไม่ได้คาดล่วงหน้าและความไม่เสมอภาคต่าง ๆ ในโลก. ต่อมา เขาได้คิด “กฎแห่งกรรม” ขึ้นมา กฎของเหตุและผล—‘ไม่ว่าคนเราหว่านอะไรก็ตาม เขาก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น.’ เขากำหนด ‘งบดุล’ ที่มีรายละเอียดขึ้นมาที่แสดงคุณความดีและความไม่ดีในชีวิตของคนเราซึ่งจะได้รับบำเหน็จหรือถูกลงโทษในชาติหน้า.
“กรรม” หมายความง่าย ๆ ว่า “การกระทำ.” กล่าวกันว่า ชาวฮินดูมีกรรมดีหากเขาปฏิบัติตามมาตรฐานทางสังคมและทางศาสนา และมีกรรมชั่วหากเขาไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น. การกระทำหรือกรรมของเขากำหนดอนาคตของเขาในการเกิดใหม่ครั้งหน้าแต่ละครั้งไป. นักปรัชญาชื่อนิคิลานันทะกล่าวว่า “มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับพิมพ์เขียวเกี่ยวกับลักษณะจำเพาะที่ได้รับการเตรียมไว้โดยการกระทำของเขาในชาติก่อนเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้ลักษณะทางกายถูกกำหนดโดยพันธุกรรมก็ตาม. [ดังนั้น] มนุษย์จึงเป็นผู้ออกแบบโชคชะตาของตนเอง เป็นผู้สร้างชะตากรรมของตน.” อย่างไรก็ดี เป้าหมายในที่สุดคือ เพื่อได้รับการปลดปล่อยจากวัฏสงสารแห่งการกลับชาติมาเกิดและเข้าไปร่วมอยู่กับพรหมัน—ความเป็นจริงขั้นสูงสุด. เชื่อกันว่าจะบรรลุสภาพนี้ได้โดยพยายามประพฤติอย่างที่สังคมยอมรับได้และมีความรู้เป็นพิเศษเกี่ยวกับแนวคิดแบบฮินดู.
ฉะนั้น การสอนเรื่องการกลับชาติมาเกิดจึงใช้คำสอนเรื่องจิตวิญญาณอมตะเป็นพื้นฐานและต่อเติมคำสอนนี้โดยใช้กฎแห่งกรรม. ขอให้เราพิจารณาดูว่าคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระเจ้าที่มีขึ้นโดยการดลใจนั้น กล่าวเช่นไรเกี่ยวกับแนวคิดเหล่านี้.
จิตวิญญาณเป็นอมตะไหม?
เพื่อตอบคำถามนี้ ขอให้เราหันไปยังต้นตำรับสูงสุดในเรื่องนั้น นั่นคือพระคำของพระผู้สร้างที่มีขึ้นโดยการดลใจ. ในเยเนซิศหนังสือเล่มแรกของคัมภีร์ไบเบิลนั้นทีเดียว เราเรียนรู้ความหมายที่ถูกต้องของคำ “จิตวิญญาณ.” คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเกี่ยวกับการสร้างอาดามมนุษย์คนแรกว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าดำเนินการสร้างมนุษย์จากผงคลีดิน ระบายลมแห่งชีวิตเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิตอยู่.” (เยเนซิศ 2:7, ล.ม.) ปรากฏชัด จิตวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์มี ทว่าคือสิ่งที่เขาเป็น. คำภาษาฮีบรูที่ใช้ ณ ที่นี้สำหรับจิตวิญญาณคือเนʹเฟ็ช. คำนี้ปรากฏราว ๆ 700 ครั้งในคัมภีร์ไบเบิล และไม่เคยพาดพิงถึงส่วนที่แยกต่างหากและไม่มีตัวตนของมนุษย์ แต่พาดพิงถึงสิ่งที่มีตัวตนและเป็นรูปธรรม.—โยบ 6:7; บทเพลงสรรเสริญ 35:13; 107:9; 119:28.
เกิดอะไรขึ้นกับจิตวิญญาณขณะที่ตาย? ขอพิจารณาสิ่งที่ได้เกิดกับอาดามตอนที่เขาตาย. เมื่อเขาทำบาป พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “เจ้าจะกลับเป็นดิน; เพราะเจ้าบังเกิดมาแต่ดินเจ้าเป็นแต่ผงคลีดิน, และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินอีก.” (เยเนซิศ 3:19) ขอให้คิดดูว่านั่นหมายถึงอะไร. ก่อนที่พระเจ้าสร้างเขาจากผงคลีดิน อาดามมิได้ดำรงอยู่. หลังจากเขาตาย อาดามกลับคืนสู่สภาพของการไม่ดำรงอยู่เหมือนเดิม.
กล่าวง่าย ๆ คัมภีร์ไบเบิลสอนว่า ความตายคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับชีวิต. ที่ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10 เราอ่านว่า “คนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองคงจะตาย, แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย, หรือเขาหาได้รับรางวัลอีกไม่เลย; ด้วยว่าใคร ๆ ก็พากันลืมเขาเสียหมดแล้ว. เมื่อมือไม้ของเจ้าจับการอันใดทำ, จงกระทำการอันนั้นด้วยกำลังวังชาของเจ้าเถิด; เพราะว่าไม่มีการงาน, หรือโครงการ, หรือความรู้หรือสติปัญญาในเมืองผี [“เชโอล,” ล.ม.] ที่เจ้าจะไปนั้น.”
นี่หมายความว่าคนตายไม่สามารถทำหรือรู้สึกอะไรได้. เขาไม่มีความนึกคิดใด ๆ อีกต่อไป ทั้งเขาก็จำอะไรไม่ได้เลย. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายอย่าวางใจในพวกเจ้านาย, หรือในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ช่วยให้รอดไม่ได้. เมื่อลมหายใจเขาขาด, เขาก็กลับคืนเป็นดินอีก; และในวันนั้นทีเดียวความคิดของเขาก็ศูนย์หายไป.”—บทเพลงสรรเสริญ 146:3, 4.
คัมภีร์ไบเบิลแสดงอย่างชัดเจนว่าขณะที่ตาย จิตวิญญาณมิได้ย้ายไปยังอีกร่างหนึ่ง แต่จิตวิญญาณนั้นตาย. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “จิตต์วิญญาณที่กระทำบาป, จิตต์วิญญาณนั้น [“เอง,” ล.ม.] จะตาย.” (ยะเอศเคล 18:4, 20; กิจการ 3:23; วิวรณ์ 16:3) ด้วยเหตุนี้ คำสอนเรื่องจิตวิญญาณอมตะ ซึ่งเป็นรากฐานของทฤษฎีว่าด้วยการกลับชาติมาเกิด ไม่พบการสนับสนุนใด ๆ ในพระคัมภีร์. หากปราศจากคำสอนนั้นแล้ว ทฤษฎีนั้นก็ล้มเหลว. ถ้าเช่นนั้น จะอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับความทุกข์ที่เราพบเห็นในโลกนี้?
ทำไมผู้คนประสบความทุกข์?
เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความทุกข์ของมนุษย์คือ ความไม่สมบูรณ์ที่เราทุกคนล้วนสืบทอดมาจากอาดามผู้ผิดบาป. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ความผิด [“บาป,” ล.ม.] ได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว, และความตายก็เกิดมาเพราะความผิดนั้น อย่างนั้นแหละความตายจึงได้ลามไปถึงคนทั้งปวง, เพราะคนทั้งปวงเป็นคนผิดอยู่แล้ว.” (โรม 5:12) เนื่องด้วยเกิดมาจากอาดาม เราทุกคนจึงป่วย, แก่ลง, และตาย.—บทเพลงสรรเสริญ 41:1, 3; ฟิลิปปอย 2:25-27.
นอกจากนี้ กฎหมายด้านศีลธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ของพระผู้สร้างกล่าวว่า “อย่าให้ใครชักนำท่านให้หลง: จะหลอกพระเจ้าเล่นไม่ได้. ด้วยว่าคนใดหว่านอะไรลงก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น; เพราะคนใดที่หว่านโดยคำนึงถึงเนื้อหนังของตนเองจะเกี่ยวเก็บการเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น.” (ฆะลาเตีย 6:7, 8, ล.ม.) ฉะนั้น รูปแบบชีวิตที่สำส่อนอาจนำไปสู่ความทุกข์ระทมด้านอารมณ์, การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนา, และโรคที่ติดต่อกันทางเพศ. วารสารไซเยนติฟิก อเมริกัน กล่าวว่า “จำนวนที่น่าตกตะลึงคือ 30 เปอร์เซ็นต์ของมะเร็งที่ทำให้ถึงตาย [ในสหรัฐ] นั้นอาจโทษการสูบบุหรี่ได้เป็นอันดับแรก และอาจโทษรูปแบบการดำเนินชีวิตได้ในจำนวนเปอร์เซ็นต์พอ ๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจปฏิบัติด้านการควบคุมอาหารและการขาดการออกกำลังกาย.” ภัยพิบัติบางอย่างที่ก่อความทุกข์เป็นผลสืบเนื่องจากการที่มนุษย์ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินโลกอย่างผิด ๆ.—เทียบกับวิวรณ์ 11:18.
ถูกแล้ว มนุษย์ต้องรับผิดชอบในเรื่องความทุกข์ส่วนใหญ่ของเขา. อย่างไรก็ดี เนื่องจากจิตวิญญาณไม่เป็นอมตะ กฎว่าด้วย ‘การเกี่ยวเก็บสิ่งที่เราหว่าน’ จึงใช้ไม่ได้ในการเชื่อมโยงความทุกข์ของมนุษย์เข้ากับกรรม คือการกระทำที่เข้าใจว่าเป็นของชาติก่อน. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ผู้ที่ตายแล้วก็ปราศจากโทษของบาป.” (โรม 6:7, 23) ด้วยเหตุนี้ ผลของบาปมิได้ตกทอดไปถึงชีวิตหลังจากตาย.
ซาตานพญามารก่อให้เกิดความทุกข์มากมายด้วย. ที่จริง โลกนี้ปกครองโดยซาตาน. (1 โยฮัน 5:19) และดังที่พระเยซูคริสต์ทรงบอกไว้ล่วงหน้านั้น “คนทั้งปวงจะเกลียดชัง” เหล่าสาวก ‘เพราะนามของพระองค์.’ (มัดธาย 10:22) ผลก็คือ บ่อยครั้งคนชอบธรรมมักเผชิญปัญหาต่าง ๆ มากกว่าคนชั่ว.
ในโลกนี้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นโดยที่มักจะไม่รู้สาเหตุ. นักวิ่งที่เร็วที่สุดอาจสะดุดล้มและแพ้การแข่งขัน. กองทัพที่เกรียงไกรอาจประสบความพ่ายแพ้ต่อกองทัพที่ด้อยกว่าได้. คนฉลาดอาจไม่สามารถหางานที่ดีได้ และฉะนั้นจึงประสบความหิวโหย. ผู้คนที่มีความเข้าใจดีเลิศในการจัดการธุรกิจ เนื่องจากสภาพการณ์บางอย่าง อาจไม่สามารถนำความรู้ของตนมาใช้ได้ และดังนั้น ตัวเองจึงอยู่ในสภาพอัตคัดขัดสน. บุคคลที่มีความรู้อาจทำให้คนเหล่านั้นที่มีอำนาจโกรธเคืองและไม่ได้รับความโปรดปราน. ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? กษัตริย์ซะโลโมองค์สุขุมทรงตอบว่า “เพราะวาระและเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดล่วงหน้าย่อมบังเกิดแก่เขาทุกคน.”—ท่านผู้ประกาศ 9:11, ล.ม.
มนุษย์ประสบความทุกข์มานานก่อนที่พวกปราชญ์ชาวฮินดูพยายามจะอธิบายสาเหตุที่ความทุกข์มีอยู่. แต่มีความหวังในเรื่องอนาคตที่ดีกว่าไหม? และคัมภีร์ไบเบิลมีคำสัญญาอะไรสำหรับคนตาย?
อนาคตที่สงบสุข
พระผู้สร้างทรงสัญญาว่า อีกไม่นานพระองค์จะนำอวสานมาสู่สังคมโลกในปัจจุบันที่อยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน. (สุภาษิต 2:21, 22; ดานิเอล 2:44) สังคมมนุษย์ใหม่ที่ชอบธรรม—“แผ่นดินโลกใหม่”—จะเป็นสภาพจริงขึ้นมาในตอนนั้น. (2 เปโตร 3:13) ในสมัยนั้น “จะไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดว่า, ‘ข้าพเจ้าป่วยอยู่.’” (ยะซายา 33:24) แม้แต่ความปวดร้าวเนื่องจากความตายจะถูกขจัดออกไป เพราะพระเจ้า “จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ทั้งความทุกข์โศกหรือเสียงร้องหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย. สิ่งที่เคยมีอยู่เดิมนั้นผ่านพ้นไปแล้ว.”—วิวรณ์ 21:4, ล.ม.
เกี่ยวกับประชากรของโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญานั้น ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญได้บอกล่วงหน้าไว้ว่า “คนสัตย์ธรรมจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก, และจะอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปเป็นนิตย์.” (บทเพลงสรรเสริญ 37:29) นอกจากนี้ คนที่มีใจถ่อม “จะชื่นชมยินดีด้วยความสงบสุขอันบริบูรณ์.”—บทเพลงสรรเสริญ 37:11.
มูคันไบที่กล่าวถึงในบทความก่อนได้หลับอยู่ในความตายโดยไม่ทราบคำสัญญาอันยอดเยี่ยมของพระเจ้า. แต่หลายล้านคนที่ตายไปโดยไม่รู้จักพระเจ้านั้นมีความหวังที่จะได้รับการปลุกขึ้นมาในโลกใหม่ที่สงบสุขดังกล่าว เพราะคัมภีร์ไบเบิลสัญญาว่า “จะมีการกลับเป็นขึ้นจากตายทั้งของคนชอบธรรมและคนไม่ชอบธรรม.”—กิจการ 24:15, ล.ม.; ลูกา 23:43.
คำ “การกลับเป็นขึ้นจากตาย” ในที่นี้แปลมาจากคำภาษากรีกอะนาʹสทาซิส, ซึ่งหมายความตามตัวอักษรว่า “การลุกขึ้นอีก.” ดังนั้น การกลับเป็นขึ้นจากตายจึงเกี่ยวข้องกับการทำให้รูปแบบชีวิตของคนเราดำเนินกิจกรรมเช่นเดิม.
พระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกทรงไว้ซึ่งสติปัญญาอันหาที่สุดมิได้. (โยบ 12:13) การจดจำรูปแบบชีวิตของคนตายไม่เป็นปัญหาสำหรับพระองค์. (เทียบกับยะซายา 40:26.) นอกจากนี้ พระยะโฮวาพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความรัก. (1 โยฮัน 4:8) เนื่องจากเหตุนี้ พระองค์สามารถใช้ความทรงจำที่ดีพร้อมของพระองค์ มิใช่เพื่อลงโทษคนตายเพราะความชั่วร้ายที่เขาได้ทำไปนั้น แต่เพื่อนำเขากลับคืนสู่ชีวิตบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานพร้อมกับบุคลิกภาพที่เขาเคยมีก่อนตายนั้น.
สำหรับหลายล้านคนที่เป็นเหมือนมูคันไบนั้น การกลับเป็นขึ้นจากตายจะหมายถึงการอยู่ร่วมกับผู้เป็นที่รักของตนอีก. แต่ขอให้นึกดูว่านั่นอาจมีความหมายเช่นไรสำหรับคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่ในขณะนี้. ขอยกตัวอย่างลูกชายของมูคันไบซึ่งได้มารู้จักความจริงอันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์. ช่างเป็นการปลอบโยนสักเพียงไรสำหรับเขาที่ทราบว่าบิดาของเขาไม่ได้ติดอยู่ในวังวนของการเกิดใหม่ที่แทบจะไม่จบสิ้น แต่ละครั้งต้องอยู่ท่ามกลางความชั่วและความทุกข์! บิดาของเขาเพียงแต่หลับอยู่ในความตาย คอยการปลุกขึ้นจากตาย. น่าตื่นเต้นสักเพียงไรสำหรับเขาที่จะใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ที่ว่า สักวันหนึ่งเขาจะได้บอกพ่อถึงสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิลนั้น!
พระเจ้ามีพระทัยประสงค์ให้ “คนทุกชนิดรับความรอดและบรรลุความรู้อันถ่องแท้เรื่องความจริง.” (1 ติโมเธียว 2:3, 4, ล.ม.) บัดนี้ถึงเวลาเรียนรู้วิธีที่คุณ พร้อมกับคนอื่นหลายล้านคนที่ประพฤติตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าอยู่แล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน.—โยฮัน 17:3.
-