-
ฉันควรรู้อะไรเกี่ยวกับเครือข่ายสังคม? ตอน 1ตื่นเถิด! 2011 | กรกฎาคม
-
-
หนุ่มสาวถามว่า
ฉันควรรู้อะไรเกี่ยวกับเครือข่ายสังคม? ตอน 1
“ฉันมีเพื่อน ๆ อยู่ต่างประเทศและวิธีที่จะติดต่อกับพวกเขาได้ดีที่สุดคือ การใช้เครือข่ายสังคม. ฉันชอบที่จะคุยกับพวกเขาแม้ว่าจะอยู่ไกลกันมาก.”—ซู อายุ 17 ปีa
“ผมคิดว่าเครือข่ายสังคมทำให้เสียเวลา เป็นวิธีที่คนขี้เกียจใช้คบหากับคนอื่น. การพบหน้ากันจริง ๆ เป็นวิธีเดียวที่จะรักษามิตรภาพไว้.”—เกรกอรี อายุ 19 ปี
คำกล่าวไหนคล้ายกับความเห็นของคุณ? ไม่ว่าคุณจะตอบอย่างไร สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ เครือข่ายสังคม (Social network) กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก.b ขอพิจารณา: ต้องใช้เวลา 38 ปีกว่าจะมีจำนวนผู้ฟังวิทยุ 50 ล้านคน ต้องใช้เวลา 13 ปีกว่าจะมีผู้ชมโทรทัศน์จำนวนเท่ากัน และ 4 ปีสำหรับอินเทอร์เน็ต. แต่เครือข่ายสังคมเฟซบุ๊คมีผู้ใช้เพิ่มขึ้น 200 ล้านคนในช่วง 12 เดือนเมื่อไม่นานมานี้!
ทำเครื่องหมายที่ข้อความต่อไปนี้ว่าจริงหรือไม่จริง:
วัยรุ่นเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดที่ใช้เว็บเครือข่ายสังคม. ․․․․․ จริง ․․․․․ ไม่จริง
คำตอบ: ไม่จริง. เกือบสองในสามของผู้ใช้เว็บเครือข่ายสังคมที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุดมีอายุ 25 ปีขึ้นไป. ในปี 2009 กลุ่มคนที่มีเปอร์เซ็นต์ผู้ใช้เพิ่มขึ้นมากที่สุด คือกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 55 ปี!
ถึงอย่างนั้น เยาวชนจำนวนหลายล้านคนก็ใช้เว็บเครือข่ายสังคม และบางคนชอบติดต่อกันด้วยวิธีนี้มากกว่าวิธีอื่น ๆ. เจสซิกา วัยรุ่นคนหนึ่งบอกว่า “ฉันเคยระงับบัญชีผู้ใช้ของฉัน แต่แล้วก็ต้องกลับมาเปิดใช้อีกครั้งหนึ่งเพราะไม่มีใครติดต่อฉันทางโทรศัพท์เลย. เหมือนกับว่าใคร ๆ ก็ลืมคุณไปหมดถ้าคุณไม่ใช้เครือข่ายสังคม!”
เครือข่ายสังคมน่าดึงดูดใจตรงไหน? คำตอบง่าย ๆ คือ มนุษย์มีความต้องการตามธรรมชาติที่จะติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่น. และนั่นก็คือจุดมุ่งหมายของเครือข่ายสังคม. ขอพิจารณาเหตุผลที่หลายคนอยากสมัครใช้บริการเครือข่ายสังคม.
1. ความสะดวก.
“อาจไม่ง่ายที่จะรู้ข่าวคราวของเพื่อน ๆ แต่พอเพื่อนทุกคนมาอยู่รวมกันในเว็บไซต์เดียว มันก็ง่ายมาก!”—ลีอาห์ อายุ 20 ปี
“แค่ฉันใส่ความเห็นลงไปก็เหมือนกับว่าฉันได้ส่งอีเมลไปหาเพื่อนทุกคนในเวลาเดียวกัน.”—คริสติน อายุ 20 ปี
2. แรงกดดันจากคนรุ่นเดียวกัน.
“มีคนส่งคำขอเป็นเพื่อนมาให้ฉันเรื่อย ๆ แต่ฉันไม่มีบัญชีผู้ใช้ ฉันก็เลยตอบรับไม่ได้.”—นาตาลี อายุ 22 ปี
“พอฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะไม่ใช้เครือข่ายสังคม คนอื่นก็พากันมองฉันเหมือนกับจะบอกว่า ‘เธอผิดปกติหรือเปล่า?’ ”—อีฟ อายุ 18 ปี
3. แรงกดดันจากสื่อ.
“สื่อพยายามส่งเสริมความเชื่อที่ว่าถ้าคุณไม่ใช้ช่องทางการติดต่อแบบอิเล็กทรอนิกส์มาก ๆ คุณก็เป็นคนไม่มีเพื่อน. และถ้าไม่มีเพื่อน ชีวิตจะไม่มีความหมาย. ดังนั้น ถ้าคุณไม่ใช้เครือข่ายสังคม คุณก็ไม่มีตัวตน.”—แคทรีนา อายุ 18 ปี
4. โรงเรียน.
“ครูของฉันหลายคนใช้เครือข่ายสังคม. ครูบางคนใส่ข้อความแจ้งเราว่ากำลังจะมีการสอบ. หรือตัวอย่างเช่น ในวิชาเลข ถ้าฉันไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ฉันก็จะใส่ข้อความไว้ในพื้นที่สำหรับโพสต์ข้อมูลของครูแล้วเขาจะช่วยฉันแก้โจทย์ทางเครือข่ายสังคมนั้นเอง.”—มารีนา อายุ 17 ปี
5. งาน.
“คนที่กำลังหางานใช้เครือข่ายสังคมเพื่อติดต่อกับคนอื่น. บางครั้งเขาได้งานด้วยวิธีนี้.”—เอมี อายุ 20 ปี
“ผมใช้เว็บเครือข่ายสังคมในงานของผม. ลูกค้าสามารถดูงานกราฟิกดีไซน์ที่ผมกำลังทำอยู่ได้.”—เดวิด อายุ 21 ปี
คุณ ควรมีบัญชีผู้ใช้ในเว็บเครือข่ายสังคมไหม? ถ้าคุณอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อแม่ ท่านก็ต้องเป็นผู้ตัดสินใจ.c (สุภาษิต 6:20) ถ้าพ่อแม่ไม่ต้องการให้คุณใช้ คุณก็ควรทำตามความต้องการของท่าน.—เอเฟโซส์ 6:1
ส่วนพ่อแม่ของบางคนอนุญาตให้ลูกที่มีความเป็นผู้ใหญ่ใช้เว็บเครือข่ายสังคม และคอยดูแลลูกในการใช้เว็บไซต์นี้. ถ้าในกรณีของคุณเป็นอย่างนี้ พ่อแม่กำลังละเมิดความเป็นส่วนตัวของคุณไหม? ไม่เลย! เครือข่ายสังคมเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง และเหมาะสมแล้วที่พ่อแม่ของคุณเป็นห่วงว่าคุณจะใช้มันอย่างไร. ข้อเท็จจริงก็คือ เครือข่ายสังคมมีอันตรายอยู่ด้วย เหมือนกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตในด้านอื่นแทบทุกด้าน. ถ้าพ่อแม่ยอมให้คุณมีบัญชีผู้ใช้ในเว็บเครือข่ายสังคม คุณจะหลีกเลี่ยงอันตรายเหล่านั้นได้อย่างไร?
“ขับรถ” อย่างปลอดภัย
ในบางแง่ การใช้อินเทอร์เน็ตอาจเปรียบได้กับการขับรถ. คุณคงสังเกตแล้วว่า ไม่ใช่ทุกคนที่มีใบขับขี่เป็นคนขับรถที่มีความรับผิดชอบ. ที่จริง หลายคนประสบอุบัติเหตุที่น่าสยดสยองเนื่องจากพวกเขาประมาทและขาดความระมัดระวัง.
เรื่องนี้เปรียบได้กับคนที่ใช้อินเทอร์เน็ต. บางคน “ขับรถ” หรือใช้อินเทอร์เน็ตอย่างที่สำนึกถึงความรับผิดชอบ ส่วนบางคนไม่ระมัดระวัง. ถ้าพ่อแม่อนุญาตให้คุณมีบัญชีผู้ใช้ในเว็บเครือข่ายสังคม ท่านก็ไว้ใจให้คุณใช้งานส่วนหนึ่งในอินเทอร์เน็ตที่อาจเป็นอันตรายได้. ดังนั้น คุณแสดงว่าเป็น “คนขับรถ” ประเภทใด. คุณแสดงว่าคุณ “สงวนพระปัญญาอันเลิศและความสุขุมรอบคอบ” ไหม?—สุภาษิต 3:21
ในบทความนี้เราจะพิจารณาสองแง่มุมของเครือข่ายสังคมที่คุณควรพิจารณาอย่างจริงจัง นั่นคือความเป็นส่วนตัวและการใช้เวลา. บทความ “หนุ่มสาวถามว่า” ในตื่นเถิด!ฉบับหน้าจะพิจารณาแง่มุมของชื่อเสียงและมิตรภาพ.
ความเป็นส่วนตัว
คุณอาจไม่ได้คิดถึงการปกป้องความเป็นส่วนตัวเมื่อใช้เครือข่ายสังคม. ถ้าจะพูดกันตามจริง จุดมุ่งหมายของเครือข่ายสังคมก็คือการติดต่อสัมพันธ์ กับคนอื่นไม่ใช่หรือ? ถึงกระนั้น การไม่ระวังตัวอาจนำไปสู่ผลเสียร้ายแรงได้.
เพื่อเป็นตัวอย่าง สมมุติว่าคุณมีเงินมหาศาล คุณจะอวดให้ใครต่อใครเห็นขณะที่เดินกับเพื่อน ๆ บนถนนไหม? คงไม่ฉลาดที่จะทำอย่างนั้น เพราะเท่ากับเป็นการเชื้อเชิญ ให้โจรปล้น! ถ้าคุณฉลาด คุณจะเก็บเงินไว้ให้มิดชิด.
ขอให้คิดว่าข้อมูลส่วนตัวของคุณเป็นเหมือนเงิน. จากนั้นดูรายการต่อไปนี้แล้วทำเครื่องหมายที่หน้าข้อมูลซึ่งคุณไม่อยากเปิดเผยให้คนแปลกหน้าได้รู้.
․․․․․ ที่อยู่ของฉัน
․․․․․ ที่อยู่อีเมลของฉัน
․․․․․ โรงเรียนที่ฉันเรียนอยู่
․․․․․ เวลาที่ฉันอยู่บ้าน
․․․․․ เวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน
․․․․․ ภาพถ่ายของฉัน
․․․․․ ความคิดของฉัน
․․․․․ สิ่งที่ฉันชอบและสนใจ
แม้ว่าคุณจะเป็นคนกล้าเปิดเผยที่สุดในโลก คุณคงเห็นด้วยว่าอย่างน้อยก็มีบางอย่าง ในรายการข้างบนที่ไม่ควรบอกให้คนทั่วไปได้รู้. แต่หนุ่มสาวและผู้ใหญ่หลายคนเปิดเผยข้อมูลเช่นนั้นให้คนแปลกหน้ารับรู้โดยไม่ตั้งใจ! คุณจะป้องกันไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร?
ถ้าพ่อแม่อนุญาตให้คุณใช้เครือข่ายสังคม คุณต้องเรียนรู้วิธีตั้งค่าความเป็นส่วนตัวแล้วตั้งค่าให้เหมาะสม. อย่าปล่อยให้เว็บไซต์กำหนดเองว่าจะปกป้องข้อมูลส่วนตัวของคุณอย่างไร. ข้อเท็จจริงคือ ถ้าคุณอาศัยการตั้งค่าพื้นฐาน อาจมีคนจำนวนมากกว่าที่คุณคาดไว้มองเห็นและใส่ข้อความในเพจของคุณได้. นั่นเป็นเหตุผลที่หญิงสาวคนหนึ่งชื่อแอลลิสันตั้งค่าให้เฉพาะกลุ่มเพื่อนสนิทของเธอ เท่านั้นที่จะเห็นสิ่งที่เธอโพสต์ไว้ได้. เธอบอกว่า “เพื่อนของฉันบางคนมีเพื่อนที่ฉันไม่รู้จัก และฉันไม่ต้องการให้คนแปลกหน้าเหล่านี้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับตัวฉัน.”
แม้ว่าคุณจะติดต่อกับเพื่อนสนิทของคุณเท่านั้น คุณก็ยังต้องระวัง. คอร์รีนวัย 21 ปีพูดว่า “คุณอาจกลายเป็นคนติดการอ่านข้อความจากเพื่อน คุณจึงเริ่มเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินกว่าที่ควรจะทำ.”
จำไว้ว่าไม่มีความเป็นส่วนตัวที่แท้จริงในอินเทอร์เน็ต. เพราะอะไร? เกว็นน์ ชูร์กิน โอคีฟฟ์กล่าวในหนังสือชื่อไซเบอร์เซฟ ว่า “เว็บไซต์ใหญ่ ๆ จะสำรองข้อมูลของตน สิ่งที่เราใส่ไว้ในไซเบอร์สเปซจะไม่มีวันถูกลบออกไปอย่างแท้จริง. เราต้องคิดว่ามันเป็นข้อมูลที่จะคงอยู่ถาวร เพราะคงจะมีสำเนาข้อมูลอยู่ที่ไหนสักแห่ง. การคิดว่าไม่มีสำเนาคงไม่ฉลาด.”
เวลา
ไม่ใช่แค่ความเป็นส่วนตัวของคุณเท่านั้นที่เปรียบเหมือนเงิน แต่เวลาก็เช่นกัน. ดังนั้น ในแง่หนึ่งคุณก็ต้องวางแผนในเรื่องการใช้เวลา. (ท่านผู้ประกาศ 3:1) และนั่นเป็นเรื่องหนึ่งที่ยากที่สุดเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ต รวมทั้งเครือข่ายสังคมด้วย.d
“หลายครั้งฉันคิดว่า ‘จะเล่นเดี๋ยวเดียวเท่านั้น.’ แต่หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ฉันก็ยังไม่หยุด.”—อะแมนดา อายุ 18 ปี
“ฉันติดมันมาก. ฉันกลับมาจากโรงเรียนเมื่อไร ฉันจะใช้เวลาหลายชั่วโมงดูความเห็นที่คนอื่นใส่ไว้เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันโพสต์และดูสิ่งที่คนอื่นโพสต์ไว้ด้วย.”—คารา อายุ 16 ปี
“ฉันเปิดดูเว็บไซต์ทางโทรศัพท์มือถือได้ ฉันจึงดูขณะไปโรงเรียน ตอนอยู่ที่โรงเรียน และขณะกลับจากโรงเรียน. แล้วพอถึงบ้าน ฉันจะเปิดคอมพิวเตอร์. ฉันรู้ตัวว่าติด แต่ไม่อยากเลิก!”—รีแอนน์ อายุ 17 ปี
ถ้าพ่อแม่อนุญาตให้คุณใช้เว็บเครือข่ายสังคม ให้คิดดูว่าวันหนึ่งคุณควรใช้เวลากับมันเท่าไรเพื่อไม่ให้มากเกินไป. แล้วคอยตรวจสอบตัวเอง. ในช่วงเวลาหนึ่งเดือน ให้บันทึกเวลาที่คุณใช้เว็บเครือข่ายสังคมแล้วดูว่าคุณอยู่ในขอบเขตที่คุณกำหนดไว้หรือไม่. จำไว้ว่า เวลาเปรียบเหมือนเงิน. อย่ายอมให้เครือข่ายสังคม “ปล้น” เวลาคุณไป. ที่จริง มีสิ่งอื่นในชีวิตที่สำคัญกว่าเรื่องนี้!—เอเฟโซส์ 5:15, 16; ฟิลิปปอย 1:10
หนุ่มสาวบางคนใช้มาตรการบางอย่างเพื่อควบคุมการใช้เวลาของตนเอง. ตัวอย่างเช่น ขอพิจารณาคำพูดต่อไปนี้:
“ฉันระงับบัญชีผู้ใช้ของฉัน และมีเวลาเหลือเฟือ. ฉันรู้สึกเป็นอิสระ! เมื่อเร็ว ๆ นี้ ฉันเปิดบัญชีผู้ใช้อีกครั้งหนึ่ง แต่ฉันควบคุมการใช้เวลาได้. ฉันไม่ได้เอาแต่นั่งดูมันเป็นวัน ๆ. บางครั้งฉันลืมมันไปเลย. ถ้าบัญชีผู้ใช้เครือข่ายสังคมของฉันสร้างปัญหาอีกในอนาคต ฉันก็จะระงับการใช้งานทันที.”—แอลลิสัน อายุ 19 ปี
“ฉันมี ‘ช่วงหยุดพัก’ ซึ่งฉันจะระงับบัญชีผู้ใช้ไว้สักสองสามเดือน แล้วค่อยเปิดอีกครั้งหนึ่ง. ฉันทำอย่างนี้เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มใช้เวลากับมันมากเกินไป. ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกติดมันมากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว. ฉันจะใช้มันตามวัตถุประสงค์ แต่พอเสร็จแล้วก็เลิก.”—แอนน์ อายุ 22 ปี
ปัจจัยสำคัญ
มีปัจจัยอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเครือข่ายสังคมที่คุณต้องพิจารณา. เพื่อช่วยคุณเข้าใจแง่มุมนี้ ให้ทำเครื่องหมาย ✔ หน้าข้อที่คุณคิดว่าตรงที่สุด.
อันดับแรก เว็บเครือข่ายสังคมเป็น . . .
(ก) ․․․․․ ธุรกิจ.
(ข) ․․․․․ ที่สังสรรค์.
(ค) ․․․․․ ความบันเทิง.
คำตอบที่ถูกต้องคือข้อไหน? คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่คำตอบคือข้อ ก. อันดับแรกสุด เครือข่ายสังคมเป็นธุรกิจ. เป้าหมายของมันคือการทำกำไร ซึ่งวิธีหลักคือการโฆษณา. และสำหรับนักโฆษณา มูลค่าของเครือข่ายนั้นจะเพิ่มขึ้นถ้ามีคนจำนวนมากเข้าสู่เครือข่ายและมีการเผยแพร่โพสต์ของสมาชิกออกไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น. ที่จริง ยิ่งใช้เวลาในเว็บเครือข่ายสังคมมากเท่าไร คุณจะเห็นโฆษณามากขึ้นเท่านั้น.
การรู้เรื่องนี้ช่วยคุณให้เข้าใจว่าถ้าคุณเปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้กับคนจำนวนมากเกินไปหรือใช้เวลามากเกินไปกับมัน ก็ไม่ได้เกิดผลเสียอะไรกับเครือข่ายสังคม แต่นักโฆษณาต่างหากที่ได้ประโยชน์. ดังนั้น ถ้าคุณใช้เครือข่ายสังคม จงป้องกันข้อมูลส่วนตัวของคุณให้ดีและตรวจสอบว่าคุณใช้เวลามากเท่าไรไปกับมัน.
“หนุ่มสาวถามว่า” ฉบับถัดไป . . .
จะบอกให้รู้ว่าเครือข่ายสังคมอาจส่งผลต่อชื่อเสียงและมิตรภาพของคุณอย่างไร.
ถ้าต้องการอ่านบทความชุด “หนุ่มสาวถามว่า” เพิ่มเติม ให้ดาวน์โหลดตื่นเถิด! ฉบับอื่น ๆ จากเว็บไซต์ www.pr418.com
[เชิงอรรถ]
a ชื่อในบทความนี้เป็นชื่อสมมุติ.
b เครือข่ายสังคมคือเว็บไซต์ที่เป็นช่องทางให้ผู้ที่มีบัญชีผู้ใช้สามารถติดต่อกับกลุ่มเพื่อน ๆ ได้.
c ตื่นเถิด!ไม่ได้สนับสนุนหรือตำหนิเครือข่ายสังคมเว็บใดเว็บหนึ่ง. คริสเตียนควรแน่ใจว่าการใช้อินเทอร์เน็ตของตนไม่ได้ละเมิดหลักการของคัมภีร์ไบเบิล.—1 ติโมเธียว 1:5, 19
d สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ดู “หนุ่มสาวถามว่า . . . ฉันติดสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไหม?”ในตื่นเถิด!เดือนมกราคม 2011. ขอสังเกตกรอบหน้า 26 เป็นพิเศษที่มีหัวเรื่อง“ดิฉันเคยติดเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม.”
[คำโปรยหน้า 25]
ต้องใช้เวลา 38 ปีกว่าจะมีจำนวนผู้ฟังวิทยุ 50 ล้านคน
[คำโปรยหน้า 25]
เครือข่ายสังคมเฟซบุ๊คมีผู้ใช้เพิ่มขึ้นมากกว่า 200 ล้านในช่วง 1 ปีเมื่อไม่นานมานี้
[กรอบหน้า 27]
ลองถามพ่อแม่ของคุณดูสิ
ปรึกษาเรื่องการปกป้องข้อมูลส่วนตัวในอินเทอร์เน็ตกับพ่อแม่. เรื่องอะไรที่ไม่ควรเปิดเผย และเพราะเหตุใด? ข้อมูลใดที่อาจเป็นอันตรายหากใส่ไว้ในอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะในส่วนไหน? นอกจากนั้น ให้ขอคำแนะนำจากพ่อแม่ว่าคุณจะบริหารเวลาอย่างไรให้สมดุลระหว่างการติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่นทางอินเทอร์เน็ตกับการพบปะกันจริง ๆ. พ่อแม่แนะนำให้คุณปรับเปลี่ยนเรื่องอะไรบ้าง?
[ภาพหน้า 26]
สิ่งที่คุณทำในเครือข่ายสังคมอาจไม่เป็นเรื่องส่วนตัวอย่างที่คุณคิด
[ภาพหน้า 27]
เวลาเป็นเหมือนเงิน. ถ้าคุณใช้เวลาไปกับสิ่งเดียว คุณจะไม่มีเวลาเหลือเมื่อคุณต้องการมัน
-
-
ฉันควรรู้อะไรเกี่ยวกับเครือข่ายสังคม? ตอน 2ตื่นเถิด! 2011 | สิงหาคม
-
-
หนุ่มสาวถามว่า
ฉันควรรู้อะไรเกี่ยวกับเครือข่ายสังคม? ตอน 2
ใส่ตัวเลขตามลำดับที่คุณคิดว่าสำคัญ.
․․․․․ ความเป็นส่วนตัว
․․․․․ เวลา
․․․․․ ชื่อเสียง
․․․․․ มิตรภาพ
เรื่องใดในรายการข้างบนที่คุณจัดให้เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก? การใช้เครือข่ายสังคมอาจส่งผลเสียต่อเรื่องนั้นรวมทั้งเรื่องอื่น ๆ อีกสามเรื่องด้วย.
คุณควรมีบัญชีผู้ใช้ในเครือข่ายสังคมไหม? ถ้าคุณอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อแม่ ท่านก็ต้องเป็นผู้ตัดสินใจ.a (สุภาษิต 6:20) เช่นเดียวกับการใช้อินเทอร์เน็ตในด้านอื่น ๆ เครือข่ายสังคมก็มีทั้งประโยชน์และโทษ. ถ้าพ่อแม่ไม่ต้องการให้คุณใช้ คุณก็ควรทำตามความต้องการของท่าน.—เอเฟโซส์ 6:1
ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าพ่อแม่ยอมให้คุณมีบัญชีผู้ใช้ในเว็บเครือข่ายสังคม คุณจะหลีกเลี่ยงอันตรายได้อย่างไร? บทความ “หนุ่มสาวถามว่า” ในตื่นเถิด! เดือนกรกฎาคม 2011 พิจารณาแง่มุมที่ควรเป็นห่วงสองเรื่อง นั่นคือความเป็นส่วนตัวและเวลาของคุณ. ในบทความนี้ เราจะพิจารณาเรื่องชื่อเสียงและมิตรภาพของคุณ.
ชื่อเสียง
การปกป้องชื่อเสียงของคุณหมายถึงการระวังไม่ให้คนอื่นมีเหตุผลอันควรที่จะมองคุณในแง่ไม่ดี. เพื่อเป็นตัวอย่าง ขอนึกภาพว่าคุณมีรถยนต์คันใหม่เอี่ยม ยังไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ เลย. คุณอยากจะรักษารถของคุณให้อยู่ในสภาพนั้นไหม? คุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าคุณขับรถอย่างประมาทและประสบอุบัติเหตุจนรถคันนั้นพังยับเยิน?
ชื่อเสียงของคุณอาจเป็นเช่นนั้นในเครือข่ายสังคม. หญิงสาวคนหนึ่งชื่อคาราบอกว่า “ถ้าคุณใส่ภาพหรือโพสต์ความเห็นหนึ่งโดยไม่คิดให้รอบคอบ ชื่อเสียงของคุณอาจเสียหายได้.” ตัวอย่างเช่น ขอพิจารณาว่าชื่อเสียงของคุณอาจได้รับผลกระทบอย่างไรจาก . . .
● รูปของคุณ. อัครสาวกเปโตรเขียนว่า “จงประพฤติอย่างดีงามท่ามกลางชนต่างชาติ.” (1 เปโตร 2:12) ถ้าคุณเคยดูภาพถ่ายของคนอื่นในเครือข่ายสังคม คุณสังเกตอะไร?
“บางครั้งคนที่ฉันนับถือจะลงรูปที่ดูเหมือนเขากำลังเมา.”—แอนนา อายุ 19 ปี
“ฉันเห็นสาว ๆ บางคนลงรูปที่เน้นสัดส่วนของตัวเอง. รูปของพวกเขาในเครือข่ายสังคมดูต่างไปจากตัวจริงมาก.”—คารา อายุ 19 ปี
คุณคิดอย่างไรถ้าในเพจของคนหนึ่งมีรูปเขา (1) แต่งตัวยั่วยวนหรือ (2) ดูเหมือนกำลังเมา?
1 ․․․․․
2 ․․․․․
● ความเห็นของคุณ. เอเฟโซส์ 4:29 กล่าวว่า “อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านทั้งหลาย.” บางคนสังเกตว่าเริ่มมีคำหยาบคาย การซุบซิบนินทา หรือเรื่องผิดศีลธรรมในการพูดคุยทางเครือข่ายสังคม.
“ผู้คนควบคุมตัวเองน้อยลงขณะใช้เครือข่ายสังคม. คำบางคำอาจดูไม่เลวร้ายนักเมื่อพิมพ์ออกมา. คุณอาจไม่ได้ใช้คำหยาบคาย แต่อาจใช้คำที่ส่อไปในทางจีบเล่น ๆ ฟังดูล่อแหลม หรือเกี่ยวกับเรื่องทางเพศด้วยซ้ำ.”—แดเนียล อายุ 19 ปี
ตามความเห็นของคุณ ทำไมผู้คนควบคุมตัวเองน้อยลงขณะอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์?
․․․․․
ภาพและความเห็นที่คุณโพสต์เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ไหม? ใช่แล้ว! วัยรุ่นคนหนึ่งชื่อเจนบอกว่า “ที่โรงเรียน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่. เราคุยกันว่านายจ้างบางคนจะดูเพจเครือข่ายสังคมของคนที่มาสมัครงานเพื่อจะรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร.”
ในหนังสือชื่อเฟซบุ๊คสำหรับพ่อแม่ (ภาษาอังกฤษ) ดร. บี. เจ. ฟอกก์กล่าวว่าเขาเองก็ทำอย่างนั้นเมื่อต้องการจะรับคนใหม่เข้าทำงาน. เขาบอกว่า “ผมถือว่านั่นเป็นวิธีที่ผมจะตัดสินเกี่ยวกับคนนั้นได้อย่างถูกต้อง. ถ้าผมเปิดดูข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัครได้และผมเห็นเรื่องไร้สาระ ผมก็ไม่ประทับใจ. ผมจะไม่รับคนนั้น. เพราะอะไร? เพราะคนที่ทำงานให้ผมต้องเป็นคนที่มีวิจารณญาณดีเยี่ยม.”
ถ้าคุณเป็นคริสเตียน มีเรื่องสำคัญกว่านั้นอีกซึ่งคุณต้องคิดถึง นั่นคือสิ่งที่คุณโพสต์ไว้จะส่งผลต่อคนอื่นอย่างไร ทั้งเพื่อนร่วมความเชื่อและคนภายนอก. อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “เราไม่เป็นเหตุให้หลงผิดไม่ว่าในทางใด.”—2 โครินท์ 6:3; 1 เปโตร 3:16
สิ่งที่คุณทำได้
ถ้าพ่อแม่อนุญาตให้คุณใช้เครือข่ายสังคม ให้ดูรูปซึ่งคุณโพสต์ไว้แล้วถามตัวเองว่า ‘รูปเหล่านี้บอกอะไรเกี่ยวกับตัวฉัน? ฉันต้องการให้คนอื่นเห็นตัวฉันอย่างในรูปจริง ๆ ไหม? ฉันจะอายไหมถ้าพ่อแม่ ผู้ปกครองในประชาคม หรือว่าที่นายจ้างเห็นรูปเหล่านี้?’ ถ้าคุณตอบคำถามข้อสุดท้ายว่าใช่ ให้ลบรูปเหล่านั้นเสีย. เคทวัย 21 ปีทำอย่างนั้น. เธอบอกว่า “ผู้ปกครองคนหนึ่งในประชาคมพูดกับฉันเรื่องรูปประจำตัวที่ฉันลงในเครือข่ายสังคม และฉันรู้สึกขอบคุณมาก. ฉันรู้ว่าเขาต้องการปกป้องชื่อเสียงของฉัน.”
นอกจากนั้น ให้ตรวจสอบความเห็นที่คุณโพสต์ไว้ให้ดี รวมทั้งความเห็นของคนอื่น ที่โพสต์ไว้ในเพจของคุณด้วย. อย่ายอมทนกับ “การพูดคุยเรื่องไร้สาระหรือเรื่องตลกลามก.” (เอเฟโซส์ 5:3, 4) เจนวัย 19 ปีกล่าวว่า “บางคนใส่ความเห็นที่มีคำหยาบคายหรือสองแง่สองง่าม. แม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นคนใส่เอง แต่คุณ ก็จะเสียชื่อเพราะมันเป็นเพจของคุณ.”
ในเรื่องรูปภาพและความเห็นที่คุณโพสต์ คุณจะปกป้องชื่อเสียงของคุณโดยกำหนดขอบเขตอะไร?
․․․․․
มิตรภาพ
ถ้าคุณมีรถยนต์คันใหม่ คุณจะยอมให้ใครก็ได้ ขึ้นรถของคุณอย่างนั้นไหม? ถ้าพ่อแม่อนุญาตให้คุณใช้เครือข่ายสังคม คุณต้องตัดสินใจคล้าย ๆ กันว่าจะขอเป็นเพื่อนกับใคร หรือจะตอบรับคำขอของใคร. คุณจะระวังในการเลือกมากเพียงไร?
“เป้าหมายอย่างเดียวของบางคนคือต้องการมีเพื่อนเยอะ ๆ ยิ่งมีมากเท่าไรก็ยิ่งดี. พวกเขาอาจตอบรับคนที่เขาไม่รู้จักให้มาเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ.”—นายีชา อายุ 16 ปี
“เครือข่ายสังคมทำให้คุณติดต่อกับคนที่คุณเคยรู้จักในสมัยก่อนได้. แต่สำหรับบางคน อาจดีกว่าที่คุณจะไม่กลับไปติดต่อกับเขา.”—เอลเลน อายุ 25 ปี
สิ่งที่คุณทำได้
ข้อแนะ: ตรวจและแก้. ตรวจรายชื่อเพื่อนของคุณแล้วแก้ไขถ้าจำเป็น. ให้ถามตัวเองเกี่ยวกับเพื่อนแต่ละคนว่า
1. ‘ฉันรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคนนี้มากเพียงไร?’
2. ‘คนนี้ใส่รูปและความเห็นอะไรไว้บ้าง?’
3. ‘เพื่อนคนนี้ส่งผลในทางดีต่อชีวิตของฉันไหม?’
“ตามปกติ ฉันจะตรวจสอบ ‘รายชื่อเพื่อน’ ของฉันทุกเดือน. ถ้ามีบางคนที่ฉันรู้สึกอึดอัดใจที่จะคบกับเขาหรือคนที่ฉันไม่ค่อยรู้จัก ฉันจะลบคนนั้นออกจากรายชื่อ.”—อิวานา อายุ 17 ปี
ข้อแนะ: กำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะรับใครเป็นเพื่อน. กำหนดหลักเกณฑ์ว่าคุณจะขอเป็นเพื่อนกับใครหรือจะรับใครเป็นเพื่อน เหมือนกับที่คุณทำในชีวิตจริง. (1 โครินท์ 15:33) ตัวอย่างเช่น หญิงสาวคนหนึ่งชื่อลีแอนน์พูดว่า “หลักเกณฑ์ของฉันคือ ถ้าฉันไม่รู้จักคุณ ฉันก็จะไม่ตอบรับคำขอเป็นเพื่อน. ถ้าฉันเห็นสิ่งที่ทำให้ฉันไม่สบายใจในเพจของคุณ ฉันจะลบคุณออกจาก ‘รายชื่อเพื่อน’ และไม่ตอบรับคำขออีกในวันข้างหน้า.” คนอื่น ๆ ก็กำหนดหลักเกณฑ์คล้าย ๆ กัน.
“ฉันไม่ตอบรับคำขอเป็นเพื่อนจากใครก็ได้. การทำอย่างนั้นเป็นอันตราย.”—เอริน อายุ 21 ปี
“ผมได้รับคำขอเป็นเพื่อนทางเครือข่ายสังคมจากเพื่อนเก่าสมัยเรียนบางคน. แต่ตอนที่ผมอยู่ในโรงเรียน ผมพยายามเลี่ยงคนกลุ่มนี้ แล้วตอนนี้ผมจะต้องการเป็นเพื่อนกับพวกเขาไปทำไม?”—อะเล็กซ์ อายุ 21 ปี
ข้างล่าง ให้เขียนหลักเกณฑ์ของคุณ ว่าจะรับคนแบบไหนเป็นเพื่อน.
․․․․․
ถ้าต้องการอ่านบทความชุด “หนุ่มสาวถามว่า” เพิ่มเติม ให้ดาวน์โหลดตื่นเถิด! ฉบับอื่น ๆ จากเว็บไซต์ www.pr418.com
[เชิงอรรถ]
a ตื่นเถิด! ไม่ได้สนับสนุนหรือตำหนิเครือข่ายสังคมเว็บใดเว็บหนึ่ง. คริสเตียนควรแน่ใจว่าการใช้อินเทอร์เน็ตของตนไม่ได้ละเมิดหลักการของคัมภีร์ไบเบิล.—1 ติโมเธียว 1:5, 19
[คำโปรยหน้า 10]
สุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “น่าจะเลือกชื่อเสียงดีมากกว่าเลือกทรัพย์สมบัติ.”—สุภาษิต 22:1
[กรอบหน้า 12]
ลองถามพ่อแม่ของคุณดูสิ
พิจารณาบทความนี้และ “หนุ่มสาวถามว่า”ในตื่นเถิด! เดือนกรกฎาคม 2011 กับพ่อแม่. คุยกันว่าการใช้อินเทอร์เน็ตของคุณส่งผลอย่างไรต่อ (1) ความเป็นส่วนตัว (2) เวลา (3) ชื่อเสียง และ (4) มิตรภาพของคุณ.
[กรอบหน้า 13]
ถึงคุณพ่อคุณแม่
ลูกอาจรู้เรื่องโลกออนไลน์มากกว่าคุณ. แต่คุณมีวิจารณญาณดีกว่าพวกเขา. (สุภาษิต 1:4; 2:1-6) เป็นอย่างที่เพอร์รี อัฟแท็บ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของอินเทอร์เน็ตกล่าวไว้ที่ว่า “วัยรุ่นรู้เรื่องเทคโนโลยีมากกว่า. แต่พ่อแม่รู้เรื่องชีวิตมากกว่า.”
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เครือข่ายสังคมเป็นที่นิยมกันมากขึ้น. ลูกวัยรุ่นของคุณมีวิจารณญาณมากพอที่จะใช้มันไหม? คุณต้องเป็นผู้ตัดสินใจ. เช่นเดียวกับการขับรถ การมีบัญชีธนาคาร หรือการใช้บัตรเครดิต เครือข่ายสังคมก็มีอันตรายด้วย. อันตรายบางอย่างคืออะไร?
ความเป็นส่วนตัว. เยาวชนหลายคนไม่เข้าใจว่าผลจะเป็นอย่างไรถ้าเขาเปิดเผยข้อมูลมากเกินไปทางอินเทอร์เน็ต. การเปิดเผยว่าบ้านอยู่ที่ไหน เขาเรียนที่โรงเรียนอะไร อยู่บ้านหรือไม่อยู่บ้านเมื่อไรมีผลต่อความปลอดภัยของครอบครัว.
สิ่งที่คุณทำได้. เมื่อลูกเป็นเด็ก คุณสอนเขาให้มองซ้ายมองขวาก่อนจะข้ามถนน. ตอนนี้ลูกของคุณโตแล้ว จงสอนลูกเพื่อให้เขารู้วิธีใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย. อ่านข้อมูลเกี่ยวกับวิธีป้องกันความเป็นส่วนตัวจากบทความ “หนุ่มสาวถามว่า” ของเดือนที่แล้ว. ดูตื่นเถิด! เดือนตุลาคม 2008 หน้า 3-9 ด้วย. แล้วพิจารณาเรื่องนั้นกับลูกวัยรุ่น. พยายามปลูกฝังลูกให้มี “พระปัญญาอันเลิศและความสุขุมรอบคอบ” เพื่อจะใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัย.—สุภาษิต 3:21
เวลา. เครือข่ายสังคมอาจทำให้ผู้ใช้ติดได้. ริกวัย 23 ปีบอกว่า “พอมีบัญชีผู้ใช้ได้แค่สองสามวัน ผมก็หยุดดูไม่ได้. ผมใช้เวลานานนับชั่วโมงดูรูปและอ่านโพสต์.”
สิ่งที่คุณทำได้. อ่านบทความ “หนุ่มสาวถามว่า. . .ฉันติดสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไหม?” ซึ่งอยู่ในตื่นเถิด! เดือนมกราคม 2011 แล้วพิจารณากับลูก. เอาใจใส่กรอบ “ดิฉันเคยติดเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม” ในหน้า 26 เป็นพิเศษ. ช่วยลูกวัยรุ่นให้ “รู้จักประมาณตน” และใช้อินเทอร์เน็ตไม่ให้เกินเวลาที่กำหนดไว้. (1 ติโมเธียว 3:2) เตือนลูกว่าชีวิตยังมีอะไรอีกมากนอกจากอินเทอร์เน็ต!
ชื่อเสียง. สุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “แม้เด็กก็เผยตัวเองออกมาโดยการประพฤติของเขาว่าสิ่งที่เขาทำบริสุทธิ์และถูกต้องหรือไม่.” (สุภาษิต 20:11, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน) นั่นเป็นจริงกับการใช้อินเทอร์เน็ตด้วย! ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากเครือข่ายสังคมเป็นการสื่อสารที่เปิดเผยให้คนอื่นได้รู้ สิ่งที่ลูกของคุณโพสต์จึงไม่เพียงส่งผลต่อชื่อเสียงของลูกเท่านั้น แต่ชื่อเสียงของครอบครัวด้วย.
สิ่งที่คุณทำได้. วัยรุ่นควรรู้ว่าสิ่งที่เขาโพสต์แสดงว่าเขาเป็นคนแบบไหน. เขาจำเป็นต้องเข้าใจว่า สิ่งที่โพสต์ไว้จะคงอยู่ไปอีกนาน. เกว็นน์ ชูร์กิน โอคีฟฟ์เขียนไว้ในหนังสือชื่อไซเบอร์เซฟ ว่า “เด็กอาจไม่ค่อยเข้าใจว่าสิ่งที่เขาโพสต์ไว้จะอยู่ถาวร แต่เป็นเรื่องสำคัญที่เขาจะเรียนรู้เรื่องนี้. วิธีหนึ่งที่จะอธิบายให้เด็กเข้าใจก็คือ อะไรที่เขาไม่กล้าพูดในชีวิตจริงก็อย่าโพสต์ในอินเทอร์เน็ต.”
มิตรภาพ. ทันยา อายุ 23 ปีกล่าวว่า “วัยรุ่นหลายคนต้องการให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองเป็นที่นิยม ดังนั้นพวกเขาจะเต็มใจจะยอมรับ ‘เพื่อน’ ที่เป็นคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่มีศีลธรรม.”
สิ่งที่คุณทำได้. ช่วยลูกของคุณให้กำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะรับใครเป็นเพื่อน. ยกตัวอย่าง อะลิเซีย อายุ 22 ปีจะไม่ตอบรับคำขอจากเพื่อนของเพื่อน. เธอกล่าวว่า “ถ้าฉันไม่รู้จักคุณหรือไม่เคยพบคุณ ฉันจะไม่ตอบรับคำขอเป็นเพื่อนจากคุณเพียงเพราะเรามีเพื่อนคนเดียวกัน.”
ทิมและจูเลียสร้างบัญชีผู้ใช้เครือข่ายสังคมของตัวเองเพื่อจะสามารถตรวจสอบดูว่าเพื่อน ๆ ของลูกสาวเป็นใครและเธอโพสต์อะไรไว้บ้าง. จูเลียกล่าวว่า “เราบอกว่าลูกต้องรับเราเป็นเพื่อนของลูก. คนที่เธอกำลังติดต่อก็เหมือนกับอยู่ในห้องรับแขกของเรา. เราต้องการรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร.”
[ภาพหน้า 11]
ถ้าคุณขับรถอย่างประมาท คุณอาจประสบอุบัติเหตุจนรถพังยับเยิน. เช่นเดียวกัน ถ้าคุณโพสต์รูปหรือความเห็นที่ไม่เหมาะสมทางอินเทอร์เน็ต คุณก็อาจเสียชื่อได้
[ภาพหน้า 12]
คุณจะรับคนแปลกหน้าขึ้นรถเพียงเพราะเขาขอไปด้วยไหม? ถ้าอย่างนั้น ทำไมจะรับคนที่คุณไม่รู้จักเป็นเพื่อนในเครือข่ายสังคมล่ะ?
-