-
จะสอนลูกอย่างไรดี?ตื่นเถิด! 2015 | เมษายน
-
-
จากปก
จะสอนลูกอย่างไรดี?
ในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ ชีวิตครอบครัวในประเทศแถบตะวันตกเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนพ่อแม่คือผู้ที่มีอำนาจในบ้าน ส่วนลูก ๆ ก็ต้องเชื่อฟังและทำตาม แต่ในทุกวันนี้บางครอบครัวดูเหมือนจะตรงกันข้ามเลย เพื่อเป็นตัวอย่างให้เรามาดูสถานการณ์ต่อไปนี้ซึ่งทั้งหมดอาศัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ขณะเดินอยู่ในห้าง ลูกชายวัยสี่ขวบร้องอยากได้ของเล่นแต่แม่ก็เกลี้ยกล่อมลูกโดยบอกว่า “ลูกมีของเล่นเยอะอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ที่จริง เธอนึกได้ว่าน่าจะบอกลูกว่าไม่ ให้ชัดไปเลยแทนที่จะถามลูกอย่างนั้น ลูกชายก็เลยร้องงอแงแล้วบอกว่า “แต่ผมจะเอา อันนี้!” ในที่สุด แม่ก็ยอมซื้อของเล่นให้เพราะกลัวลูกชายจะอาละวาดเหมือนทุกที
ขณะที่พ่อกำลังคุยอยู่กับผู้ใหญ่คนหนึ่ง ลูกสาววัยห้าขวบก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “หนูเบื่อ หนูอยากกลับบ้าน!” พ่อหยุดคุยกลางคันแล้วก้มมาพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “อีกแป๊บเดียวนะลูก”
เจมส์อายุ 12 ปีถูกตักเตือนอีกเพราะตะคอกใส่ครู พ่อของเจมส์แทนที่จะโมโหลูกชายแต่เขากลับโมโหครู พ่อบอกเจมส์ว่า “ครูคนนี้จ้องจะเล่นงานลูกตลอดเลยนะ เดี๋ยวพ่อจะไปฟ้องทางโรงเรียนให้”
แม้สถานการณ์ด้านบนจะเป็นเรื่องสมมุติแต่ก็มีให้เห็นทั่วไป เพราะนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในหลายครอบครัว พ่อแม่บางคนตามใจลูก ปล่อยให้ลูกแสดงมารยาทที่ไม่ดี และ “ปกป้อง” ลูกทั้ง ๆ ที่เขาทำผิด หนังสือโรคหลงตัวเองแพร่ระบาด (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “ตอนนี้เป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นที่พ่อแม่ยอมให้เด็กเล็ก ๆ มีอำนาจเหนือพวกเขา . . . เมื่อก่อน เด็ก ๆ รู้ตัวว่าเขาไม่มีอำนาจเหนือพ่อแม่”
แน่นอนว่าพ่อแม่หลายคนพยายามอย่างหนักเพื่อสอนค่านิยมต่าง ๆ ที่เหมาะสมให้ลูกทั้งโดยการวางตัวอย่างที่ดีและอบรมสั่งสอนลูก ๆ ด้วยความรัก หนังสือโรคหลงตัวเองแพร่ระบาด ได้เปรียบพ่อแม่ที่ทำอย่างนั้นว่า พวกเขา “กำลังสวนกระแสสังคม”
เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? ทำไมการสอนลูกในทุกวันนี้จึงเป็นเรื่องยาก?
อำนาจของพ่อแม่ลดลง
บางคนบอกว่าอำนาจของพ่อแม่ลดลงตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เมื่อพวกผู้เชี่ยวชาญออกมาแนะนำพ่อแม่ให้เข้มงวดกับลูกน้อยลง พวกเขาบอกว่า ‘ให้เป็นเพื่อน ไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจเหนือเด็ก’ ‘การชมดีกว่าการลงโทษ’ ‘อย่าตำหนิลูก แต่ให้หาทางชมลูก’ แทนที่จะรักษาความสมดุลระหว่างการชมเชยกับการว่ากล่าวแก้ไขลูก ดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญกำลังจะบอกว่าการตำหนิลูกจะทำลายความรู้สึกอันเปราะบางของพวกเขาและทำให้พวกเขาผูกใจเจ็บพ่อแม่เมื่อพวกเขาโตขึ้น
เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้เชี่ยวชาญยังเน้นถึงความสำคัญของการสร้างความมั่นใจให้กับลูกด้วย ราวกับว่าเคล็ดลับการเป็นพ่อแม่ที่ดีนั้นเพิ่งถูกค้นพบ และเคล็ดลับนั้นก็คือ ต้องทำให้ลูกเชื่อมั่นในตัวเอง จริงอยู่ที่การปลูกฝังให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ แต่ความเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงได้ พวกเขาบอกพ่อแม่ให้ ‘หลีกเลี่ยงคำพูดในแง่ลบเช่นคำว่า ไม่ หรือ แย่’ ‘ให้หมั่นบอกลูกว่าลูกเก่งมากและลูกทำได้ทุกอย่าง’ นั่นก็เท่ากับบอกพ่อแม่ว่าไม่ต้องสนใจว่าจะถูกหรือผิด แค่พูดให้ลูกรู้สึก ดีก็พอแล้ว
ความมั่นใจในตัวเองทำให้เด็กคิดว่าตัวเองมีอำนาจเหนือคนอื่น
ในที่สุดบางคนบอกว่าความมั่นใจในตัวเองนั้นก็แค่ทำให้เด็กคิดว่าตัวเองมีอำนาจเหนือคนอื่นเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกเป็นของเขา หนังสือคนพันธุ์ฉัน (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า สิ่งนี้ทำให้เด็กหลายคน “ไม่พร้อมที่จะฟังคำวิพากษ์วิจารณ์และไม่ยอมรับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง” อย่างที่พ่อคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า “ในที่ทำงานไม่มีใครจะมาสนใจหรอกว่าคุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองแค่ไหน . . . สมมุติว่าคุณทำรายงานออกมาแย่มาก ๆ คงไม่มีทางที่เจ้านายจะชมคุณว่า ‘ผมชอบสีกระดาษที่คุณเลือกใช้ในรายงานนี้มาก’ การเลี้ยงลูกแบบนี้มีแต่จะส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อลูก”
เปลี่ยนความคิด
หลายสิบปีมานี้ วิธีเลี้ยงลูกมักจะเปลี่ยนไปตามความคิดของคนเราที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นักวิชาการด้านการศึกษาที่ชื่อโรนัลด์ จี มอร์ริชเขียนว่า “วิธีสอนลูกเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ . . . ตามความคิดของสังคมที่เปลี่ยนไป”a ดังนั้น พ่อแม่จึงมักจะเป็นเหมือนกับที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ว่า “ถูกซัดไปซัดมาเหมือนโดนคลื่นและถูกพาไปทางนั้นบ้างทางนี้บ้างโดยลมแห่งคำสอนทุกอย่าง”—เอเฟโซส์ 4:14
เห็นได้ชัดว่าแนวคิดในเรื่องการสอนลูกแบบอะลุ่มอล่วยนั้นส่งผลเสียต่อลูก ไม่เพียงทำให้พ่อแม่มีอำนาจน้อยลงเท่านั้นแต่ยังทำให้เด็กไม่ได้รับการชี้นำเพื่อตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและไม่ได้ทำให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเองจริง ๆ
มีวิธีสอนแบบอื่นที่ดีกว่านี้ไหม?
a จากหนังสือเคล็ดลับสอนลูก กุญแจ 12 ดอกที่จะเลี้ยงลูกให้รู้จักรับผิดชอบ (ภาษาอังกฤษ)
-
-
วิธีสอนที่ได้ผลตื่นเถิด! 2015 | เมษายน
-
-
จากปก | จะสอนลูกอย่างไรดี?
วิธีสอนที่ได้ผล
คุณคงเห็นด้วยแน่ ๆ ว่าการเป็นพ่อแม่นั้นไม่ง่ายเลย แต่จริง ๆ แล้วการไม่ได้สอนลูกตั้งแต่แรกก็จะยิ่งทำให้สอนยากกว่าเดิม ทำไม? ก็เพราะถ้าพ่อแม่ไม่ได้อบรมสั่งสอนลูก (1) ลูก ๆ ก็จะไม่ยอมฟังพ่อแม่ และสุดท้ายพ่อแม่ก็จนปัญญาที่จะสอน (2) พ่อแม่ที่สอนบ้างไม่สอนบ้างจะทำให้ลูกสับสนไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วอะไรถูกอะไรผิด
ในทางตรงกันข้าม การอบรมสั่งสอนด้วยความรักและความสมดุลจะช่วยขัดเกลาความคิดของลูกและปลูกฝังมาตรฐานที่ดีในเรื่องศีลธรรมให้เขา อีกทั้งยังช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักรับผิดชอบ แต่คุณจะหาคำแนะนำที่ใช้ได้จริงจากที่ไหนเพื่อสอนลูกของคุณ?
หลักการจากคัมภีร์ไบเบิลมีประโยชน์
พยานพระยะโฮวาซึ่งเป็นผู้จัดพิมพ์วารสารนี้เชื่อว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ “มีประโยชน์เพื่อการสอน การว่ากล่าว การจัดการเรื่องราวให้ถูกต้อง” (2 ติโมเธียว 3:16) คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้เป็นเพียงคู่มือเลี้ยงลูกเท่านั้น หนังสือนี้มีคำแนะนำที่ใช้ได้จริงสำหรับครอบครัว ขอเรามาดูบางตัวอย่างด้วยกัน
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า: “ความโฉดเขลาผูกพันอยู่ในจิตใจของเด็ก”—สุภาษิต 22:15
ถึงแม้เด็กอาจจะร่าเริง ช่างคิด มีจิตใจดี แต่พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะทำสิ่งโง่เขลาได้เหมือนกัน ดังนั้น เด็กจำเป็นต้องได้รับการอบรมสั่งสอน (สุภาษิต 13:24) การรู้เรื่องนี้จะช่วยให้พ่อแม่ทำหน้าที่ของตนได้อย่างประสบความสำเร็จ
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า: “อย่าละเลยการตีสอนลูก”—สุภาษิต 23:13, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน
คุณไม่จำเป็นต้องกลัวว่าการลงโทษที่พอเหมาะพอควรจะทำลายชีวิตลูกหรือทำให้เขาผูกใจเจ็บคุณเมื่อโตขึ้น เมื่อคุณอบรมสั่งสอนลูกด้วยความรัก ลูกก็จะเต็มใจฟังคำตักเตือนของคุณและนิสัยนี้ก็จะติดตัวเขาไปเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่—ฮีบรู 12:11
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า: “ใครหว่านอะไรก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น”—กาลาเทีย 6:7
โดยธรรมชาติแล้วพ่อแม่ต้องการปกป้องลูก แต่คุณต้องมีความสมดุล จริง ๆ แล้วคุณไม่ได้ช่วยลูกถ้าคุณเอาแต่ “ปกป้อง” ลูกไม่ให้รับผลจากสิ่งที่เขาก่อไว้ หรือแก้ตัวแทนลูกเมื่อครูหรือผู้ใหญ่คนอื่นมาบอกว่าลูกทำอะไรผิด แทนที่จะมองว่าพวกเขาเป็นศัตรู คุณควรมองว่าพวกเขาเป็นมิตร การทำแบบนี้เป็นการสอนลูกให้ยอมรับอำนาจและนับถือคนอื่นรวมถึงตัวคุณ ด้วย—โกโลซาย 3:20
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า: “เด็กที่ถูกปล่อยปละละเลยจะทำให้แม่อับอายขายหน้า”—สุภาษิต 29:15, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย
สอนด้วยความรัก เสมอต้นเสมอปลายและมีเหตุผล
ในขณะที่พ่อแม่ไม่ควรใช้ความรุนแรงกับลูก นี่ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่ควรตามใจลูกทุกเรื่อง หนังสือราคาของเกียรติยศ (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “เด็กที่ถูกพ่อแม่ตามใจก็จะไม่รู้สึกว่าพ่อแม่มีอำนาจในบ้าน” ถ้าคุณไม่ได้ทำให้ลูกเห็นว่าคุณมีอำนาจเหนือเขา ลูกก็จะคิดว่าเขามีอำนาจเหนือคุณ ในที่สุดเขาก็จะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ไม่ฉลาดซึ่งส่งผลให้ทั้งตัวเขาและคุณต้องเสียใจ—สุภาษิต 17:25; 29:21
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า: “ผู้ชายจะ . . . ผูกพันใกล้ชิดกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อหนังเดียวกัน”—มัดธาย 19:5
ดังที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ ผู้ชายกับผู้หญิงควรแต่งงานกันก่อนที่ลูกจะเกิดมา และเป็นที่คาดหมายว่าเขาทั้งสองจะอยู่ด้วยกันต่อไปอีกนานหลังจากที่ลูกจากบ้านไปแล้ว (มัดธาย 19:5, 6) เห็นได้ชัดว่า หน้าที่สามีภรรยามาก่อน ส่วนหน้าที่พ่อแม่มาทีหลัง แต่ถ้าพ่อแม่ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้ชัดเจน ลูกก็จะ “คิดถึงตัวเองเกินกว่าที่จำเป็น” (โรม 12:3) การให้ “ลูกเป็นคนสำคัญที่สุด” ในบ้านอาจทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับคู่ชีวิตลดน้อยลงได้
คำแนะนำที่ช่วยพ่อแม่
เพื่อคุณจะทำหน้าที่พ่อแม่ให้สำเร็จ คุณควรยึดมั่นกับหลักการต่อไปนี้เมื่อสอนลูก
สอนด้วยความรัก “อย่ายั่วบุตรให้ขุ่นเคือง พวกเขาจะได้ไม่ท้อใจ”—โกโลซาย 3:21
เสมอต้นเสมอปลาย “ให้คำของเจ้าที่ว่าใช่ หมายความว่าใช่ ที่ว่าไม่ หมายความว่าไม่”—มัดธาย 5:37
มีเหตุผล “เราจะตีสอนเจ้าตามขนาด”—ยิระมะยา 30:11, ฉบับมาตรฐานa
a สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ดูได้ที่ jw.org/th หัวข้อ คำสอนของคัมภีร์ไบเบิล > ชีวิตคู่และการเลี้ยงลูก ที่นั่นคุณจะพบบทความต่าง ๆ เช่น “การอบรมและตีสอนลูก” “จะรับมืออย่างไรเมื่อลูกอาละวาด?” “ปลูกฝังค่านิยมทางศีลธรรมให้ลูกของคุณ” และ “สอนลูกวัยรุ่นให้ทำตามกฎ”
-