-
ทำไมต้องใช้ชีวิตตามมาตรฐานในพระคัมภีร์?คำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล เล่ม 2
-
-
บท 34
ทำไมต้องใช้ชีวิตตามมาตรฐานในพระคัมภีร์?
ที่โรงเรียน คุณกับเพื่อนอีกสองคนกำลังนั่งทานข้าวกัน แล้วแจ็กก็เดินมา.
เพื่อนคนแรกพูดกับคุณว่า “ฉันว่าแจ็กชอบเธอนะ. ดูเวลาเขามองเธอสิ ตาเยิ้มเชียว.”
คนที่สองก็ยื่นหน้ามากระซิบว่า “เขายังไม่มีแฟนด้วย.”
คุณรู้ว่าแจ็กชอบคุณเพราะวันก่อนเขาชวนคุณไปปาร์ตี้ที่บ้าน. แน่นอนคุณปฏิเสธ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าไปจะเป็นอย่างไร.
ขณะที่คุณกำลังคิด เพื่อนคนแรกก็พูดขึ้นมาว่า
“เสียดายฉันมีแฟนแล้ว ไม่งั้นฉันควงเขาไปแล้วล่ะ.”
แล้วเพื่อนคนนั้นก็หันมามองคุณด้วยความสงสัย. คุณรู้เลยว่าเขาจะพูดอะไรต่อ.
“แล้วทำไมเธอไม่มีแฟน?” เขาถาม.
คุณไม่อยากได้ยินคำถามแบบนี้. ที่จริง คุณก็อยากมีแฟน แต่รู้ว่าต้องรอให้พร้อมจะแต่งงานก่อนถึงจะมีแฟนได้. แล้วยัง . . .
“ศาสนาเธอใช่ไหมล่ะ?” เพื่อนคนที่สองถาม.
คุณคิดในใจว่า ‘เพื่อนอ่านใจฉันได้อย่างไร?’
แล้วเขาก็พูดกระแนะกระแหนว่า “ชีวิตเธอก็มีแต่พระคัมภีร์ พระคัมภีร์ พระคัมภีร์. ทำไมไม่รู้จักสนุกอย่างคนอื่นบ้าง?”
คุณเคยถูกเยาะเย้ยเพราะทำตามมาตรฐานในพระคัมภีร์ไหม? ถ้าอย่างนั้น คุณอาจสงสัยว่าชีวิตคุณคงขาดอะไรไป. เดโบรารู้สึกอย่างนั้น เธอบอกว่า “มาตรฐานในพระคัมภีร์เข้มงวดเกินไป. ฉันอยากมีอิสระเหมือนเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน.”
มองตามความเป็นจริง
การเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตัวเองไม่ใช่จะดีเสมอไป. ที่จริง พระคัมภีร์แนะนำเราให้เรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น นั่นเป็นวิธีที่ฉลาด. อาซาฟผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญทำอย่างนั้น. ช่วงหนึ่งท่านเคยคิดว่ามาตรฐานของพระเจ้าเข้มงวดเกินไป. แต่พอท่านสังเกตชีวิตของคนที่ละทิ้งแนวทางของพระเจ้า ท่านจึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร. ต่อมา ท่านสรุปว่าพวกเขายืนอยู่ใน “ที่ลื่น.”—บทเพลงสรรเสริญ 73:18
ทีนี้ให้มาพิจารณาความคิดเห็นของหนุ่มสาวบางคนที่เคยละทิ้งมาตรฐานของพระคัมภีร์และมีเซ็กซ์ก่อนแต่ง.
● อะไรทำให้คุณคิดและทำอย่างนั้น?
เดโบรา: “ที่โรงเรียน ทุกคนมีแฟนและดูเหมือนเขามีความสุข. เวลาไปไหนมาไหนกับพวกเขา ฉันเห็นพวกเขากอดกัน จูบกัน ฉันรู้สึกอิจฉาและเหงา. วัน ๆ ฉันจะฝันหวานถึงหนุ่มที่ฉันชอบ. ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากอยู่ใกล้เขา.”
ไมค์: “ผมชอบอ่านหนังสือหรือดูรายการที่พูดถึงเรื่องเซ็กซ์ ผมเลยรู้สึกว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นน่าลอง. เมื่อคุยกับเพื่อน ๆ เรื่องเซ็กซ์ยิ่งทำให้ผมอยากรู้อยากลองมากขึ้น. พอมีโอกาสอยู่กับสาวสองต่อสอง ผมคิดว่าจะแค่กอดจูบลูบคลำโดยไม่มีเซ็กซ์และจะหยุดเมื่อไรก็ได้ แต่แล้วก็หยุดไม่ได้.”
แอนดรูว์: “ผมชอบดูภาพโป๊ทางอินเทอร์เน็ต เริ่มดื่มจัด และไปปาร์ตี้กับเพื่อนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามมาตรฐานในพระคัมภีร์.”
เทรซี: “ฉันรู้ว่าการมีเซ็กซ์ก่อนแต่งเป็นเรื่องผิด แต่ไม่ได้รู้สึกเกลียด. ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำผิด แต่อารมณ์พาไป. ช่วงนั้นฉันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดเพราะสติรู้สึกผิดชอบด้านชาไปหมด.”
● การใช้ชีวิตแบบนั้นทำให้คุณมีความสุขไหม?
เดโบรา: “ตอนแรกฉันดีใจที่มีอิสระและเข้ากับเพื่อน ๆ ได้. แต่ความรู้สึกนั้นอยู่ไม่นาน. ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองสกปรก ไม่บริสุทธิ์ และว่างเปล่า. ฉันเสียใจมากที่ยอมเสียตัวง่าย ๆ.”
แอนดรูว์: “ผมทำผิดมากขึ้นเรื่อย ๆ. ขณะเดียวกัน ผมก็ผิดหวังกับตัวเองและรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลว.”
เทรซี: “การมีเซ็กซ์ก่อนแต่งทำลายชีวิตวัยสาวของฉัน. ฉันเคยคิดว่าฉันกับแฟนจะมีความสุขมาก แต่ไม่เลย. เราต่างทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน. ฉันร้องไห้ทุกคืนคิดว่าถ้าฉันทำตามแนวทางของพระยะโฮวาก็คงดี.”
ไมค์: “ผมรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น. ผมพยายามทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทำไม่ได้. เมื่อคิดว่ากำลังหาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ผมรู้สึกเจ็บปวดจริง ๆ.”
● คุณจะแนะนำหนุ่มสาวคนอื่นที่คิดว่ามาตรฐานทางศีลธรรมของพระคัมภีร์เข้มงวดเกินไปอย่างไร?
เทรซี: “เราจะมีความสุขกว่าถ้าเราใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระยะโฮวาและคบคนที่ใช้ชีวิตแบบนี้.”
เดโบรา: “อย่าคิดถึงแต่ตัวเองและสิ่งที่เราต้องการ. การกระทำของเราจะมีผลต่อคนอื่น. ถ้าเราไม่ทำตามคำแนะนำของพระเจ้าก็เท่ากับหาความทุกข์ใส่ตัว.”
แอนดรูว์: “ถ้าเรายังขาดประสบการณ์ เราคงคิดว่าชีวิตเพื่อน ๆ น่าตื่นเต้น. เราต้องรู้จักเลือกเพื่อนเพราะทัศนะของพวกเขาจะมีผลต่อเรา. ให้วางใจพระยะโฮวาจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง.”
ไมค์: “ความบริสุทธิ์และความนับถือตัวเองเป็นสิ่งที่มีค่ามาก. พระยะโฮวาตั้งใจให้สองสิ่งนี้แก่เรา. ถ้าเราควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วทำให้เสียไปก็เท่ากับทำให้ตัวเองด้อยค่า. ถ้ามีปัญหาให้คุยกับพ่อแม่หรือคนที่เราไว้ใจ. ถ้าทำผิด ก็ให้รีบบอกและแก้ไข. ถ้าเราใช้ชีวิตตามแนวทางของพระยะโฮวา เราจะสบายใจและมีความสุข.”
มาตรฐานในพระคัมภีร์ช่วยปกป้องหรือทำให้ขาดอิสระ?
พระยะโฮวาเป็น “พระเจ้าผู้มีความสุข” พระองค์อยากให้คุณมีความสุขด้วย. (1 ติโมเธียว 1:11; ท่านผู้ประกาศ 11:9) มาตรฐานในพระคัมภีร์มีไว้เพื่อประโยชน์ของคุณ. แต่คุณอาจมองว่ามันทำให้คุณขาดอิสระ. ที่จริง หลักศีลธรรมในพระคัมภีร์เป็นเหมือนเข็มขัดนิรภัยที่ช่วยปกป้องคุณไม่ให้ได้รับอันตราย.
แน่นอน คุณไว้ใจพระคัมภีร์ได้. ถ้าคุณใช้ชีวิตตามมาตรฐานในพระคัมภีร์ไม่เพียงจะทำให้พระยะโฮวามีความสุข แต่ตัวคุณเองจะได้รับประโยชน์ด้วย.—ยะซายา 48:17
คุณเป็นเพื่อนกับพระเจ้าได้. ให้มาดูว่าจะเป็นไปได้อย่างไร.
ข้อคัมภีร์หลัก
“เราคือยะโฮวา, พระเจ้าของเจ้าผู้สั่งสอนเจ้า, เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง.”—ยะซายา 48:17
ข้อแนะ
ถ้าคุณมีน้อง คุณจะช่วยน้องอย่างไรให้เห็นว่าการทำตามมาตรฐานในพระคัมภีร์เป็นแนวทางที่ฉลาด. การพูดออกมาจะช่วยให้ความเชื่อของคุณฝังลึกลงในหัวใจ.
คุณรู้ไหม . . . ?
แค่ชั่วเวลาสั้น ๆ คุณก็ทำลายสายสัมพันธ์ของคุณกับพระยะโฮวาได้ แต่ถ้าอยากกู้กลับมาต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ.
แผนปฏิบัติการ
เพื่อจะมั่นใจว่าการทำตามมาตรฐานในพระคัมภีร์เป็นแนวทางที่ฉลาด ฉันจะ ․․․․․
ถ้าฉันเริ่มอิจฉาคนที่ใช้ชีวิตตามมาตรฐานของโลก ฉันจะ ․․․․․
สิ่งที่ฉันอยากถามพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ․․․․․
คุณคิดอย่างไร?
● ทำไมการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตัวเองจึงไม่ใช่วิธีที่ฉลาด?
● คุณได้เรียนรู้อะไรจากความคิดเห็นของเดโบรา ไมค์ แอนดรูว์ และเทรซี?
● ทำไมบางคนมองว่ามาตรฐานในพระคัมภีร์ทำให้ขาดอิสระ และทำไมการคิดแบบนี้จึงไม่ฉลาด?
[คำโปรยหน้า 285]
“ถ้าคุณทำผิดแล้วถูกตีสอน คุณคงทุกข์ใจ แต่ถ้าคุณพยายามปกปิด คุณจะเจ็บปวดมากกว่า.”—ดอนนา
[ภาพหน้า 288]
มาตรฐานในพระคัมภีร์ไม่ได้ทำให้คุณขาดความสุข แต่ช่วยปกป้องคุณ
-
-
ฉันจะเป็นเพื่อนกับพระเจ้าได้อย่างไร?คำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล เล่ม 2
-
-
บท 35
ฉันจะเป็นเพื่อนกับพระเจ้าได้อย่างไร?
หลังจากเจเรมีเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เป็นทุกข์ เขารู้สึกว่าการเป็นเพื่อนกับพระเจ้ามีค่ามาก. เขาเล่าว่า “ตอนผมอายุ 12 พ่อทิ้งครอบครัวเราไป. มีคืนหนึ่ง ผมอ้อนวอนขอพระยะโฮวาบังคับให้พ่อกลับมา.”
เมื่อเจเรมีจมอยู่ในความทุกข์ เขาเริ่มอ่านพระคัมภีร์. เขาเปิดไปเจอบทเพลงสรรเสริญ 10:14 ทำให้เขาตื้นตันมาก. ข้อนั้นในฉบับ 1971 พูดถึงพระยะโฮวาว่า “คนไร้ที่พึ่งมอบตัวไว้กับพระองค์. พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยคนกำพร้าพ่อ.” เจเรมีบอกว่า “ผมรู้สึกว่าพระยะโฮวากำลังพูดกับผม พระองค์บอกผมว่าจะคอยช่วยเหลือผม พระองค์เป็นพ่อของผม. ผมจะหาพ่อที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร?”
ไม่ว่าสภาพการณ์ของคุณจะเหมือนเจเรมีหรือไม่ คัมภีร์ไบเบิลบอกให้รู้ว่าพระยะโฮวาอยาก เป็นเพื่อนกับคุณ โดยกล่าวว่า ‘จงเข้าไปใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงเข้ามาใกล้คุณ.’ (ยาโกโบ 4:8) ลองคิดดูสิ แม้คุณจะมองไม่เห็นพระองค์และไม่มีทางเทียบเท่าพระองค์ได้ แต่พระยะโฮวาพระเจ้ายังเชิญคุณให้เป็นเพื่อนกับพระองค์.
แต่การเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวาคุณเองก็ต้องทำอะไรบางอย่างด้วย. อย่างเช่น ถ้าคุณมีต้นไม้กระถางหนึ่ง มันคงโตเองไม่ได้ คุณต้องรู้ว่ามันชอบอากาศแบบไหนและต้องคอยรดน้ำเป็นประจำ. การเป็นเพื่อนกับพระเจ้าก็เหมือนกัน. คุณจะทำให้มิตรภาพนั้นงอกงามได้อย่างไร?
ต้องศึกษาส่วนตัว
คนเราจะเป็นเพื่อนกันได้ต้องมีการพูดคุยกัน. ในการพูดคุยนั้นต้องมีทั้งฝ่ายที่พูดและฝ่ายที่ฟัง. การเป็นเพื่อนกับพระเจ้าก็เหมือนกัน เมื่อเราอ่านและศึกษาพระคัมภีร์ก็เท่ากับเรากำลังฟังพระเจ้าพูด.—บทเพลงสรรเสริญ 1:2, 3
คุณอาจเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ. หนุ่มสาวส่วนใหญ่มักชอบดูทีวี เล่นเกม หรือไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ. แต่ถ้าคุณอยากเป็นเพื่อนกับพระเจ้าก็ไม่มีวิธีอื่น คุณต้องฟัง พระองค์โดยอ่านและศึกษาพระคำของพระองค์.
คุณไม่ชอบอ่านไม่ชอบศึกษาใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น การศึกษาพระคัมภีร์อาจดูเป็นเรื่องน่าเบื่อ. แต่ถ้าพยายามสักหน่อย คุณจะชอบ เอง. สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือจัดเวลา. ไลอิสบอกว่า “เมื่อตื่นขึ้นมา ฉันจะอ่านพระคัมภีร์หนึ่งบททุกเช้า.” มาเรีย อายุ 15 จัดเวลาอีกแบบหนึ่ง. เธอบอกว่า “ฉันจะอ่านพระคัมภีร์ก่อนนอนทุกคืน.”
ถ้าคุณไม่รู้จะเริ่มศึกษาพระคัมภีร์อย่างไร ให้ดูที่หน้า 292. คุณคิดว่าจะใช้เวลาช่วงไหนศึกษาพระคัมภีร์ได้สัก 30 นาที?
․․․․․
การจัดเวลาเป็นเพียงการเริ่มต้น. เมื่อคุณเริ่มศึกษาจริง ๆ คุณจะพบว่าการอ่านพระคัมภีร์ไม่ง่ายเลย. คุณคงเห็นด้วยกับเจซรีล อายุ 11 ที่พูดตรงไปตรงมาว่า “พระคัมภีร์บางตอนอ่านยากไม่สนุกเลย.” ถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้น อย่าเพิ่งท้อ. พยายามคิดว่าการอ่านพระคัมภีร์เป็นการฟังพระยะโฮวาพระเจ้าเพื่อนของคุณ. แล้วการอ่านพระคัมภีร์ก็จะกลายเป็นเรื่องสนุก.
ต้องอธิษฐาน
การอธิษฐานเป็นการคุยกับพระเจ้า. ลองคิดดูสิ นั่นวิเศษขนาดไหน. คุณจะคุยกับพระเจ้าเวลาไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน. พระองค์พร้อมจะฟังคุณเสมอ. ยิ่งกว่านั้น พระองค์อยากฟังคุณ. ด้วยเหตุนี้ พระคัมภีร์จึงเชิญชวนคุณว่า ‘จงทูลทุกสิ่งที่คุณปรารถนาต่อพระเจ้าโดยการอธิษฐานและการวิงวอนพร้อมกับการขอบพระคุณ.’—ฟิลิปปอย 4:6
ตามที่พระคัมภีร์ข้อนี้บอก มีหลายสิ่งที่คุณคุยกับพระเจ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นหรือเรื่องที่คุณกังวล. และเมื่อคิดถึงสิ่งดี ๆ คุณคงอยากขอบคุณพระเจ้า. ถ้าเพื่อนทำอะไรดี ๆ ให้ คุณคงอยากขอบคุณเขาไม่ใช่หรือ? เช่นเดียวกัน คุณควรขอบคุณพระยะโฮวาเพราะพระองค์ให้อะไรดี ๆ แก่คุณมากมายเกินกว่าที่เพื่อนคนใดจะให้ได้.—บทเพลงสรรเสริญ 106:1
มีอะไรบ้างที่คุณอยากขอบคุณพระยะโฮวา?
․․․․․
บางครั้งคุณคงรู้สึกกลัวและกังวล. บทเพลงสรรเสริญ 55:22 (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) บอกว่า “จงมอบภาระของท่านไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงค้ำชูท่านไว้. พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้คนชอบธรรมล้มลง.”
มีเรื่องใดบ้างที่คุณกังวลและอยากบอกพระองค์?
․․․․․
ประสบการณ์ส่วนตัว
การเป็นเพื่อนกับพระเจ้ายังมีอีกแง่หนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม. ดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเขียนว่า “เชิญชิมดูแล้วจะรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแสนดี.” (บทเพลงสรรเสริญ 34:8, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ตอนที่ดาวิดประพันธ์เพลงสรรเสริญบท 34 ท่านเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวมา. นอกจากจะถูกกษัตริย์ซาอูลตามล่าแล้ว ท่านยังต้องหนีไปหลบภัยในเมืองของศัตรูคือชาวฟิลิสติน. ตอนนั้นท่านต้องเผชิญหน้ากับความตายจึงแกล้งทำเป็นบ้าเพื่อเอาตัวรอด.—1 ซามูเอล 21:10-15
หลังจากดาวิดรอดตายมาอย่างหวุดหวิด ท่านไม่ได้คิดว่าตัวเองฉลาด แต่บอกว่าเพราะพระยะโฮวาช่วยท่าน. ท่านบอกไว้ในเพลงสรรเสริญว่า “เมื่อข้าพเจ้าได้แสวงหาพระยะโฮวา, พระองค์ได้ทรงตอบข้าพเจ้า, และได้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความหวาดกลัวทั้งปวง.” (บทเพลงสรรเสริญ 34:4) เมื่อดาวิดประสบด้วยตัวเอง ท่านจึงเชิญชวนคนอื่นให้ “ชิมดูแล้วจะรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแสนดี.”a
คุณเห็นหลักฐานอะไรไหมที่แสดงว่าพระยะโฮวารักและเอาใจใส่คุณ? ให้เขียนลงไป. ไม่ต้องเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากก็ได้. ลองคิดถึงสิ่งดี ๆ ที่คุณได้รับในแต่ละวัน บางครั้งคุณอาจมองข้ามไป.
․․․․․
พ่อแม่คงสอนความจริงในพระคัมภีร์ให้คุณ. แต่คุณต้องสร้างสายสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วยตัวเอง. ถ้ายังไม่ได้ทำ คำแนะนำในบทนี้จะช่วยคุณได้. พระยะโฮวาจะช่วยคุณให้ทำสำเร็จ. พระคัมภีร์บอกว่า “จงขอต่อ ๆ ไปแล้วจะได้รับ จงหาต่อ ๆ ไปแล้วจะพบ.”—มัดธาย 7:7
เชิญอ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ในเล่ม 1 บท 38 และ 39
คุณคิดว่าการพูดกับคนอื่นเรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องยากไหม? คุณจะปกป้องความเชื่อของคุณได้อย่างไร?
[เชิงอรรถ]
a พระคัมภีร์บางฉบับแปลวลี “ชิมดูแล้วจะรู้” ไว้ว่า “ค้นพบด้วยตัวเอง,” “ค้นหาด้วยตัวเอง” และ “รู้จากประสบการณ์.”—ฉบับคอนเทมโพรารี อิงลิช, ฉบับทูเดส์ อิงลิช และฉบับเดอะ ไบเบิล อิน เบสิก อิงลิช
ข้อคัมภีร์หลัก
“ผู้ที่สำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณก็มีความสุข.”—มัดธาย 5:3
ข้อแนะ
ให้อ่านพระคัมภีร์วันละห้าถึงหกหน้า แล้วคุณจะอ่านจบเล่มภายในหนึ่งปี.
คุณรู้ไหม . . . ?
การที่คุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้และนำคำแนะนำไปใช้แสดงว่าพระยะโฮวาสนใจคุณ จริง ๆ.—โยฮัน 6:44
แผนปฏิบัติการ
เพื่อจะได้ประโยชน์มากขึ้นจากการศึกษาส่วนตัว ฉันจะ ․․․․․
เพื่อจะอธิษฐานบ่อยขึ้น ฉันจะ ․․․․․
สิ่งที่ฉันอยากถามพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ․․․․․
คุณคิดอย่างไร?
● คุณจะทำให้การศึกษาพระคัมภีร์น่าสนใจมากขึ้นได้อย่างไร?
● ทำไมพระยะโฮวาอยากฟังคำอธิษฐานของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์?
● คุณจะปรับปรุงคำอธิษฐานของคุณได้อย่างไร?
[คำโปรยหน้า 291]
“ตอนเป็นเด็ก ฉันจะอธิษฐานซ้ำ ๆ แบบเดิม. แต่ตอนนี้ฉันจะพูดทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ไม่ได้พูดเหมือนกันทุกวันเพราะเป็นไปไม่ได้ที่ทุกวันจะเหมือนกัน.”—อีฟ
[กรอบ/ภาพหน้า 292]
วิธีค้นคว้าพระคัมภีร์
1. เลือกพระคัมภีร์สักตอนที่คุณอยากอ่าน. อธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้เข้าใจเรื่องนั้น.
2. อ่านไปมโนภาพไป. ไม่ต้องรีบร้อน. ขณะอ่านให้มโนภาพไปด้วย. ให้ใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น ได้ยิน เสียงคนพูด รับรู้รส ของอาหาร ได้กลิ่น และเห็น ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น. ให้ทำเหมือนคุณอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ.
3. คิดถึงเรื่องที่เพิ่งอ่าน. ลองตอบคำถามต่อไปนี้.
● ทำไมพระยะโฮวาให้บันทึกเรื่องราวนี้ไว้ในพระคัมภีร์?
● ตัวอย่างไหนน่าเลียนแบบ และตัวอย่างไหนควรหลีกเลี่ยง?
● มีบทเรียนอะไรบ้างที่ฉันจะเอาไปใช้ได้?
● ฉันรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับพระยะโฮวาและเหตุผลที่พระองค์ทำอย่างนั้น?
4. อธิษฐานถึงพระยะโฮวาสั้น ๆ. บอกพระองค์ว่าคุณได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องที่อ่านและจะเอาไปใช้อย่างไร. ให้ขอบคุณพระยะโฮวาเสมอสำหรับคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระองค์ซึ่งเป็นของขวัญอันล้ำค่า.
[ภาพ]
“พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพเจ้า, และเป็นแสงสว่างตามทางของข้าพเจ้า.”—บทเพลงสรรเสริญ 119:105
[กรอบ/ภาพหน้า 294]
สิ่งสำคัญต้องมาก่อน
คุณไม่มีเวลาอธิษฐานหรือศึกษาพระคัมภีร์ไหม? ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความสำคัญกับอะไร.
ลองทำแบบนี้: ให้เอาถังมาใบหนึ่งแล้วใส่หินก้อนใหญ่ ๆ ลงไป. จากนั้น เททรายให้เต็มถัง. ตอนนี้ในถังก็จะมีทั้งหินและ ทราย.
ทีนี้ให้เทหินและทรายออกมาจากถังให้หมด. คราวนี้ทำกลับกัน ให้ใส่ทรายลงไปก่อน แล้วค่อยใส่หินลงไป. ใส่หินไม่หมดใช่ไหม? นั่นเพราะคุณใส่ทรายลงไปก่อน.
บทเรียนคืออะไร? พระคัมภีร์บอกว่า ‘ให้ตรวจดูให้แน่ใจว่าสิ่งไหนสำคัญกว่า.’ (ฟิลิปปอย 1:10) ถ้าคุณทำสิ่งที่ไม่สำคัญก่อน เช่น นันทนาการ คุณจะไม่มีเวลาพอสำหรับสิ่งที่สำคัญในชีวิตคือกิจกรรมคริสเตียน. แต่ถ้าคุณทำตามคำแนะนำในพระคัมภีร์ คุณจะมีเวลาสำหรับทั้งสองสิ่งคือรับใช้พระเจ้าได้และ มีนันทนาการอย่างพอเหมาะ. นี่ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำอะไรก่อน.
[ภาพหน้า 290]
สายสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าก็เหมือนต้นไม้ ต้องคอยดูแลถึงเติบโต
-
-
ทำอย่างไรฉันจึงจะกล้าพูดถึงความเชื่อของฉัน?คำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล เล่ม 2
-
-
บท 36
ทำอย่างไรฉันจึงจะกล้าพูดถึงความเชื่อของฉัน?
ทำไมคุณไม่กล้าบอกเพื่อน ๆ ว่าคุณเชื่ออย่างไร?
□ มีความรู้เรื่องพระคัมภีร์ไม่ดีพอ
□ กลัวถูกเยาะเย้ย
□ ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่คุณเชื่อ คุณคิดว่าวิธีไหนง่ายที่สุด?
□ พูดกับเพื่อนสองต่อสอง
□ พูดหน้าชั้นเรียน
□ เขียนลงในรายงาน
ถ้าจะพูดเรื่องพระเจ้า คุณคิดว่าเพื่อนคนไหนจะยอมฟังคุณ? ․․․․․
เรื่องพระเจ้าคงไม่ใช่เรื่องที่เพื่อน ๆ คุณอยากฟัง. ถ้าคุณพูดเรื่องกีฬา เสื้อผ้า หรือเพศตรงข้าม คงคุยกันสนุก. แต่พอเริ่มพูดเรื่องพระเจ้า ทุกคนอาจเงียบกันหมด.
นี่ไม่ได้หมายความว่าเพื่อน ๆ คุณไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า หลายคนเชื่อ. แต่บางคนไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เขาอาจคิดว่า ‘มันน่าเบื่อไม่สนุก.’
แล้วคุณ ล่ะ?
ถ้าคุณไม่อยากพูดเรื่องพระเจ้ากับเพื่อน ๆ ก็ไม่แปลก. ไม่มีใครอยากถูกปฏิเสธ หรือแย่กว่านั้นคือถูกล้อเลียน. ถ้าคุณพูดออกไป คุณจะโดนอย่างนั้นไหม? เป็นไปได้. แต่คุณอาจแปลกใจก็ได้ที่เพื่อนบางคนอยากรู้ว่าต่อไปโลกจะเป็นอย่างไร? หรือทำไมโลกเรามีแต่ปัญหา? เพื่อนคุณคงอยากคุยเรื่องพวกนี้กับคนที่อยู่ในวัยเดียวกับเขา ไม่ใช่พวกผู้ใหญ่.
แต่การพูดเรื่องศาสนา กับเพื่อน ๆ เป็นเรื่องยากมากใช่ไหม? ที่จริง คุณไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ตลอดเวลาเหมือนคนคลั่งศาสนา หรือกลัวว่าจะอธิบายไม่ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์. การพูดถึงความเชื่อของคุณเป็นเหมือนการเล่นดนตรี. แรก ๆ คุณคงรู้สึกยาก แต่ถ้าฝึกไปเรื่อย ๆ คุณจะรู้สึกง่ายขึ้นและคิดว่าคุ้มแล้วที่พยายาม. แต่จะเริ่มอย่างไรล่ะ?
ปกติแล้วเมื่อคุยกับเพื่อน คุณคงมีโอกาสพูดเรื่องความเชื่อได้ เช่น ถ้าเพื่อนที่โรงเรียนกำลังคุยกันเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คุณอาจแทรกเรื่องพระคัมภีร์เข้าไปได้. หรืออาจชวนเพื่อนสักคนคุยเรื่องพระคัมภีร์. วิธีที่ง่ายกว่านี้คือ หนุ่มสาวคริสเตียนบางคนเอาหนังสือของเราวางไว้บนโต๊ะแล้วดูว่ามีเพื่อนคนไหนสนใจ. ส่วนใหญ่มักได้ผล จากนั้นก็จะพูดคุยกันต่อ.
คุณ อยากลองวิธีไหน? ․․․․․
คุณคิดว่ามีวิธีไหนอีกที่จะพูดถึงความเชื่อของคุณกับเพื่อนนักเรียน?
․․․․․
บางครั้งการทำโครงงานในชั้นเรียนอาจทำให้คุณมีโอกาสให้คำพยานด้วย. เช่น เมื่อต้องทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องวิวัฒนาการคุณจะทำอย่างไร? คุณจะพูดถึงความเชื่อในเรื่องพระผู้สร้างอย่างไร?
พูดเรื่องพระเจ้าสร้าง
ไรอันบอกว่า “เมื่อมีการพูดเรื่องวิวัฒนาการในห้องเรียน เขาพูดเหมือนเป็นความจริงต่างจากที่พ่อแม่สอนผม. ผมเลยเงียบไม่กล้าพูด.” ราเคลก็พูดคล้ายกัน. เธอบอกว่า “พอครูบอกว่าคราวหน้าจะเรียนเรื่องวิวัฒนาการ ฉันตกใจแทบแย่ไม่อยากอธิบายถึงสิ่งที่ฉันเชื่อ.”
คุณ รู้สึกอย่างไรเมื่อมีการพูดเรื่องวิวัฒนาการในห้องเรียน? คุณเชื่อว่าพระเจ้า “สร้างทุกสิ่ง.” (วิวรณ์ 4:11) รอบ ๆ ตัวคุณมีหลักฐานที่แสดงว่าต้องมีการออกแบบที่ชาญฉลาด. แต่ครูกับตำราเรียนบอกว่าชีวิตเกิดขึ้นโดยวิวัฒนาการ. คุณเป็นใครล่ะที่จะไปเถียงกับ “ผู้ทรงคุณวุฒิ” เหล่านั้น?
แน่นอน ไม่ใช่คุณคนเดียวที่ไม่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ. แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็มีหลายคนที่ไม่เชื่อทฤษฎีนี้ ยังมีครูและนักเรียนอีกจำนวนมากที่ไม่เชื่อเช่นกัน.
ก่อนจะพูดเรื่องพระเจ้าสร้าง คุณต้องรู้ว่าจริง ๆ แล้วพระคัมภีร์สอนเรื่องนี้อย่างไร. ไม่จำเป็นต้องเถียงกับคนอื่นในเรื่องที่พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึง. ให้มาดูบางตัวอย่าง.
ตำราวิทยาศาสตร์บอกว่า แผ่นดินโลกและระบบสุริยะมีมาหลายพันล้านปีแล้ว. พระคัมภีร์บอกว่าเอกภพและแผ่นดินโลกมีอยู่ก่อนวันที่หนึ่งแห่งการทรงสร้าง. ดังนั้น แผ่นดินโลกและระบบสุริยะอาจมีอยู่หลายพันล้านปีแล้ว.—เยเนซิศ 1:1
ครูบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่แผ่นดินโลกจะถูกสร้างขึ้นภายในหกวัน. พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าวันแห่งการทรงสร้างแต่ละวันมีแค่ 24 ชั่วโมง.
ในชั้นเรียนมีการพูดถึงมนุษย์และสัตว์หลายชนิดที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา. พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิต “ตามชนิดของมัน.” (เยเนซิศ 1:20, 21) แนวคิดที่ว่าชีวิตเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิตหรือพระเจ้าสร้างเซลล์เซลล์เดียวแล้วปล่อยให้มันวิวัฒนาการจึงไม่ ตรงกับสิ่งที่พระคัมภีร์บอก. กระนั้น สิ่งมีชีวิตในแต่ละ “ชนิด” สามารถแยกออกมาเป็นหลากหลายพันธุ์ได้. ดังนั้น พระคัมภีร์แสดงว่าเป็นไปได้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงภายในขอบเขตของแต่ละ “ชนิด.”
เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่กล่าวไว้ในบทนี้ คุณจะตอบอย่างไรถ้าครูหรือเพื่อนบอกว่า
“นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่ามนุษย์เราเกิดขึ้นโดยวิวัฒนาการ.” ․․․․․
“ฉันไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าเพราะมองไม่เห็น.” ․․․․․
มั่นใจในสิ่งที่คุณเชื่อ
ถ้าพ่อแม่คุณเป็นพยานฯ คุณคงเชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างเพราะถูกสอนมาอย่างนั้น. แต่ตอนนี้คุณโตแล้ว คุณอยากหาเหตุผลเองเพื่อจะมีพื้นฐานที่หนักแน่นในการเชื่อและนมัสการพระเจ้า. (โรม 12:1) เมื่อเป็นเช่นนั้น คุณอาจถามตัวเองว่า ‘อะไรทำให้ฉัน เชื่อว่ามีพระผู้สร้าง?’ แซมอายุ 14 หลังจากได้พิจารณาร่างกายมนุษย์ เขาบอกว่า “ร่างกายเราละเอียดซับซ้อนมาก ทุกส่วนทำงานประสานกันอย่างดี เป็นไปไม่ได้ที่จะวิวัฒนาการมา.” ฮอลลี อายุ 16 มีความเห็นตรงกัน. เธอบอกว่า “พอหมอบอกว่าเป็นเบาหวาน ฉันเลยหาข้อมูลว่าร่างกายทำงานอย่างไร. มันน่าทึ่งจริง ๆ เช่น ตับอ่อนแม้จะเป็นอวัยวะเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่หลังกระเพาะ แต่กลับทำหน้าที่สำคัญคือทำให้เลือดและอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ดี.”
ให้เขียนเหตุผลสามข้อที่ทำให้คุณ เชื่อว่ามีพระผู้สร้าง.
1. ․․․․․
2. ․․․․․
3. ․․․․․
คุณไม่ต้องอายที่เชื่อเรื่องพระเจ้าและการทรงสร้าง. หลักฐานต่าง ๆ แสดงว่ามีเหตุผลที่จะเชื่อว่ามนุษย์เราไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่ถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาด.
สรุปแล้ว การเชื่อวิวัฒนาการนั่นแหละที่ต้องใช้ความเชื่อมหาศาลเหมือนกับเชื่อว่ามีสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นโดยไม่มีใครทำ. เมื่อคุณคิดทบทวนเรื่องนี้ดี ๆ คุณจะกล้าพูดถึงความเชื่อในเรื่องพระเจ้ามากขึ้น.
คุณเห็นคนอื่นที่อายุพอ ๆ กับคุณรับบัพติสมา. คุณล่ะพร้อมไหม?
ข้อคัมภีร์หลัก
“ข้าพเจ้าไม่อายในเรื่องข่าวดี ที่จริง ข่าวดีเป็นฤทธิ์ของพระเจ้าเพื่อทุกคนที่มีความเชื่อจะรอด.”—โรม 1:16
ข้อแนะ
เมื่อพูดถึงสิ่งที่คุณเชื่อ ท่าทางและน้ำเสียงของคุณเป็นสิ่งสำคัญ. ถ้าคุณแสดงท่าทางว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องน่าอาย เพื่อน ๆ จะเยาะเย้ยคุณ. แต่ถ้าคุณพูดด้วยความมั่นใจเหมือนที่เพื่อน ๆ พูดถึงความคิดของเขา พวกเขาอาจยอมฟังคุณ.
คุณรู้ไหม . . . ?
บางครั้งเมื่อขอให้ครูพิสูจน์เรื่องวิวัฒนาการ เขาพิสูจน์ไม่ได้จึงยอมรับว่าที่เชื่อทฤษฎีนี้เพราะเรียนมาอย่างนั้น.
แผนปฏิบัติการ
ฉันจะหาโอกาสคุยกับเพื่อนเรื่องพระคัมภีร์โดย ․․․․․
ถ้ามีคนถามว่าทำไมฉันเชื่อเรื่องพระผู้สร้าง ฉันจะบอกว่า ․․․․․
สิ่งที่ฉันอยากถามพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ․․․․․
คุณคิดอย่างไร?
● การพูดถึงสิ่งที่คุณเชื่อทำไมจึงสำคัญ?
● มีวิธีไหนบ้างที่คุณจะพูดถึงความเชื่อในเรื่องพระผู้สร้างได้ที่โรงเรียน?
● คุณจะแสดงอย่างไรว่ารู้สึกขอบคุณผู้ที่สร้างสิ่งสารพัด?—กิจการ 17:26, 27
[คำโปรยหน้า 299]
“โรงเรียนเป็นเขตประกาศสำหรับพวกเราโดยเฉพาะ.”—อิไรดา
[ภาพหน้า 298]
การพูดถึงความเชื่อก็เหมือนการเล่นดนตรี ต้องทำบ่อย ๆ แล้วคุณจะชำนาญ
[ภาพหน้า 300, 301]
คุณจะเอาชนะความกลัวและกล้าพูดถึงสิ่งที่คุณเชื่อได้
-