-
“คริสเตียน” ทุกคนเป็นคริสเตียนไหม?หอสังเกตการณ์ 2012 | 1 มีนาคม
-
-
“คริสเตียน” ทุกคนเป็นคริสเตียนไหม?
มีกี่คนในโลกนี้ที่เป็นคริสเตียน? หนังสือแผนที่ศาสนาคริสเตียนทั่วโลก (ภาษาอังกฤษ) รายงานว่าในปี 2010 ตลอดทั่วโลกมีคริสเตียนเกือบ 2.3 พันล้านคน. แต่หนังสือเล่มเดียวกันยังบอกด้วยว่าคริสเตียนเหล่านี้แบ่งเป็นกลุ่มและนิกายต่าง ๆ มากกว่า 41,000 กลุ่ม และแต่ละกลุ่มต่างก็มีหลักคำสอนและแนวปฏิบัติของตัวเอง. เมื่อมีศาสนา “คริสเตียน” มากมายเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนจะรู้สึกสับสนและถึงกับผิดหวังด้วยซ้ำ. พวกเขาอาจสงสัยว่า ‘ทุกคนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนเป็นคริสเตียนจริง ๆ ไหม?’
ให้เรามาพิจารณาเรื่องนี้ในอีกมุมหนึ่ง. ตามปกติแล้ว นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปต่างประเทศจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่าเขาเป็นพลเมืองประเทศใด. นอกจากนั้น เขายังต้องแสดงหนังสือเดินทางแก่เจ้าหน้าที่เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันคำกล่าวอ้างของตน. ในทำนองเดียวกัน คริสเตียนแท้ต้องไม่เพียงบอกว่าเขาเชื่อในพระคริสต์. แต่เขาต้องให้หลักฐานอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย. หลักฐานเหล่านั้นคืออะไร?
คำว่า “คริสเตียน” ถูกนำมาใช้ครั้งแรกหลังปีสากลศักราช 44. รายงานของลูกา นักประวัติศาสตร์ด้านคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “เหล่าสาวกจึงถูกเรียกว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรกในเมืองอันทิโอก.” (กิจการ 11:26) ขอให้สังเกตว่า คนที่ถูกเรียกว่าคริสเตียนคือเหล่าสาวกของพระคริสต์. การเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์หมายความว่าอย่างไร? พจนานุกรมนานาชาติฉบับใหม่เกี่ยวกับเทววิทยาแห่งพันธสัญญาใหม่ (ภาษาอังกฤษ) อธิบายว่า “การเป็นสาวกของพระเยซูหมายถึงการอุทิศชีวิตทั้งสิ้นให้พระองค์ . . . และรับเอาทุกสิ่งในชีวิตของพระองค์มาเป็นของตนโดยไม่มีข้อแม้.” ดังนั้น คริสเตียนแท้คือคนที่ปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนทุกอย่างของพระเยซูผู้ก่อตั้งศาสนาคริสเตียนโดยไม่มีข้อแม้.
เป็นไปได้ไหมที่จะพบคริสเตียนแท้ท่ามกลางผู้คนมากมายที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนในทุกวันนี้? พระเยซูเองตรัสไว้อย่างไรเกี่ยวกับหลักฐานที่ระบุตัวสาวกแท้ของพระองค์? ขอเชิญคุณมาดูว่าคัมภีร์ไบเบิลตอบคำถามเหล่านี้อย่างไร. ในบทความต่อจากนี้เราจะพิจารณาลักษณะสำคัญห้าประการที่พระเยซูตรัสว่าจะเป็นหลักฐานระบุตัวสาวกแท้ของพระองค์. แล้วเราจะพิจารณาว่าคริสเตียนในศตวรรษแรกแสดงหลักฐานเหล่านี้อย่างไร. จากนั้น เราจะช่วยกันหาว่าคริสเตียนกลุ่มไหนในทุกวันนี้กำลังทำแบบเดียวกัน.
-
-
“ยึดมั่นกับคำสอนของเรา”หอสังเกตการณ์ 2012 | 1 มีนาคม
-
-
“ยึดมั่นกับคำสอนของเรา”
“ถ้าพวกเจ้ายึดมั่นกับคำสอนของเรา พวกเจ้าก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง และพวกเจ้าจะรู้ความจริง แล้วความจริงจะทำให้พวกเจ้าเป็นอิสระ.”—โยฮัน 8:31, 32
คำตรัสนี้หมายความว่าอย่างไร? “คำสอน” ของพระเยซูหมายถึงทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสซึ่งมาจากพระเจ้า. พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาผู้ทรงใช้เรามานั้นแหละทรงบัญชาเราว่าจะบอกอะไรและจะพูดอะไร.” (โยฮัน 12:49) เมื่อพระเยซูอธิษฐานถึงพระยะโฮวาพระเจ้าพระบิดาในสวรรค์ พระองค์ตรัสว่า “คำของพระองค์เป็นความจริง.” พระเยซูทรงยกพระคำของพระเจ้าขึ้นมากล่าวบ่อย ๆ เพื่อสนับสนุนคำสอนของพระองค์. (โยฮัน 17:17; มัดธาย 4:4, 7, 10) ดังนั้น คริสเตียนแท้จะ ‘ยึดมั่นกับคำสอนของพระองค์’ ซึ่งหมายถึงการยอมรับว่าคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระเจ้าเป็น “ความจริง” และเป็นบรรทัดฐานสูงสุดสำหรับความเชื่อและความประพฤติของพวกเขา.
คริสเตียนในยุคแรกเป็นอย่างนั้นไหม? อัครสาวกเปาโลได้ให้ความนับถือต่อพระคำของพระเจ้าเช่นเดียวกับพระเยซู. ท่านเขียนว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าและมีประโยชน์.” (2 ติโมเธียว 3:16) ผู้ชายที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สอนในประชาคมคริสเตียนต้อง “ยึดมั่นกับพระคำอันสัตย์จริง.” (ทิทุส 1:7, 9) คริสเตียนในยุคแรกได้รับคำเตือนให้ปฏิเสธ “หลักปรัชญาและคำล่อลวงเหลวไหลที่อาศัยประเพณีของมนุษย์และสิ่งต่าง ๆ ที่โลกถือว่าสำคัญ ไม่ใช่อาศัยคำสอนของพระคริสต์.”—โกโลซาย 2:8
ใครกำลังทำแบบเดียวกันในทุกวันนี้? คู่มือถามตอบของคริสตจักรคาทอลิก (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่แหล่งเดียวที่ช่วยให้คริสตจักร [คาทอลิก] มั่นใจในทุกสิ่งที่ได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้า. ฉะนั้น ทั้งคำสอนสืบปากและพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ อีกทั้งยกย่องเทิดทูนด้วยความนับถือและความภักดีอย่างเดียวกัน.” บทความหนึ่งในวารสารแมกเคลนส์ อ้างถึงคำกล่าวของนักเทศน์คนหนึ่งในโทรอนโต แคนาดา ที่ถามว่า “ทำไมเราต้องฟังเสียงของ ‘นักปฏิวัติ’ จากยุคสองพันปีก่อนด้วยล่ะ? เราก็มีความคิดดี ๆ ของเราเอง แต่ความคิดเหล่านั้นกลับถูกบดบังมาตลอดเพราะเรามัวแต่ยึดติดกับพระเยซูและพระคัมภีร์.”
สารานุกรมคาทอลิกฉบับใหม่ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวถึงพยานพระยะโฮวาว่า “พวกเขาถือว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นบรรทัดฐานเพียงอย่างเดียวสำหรับความเชื่อและความประพฤติ.” เมื่อไม่นานมานี้ ชายคนหนึ่งในแคนาดาพูดกับพยานพระยะโฮวาซึ่งกำลังแนะนำตัวเธอที่หน้าประตูบ้านว่า “ผมรู้ว่าคุณเป็นใคร.” เขาชี้ไปที่คัมภีร์ไบเบิลแล้วพูดว่า “นั่นไงล่ะหลักฐาน.”
-
-
“ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลก”หอสังเกตการณ์ 2012 | 1 มีนาคม
-
-
“ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลก”
“โลกเกลียดชังพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลก.”—โยฮัน 17:14
คำตรัสนี้หมายความว่าอย่างไร? เนื่องจากพระเยซูไม่เป็นส่วนหนึ่งของโลก พระองค์จึงวางตัวเป็นกลางท่ามกลางความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองในสมัยนั้น. พระองค์อธิบายว่า “ราชอาณาจักรของเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้. ถ้าราชอาณาจักรของเราเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ คนของเราคงต่อสู้เพื่อไม่ให้เราตกอยู่ในมือพวกยิว. แต่ราชอาณาจักรของเราไม่ได้มาจากโลกนี้.” (โยฮัน 18:36) นอกจากนั้น พระองค์ยังเตือนเหล่าสาวกของพระองค์ให้หลีกเลี่ยงการคิด พูด และทำสิ่งที่พระคำของพระเจ้าตำหนิ.—มัดธาย 20:25-27
คริสเตียนในยุคแรกเป็นอย่างนั้นไหม? โจนาทาน ไดมอนด์ นักเขียนเรื่องทางศาสนากล่าวว่าคริสเตียนในยุคแรก “ไม่ยอมเข้าร่วม [สงคราม] ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะถูกประณาม ถูกจำคุก หรือถูกฆ่า.” พวกเขาเลือกเอาการทนทุกข์แทนที่จะยอมทำผิดหลักการเรื่องความเป็นกลาง. นอกจากนั้น หลักศีลธรรมที่พวกเขายึดถือยังทำให้พวกเขาแตกต่างจากคนอื่น. คริสเตียนได้รับคำเตือนว่า “เพราะท่านทั้งหลายไม่เดินกับพวกเขาในทางเดียวกันนี้ต่อไปจนจมอยู่ในปลักแห่งความเหลวไหลเสเพลเหมือนกัน พวกเขาจึงประหลาดใจและกล่าวร้ายท่านทั้งหลายอยู่เรื่อยไป.” (1 เปโตร 4:4) นักประวัติศาสตร์ วิลล์ ดูแรนต์ เขียนว่าคริสเตียน “สร้างความไม่พอใจให้กับโลกนอกรีตที่คลั่งไคล้ความสนุกสนานเพลิดเพลินเพราะพวกเขามีศรัทธาแรงกล้าในศาสนาและมีความประพฤติที่ดีงาม.”
ใครกำลังทำแบบเดียวกันในทุกวันนี้? เมื่อกล่าวถึงความเป็นกลางของคริสเตียน สารานุกรมคาทอลิกฉบับใหม่ (ภาษาอังกฤษ) อ้างว่า “การปฏิเสธไม่ยอมจับอาวุธโดยอ้างสติรู้สึกผิดชอบเป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้น.” บทความในหนังสือพิมพ์เรฟอร์เมียร์เทอ เพรสเซอ กล่าวว่ารายงานฉบับหนึ่งขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนแห่งแอฟริกาแสดงให้เห็นว่าทุกคริสตจักรต่างมีส่วนร่วมในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาเมื่อปี 1994 “ยกเว้นพยานพระยะโฮวา.”
อาจารย์โรงเรียนมัธยมคนหนึ่งโอดครวญเกี่ยวกับการสังหารหมู่พลเรือนโดยพวกนาซีว่า “ไม่มีคนกลุ่มใดหรือองค์กรใดเลยที่ออกมาประณามการโป้ปดมดเท็จสารพัดเรื่อง รวมทั้งความป่าเถื่อน และความโหดร้ายอำมหิต.” แต่หลังจากได้ไปที่พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์การสังหารหมู่พลเรือนโดยพวกนาซีแห่งสหรัฐ เขาเขียนว่า “ตอนนี้ผมรู้คำตอบแล้ว.” เขาได้รู้ว่าพยานพระยะโฮวาเป็นผู้ที่ยืนหยัดมั่นคงเพื่อความเชื่อแม้จะถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณก็ตาม.
แล้วหลักศีลธรรมที่พยานฯ ยึดถือเป็นอย่างไร? วารสารยู. เอส. คาทอลิก บอกว่า “หนุ่มสาวชาวคาทอลิกส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของคริสตจักรในเรื่องการอยู่ด้วยกัน [และ] มีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงาน.” วารสารฉบับนี้ยกคำกล่าวของมัคนายกคนหนึ่งที่บอกว่า “ผมเห็นว่ามีคริสเตียนจำนวนมาก อาจจะมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำที่อยู่กินกันก่อนแต่งงาน.” สารานุกรมบริแทนนิกาฉบับใหม่ กล่าวว่าพยานพระยะโฮวา “รักษามาตรฐานที่สูงส่งด้านศีลธรรมของตนอย่างเคร่งครัด.”
-
-
“ให้พวกเจ้ารักกัน”หอสังเกตการณ์ 2012 | 1 มีนาคม
-
-
“ให้พวกเจ้ารักกัน”
“เราให้บัญญัติใหม่แก่เจ้าทั้งหลาย คือ ให้พวกเจ้ารักกัน เรารักพวกเจ้ามาแล้วอย่างไร ก็ให้พวกเจ้ารักกันอย่างนั้นด้วย. เพราะเหตุนี้แหละ คนทั้งหลายจะรู้ว่าพวกเจ้าเป็นสาวกของเรา ถ้าพวกเจ้ารักกัน.”—โยฮัน 13:34, 35
คำตรัสนี้หมายความว่าอย่างไร? พระคริสต์สั่งให้สาวกของพระองค์รักกันอย่างที่พระองค์ทรงรักพวกเขา. พระเยซูรักพวกเขาอย่างไร? พระองค์ทรงรักพวกเขาอย่างไม่มีอคติ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชายหรือหญิง หรือเป็นชนชาติใดก็ตาม ซึ่งต่างจากทัศนะของคนส่วนใหญ่ในสมัยนั้น. (โยฮัน 4:7-10) ความรักกระตุ้นให้พระเยซูสละเวลา กำลัง และความสะดวกสบายส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น. (มาระโก 6:30-34) ในวาระสุดท้ายของชีวิต พระคริสต์ได้แสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้. พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน.”—โยฮัน 10:11
คริสเตียนในยุคแรกเป็นอย่างนั้นไหม? คริสเตียนในศตวรรษแรกต่างก็เรียกกันว่า “พี่น้อง.” (ฟิเลโมน 1, 2) ประชาคมคริสเตียนยินดีต้อนรับผู้คนทุกเชื้อชาติเพราะพวกเขาเชื่อว่า “ไม่มีความแตกต่างระหว่างชาวยิวกับชาวกรีก เพราะทุกคนมีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน.” (โรม 10:11, 12) หลังจากวันเพนเทคอสต์ปีสากลศักราช 33 เหล่าสาวกในกรุงเยรูซาเลมได้ “ขายทรัพย์สมบัติและที่ดินแล้วแบ่งให้ทุกคนตามความจำเป็น.” ทำไมพวกเขาจึงทำเช่นนั้น? เพื่อช่วยเหล่าพี่น้องที่เพิ่งรับบัพติสมาให้อยู่ในกรุงเยรูซาเลมต่อไปได้และ “เอาใจใส่ฟังคำสอนของพวกอัครสาวกต่อ ๆ ไป.” (กิจการ 2:41-45) อะไรกระตุ้นให้พวกเขาทำเช่นนั้น? หลังจากเหล่าอัครสาวกเสียชีวิตไปเกือบ 200 ปี เทอร์ทูลเลียนได้ยกคำกล่าวของคนอื่นที่พูดถึงคริสเตียนว่า “พวกเขารักกันมากจริง ๆ . . . และพวกเขาพร้อมจะตายแทนกันด้วยซ้ำ.”
ใครกำลังทำแบบเดียวกันในทุกวันนี้? หนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความเสื่อมถอยและความล่มจมของจักรวรรดิโรมัน (ปี 1837, ภาษาอังกฤษ) ตั้งข้อสังเกตว่า ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนได้ “ปฏิบัติต่อกันอย่างโหดร้ายทารุณยิ่งกว่าที่คนนอกศาสนา [คนไม่นับถือพระเจ้า] ปฏิบัติต่อพวกเขาเสียอีก.” การศึกษาวิจัยในสหรัฐเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่าคนที่เคร่งศาสนามักจะมีอคติด้านเชื้อชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน. สมาชิกโบสถ์ในประเทศหนึ่งมักไม่สนใจไยดีสมาชิกกลุ่มศาสนาเดียวกันในอีกประเทศหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถช่วยเหลือหรือไม่เต็มใจช่วยเพื่อนร่วมความเชื่อในยามที่เดือดร้อน.
ในปี 2004 หลังจากพายุเฮอร์ริเคนสี่ลูกพัดถล่มฟลอริดาในช่วงสองเดือน หัวหน้าศูนย์อำนวยการฉุกเฉินแห่งฟลอริดาได้ตรวจสอบอย่างละเอียดว่าสิ่งของบรรเทาทุกข์ที่มีอยู่ถูกแจกจ่ายไปอย่างทั่วถึงหรือไม่. เขาบอกว่าไม่มีคนกลุ่มไหนทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบเหมือนพยานพระยะโฮวา และเขาเสนอที่จะให้ความช่วยเหลือแก่พยานฯ ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการอะไร. ก่อนหน้านั้นในปี 1997 กลุ่มอาสาสมัครบรรเทาทุกข์ของพยานพระยะโฮวาได้ขนอาหาร เสื้อผ้า และยารักษาโรคไปให้พี่น้องคริสเตียนรวมทั้งคนอื่น ๆ ที่ขาดแคลนสิ่งจำเป็นในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก. เพื่อนพยานฯ ในยุโรปได้ช่วยบริจาคสิ่งของต่าง ๆ คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ.
-
-
“ข้าพเจ้าได้ทำให้พวกเขารู้จักพระนามของพระองค์”หอสังเกตการณ์ 2012 | 1 มีนาคม
-
-
“ข้าพเจ้าได้ทำให้พวกเขารู้จักพระนามของพระองค์”
“ข้าพเจ้าได้ทำให้พระนามของพระองค์ปรากฏแจ้งแก่คนเหล่านั้นที่พระองค์ทรงนำออกมาจากโลกแล้วประทานแก่ข้าพเจ้า. . . . ข้าพเจ้าได้ทำให้พวกเขารู้จักพระนามของพระองค์แล้ว.”—โยฮัน 17:6, 26
คำตรัสนี้หมายความว่าอย่างไร? พระเยซูทรงทำให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่รู้จักโดยใช้พระนามนี้ในการประกาศสั่งสอน. และเมื่อพระเยซูอ่านพระคัมภีร์ให้ผู้คนฟังอย่างที่ทรงทำอยู่บ่อย ๆ พระองค์คงได้ออกเสียงพระนามเฉพาะของพระเจ้าด้วย. (ลูกา 4:16-21) พระเยซูสอนสาวกให้อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์.”—ลูกา 11:2
คริสเตียนในยุคแรกเป็นอย่างนั้นไหม? อัครสาวกเปโตรบอกผู้เฒ่าผู้แก่ในกรุงเยรูซาเลมว่าพระเจ้าได้เลือกคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากชาติต่าง ๆ ให้เป็น “ประชาชนสำหรับพระนามพระองค์.” (กิจการ 15:14) อัครสาวกและสาวกคนอื่น ๆ ได้ประกาศว่า “ทุกคนที่ทูลอ้อนวอนโดยออกพระนามพระยะโฮวาจะรอด.” (กิจการ 2:21; โรม 10:13) นอกจากนั้น พวกเขายังใช้พระนามของพระเจ้าในข้อเขียนของพวกเขาด้วย. หนังสือโทเซฟทาหรือประมวลกฎหมายของชาวยิวที่เป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งเขียนเสร็จประมาณปีสากลศักราช 300 บันทึกเหตุการณ์ตอนที่พวกผู้ต่อต้านได้เผาข้อเขียนของคริสเตียนไว้ดังนี้: “หนังสือของพวกผู้เขียนกิตติคุณและหนังสือของพวกมินิม [เข้าใจกันว่าคือคริสเตียนชาวยิว] ถูกเผาทำลายจนหมด. พวกเขาสั่งให้เผาหนังสือเหล่านั้นทันทีที่พบ . . . ทั้งหนังสือและพระนามของพระเจ้าที่อยู่ในหนังสือเหล่านั้นก็ถูกเผาไปด้วย.”
ใครกำลังทำแบบเดียวกันในทุกวันนี้? ในหน้าคำนำของคัมภีร์ไบเบิลฉบับรีไวสด์ สแตนดาร์ด เวอร์ชัน ซึ่งได้รับอนุญาตโดยสภาคริสตจักรของพระคริสต์แห่งสหรัฐ กล่าวว่า “การใช้พระนามเฉพาะของพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวราวกับว่ามีพระเจ้าอื่น ๆ อีกที่ทำให้ต้องแยกพระองค์ไว้ต่างหาก เป็นสิ่งที่ชาวยิวเลิกปฏิบัติมาตั้งแต่ก่อนยุคคริสเตียนแล้ว และไม่สมควรอย่างยิ่งที่คริสตจักรใด ๆ ของคริสเตียนจะใช้พระนามนี้.” ด้วยเหตุนี้ พระคัมภีร์ฉบับดังกล่าวจึงแทนที่พระนามของพระเจ้าด้วยคำว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ซึ่งเป็นคำระบุตำแหน่ง. เมื่อไม่นานมานี้ สำนักวาติกันได้มีคำสั่งไปยังบิชอปทุกคนว่า “ห้ามไม่ให้มีการใช้หรือออกเสียงพระนามของพระเจ้าในรูปอักษรฮีบรูสี่ตัว (ยฮวฮ)a ในเพลงนมัสการและในบทสวดภาวนา.”
ใครในทุกวันนี้ที่ใช้และทำให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่รู้จัก? เซอร์เกย์เล่าว่าตอนเป็นวัยรุ่น เขาอยู่ที่คีร์กีซสถาน และเคยดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ทำให้เขารู้ว่าพระนามของพระเจ้าคือยะโฮวา. แต่หลังจากนั้นราว ๆ สิบปี เขาก็ไม่ได้ยินพระนามพระเจ้าอีกเลย. ต่อมา เมื่อเซอร์เกย์ย้ายไปอยู่ที่สหรัฐ มีพยานพระยะโฮวาสองคนมาหาที่บ้านและชี้ให้เขาดูพระนามของพระเจ้าจากคัมภีร์ไบเบิล. เซอร์เกย์ตื่นเต้นมากที่ได้พบคนที่ใช้พระนามยะโฮวา. น่าสนใจ พจนานุกรมเว็บสเตอร์ส เทิร์ด นิว อินเตอร์แนชันแนล นิยามคำ “พระยะโฮวาพระเจ้า” ว่า “พระเจ้าองค์สูงสุดและพระเจ้าองค์เดียวที่พยานพระยะโฮวายอมรับและนมัสการ.”
[เชิงอรรถ]
a ในภาษาไทย พระนามพระเจ้าออกเสียงว่า “ยะโฮวา” หรือ “เยโฮวาห์.”
-
-
“ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรจะได้รับการประกาศ”หอสังเกตการณ์ 2012 | 1 มีนาคม
-
-
“ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรจะได้รับการประกาศ”
“ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรจะได้รับการประกาศไปทั่วแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่เพื่อให้พยานหลักฐานแก่ทุกชาติ แล้วอวสานจะมาถึง.”—มัดธาย 24:14
คำตรัสนี้หมายความว่าอย่างไร? ลูกาผู้เขียนกิตติคุณเล่าว่าพระเยซู “ทรงเดินทางไปตามเมืองและตามหมู่บ้านเพื่อประกาศเผยแพร่ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า.” (ลูกา 8:1) พระเยซูเองตรัสว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า . . . เพราะเราถูกส่งมาเพื่อการนี้.” (ลูกา 4:43) พระเยซูส่งสาวกออกไปประกาศข่าวดีตามเมืองและหมู่บ้านต่าง ๆ และต่อมาพระองค์บัญชาแก่พวกเขาว่า “เจ้าจะเป็นพยานฝ่ายเรา . . . จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก.”—กิจการ 1:8; ลูกา 10:1
คริสเตียนในยุคแรกเป็นอย่างนั้นไหม? สาวกของพระเยซูทำตามคำสั่งของพระองค์โดยไม่รอช้า. “พวกเขาจึงสอนและประกาศข่าวดีเรื่องพระคริสต์ คือพระเยซู ทั้งในพระวิหารและตามบ้านต่อไปทุกวันมิได้ขาด.” (กิจการ 5:42) งานประกาศไม่ได้ทำเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้น. นักประวัติศาสตร์ชื่อเนอันเดอร์ กล่าวว่า “เซลซุส นักเขียนคนแรกที่โจมตีศาสนาคริสเตียนเคยพูดในเชิงเย้ยหยันว่าแม้แต่ช่างปั่นขนแกะ ช่างซ่อมรองเท้า ช่างฟอกหนัง คนไร้การศึกษาและสามัญชนก็ยังเป็นผู้ประกาศกิตติคุณที่มีใจแรงกล้า.” ชอง แบร์นาร์ดีเขียนในหนังสือของเขาที่ชื่อศตวรรษต้น ๆ ของคริสตจักร (ภาษาฝรั่งเศส) ว่า “[คริสเตียน] ต้องออกไปพูดคุยกับทุกคนทุกหนแห่ง. ตามถนนและเมืองต่าง ๆ ที่จัตุรัสกลางเมืองและตามบ้านเรือน. ไม่ว่าจะได้รับการต้อนรับหรือไม่. . . . และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก.”
ใครกำลังทำแบบเดียวกันในทุกวันนี้? เดวิด วัตสัน นักบวชนิกายแองกลิกันเขียนว่า “การที่คริสตจักรไม่ทำงานประกาศสั่งสอนอย่างจริงจังเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้คนในทุกวันนี้ไม่สนใจเรื่องพระเจ้า.” ในหนังสือของเขาชื่อทำไมชาวคาทอลิกจึงทิ้งความเชื่อ? (ภาษาสเปน) โฮเซ ลูอิส เปเรซ กัวดาลูเป ได้กล่าวถึงกิจกรรมของคริสตจักรอิแวนเจลิคัล แอดเวนติสต์ และอื่น ๆ พร้อมทั้งให้ข้อสังเกตว่า “พวกเขาไม่ไปประกาศตามบ้าน.” เขาเขียนเกี่ยวกับพยานพระยะโฮวาว่า “พวกเขาทำงานประกาศตามบ้านอย่างเป็นระบบระเบียบ.”
โจนาทาน เทอลี ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจและตรงกับความเป็นจริงไว้ในหนังสือCato Supreme Court Review 2001-2002 ว่า “เมื่อพูดถึงพยานพระยะโฮวา คนส่วนใหญ่จะนึกออกทันทีว่าคือผู้ประกาศที่มาเยี่ยมเราที่บ้านในเวลาที่เราไม่สะดวก. สำหรับพยานพระยะโฮวาแล้ว การไปตามบ้านเพื่อชักชวนผู้คนให้เปลี่ยนความเชื่อไม่ได้เป็นเพียงการเผยแพร่ศาสนาเท่านั้น แต่เป็นแก่นแท้ของศาสนาเลยทีเดียว.”
[กรอบหน้า 9]
คุณมองออกไหม?
เมื่อพิจารณาหลักฐานต่าง ๆ จากคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวไปในชุดบทความนี้ คุณคิดว่าใครในทุกวันนี้ที่เป็นคริสเตียนแท้? แม้จะมีคริสเตียนมากมายหลายหมื่นนิกายแต่ขอให้นึกถึงถ้อยคำที่พระเยซูตรัสกับสาวกว่า “มิใช่ทุกคนที่พูดกับเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าราชอาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จึงจะได้เข้า.” (มัดธาย 7:21) การรู้ว่าคนกลุ่มไหนคือคริสเตียนที่กำลังทำตามพระประสงค์ของพระบิดาซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าพวกเขาคือคริสเตียนแท้ และการคบหากับคนเหล่านั้นจะทำให้คุณได้รับพระพรไม่รู้สิ้นสุดในราชอาณาจักรของพระเจ้า. เราขอเชิญคุณให้ลองสอบถามพยานพระยะโฮวาที่ให้วารสารนี้กับคุณเพื่อจะรู้มากขึ้นเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้าและพระพรที่ราชอาณาจักรนี้จะนำมาให้.—ลูกา 4:43
-