-
‘สติปัญญาของพระองค์ก็ลึกซึ้งอะไรอย่างนี้’เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 17
‘สติปัญญาของพระองค์ก็ลึกซึ้งอะไรอย่างนี้’
1, 2. พระยะโฮวามีความประสงค์อะไรสำหรับวันที่เจ็ด แต่เกิดอะไรขึ้นในตอนเริ่มต้นของวันนั้น?
ในวันที่หกหลังจากพระยะโฮวาได้สร้างมนุษย์แล้ว พระองค์ก็มองดู “ทุกสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น” และบอกว่า “ดียอดเยี่ยม” (ปฐมกาล 1:31) แต่ในตอนเริ่มต้นของวันที่เจ็ด อาดัมกับเอวาเลือกที่จะฟังซาตานและกบฏต่อพระยะโฮวา มนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกที่พระยะโฮวาสร้างได้ทำบาป กลายเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ และต้องตาย นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริง ๆ
2 นี่อาจดูเหมือนว่าความประสงค์ของพระยะโฮวาสำหรับวันที่เจ็ดจะไม่ได้เป็นตามที่พระองค์ต้องการ เหมือนกับหกวันก่อนหน้านั้นวันที่เจ็ดคงต้องเป็นช่วงเวลานานหลายพันปี พระยะโฮวาได้อวยพรให้วันนั้นเป็นวันบริสุทธิ์ และจะทำให้โลกกลายเป็นอุทยานที่เต็มไปด้วยครอบครัวมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ (ปฐมกาล 1:28; 2:3) แต่หลังจากอาดัมกับเอวากบฏความประสงค์ของพระเจ้าจะเกิดขึ้นจริงได้ยังไง? พระเจ้าจะทำยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้? ให้เรามาดูวิธีที่พระยะโฮวาแสดงให้เห็นสติปัญญาของพระองค์ในแบบที่น่าประทับใจ
3, 4. (ก) เราเรียนอะไรได้เกี่ยวกับสติปัญญาของพระยะโฮวาในวิธีที่พระองค์จัดการกับการกบฏในสวนเอเดน? (ข) เราจะเข้าใจเรื่องอะไรมากขึ้นตอนที่เราเรียนรู้เกี่ยวกับสติปัญญาของพระเจ้า?
3 พระยะโฮวาจัดการกับเรื่องนั้นทันที พระองค์บอกว่าจะลงโทษพวกกบฏยังไง และยังบอกให้รู้ด้วยว่าพระองค์จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นยังไง (ปฐมกาล 3:15) พระยะโฮวาเริ่มจัดการกับปัญหานี้ตั้งแต่ในสวนเอเดน ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้พระองค์ทำอย่างนั้นและจะทำต่อไปจนกว่าผลเสียทุกอย่างจากการกบฏจะได้รับการแก้ไขในอนาคต พระองค์แก้ไขเรื่องนี้ในวิธีที่เรียบง่าย แต่ก็ฉลาดมากซึ่งทำให้เราสามารถใช้เวลาศึกษา คิดใคร่ครวญ และรับประโยชน์ได้ตลอดชีวิต ความประสงค์ของพระยะโฮวาจะเป็นจริงอย่างแน่นอน ในตอนนั้นความชั่วทั้งหมด บาป ความตายจะหมดไป และคนที่ซื่อสัตย์ก็จะเป็นคนสมบูรณ์แบบ ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นก่อนวันที่เจ็ดสิ้นสุดลง พระยะโฮวาจะทำให้ความประสงค์ของพระองค์สำหรับโลกและมนุษย์เป็นจริงตามเวลาที่พระองค์กำหนดไว้
4 สติปัญญาของพระยะโฮวาทำให้เราประทับใจมากจริง ๆ อัครสาวกเปาโลได้รับการกระตุ้นให้เขียนว่า ‘สติปัญญาของพระองค์ก็ลึกซึ้งอะไรอย่างนี้’ (โรม 11:33) ตอนที่เราเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับสติปัญญาของพระเจ้า เราจะเข้าใจชัดเจนว่าเราควรเป็นคนถ่อม ถึงแม้เราจะเรียนรู้เรื่องสติปัญญาของพระยะโฮวามามากแค่ไหนแล้ว เราก็เข้าใจสติปัญญาที่ลึกซึ้งของพระองค์แค่นิดเดียวเท่านั้น (โยบ 26:14) ตอนนี้ให้เรามาดูว่าคุณลักษณะที่น่าประทับใจนี้หมายถึงอะไร
สติปัญญาแท้คืออะไร?
5, 6. ทำไมเราต้องมีความรู้เพื่อจะเป็นคนฉลาด และพระยะโฮวามีความรู้มากขนาดไหน?
5 สติปัญญาแตกต่างกับความรู้ ถึงคอมพิวเตอร์จะเก็บข้อมูลที่เป็นความรู้ได้มากมาย แต่ก็คงไม่มีใครบอกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นฉลาด แต่เพื่อจะเป็นคนฉลาดเราก็ต้องมีความรู้ (สุภาษิต 10:14) ตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยากได้คำแนะนำที่ดีเพื่อรับมือกับปัญหาสุขภาพ เราจะปรึกษาคนที่ไม่รู้เรื่องการรักษาเลยไหม? เราคงไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน ดังนั้น คนที่มีความรู้ที่ถูกต้องก็เป็นคนที่มีสติปัญญาแท้
6 พระยะโฮวารู้ทุกอย่าง พระองค์เป็น “กษัตริย์ตลอดไป” พระองค์ผู้เดียวมีชีวิตอยู่ตลอดไป (วิวรณ์ 15:3) และพระองค์รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “สิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ไม่มีสิ่งไหนถูกปิดซ่อนไว้จากสายตาพระองค์ได้ แต่ทุกสิ่งถูกเปิดเผยและปรากฏชัดต่อสายตาพระองค์ผู้ที่เราต้องให้การ” (ฮีบรู 4:13; สุภาษิต 15:3) ในฐานะผู้สร้าง พระยะโฮวารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์สร้าง และพระองค์เห็นทุกสิ่งที่มนุษย์ทำตั้งแต่ตอนที่พระองค์สร้างพวกเขา พระองค์รู้ความคิดและความรู้สึกของทุกคน (1 พงศาวดาร 28:9) พระองค์สร้างเราให้มีอิสระในการเลือก และเมื่อพระองค์เห็นว่าเราเลือกสิ่งที่ดี พระองค์ก็มีความสุข นอกจากนั้น พระองค์ยังเป็น “ผู้ฟังคำอธิษฐาน” พระองค์สามารถฟังคำอธิษฐานของหลายล้านคนในเวลาเดียวกัน (สดุดี 65:2) และพระยะโฮวาก็มีความจำที่สมบูรณ์แบบด้วย
7, 8. พระยะโฮวาแสดงว่าพระองค์มีความเข้าใจและสติปัญญายังไง?
7 พระยะโฮวาไม่ได้มีแค่ความรู้เท่านั้น แต่พระองค์มีความเข้าใจด้วย นี่หมายความว่าพระองค์รู้ดีว่าทุกอย่างเกี่ยวข้องกันยังไงและเข้าใจภาพรวมทั้งหมด พระองค์รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี และมองออกว่าเรื่องไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ นอกจากนั้น พระองค์ไม่ได้มองแค่ภายนอกแต่ดูที่หัวใจ (1 ซามูเอล 16:7) พระยะโฮวามีความเข้าใจซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ดีกว่าความรู้ แต่สติปัญญาก็ยังดีกว่าความเข้าใจอีก
8 สติปัญญาหมายถึงการเรียนรู้บางอย่างและมีความเข้าใจในเรื่องนั้น และเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใช้แล้วเกิดผลที่ดี คัมภีร์ไบเบิลอธิบายว่า “สติปัญญา” หมายถึงการทำบางอย่างให้สำเร็จ พระยะโฮวาใช้ความรู้และความเข้าใจเพื่อทำให้ความประสงค์ทุกอย่างของพระองค์เกิดขึ้นจริง พระองค์รู้และเข้าใจทุกอย่าง พระองค์ตัดสินใจได้ดีและทำสิ่งต่าง ๆ ในวิธีที่ดีที่สุดเสมอ พระยะโฮวามีสติปัญญาแท้ และเราเห็นเรื่องนี้ได้จากคำพูดของพระเยซูที่บอกว่า “สติปัญญาที่แท้จริงก็เห็นได้จากผลที่ปรากฏออกมา” (มัทธิว 11:19) ทุกสิ่งที่พระยะโฮวาสร้างทำให้เห็นว่าพระองค์มีสติปัญญามาก
สิ่งที่พระยะโฮวาสร้างแสดงว่าพระองค์มีสติปัญญา
9, 10. (ก) พระยะโฮวาทำให้เราเห็นสติปัญญาของพระองค์ในเรื่องอะไร และพระองค์ทำอย่างนั้นยังไง? (ข) ความรู้เรื่องเซลล์ช่วยให้เราเห็นว่าพระยะโฮวามีสติปัญญายังไง?
9 คุณประทับใจไหมตอนที่เห็นใครสักคนทำอะไรที่สวยมากและใช้งานได้ดี? (อพยพ 31:1-3) มนุษย์มีสติปัญญาจากพระยะโฮวาที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ได้ แต่พระองค์มีสติปัญญามากกว่ามนุษย์ทุกคน กษัตริย์ดาวิดพูดถึงพระยะโฮวาว่า “ผมสรรเสริญพระองค์ เพราะผมถูกสร้างอย่างน่าอัศจรรย์และน่าเกรงขาม ผลงานของพระองค์ยอดเยี่ยม ผมรู้เรื่องนี้ดี” (สดุดี 139:14) ถ้าเราเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์มากขึ้น เราก็จะยิ่งประทับใจสติปัญญาของพระยะโฮวามากขึ้น
10 ตัวอย่างเช่น ชีวิตของเราเริ่มตอนที่เซลล์ไข่เซลล์หนึ่งผสมกับอสุจิ หลังจากนั้นไม่นานเซลล์ก็เริ่มแบ่งตัว แล้วก็เกิดเป็นตัวเราที่มีเซลล์ประมาณ 100 ล้านล้านเซลล์ เซลล์เหล่านี้มีขนาดเล็กมาก ถ้าเอาเซลล์ประมาณ 10,000 เซลล์มารวมกันจะมีขนาดเท่ากับหัวเข็มหมุด ถึงอย่างนั้นแต่ละเซลล์ก็มีความซับซ้อนมากกว่าเครื่องจักรหรือโรงงานที่มนุษย์สร้างขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเซลล์เซลล์หนึ่งเป็นเหมือนเมืองที่มีกำแพงและประตูล้อมรอบ มีระบบขนส่ง มีเครือข่ายการติดต่อสื่อสาร มีโรงไฟฟ้า โรงงาน ระบบกำจัดของเสียและระบบรีไซเคิล มีหน่วยป้องกันภัย และถึงกับมีส่วนที่เป็นเหมือนรัฐบาลกลางในนิวเคลียสของเซลล์ด้วยซ้ำ นอกจากนั้น ภายในแค่ไม่กี่ชั่วโมงเซลล์ยังสามารถสร้างแบบจำลองของตัวมันเองได้อย่างสมบูรณ์
11, 12. (ก) ข้อมูลที่จำเป็นเพื่อสร้างเซลล์ชนิดต่าง ๆ มาจากไหน และเรื่องนี้เหมือนกับที่บอกในสดุดี 139:16 ยังไง? (ข) สมองของมนุษย์ทำให้เห็นยังไงว่าเรา “ถูกสร้างอย่างน่าอัศจรรย์”?
11 ถึงแม้ตัวเราจะมีเซลล์จำนวนมากแต่ไม่ใช่ทุกเซลล์เหมือนกัน ตอนที่ทารกกำลังเติบโตในท้องแม่ เซลล์หลายเซลล์ก็แบ่งตัวเพิ่มออกเป็นเซลล์หลายชนิด เช่น เซลล์ประสาท เซลล์กระดูก เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์เม็ดเลือด หรือเซลล์ตา และเพื่อจะสร้างเซลล์ทั้งหมดนี้ต้องมีข้อมูลที่จำเป็นที่เก็บไว้ในแต่ละเซลล์ที่เป็นเหมือนกับ “ห้องสมุด” ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ดีเอ็นเอ ดาวิดได้รับการชี้นำจากพลังบริสุทธิ์ให้พูดถึงพระยะโฮวาว่า “พระองค์เห็นผมตอนที่ยังเป็นตัวอ่อน พระองค์จดร่างกายทุกส่วนของผมไว้ในสมุดของพระองค์”—สดุดี 139:16
12 อวัยวะบางส่วนของร่างกายมนุษย์ซับซ้อนมากจริง ๆ ให้เรามาดูตัวอย่างของสมองด้วยกัน นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่าสมองเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมากที่สุดในเอกภพ สมองมีเซลล์ประสาทประมาณ 1 แสนล้านเซลล์ ซึ่งมากพอ ๆ กับจำนวนดาวในกาแล็กซีของเรา เซลล์เหล่านั้นแต่ละเซลล์เชื่อมต่อกับเซลล์อื่น ๆ หลายพันเซลล์ นักวิทยาศาสตร์บอกว่าสมองของมนุษย์สามารถเก็บข้อมูลจากหนังสือทุกเล่มในห้องสมุดทั่วโลกได้และอาจจะมากกว่านั้นอีกด้วย ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์จะใช้เวลานานหลายปีในการศึกษาสมอง พวกเขาก็ยอมรับว่าไม่ได้เข้าใจเต็มที่เกี่ยวกับการทำงานของมัน
13, 14. (ก) มดและสัตว์อื่น ๆ แสดงให้เห็นยังไงว่าพวกมัน “ฉลาดโดยสัญชาตญาณ” และเรื่องนั้นสอนอะไรเราเกี่ยวกับผู้สร้างสัตว์เหล่านั้น? (ข) ทำไมเราบอกได้ว่าใยแมงมุมถูกสร้างขึ้น “ด้วยสติปัญญา” ของพระเจ้า?
13 มนุษย์เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นสติปัญญาของพระยะโฮวาในการสร้าง สดุดี 104:24 บอกว่า “พระยะโฮวา ผลงานของพระองค์มีมากมายจริง ๆ พระองค์สร้างทุกอย่างด้วยสติปัญญา โลกเต็มไปด้วยสิ่งที่พระองค์สร้างไว้” สติปัญญาของพระยะโฮวายังเห็นชัดในทุกสิ่งที่พระองค์สร้างซึ่งอยู่รอบตัวเรา ตัวอย่างเช่น มด “ฉลาดโดยสัญชาตญาณ” (สุภาษิต 30:24) เราเห็นเรื่องนี้ได้จากการที่มันจัดกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ มดบางชนิดคอยดูแล ปกป้อง และเอาอาหารจากแมลงที่เรียกว่าตัวเพลี้ยเหมือนกับว่าแมลงเหล่านี้เป็นสัตว์เลี้ยงในฟาร์มของพวกมัน มดบางชนิดเป็นเหมือนชาวสวนที่เพาะปลูก “พืชผล” เช่น พวกเชื้อรา พระยะโฮวาให้สัตว์ต่าง ๆ มีความสามารถที่จะทำสิ่งที่น่าทึ่ง ตัวอย่างเช่น แมลงวันสามารถบินได้ดีกว่าเครื่องบินในทุกวันนี้ นกที่อพยพเป็นระยะทางไกลอาศัยดวงดาว สนามแม่เหล็กโลก หรือแผนที่ซึ่งอยู่ในตัวมันเป็นเครื่องนำทาง นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาหลายปีศึกษาความสามารถที่น่าทึ่งของสัตวเหล่านี้ ดังนั้น ผู้ที่ให้ความสามารถเหล่านี้กับสัตว์ต่าง ๆ ต้องมีสติปัญญามากจริง ๆ
14 นักวิทยาศาสตร์เรียนหลายอย่างจากสติปัญญาของพระยะโฮวาในการสร้าง มีสาขาวิชาด้านวิศวกรรมที่เรียกว่าไบโอไมเมติกส์ ซึ่งพยายามเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณมองใยแมงมุมคุณอาจรู้สึกทึ่งที่มันสวยมาก แต่นักวิทยาศาสตร์อาจรู้สึกทึ่งในการออกแบบของมัน เพราะถึงเส้นใยแมงมุมจะดูบอบบางและขาดง่าย แต่มันก็แข็งแรงกว่าเหล็กหรือเส้นใยในเสื้อกันกระสุน แล้วใยแมงมุมแข็งแรงมากขนาดไหน? ขอให้นึกภาพว่าถ้ามันมีขนาดเท่ากับอวนที่ใช้ในการจับปลา ใยแมงมุมนั้นก็จะสามารถหยุดเครื่องบินลำใหญ่ที่กำลังบินอยู่ได้ เราเห็นว่าพระยะโฮวาสร้างสิ่งทั้งหมดนี้ “ด้วยสติปัญญา” ของพระองค์จริง ๆ
ใครสร้างให้สัตว์ต่าง ๆ บนโลก “ฉลาดโดยสัญชาตญาณ”?
สติปัญญาในการจัดระเบียบดวงดาวและทูตสวรรค์
15, 16. (ก) ดวงดาวและกาแล็กซีสอนอะไรเราเกี่ยวกับสติปัญญาของพระยะโฮวา? (ข) การที่พระยะโฮวาทำให้ทูตสวรรค์มีงานมากมายบอกให้เรารู้อะไรเกี่ยวกับสติปัญญาของพระองค์?
15 สติปัญญาของพระยะโฮวาไม่ได้เห็นแค่ในโลกเท่านั้น ในบท 5 เราได้เรียนว่าพระยะโฮวาทำให้ดวงดาวต่าง ๆ โคจรอย่างเป็นระเบียบตาม “กฎควบคุมท้องฟ้า” ของพระองค์ (โยบ 38:33) เราเห็นสติปัญญาของพระยะโฮวาจากการที่พระองค์จัดระเบียบดวงดาวต่าง ๆ ในกาแล็กซี จัดกาแล็กซีเป็นกลุ่ม ๆ และให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มกาแล็กซีขนาดใหญ่ นี่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมพระยะโฮวาถึงเปรียบดวงดาวต่าง ๆ เหมือนกับ “กองทัพ” (อิสยาห์ 40:26) แต่มีกองทัพอีกแบบหนึ่งที่ทำให้เห็นสติปัญญาของพระยะโฮวามากกว่านี้อีก
16 ในบท 4 เราได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าถูกเรียกว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นจอมทัพ” เพราะพระองค์เป็นผู้นำกองทัพใหญ่ของทูตสวรรค์ นี่ทำให้เราเห็นชัดว่าพระยะโฮวามีพลังมากจริง ๆ แต่เรื่องนี้ยังทำให้เห็นว่าพระองค์มีสติปัญญามากด้วย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ลองคิดดูว่าพระยะโฮวาและพระเยซูไม่เคยหยุดทำงาน (ยอห์น 5:17) ทูตสวรรค์ที่รับใช้พระยะโฮวาก็มีงานเยอะด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ทูตสวรรค์มีความสามารถและพลังมากกว่ามนุษย์ แต่พระยะโฮวาก็มีงานมากมายให้พวกเขาทำตั้งแต่พวกเขาถูกสร้างขึ้นมา (ฮีบรู 1:7; 2:7) ทูตสวรรค์มีความสุขที่ได้ “ทำตามคำสั่งของพระองค์” และ “ทำตามความประสงค์ของพระองค์” เป็นเวลาหลายพันล้านปี (สดุดี 103:20, 21) เห็นชัดว่าพระยะโฮวามีสติปัญญามากจริง ๆ
พระยะโฮวา “เท่านั้นที่ฉลาดรอบรู้”
17, 18. ทำไมคัมภีร์ไบเบิลถึงบอกว่าพระยะโฮวา “เท่านั้นที่ฉลาดรอบรู้” และเราเรียนอะไรได้จากสิ่งที่เปาโลอธิบายเกี่ยวกับสติปัญญาของพระเจ้า?
17 เราเข้าใจได้ว่าทำไมคัมภีร์ไบเบิลถึงบอกว่าพระยะโฮวามีสติปัญญามาก ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวา “เท่านั้นที่ฉลาดรอบรู้” (โรม 16:27) พระยะโฮวาผู้เดียวมีสติปัญญาสมบรูณ์แบบ ดังนั้น สติปัญญาแท้มาจากพระองค์ (สุภาษิต 2:6) แม้พระเยซูจะเป็นผู้ฉลาดที่สุดที่พระยะโฮวาสร้าง ท่านก็ไม่ได้พึ่งสติปัญญาของตัวเอง แต่ท่านก็พูดทุกอย่างตามที่พ่อของท่านบอกไว้—ยอห์น 12:48-50
18 ขอสังเกตว่าอัครสาวกเปาโลพูดถึงสติปัญญาของพระยะโฮวาที่ไม่มีใครเทียบได้ว่ายังไง เขาบอกว่า “พรจากพระเจ้ามากมายจริง ๆ สติปัญญาและความรู้ของพระองค์ก็ลึกซึ้งอะไรอย่างนี้ ใครจะรู้ได้ว่าพระองค์จะตัดสินใจอย่างไร และใครจะคาดเดาได้ว่าพระองค์จะทำอะไรต่อไป” (โรม 11:33) เปาโลรู้สึกประทับใจมาก ในภาษาเดิมเขาเลือกใช้คำว่า “ลึกซึ้ง” ที่เกี่ยวข้องกับคำที่แปลว่า “ขุมลึก” คำนี้ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนและหมายถึงที่ที่ลึกมาก ๆ และไร้ขอบเขต แม้เราจะพยายามมากแค่ไหนเพื่อเข้าใจสติปัญญาของพระยะโฮวาเราก็จะไม่สามารถเข้าใจได้อย่างเต็มที่ และเราจะไม่มีวันรู้ทุกอย่างเหมือนกับพระองค์ (สดุดี 92:5) นี่ทำให้เห็นว่าเราแทบไม่รู้อะไรเลย
19, 20. (ก) ทำไมพระยะโฮวาถึงใช้นกอินทรีเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงสติปัญญาของพระองค์? (ข) อะไรช่วยให้เราเข้าใจว่าพระยะโฮวารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต?
19 พระยะโฮวาเป็นผู้เดียว “เท่านั้นที่ฉลาดรอบรู้” ในอีกความหมายหนึ่งคือ พระองค์ผู้เดียวที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต อย่าลืมว่า พระยะโฮวาใช้นกอินทรีที่มีสายตาที่ดีมากเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงสติปัญญาของพระองค์ นกอินทรีทองอาจหนักแค่ 5 กิโลกรัม แต่มันมีตาที่ใหญ่กว่าตาของมนุษย์ สายตาที่ดีมากของนกอินทรีทำให้มันสามารถมองเห็นเหยื่อที่เล็กมากจากที่สูงหลายร้อยเมตร และอยู่ห่างออกไปมากกว่าหนึ่งกิโลเมตรด้วยซ้ำ ครั้งหนึ่งพระยะโฮวาพูดถึงนกอินทรีว่า “ตาของมันมองเห็นแต่ไกล” (โยบ 39:29) คล้ายกัน พระยะโฮวาก็สามารถมองไปไกลถึงอนาคตได้
20 ในคัมภีร์ไบเบิลมีคำพยากรณ์หรือเหตุการณ์ที่เขียนไว้ล่วงหน้าหลายร้อยข้อ นี่แสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต พระยะโฮวาบอกล่วงหน้าว่าใครจะชนะสงคราม ใครจะเป็นมหาอำนาจโลก และยังบอกด้วยว่าพวกเขาจะชนะยังไง บางเรื่องก็บอกล่วงหน้าเป็นเวลาหลายร้อยปีด้วยซ้ำ—อิสยาห์ 44:25-45:4; ดาเนียล 8:2-8, 20-22
21, 22. (ก) ทำไมถึงผิดที่จะเชื่อว่าพระยะโฮวาลิขิตชีวิตของเราไว้ล่วงหน้า? ขอยกตัวอย่าง (ข) เรารู้ได้ยังไงว่าพระยะโฮวาไม่ได้ใช้สติปัญญาในแบบที่ไม่มีความรัก?
21 แต่นี่หมายความว่าพระเจ้ารู้ล่วงหน้าทุกอย่างที่คุณจะทำไหม? บางศาสนาสอนว่าพระเจ้าเป็นผู้ลิขิตชีวิตของเรา แต่ความคิดแบบนั้นอาจทำให้เข้าใจผิดว่าพระยะโฮวาไม่มีสติปัญญาจริง ๆ เพราะนั่นจะแสดงว่าพระองค์ไม่สามารถรู้อะไรเกี่ยวกับอนาคต ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเสียงดีและร้องเพลงเก่ง นั่นหมายความว่าคุณจะต้องร้องเพลงตลอดเวลาไหม? ไม่ คล้ายกัน แม้พระยะโฮวาสามารถรู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่พระองค์ก็ไม่ได้ใช้ความสามารถนั้นตลอดเวลา ถ้าพระองค์ทำอย่างนั้นเราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกเองว่าเราอยากจะทำอะไรบ้าง การมีอิสระที่จะเลือกเป็นของขวัญที่มีค่าจากพระยะโฮวาและพระองค์จะไม่เอาสิทธิ์นั้นไปจากเราแน่นอน—เฉลยธรรมบัญญัติ 30:19, 20
22 คนที่เชื่อว่าพระเจ้าลิขิตทุกอย่างไว้ล่วงหน้าก็กำลังโทษพระองค์ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น และคิดว่าพระองค์ใช้สติปัญญาในแบบที่ไม่มีความรัก แต่นั่นไม่เป็นความจริงเลย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวา “เป็นความรัก” (1 ยอห์น 4:8) นี่ทำให้เราเห็นว่าพระยะโฮวาแสดงสติปัญญาด้วยความรักเหมือนกับคุณลักษณะอื่น ๆ ของพระองค์เสมอ
23. ทำไมเราควรวางใจในสติปัญญาของพระยะโฮวา และเราจะทำอย่างนั้นได้ยังไง?
23 เห็นได้ชัดว่าสติปัญญาของพระยะโฮวาสมบูรณ์แบบ พระองค์มีสติปัญญามากกว่าเรา คัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นเราด้วยความรักว่า “ขอให้วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ และอย่าพึ่งความเข้าใจของตัวเอง คิดถึงพระองค์เสมอไม่ว่าจะทำอะไร แล้วพระองค์จะทำให้ชีวิตราบรื่น” (สุภาษิต 3:5, 6) ให้เราเรียนรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับสติปัญญาของพระยะโฮวาเพื่อเราจะใกล้ชิดมากขึ้นกับพระเจ้าของเราผู้รอบรู้ทุกสิ่ง
-
-
สติปัญญาใน “คำสอนของพระเจ้า”เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 18
สติปัญญาใน “คำสอนของพระเจ้า”
1, 2. พระยะโฮวาให้มีการเขียนข้อความอะไรที่เป็นเหมือน “จดหมาย” ถึงเรา และทำไม?
คุณเคยได้รับจดหมายจากคนที่คุณรักไหม? การได้รับจดหมายจากคนที่เรารักเป็นเรื่องที่ทำให้เรามีความสุขมาก เรารู้สึกดีใจที่รู้ว่าเขาเป็นยังไง เขาได้ทำอะไรบ้าง และเขาอยากจะทำอะไรในวันข้างหน้า ถึงแม้เราจะอยู่ไกลกันแต่การติดต่อกันแบบนี้ก็ทำให้เรารู้สึกสนิทกันมากขึ้นได้
2 การได้รับจดหมายจากคนที่เรารักทำให้เรามีความสุขมาก แต่การได้รับข้อความจากพระเจ้าที่เรารักจะทำให้เรามีความสุขมากกว่า พระยะโฮวาให้มีการเขียนข้อความที่เป็นเหมือน “จดหมาย” ถึงเรา นั่นคือคัมภีร์ไบเบิล ในจดหมายนั้น พระองค์บอกเราว่าพระองค์เป็นใคร พระองค์ได้ทำอะไรบ้าง พระองค์อยากจะทำอะไร และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย พระยะโฮวาให้คัมภีร์ไบเบิลกับเราเพราะอยากให้เราใกล้ชิดกับพระองค์ พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ฉลาดรอบรู้ พระองค์รู้ดีที่สุดว่าจะติดต่อกับเรายังไง เราเห็นสติปัญญาที่ยอดเยี่ยมของพระองค์ในเนื้อหาและวิธีที่มีการเขียนคัมภีร์ไบเบิล
ทำไมพระยะโฮวาให้มีการเขียนคัมภีร์ไบเบิล?
3. พระยะโฮวาให้กฎหมายกับโมเสสยังไง?
3 บางคนอาจสงสัยว่า ‘ทำไมพระยะโฮวาไม่พูดกับมนุษย์โดยตรงจากสวรรค์’? พวกเขาคิดว่านั่นจะเป็นวิธีที่น่าสนใจมากกว่าการเขียนคัมภีร์ไบเบิล ที่จริง พระยะโฮวาเคยพูดกับมนุษย์โดยทางทูตสวรรค์ ตัวอย่างเช่น ตอนที่พระองค์ให้กฎหมายกับชาวอิสราเอล (กาลาเทีย 3:19) ชาวอิสราเอลตกใจกลัวเมื่อได้ยินเสียงของพระองค์จากสวรรค์ พวกเขาขอไม่ให้พระยะโฮวาพูดกับพวกเขาโดยตรงแต่ขอให้พระองค์ติดต่อกับพวกเขาผ่านทางโมเสส (อพยพ 20:18-20) ดังนั้น พระยะโฮวาให้กฎหมายประมาณ 600 ข้อกับพวกเขาโดยพูดกับโมเสส
4. จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโมเสสไม่ได้เขียนกฎหมายของพระเจ้าไว้เลย?
4 แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโมเสสไม่ได้เขียนกฎหมายของพระเจ้าไว้เลย? เขาจะจำสิ่งพระยะโฮวาบอกกับเขาและเอาไปบอกต่อกับชาวอิสราเอลได้อย่างถูกต้องไหม? พวกเขาจะจำทุกอย่างที่โมเสสบอกเพื่อจะบอกให้ลูกหลานของพวกเขาฟังได้ไหม? และลูกหลานของพวกเขาจะบอกให้คนรุ่นต่อไปฟังได้ไหม? นั่นคงไม่ใช่วิธีดีที่สุดที่จะทำให้ทุกคนรู้จักกฎหมายของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง คิดดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณต้องเล่าบางเรื่องให้หลายคนที่ยืนเรียงแถวยาวเหยียดฟัง คุณเล่าเรื่องนั้นให้คนแรกฟังแล้วให้เขาเล่าต่อ ๆ กันไปจนถึงคนสุดท้ายในแถว สิ่งที่คนสุดท้ายในแถวได้ยินคงจะต่างกันมากกับสิ่งที่คนแรกบอก แต่เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นกับกฎหมายของพระเจ้าแน่ ๆ เพราะอะไร?
5, 6. พระยะโฮวาบอกให้โมเสสทำอะไรกับถ้อยคำของพระองค์ และทำไมคัมภีร์ไบเบิลเป็นของขวัญที่มีค่ามากจากพระยะโฮวา?
5 พระยะโฮวาเลือกวิธีดีที่สุดเพื่อให้เขียนคำของพระองค์ไว้ พระองค์บอกโมเสสว่า “ให้บันทึกถ้อยคำทั้งหมดนี้ไว้ เพราะเราจะทำสัญญากับเจ้าและชาวอิสราเอลตามถ้อยคำทั้งหมดนี้” (อพยพ 34:27) ดังนั้น ในปี 1513 ก่อน ค.ศ. โมเสสเป็นคนแรกที่เริ่มเขียนคัมภีร์ไบเบิล ตลอดช่วงเวลา 1,610 ปีต่อมา พระยะโฮวา “พูด . . . ในหลายโอกาสและหลายวิธี” กับผู้เขียนคนอื่นอีกประมาณ 40 คน (ฮีบรู 1:1) ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ผู้คัดลอกที่ซื่อสัตย์ได้ทำสำเนาที่ถูกต้องเพื่อจะรักษาถ้อยคำของพระเจ้าไว้—เอสรา 7:6; สดุดี 45:1
6 คัมภีร์ไบเบิลเป็นของขวัญที่มีค่ามากจากพระยะโฮวา คุณเคยได้รับจดหมายที่ให้กำลังใจและชอบอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกไหม? คัมภีร์ไบเบิลก็เป็น “จดหมาย” แบบนั้นจากพระเจ้า เพราะพระยะโฮวาให้คำสอนของพระองค์เป็นลายลักษณ์อักษร เราเลยอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำและคิดใคร่ครวญได้ (สดุดี 1:2) เมื่อเราเจอเรื่องที่ทำให้ท้อและต้องการกำลังใจ ‘พระคัมภีร์ช่วยให้เรามีกำลังใจ’ ได้—โรม 15:4
ทำไมพระยะโฮวาให้มนุษย์เขียนคัมภีร์ไบเบิล?
7. เราเห็นสติปัญญาของพระยะโฮวายังไงเมื่อพระองค์ให้มนุษย์เขียนคัมภีร์ไบเบิล?
7 พระยะโฮวาแสดงให้เห็นสติปัญญาของพระองค์โดยให้มนุษย์ให้เขียนคัมภีร์ไบเบิล ขอให้คิดดูว่า ถ้าพระยะโฮวาให้ทูตสวรรค์เขียนคัมภีร์ไบเบิลเราจะรู้สึกประทับใจกับเรื่องที่อ่านไหม? จริงอยู่ ทูตสวรรค์อาจอธิบายได้จากมุมมองของพวกเขาว่าพระยะโฮวาเป็นยังไง ทำไมพวกเขารักและนมัสการพระองค์ พวกเขายังจะบอกเรื่องมนุษย์ที่รับใช้พระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ได้ด้วย แต่ทูตสวรรค์มีฐานะสูงกว่าเรา พวกเขาสมบูรณ์แบบ มีความรู้ มีประสบการณ์ และมีอำนาจมากกว่าเรา แล้วเราจะเข้าใจได้จริง ๆ ไหมว่าพวกเขาอยากจะบอกอะไรกับเรา?—ฮีบรู 2:6, 7
8. พระยะโฮวาให้ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลมีโอกาสทำอะไร? (ดูเชิงอรรถ)
8 โดยการให้มนุษย์เขียนคัมภีร์ไบเบิลพระยะโฮวาให้สิ่งที่มีประโยชน์มากกับเรา คือหนังสือที่ “พระเจ้าดลใจให้เขียนขึ้นมา” ซึ่งมีความคิดของพระองค์และเรื่องราวที่ประทับใจเรา (2 ทิโมธี 3:16) พระองค์ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นยังไง? หลายครั้งพระองค์ให้ผู้เขียนใช้ความคิดของเขาเองในการเลือก “คำที่สละสลวย” และบันทึก “ถ้อยคำที่เป็นความจริงอย่างถูกต้อง” (ปัญญาจารย์ 12:10, 11) นี่ทำให้เราเห็นวิธีการเขียนที่หลากหลายในคัมภีร์ไบเบิล เห็นว่าผู้เขียนเป็นคนแบบไหน และมีประสบการณ์แบบไหนบ้างในชีวิตa แต่พวกเขา “พูดสิ่งที่มาจากพระเจ้าตามที่พลังบริสุทธิ์ของพระองค์ชี้นำ” (2 เปโตร 1:21) ดังนั้น คัมภีร์ไบเบิลจึงเป็น “คำสอนของพระเจ้า”—1 เธสะโลนิกา 2:13
“พระคัมภีร์ทุกตอน พระเจ้าดลใจให้เขียนขึ้นมา”
9, 10. ทำไมเราถึงประทับใจเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล?
9 การที่พระยะโฮวาให้มนุษย์เขียนคัมภีร์ไบเบิลทำให้เรารู้สึกประทับใจเรื่องที่อ่าน ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลเป็นคนธรรมดาและไม่สมบูรณ์แบบเหมือนเรา พวกเขาเจอความลำบากและความกดดันคล้ายกันกับเรา บางครั้งพลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาดลใจให้พวกเขาเขียนเกี่ยวกับความรู้สึกและปัญหาของตัวเอง (2 โครินธ์ 12:7-10) ดังนั้น เขาเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เขาเจอด้วยคำพูดของตัวเอง ซึ่งทูตสวรรค์จะไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
10 ให้เรามาดูตัวอย่างของกษัตริย์ดาวิดด้วยกัน หลังจากเขาได้ทำบาปร้ายแรง เขาแต่งเพลงสดุดีที่ระบายความในใจออกมาและอ้อนวอนขอการอภัยจากพระเจ้า เขาเขียนว่า “โปรด . . . ชำระบาปให้ผม เพราะผมรู้ตัวดีว่าทำผิดไปแล้ว บาปที่ผมทำไปก็ติดอยู่ในใจผมเสมอ ผมมีความผิดติดตัวมาตั้งแต่เกิด และมีบาปตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ขออย่าไล่ผมไปจากพระองค์ และขออย่าเอาพลังบริสุทธิ์ไปจากผม เครื่องบูชาที่พระเจ้าพอใจคือหัวใจที่สำนึกผิด พระองค์จะไม่ดูถูกใจที่แตกสลายเลย” (สดุดี 51:2, 3, 5, 11, 17) ตอนที่เราอ่านข้อเหล่านี้เรารู้สึกได้เลยว่าดาวิดเจ็บปวดและทุกข์ใจมากจริง ๆ มีแต่มนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบเท่านั้นที่จะแสดงความรู้สึกแบบนั้นได้
คัมภีร์ไบเบิลมีเรื่องราวของผู้คนมากมาย
11. ทำไมพระยะโฮวาให้มีตัวอย่างชีวิตจริงในคัมภีร์ไบเบิล?
11 มีอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราประทับใจเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล ในคัมภีร์ไบเบิลมีเรื่องราวของผู้คนมากมาย ทั้งคนที่รับใช้พระเจ้าและคนที่ไม่ได้รับใช้พระองค์ ตอนที่อ่านเราจะเห็นว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้พวกเขาทุกข์ใจ และมีเรื่องอะไรทำให้พวกเขามีความสุข เราเรียนจากการตัดสินใจของพวกเขาและเห็นว่าผลเป็นยังไง มีการรวมเรื่องราวเหล่านี้ไว้ “เพื่อสอนเรา” (โรม 15:4) จากตัวอย่างชีวิตจริงเหล่านี้ พระยะโฮวาสอนเราในแบบที่น่าประทับใจจริง ๆ ให้เรามาดูบางตัวอย่างด้วยกัน
12. เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ช่วยเรายังไง?
12 คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงคนที่ไม่ซื่อสัตย์และคนชั่ว และยังบอกด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เรื่องราวของพวกเขาช่วยให้เราเข้าใจชัดว่าทำไมลักษณะนิสัยเหล่านั้นถึงเลวร้ายมาก ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลอาจบอกตรง ๆ ว่าเป็นเรื่องผิดที่จะไม่ภักดีกับเพื่อน แต่คุณรู้สึกยังไงตอนที่ได้อ่านว่ายูดาสทรยศพระเยซู (มัทธิว 26:14-16, 46-50; 27:3-10) วิธีที่คัมภีร์ไบเบิลเขียนเรื่องต่าง ๆ ประทับใจเรามากกว่า และช่วยให้มองออกว่าทำไมเราต้องหลีกเลี่ยงนิสัยที่ไม่ดีแบบนั้น
13. คัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้เข้าใจและแสดงคุณลักษณะที่ดีได้ยังไง?
13 คัมภีร์ไบเบิลยังพูดถึงผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์หลายคนของพระเจ้าด้วย เราอ่านเกี่ยวกับความเชื่อและความภักดีของเขา เราเห็นคุณลักษณะดี ๆ ของพวกเขาที่เราต้องมีเพื่อจะใกล้ชิดกับพระเจ้า เช่น ความเชื่อ คัมภีร์ไบเบิลอธิบายความหมายของความเชื่อและบอกว่าความเชื่อสำคัญมากถ้าเราอยากให้พระเจ้าพอใจ (ฮีบรู 11:1, 6) แต่คัมภีร์ไบเบิลยังมีตัวอย่างของคนที่แสดงความเชื่อด้วย ขอให้คิดถึงว่าอับราฮัมมีความเชื่อที่เข้มแข็งมากขนาดไหนตอนที่เขาถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา (ปฐมกาล บท 22; ฮีบรู 11:17-19) เรื่องราวแบบนี้ทำให้เราเข้าใจความหมายของคำว่า “ความเชื่อ” มากขึ้น ดังนั้น พระยะโฮวาไม่เพียงแค่บอกเราให้พยายามมีคุณลักษณะที่ดีเหล่านี้ แต่พระองค์ยังให้เราเห็นตัวอย่างชีวิตจริงเกี่ยวกับคุณลักษณะเหล่านี้ด้วย เราเห็นชัดว่าพระยะโฮวามีสติปัญญามากจริง ๆ
14, 15. คัมภีร์ไบเบิลบอกอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มาวิหาร และเราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระยะโฮวาจากเรื่องนี้?
14 เรื่องราวชีวิตจริงในคัมภีร์ไบเบิลสอนให้เรารู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแบบไหน ขอมาดูเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่พระเยซูเห็นในวิหาร ตอนที่ท่านนั่งอยู่ใกล้ ๆ ตู้บริจาคและสังเกตดูผู้คนที่กำลังหยอดเงินลงไปในตู้เหล่านั้น ท่านเห็นคนรวยหลายคนเอา “เงินเหลือใช้” มาบริจาค แต่ท่านก็เห็นแม่ม่ายยากจนคนหนึ่งมาหยอด “เงินเหรียญเล็ก ๆ 2 เหรียญที่มีค่าน้อยมาก”b นี่เป็นเงินทั้งหมดที่เธอมี สิ่งที่พระเยซูพูดแสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวารู้สึกยังไง ท่านบอกว่า “แม่ม่ายยากจนคนนี้หยอดเงินลงไปในตู้บริจาคมากกว่าทุกคน” พระยะโฮวามองว่าเงินที่เธอได้บริจาคนั้นมีค่ามากกว่าของทุกคนรวมกัน—มาระโก 12:41-44; ลูกา 21:1-4; ยอห์น 8:28
15 คิดดูสิ ถึงจะมีคนมากมายมาที่วิหารในวันนั้น แต่พระเยซูก็ตั้งใจสังเกตดูแม่ม่ายคนนี้และพระยะโฮวายังให้เรื่องของเธอเขียนไว้ในคัมภีร์ไบเบิล จากตัวอย่างนี้พระยะโฮวาอยากให้เราเข้าใจว่าพระองค์เห็นค่าสิ่งที่เราทำเพื่อพระองค์ แม้สิ่งที่เราให้จะไม่มากเหมือนคนอื่น แต่ถ้าเป็นสิ่งดีที่สุดที่เราให้พระองค์ได้ พระองค์ก็พอใจ คุณรู้สึกยังไงที่พระยะโฮวาใช้ตัวอย่างของแม่ม่ายคนนี้สอนความจริงที่ให้กำลังใจ?
ทำไมคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ให้รายละเอียดทุกอย่าง?
16, 17. ที่พระยะโฮวาไม่ได้ให้รายละเอียดทั้งหมดทำให้เราเห็นยังไงว่าพระองค์มีสติปัญญามาก?
16 เมื่อคุณเขียนจดหมายถึงใครสักคนที่คุณรัก คุณคงเขียนทุกเรื่องไม่ได้ และคุณต้องเลือกว่าจะเขียนเรื่องอะไรบ้าง คล้ายกัน พระยะโฮวาเลือกที่จะพูดถึงบางคนและบางเหตุการณ์ในคัมภีร์ไบเบิล แต่พระองค์ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น (ยอห์น 21:25) ตัวอย่างเช่น อาจมีบางเหตุการณ์ที่เราไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าถึงลงโทษผู้คน แต่คัมภีร์ไบเบิลก็ไม่ได้ตอบคำถามทุกอย่างที่เราสงสัย ที่พระยะโฮวาไม่ได้ให้รายละเอียดทั้งหมดทำให้เราเห็นว่าพระองค์มีสติปัญญามากจริง ๆ ทำไมถึงบอกได้อย่างนั้น?
17 คัมภีร์ไบเบิลเขียนในแบบที่ช่วยให้เรารู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน ฮีบรู 4:12 บอกว่า “ถ้อยคำ [หรือคำสอน] ของพระเจ้ามีชีวิต ทรงพลัง คมยิ่งกว่าดาบสองคม แทงทะลุได้ถึงขนาดที่แยกออกระหว่างตัวตนที่เห็นกับตัวตนจริง ๆ. . . และสามารถรู้ถึงความคิดและเจตนาในใจ” คำสอนในคัมภีร์ไบเบิลช่วยให้เราเป็นคนซื่อสัตย์ ช่วยให้ตรวจสอบความคิดและการกระทำของเรา บ่อยครั้งคนที่มีเจตนาจับผิดจะไม่พอใจที่บางเหตุการณ์ในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ให้รายละเอียดทั้งหมดที่เขาอยากรู้ พวกเขาอาจถึงกับสงสัยว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่มีความรัก มีสติปัญญา และยุติธรรมจริง ๆ ไหม
18, 19. (ก) ทำไมเราไม่ควรรู้สึกว่าต้องได้รับคำตอบสำหรับทุกเรื่องที่เราสงสัย? (ข) เราต้องทำอะไรเพื่อจะเข้าใจคำสอนของพระเจ้า และนี่แสดงให้เห็นสติปัญญาที่ลึกซึ้งของพระยะโฮวายังไง?
18 แต่ถ้าเราศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยเจตนาที่ถูกต้อง และถึงแม้บางเรื่องอาจจะไม่มีรายละเอียดทุกอย่าง เราก็จะไม่รู้สึกว่าต้องได้รับคำตอบสำหรับทุกเรื่องที่เราสงสัย เพราะอะไร? เมื่อเราศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเพื่อจะใกล้ชิดกับพระยะโฮวา เราจะค่อย ๆ รู้และเข้าใจว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแบบไหน ถึงแม้ตอนแรกเราจะไม่เข้าใจบางเรื่องที่ได้อ่านหรือรู้สึกว่าเรื่องนั้นไม่สอดคล้องกับคุณลักษณะของพระเจ้า แต่เราก็ได้เรียนมากพอจนมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่เปี่ยมด้วยความรักและยุติธรรมเสมอ
19 ดังนั้น เพื่อเราจะเข้าใจคำสอนของพระเจ้า เราต้องอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยเจตนาที่ถูกต้อง เราจะได้เห็นสติปัญญาที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวา ทำไมเราบอกได้อย่างนั้น? ส่วนใหญ่แล้วคนที่ฉลาดอาจเขียนหนังสือเพื่อให้เฉพาะ “คนมีความรู้และคนฉลาด” อ่านและเข้าใจได้ แต่พระยะโฮวาพระเจ้าผู้มีสติปัญญาที่ลึกซึ้งเท่านั้นที่ดลใจให้เขียนหนังสือเพื่อให้คนที่มีหัวใจดีและมีเจตนาที่ถูกต้องอ่านและเข้าใจได้—มัทธิว 11:25
หนังสือที่สอนให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
20. ทำไมพระยะโฮวาเท่านั้นที่บอกได้ว่าเราจะใช้ชีวิตยังไงถึงจะดีที่สุด และคัมภีร์ไบเบิลมีอะไรที่ช่วยเราได้?
20 โดยทางคัมภีร์ไบเบิล พระยะโฮวาบอกให้เรารู้ว่าจะใช้ชีวิตยังไงถึงจะดีที่สุด ในฐานะผู้สร้าง พระองค์รู้ความจำเป็นของเราดีกว่าตัวเราเอง มนุษย์ทุกคนต้องการได้รับความรัก มีความสุข มีครอบครัวและมีเพื่อนที่ดี และเรื่องนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่เริ่มมีการเขียนคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์ไบเบิลมีคำแนะนำดี ๆ ที่ช่วยเราให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข (สุภาษิต 2:7) บทสุดท้ายของแต่ละตอนในหนังสือเล่มนี้ช่วยให้เราเห็นว่าจะเอาคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ได้ยังไง ตอนนี้ให้เรามาดูตัวอย่างหนึ่งด้วยกัน
21-23. มีคำแนะนำที่ฉลาดอะไรที่ช่วยเราให้เลิกโกรธคนอื่น?
21 คุณเคยสังเกตไหมว่าคนที่ไม่ยอมให้อภัยคนอื่นมักจะไม่มีความสุข? ตอนที่เราโกรธคนอื่นไม่หาย เราจะเอาแต่คิดถึงเรื่องนั้นจนทำให้เราไม่มีสันติสุขและความยินดี หมอหลายคนบอกว่าถ้าเราโกรธไม่หายก็จะทำให้เราป่วยได้ แต่นานก่อนที่หมอหลายคนจะเข้าใจเรื่องนี้ คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ว่า “อย่าโกรธและอย่าโมโห” (สดุดี 37:8) และเราจะทำอย่างนั้นได้ยังไง?
22 คัมภีร์ไบเบิลให้คำแนะนำที่ฉลาดกับเราว่า “คนที่เข้าใจลึกซึ้งจะไม่โกรธง่าย และการมองข้ามความผิดทำให้เขามีสง่าราศี” (สุภาษิต 19:11) คนที่มีความเข้าใจลึกซึ้งจะไม่มองแค่สิ่งที่คนอื่นพูดหรือทำ แต่เขาจะเข้าใจว่าทำไมคนอื่นพูดหรือทำแบบนั้นด้วย ถ้าเราพยายามเข้าใจเจตนา ความรู้สึกและสภาพการณ์ของคนอื่นเราก็จะไม่โกรธหรือมองเขาไม่ดี
23 คัมภีร์ไบเบิลยังแนะนำเราอีกว่า “ขอให้ทนกันและกัน และให้อภัยกันอย่างใจกว้างต่อไป” (โคโลสี 3:13) คำว่า “ขอให้ทนกันและกัน” หมายความว่าเราต้องอดทนกับคนอื่นและไม่โกรธตอนที่พวกเขาทำให้เรารู้สึกรำคาญ นี่จะช่วยให้เราไม่ทำอะไรที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดี ส่วนคำว่า “ให้อภัย” ทำให้เราคิดถึงการเลิกโกรธคนอื่นและไม่คิดถึงเรื่องที่เขาทำอีกต่อไป พระยะโฮวารู้ว่าเราจำเป็นต้องให้อภัยคนอื่นเมื่อมีเหตุผลที่จะทำอย่างนั้น เมื่อเราให้อภัยคนอื่นก็จะช่วยทั้งเขาและเราให้สงบใจและมีสันติสุข (ลูกา 17:3, 4) คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ
24. ผลจะเป็นยังไงถ้าเราเอาคำแนะนำของพระยะโฮวาไปใช้?
24 เพราะพระยะโฮวารักเรามาก พระองค์เลยอยากติดต่อกับเรา พระองค์เลือกวิธีดีที่สุดโดยใช้พลังบริสุทธิ์ชี้นำมนุษย์ให้เขียนข้อความในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นเหมือนจดหมายถึงเรา นี่ทำให้เราได้เห็นสติปัญญาของพระยะโฮวาในแต่ละหน้าของคัมภีร์ไบเบิล สติปัญญานี้ “ไว้ใจได้” (สดุดี 93:5) ถ้าเราเอาคำแนะนำของพระยะโฮวามาใช้ในชีวิตและบอกเรื่องนี้กับคนอื่น เราก็จะใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น ในบทต่อไปเราจะดูอีกตัวอย่างหนึ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับสติปัญญาของพระยะโฮวา ซึ่งเป็นความสามารถของพระองค์ที่จะบอกอนาคตล่วงหน้าและทำให้ความประสงค์ของพระองค์เกิดขึ้นจริง
a ตัวอย่างเช่น ดาวิดซึ่งเป็นคนเลี้ยงแกะใช้ตัวอย่างจากการเลี้ยงแกะของเขา (สดุดี 23) มัทธิวซึ่งเคยเป็นคนเก็บภาษีได้พูดถึงตัวเลขและเงินหลายครั้ง (มัทธิว 17:27; 26:15; 27:3) ลูกาซึ่งเป็นแพทย์ได้พูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับโรคต่าง ๆ ที่ผู้คนเป็น—ลูกา 4:38; 14:2; 16:20
b ในตอนนั้นคนงานจะได้ค่าแรง 2 เลฟตันสำหรับการทำงานแค่ประมาณ 15 นาที เงิน 2 เหรียญนี้ไม่พอแม้จะซื้อนกกระจอกหนึ่งตัวซึ่งเป็นอาหารที่ถูกที่สุดของคนจนด้วยซ้ำ
-
-
“สติปัญญาของพระเจ้าที่ซ่อนอยู่ในความลับศักดิ์สิทธิ์”เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 19
“สติปัญญาของพระเจ้าที่ซ่อนอยู่ในความลับศักดิ์สิทธิ์”
1, 2. มีความลับอะไรที่น่าสนใจสำหรับเรา และเพราะอะไร?
ถ้าเรารู้อะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้หรือไม่เข้าใจก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะเก็บความลับนั้นไว้ แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระเจ้าได้รับเกียรติเมื่อปิดซ่อนสิ่งต่าง ๆ” (สุภาษิต 25:2) พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าองค์สูงสุด พระองค์มีสิทธิ์ที่จะเก็บบางเรื่องไว้เป็นความลับจนกว่าจะถึงเวลากำหนดของพระองค์ที่จะเปิดเผยเรื่องนั้นกับมนุษย์
2 แต่มีความลับที่น่าสนใจซึ่งพระยะโฮวาเปิดเผยไว้ในคัมภีร์ไบเบิล ความลับนั้นถูกเรียกว่า “ความลับศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ตั้งใจจะทำ” (เอเฟซัส 1:9) การเรียนรู้เกี่ยวกับความลับนั้นไม่ใช่แค่รู้เรื่องที่น่าสนใจเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะจะทำให้เราได้รับความรอดและเข้าใจสติปัญญาของพระยะโฮวามากขึ้น
พระยะโฮวาค่อย ๆ เปิดเผยความลับ
3, 4. คำพยากรณ์ที่ปฐมกาล 3:15 ให้ความหวังยังไง และคำพยากรณ์นี้พูดถึง “ความลับศักดิ์สิทธิ์” อะไร?
3 เมื่ออาดัมกับเอวาทำบาป นี่อาจดูเหมือนว่าความประสงค์ของพระยะโฮวาที่จะให้มนุษย์สมบูรณ์แบบอยู่ในโลกที่เป็นอุทยานไม่ได้เป็นจริงตามที่พระองค์ต้องการ แต่พระเจ้าบอกทันทีว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น พระองค์พูดว่า “เราจะให้เจ้า [งู] กับผู้หญิงเป็นศัตรูกัน และให้ลูกหลานของเจ้ากับลูกหลานของเธอเป็นศัตรูกัน เขาจะบดขยี้หัวเจ้าและเจ้าจะทำให้ส้นเท้าเขาฟกช้ำ”—ปฐมกาล 3:15
4 สิ่งที่พระยะโฮวาพูดหมายถึงอะไร? ใครคือผู้หญิง? ใครคืองู? ใครคือ “ลูกหลาน” ที่จะบดขยี้หัวงู? อาดัมกับเอวาไม่รู้เรื่องนี้ แต่สิ่งที่พระเจ้าพูดก็ให้ความหวังกับลูกหลานของพวกเขาที่ซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา ลูกหลานที่ซื่อสัตย์เหล่านี้มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะทำให้ความชั่ว บาป และความตายหมดไป และความประสงค์ของพระองค์ก็จะเป็นจริง แต่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไง? ในตอนนั้นเรื่องนี้ยังเป็นความลับอยู่ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “สติปัญญาของพระเจ้า . . . ซ่อนอยู่ในความลับศักดิ์สิทธิ์”—1 โครินธ์ 2:7
5. ทำไมพระยะโฮวาค่อย ๆ เปิดเผยความลับของพระองค์? ขอยกตัวอย่าง
5 พระยะโฮวาเป็น ‘พระเจ้าที่เปิดเผยเรื่องลึกลับได้’ และในที่สุดพระองค์จะเปิดเผยความลับนี้ให้ผู้รับใช้ของพระองค์เข้าใจมากขึ้น (ดาเนียล 2:28) แต่พระองค์จะค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องนี้ เพื่อเป็นตัวอย่าง เราอาจคิดถึงตอนที่พ่อตอบคำถามลูก เมื่อลูกถามว่า “พ่อครับ ผมเกิดมาจากไหนครับ?” พ่อจะตอบลูกในแบบที่ลูกจะเข้าใจได้ และเมื่อลูกโตขึ้นพ่อก็จะบอกเขามากขึ้น คล้ายกัน พระยะโฮวาคิดไว้แล้วว่าตอนไหนดีที่สุดที่พระองค์จะเปิดเผยความประสงค์ให้คนของพระองค์ฟัง—สุภาษิต 4:18; ดาเนียล 12:4
6. (ก) ทำไมต้องมีการทำสัญญาหรือข้อตกลงต่าง ๆ? (ข) ทำไมพระยะโฮวาทำสัญญากับมนุษย์?
6 พระยะโฮวาบอกความลับให้ผู้รับใช้ของพระองค์เข้าใจมากขึ้นยังไง? พระองค์ทำสัญญาหลายอย่างที่เป็นเหมือนข้อตกลงทางกฎหมาย บางทีคุณอาจเคยทำสัญญาบางอย่าง เช่น ตอนซื้อที่ดิน ซื้อรถ หรืออย่างอื่น สัญญาแบบนั้นรับประกันตามกฎหมายว่าจะมีการทำตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้ แต่ทำไมพระยะโฮวาจะต้องทำสัญญาหรือข้อตกลงอย่างเป็นทางการกับมนุษย์ล่ะ? ก็เพราะพระองค์อยากช่วยให้เราที่เป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบมั่นใจว่าพระองค์จะทำตามทุกอย่างที่สัญญาไว้ พระองค์เลยทำสัญญาต่าง ๆ เพื่อรับประกันว่าพระองค์จะทำตามที่บอก—ฮีบรู 6:16-18
สัญญาที่พระเจ้าทำกับอับราฮัม
7, 8. (ก) พระยะโฮวาทำสัญญาอะไรกับอับราฮัม และสัญญานี้บอกให้รู้อะไรเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์? (ข) พระยะโฮวาค่อย ๆ เปิดเผยยังไงว่าใครเป็นลูกหลานที่สัญญาไว้?
7 มากกว่า 2,000 ปีหลังจากที่พระยะโฮวาไล่อาดัมกับเอวาออกจากสวนเอเดน พระองค์บอกกับอับราฮัมผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ว่า “เราจะอวยพรเจ้าแน่ ๆ และเราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นให้มีมากเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า . . . และทุกชาติในโลกจะได้รับพรเพราะลูกหลานของเจ้า และเพราะเจ้าเชื่อฟังเรา” (ปฐมกาล 22:17, 18) นี่ไม่ได้เป็นแค่คำสัญญาเท่านั้น พระยะโฮวาทำสัญญาที่มีผลตามกฎหมายกับอับราฮัมและสาบานโดยอ้างชื่อของพระองค์เอง (ปฐมกาล 17:1, 2; ฮีบรู 6:13-15) นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งจริง ๆ ที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดทำสัญญาว่าจะอวยพรมนุษย์
“เราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นให้มีมากเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า”
8 ต่อมาพระยะโฮวาบอกให้อับราฮัมรู้ว่าลูกหลานที่สัญญาไว้จะมาทางอิสอัคลูกชายของเขาและทางยาโคบหลานของเขา (ปฐมกาล 21:12; 28:13, 14) พระยะโฮวาดลใจให้ยาโคบพยากรณ์เรื่องนี้เกี่ยวกับลูกชายคนหนึ่งของเขาว่า “คทาจะเป็นของยูดาห์เสมอ และไม้เท้าของผู้ปกครองจะอยู่ระหว่างเท้าของเขาจนกว่าชิโลห์ [หรือ “ผู้เป็นเจ้าของ”, เชิงอรรถ] จะมา และชนชาติต่าง ๆ จะต้องเชื่อฟังเขา” (ปฐมกาล 49:10) ในตอนนั้น ผู้คนเข้าใจกันว่าลูกหลานที่จะมาเป็นกษัตริย์นั้นต้องมาจากตระกูลยูดาห์
สัญญาที่พระเจ้าทำกับชาติอิสราเอล
9, 10. (ก) พระยะโฮวาทำสัญญาอะไรกับชาติอิสราเอล และสัญญานั้นช่วยปกป้องพวกเขายังไง? (ข) กฎหมายของโมเสสแสดงให้เห็นยังไงว่ามนุษย์จำเป็นต้องมีค่าไถ่?
9 ในปี 1513 ก่อน ค.ศ. พระยะโฮวาค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องความลับศักดิ์สิทธิ์โดยทำสัญญากับชาติอิสราเอลลูกหลานของอับราฮัม ถึงแม้สัญญานี้จะไม่มีผลบังคับใช้แล้วในทุกวันนี้ แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่พระยะโฮวาใช้เพื่อบอกว่าใครเป็นลูกหลานที่สัญญาไว้ เรารู้เรื่องนี้ได้ยังไง? มาดูเหตุผล 3 อย่างด้วยกัน อย่างแรก กฎหมายเป็นเหมือนกำแพงที่กั้นระหว่างคนยิวกับคนต่างชาติที่ไม่ได้รับใช้พระยะโฮวา (เอเฟซัส 2:14) ด้วยวิธีนี้ กฎหมายของโมเสสได้ช่วยปกป้องชาติอิสราเอลเพื่อทำให้เมสสิยาห์ซึ่งเป็นลูกหลานที่พระเจ้าสัญญาจะได้มาเกิดในตระกูลยูดาห์
10 อย่างที่สอง กฎหมายของโมเสสแสดงให้เห็นชัดเจนว่ามนุษย์จำเป็นต้องมีค่าไถ่ เพราะเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์แบบ นี่เลยทำให้ชาวอิสราเอลเห็นว่ามนุษย์ผิดบาปไม่สามารถทำตามกฎหมายนั้นได้อย่างครบถ้วน กฎหมายนั้นมีไว้ “เพื่อให้เห็นชัดว่าคนเราทำผิด และกฎหมายนั้นจะอยู่แค่ชั่วคราวจนกว่าลูกหลานคนนั้นที่ได้รับคำสัญญาจะมา” (กาลาเทีย 3:19) เครื่องบูชาที่เป็นสัตว์ที่ชาวอิสราเอลถวายให้กับพระเจ้าไม่สามารถไถ่บาปได้อย่างครบถ้วน อัครเปาโลเขียนไว้ว่า “เลือดวัวตัวผู้และเลือดแพะขจัดบาปไม่ได้” เครื่องบูชาเหล่านี้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าต้องมีค่าไถ่ที่สมบูรณ์แบบเพื่อบาปของพวกเขาจะได้รับการให้อภัยได้อย่างครบถ้วน (ฮีบรู 10:1-4) ดังนั้น กฎหมายนั้นจึงเป็นเหมือน “พี่เลี้ยง” ที่พาชาวยิวที่ซื่อสัตย์ไปหาพระคริสต์—กาลาเทีย 3:24
11. สัญญาเกี่ยวกับกฎหมายให้ความหวังที่ยอดเยี่ยมอะไรกับชาติอิสราเอล แต่ทำไมพวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีส่วนในความหวังนี้?
11 อย่างที่สาม สัญญานั้นทำให้ชาติอิสราเอลมีความหวังที่ยอดเยี่ยม พระยะโฮวาบอกว่าถ้าพวกเขาเชื่อฟังและทำตามสัญญานี้ พวกเขาจะเป็น “รัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์ และเป็นชาติบริสุทธิ์” (อพยพ 19:5, 6) คนกลุ่มแรกที่พระยะโฮวาเลือกให้มาเป็นสมาชิกของรัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์มาจากชาติอิสราเอล แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่ทำตามกฎหมายของพระยะโฮวาและปฏิเสธเมสสิยาห์ พระยะโฮวาเลยปฏิเสธพวกเขา ถ้าอย่างนั้น พระยะโฮวาจะเลือกใครให้มาเป็นรัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์แทนพวกเขา? และคนที่พระเจ้าเลือกจะเกี่ยวข้องยังไงกับลูกหลานที่สัญญาไว้? พระเจ้าจะบอกให้รู้คำตอบในภายหลัง
สัญญาที่พระเจ้าทำกับดาวิด
12. พระยะโฮวาทำสัญญาอะไรกับดาวิด และนั่นบอกให้รู้อะไรมากขึ้นเรื่องความลับศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า?
12 ในศตวรรษที่ 11 ก่อน ค.ศ. พระยะโฮวาบอกให้รู้มากขึ้นเรื่องความลับศักดิ์สิทธิ์ตอนที่ทำสัญญากับดาวิด พระองค์สัญญากับกษัตริย์ดาวิดผู้ซื่อสัตย์ว่า ‘เราจะยกลูกหลานของเจ้าขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากเจ้า และเราจะช่วยให้อาณาจักรของเขามั่นคง และเราจะให้เขาครองบัลลังก์อาณาจักรอย่างมั่นคงตลอดไป’ (2 ซามูเอล 7:12, 13; สดุดี 89:3) คำพูดนี้บอกให้รู้ว่าลูกหลานที่สัญญาจะมาจากตระกูลของดาวิด แต่มนุษย์ธรรมดาจะปกครองตลอดไปได้ยังไง? (สดุดี 89:20, 29, 34-36) และกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์จะช่วยคนอื่นให้พ้นจากบาปและความตายได้ไหม?
13, 14. (ก) ในสดุดี 110 พระยะโฮวาทำสัญญาอะไรกับกษัตริย์ที่พระองค์เจิม? (ข) พระยะโฮวาให้ผู้พยากรณ์ของพระองค์บอกเรื่องความลับศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เพิ่มมากขึ้นยังไง?
13 ดาวิดได้รับการดลใจให้เขียนว่า “พระยะโฮวาพูดกับผู้เป็นนายของผมว่า ‘นั่งข้างขวามือของเราไปก่อน จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้าเป็นที่วางเท้าของเจ้า’ พระยะโฮวาสาบานไว้แล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจ พระองค์พูดว่า ‘เจ้าจะเป็นปุโรหิตตลอดไปตามอย่างเมลคีเซเดค’” (สดุดี 110:1, 4) ในข้อนี้ดาวิดกำลังพูดถึงลูกหลานที่พระเจ้าสัญญาไว้หรือเมสสิยาห์ (กิจการ 2:35, 36) กษัตริย์องค์นี้ไม่ได้ปกครองจากกรุงเยรูซาเล็มแต่จะปกครองจากสวรรค์และ “นั่งข้างขวามือ” ของพระยะโฮวา พระยะโฮวาจะให้ท่านมีอำนาจปกครองไม่เพียงแค่ประเทศอิสราเอลเท่านั้นแต่จะปกครองทั่วทั้งโลก (สดุดี 2:6-8) ข้อนี้ยังบอกให้รู้ว่าพระยะโฮวาสาบานว่าเมสสิยาห์จะเป็น “ปุโรหิต . . . ตามอย่างเมลคีเซเดค” เหมือนเมลคีเซเดคที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของอับราฮัม ลูกหลานที่สัญญาไว้จะได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าให้เป็นทั้งกษัตริย์และปุโรหิต—ปฐมกาล 14:17-20
14 ตลอดเวลาหลายปี พระยะโฮวาให้ผู้พยากรณ์ของพระองค์บอกเรื่องความลับศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น อิสยาห์ได้บอกว่าลูกหลานจะต้องมาสละชีวิตเป็นเครื่องบูชา (อิสยาห์ 53:3-12) มีคาห์ได้บอกล่วงหน้าว่าเมสสิยาห์จะมาเกิดที่ไหน (มีคาห์ 5:2) ดาเนียลพยากรณ์ชัดเจนว่าเมสสิยาห์จะมาเมื่อไหร่และท่านจะเสียชีวิตตอนไหน—ดาเนียล 9:24-27
ความลับศักดิ์สิทธิ์ได้รับการเปิดเผย
15, 16. (ก) ลูกของพระยะโฮวา “เกิดจากผู้หญิง” ได้ยังไง? (ข) พระเยซูได้สิทธิ์อะไรจากมารีย์กับโยเซฟ และท่านมาในฐานะลูกหลานที่สัญญาไว้เมื่อไหร่?
15 คำพยากรณ์เกี่ยวกับเมสสิยาห์ยังคงเป็นความลับจนกว่าลูกหลานที่สัญญาไว้จะมา กาลาเทีย 4:4 บอกว่า “เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็ใช้ลูกของพระองค์มา ท่านเกิดจากผู้หญิง” ในปี 2 ก่อน ค.ศ. ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้บอกสาวบริสุทธิ์ชาวยิวชื่อมารีย์ว่า “คุณจะตั้งท้องและคลอดลูกชาย ให้ตั้งชื่อเด็กว่าเยซู ท่านผู้นี้จะยิ่งใหญ่ และจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้าองค์สูงสุด พระยะโฮวาพระเจ้าจะยกบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้กับท่าน . . . คุณจะได้รับพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าองค์สูงสุดจะปกคลุมคุณไว้ ดังนั้น เด็กที่เกิดมาจะได้ชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และเป็นลูกของพระเจ้า”—ลูกา 1:31, 32, 35
16 ต่อมาพระยะโฮวาย้ายชีวิตลูกของพระองค์จากสวรรค์ให้มาอยู่ในท้องของมารีย์เพื่อให้ท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ ถึงมารีย์จะเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ แต่พระเยซูก็ไม่ได้รับความไม่สมบูรณ์แบบจากเธอเพราะท่านเป็น “ลูกของพระเจ้า” แต่เพราะมารีย์กับโยเซฟเป็นลูกหลานของดาวิด พระเยซูเลยมีสิทธิ์ที่จะนั่งบนบัลลังก์ของดาวิดและปกครองเป็นกษัตริย์ (กิจการ 13:22, 23) ตอนที่ท่านรับบัพติศมาในปี ค.ศ. 29 พระยะโฮวาเจิมท่านด้วยพลังบริสุทธิ์และบอกว่า “นี่คือลูกรักของเรา” (มัทธิว 3:16, 17) ในที่สุด ลูกหลานที่สัญญาไว้ก็ได้มาถึง (กาลาเทีย 3:16) และนั่นก็ถึงเวลาที่พระยะโฮวาจะเปิดเผยมากขึ้นเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์—2 ทิโมธี 1:10
17. มีการบอกให้รู้อะไรเกี่ยวกับคำพยากรณ์ในปฐมกาล 3:15?
17 ตอนที่พระเยซูรับใช้บนโลก ท่านบอกให้รู้ว่างูในปฐมกาล 3:15 คือซาตานและลูกหลานของงูคือผู้ที่ติดตามซาตาน (มัทธิว 23:33; ยอห์น 8:44) ต่อมาคัมภีร์ไบเบิลก็บอกให้รู้ว่าพวกเขาจะถูกทำลายตลอดไป (วิวรณ์ 20:1-3, 10, 15) และยังบอกอีกด้วยว่าผู้หญิงที่พูดถึงในปฐมกาล 3:15 เป็น “เยรูซาเล็มที่อยู่เบื้องบน” หรือภรรยาของพระเจ้าซึ่งก็คือองค์การของพระยะโฮวาส่วนที่อยู่ในสวรรค์ที่มีทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์a—กาลาเทีย 4:26; วิวรณ์ 12:1-6
สัญญาใหม่
18. จุดประสงค์ของ “สัญญาใหม่” คืออะไร?
18 ในคืนก่อนที่พระเยซูจะเสียชีวิต ท่านเปิดเผยเรื่องที่ตื่นเต้นที่สุดเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์ ท่านบอกสาวกที่ซื่อสัตย์ของท่านเรื่อง “สัญญาใหม่” (ลูกา 22:20) เหมือนกับสัญญาที่พระเจ้าทำกับชาติอิสราเอลผ่านทางโมเสส สัญญาใหม่นี้ก็มีจุดประสงค์คล้ายกันคือทำให้มี “รัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์” (อพยพ 19:6; 1 เปโตร 2:9) สัญญาใหม่นี้ไม่ได้ทำกับชาติอิสราเอลจริง ๆ แต่ทำกับ “อิสราเอลของพระเจ้า” ที่มีแต่ผู้ถูกเจิมที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์ (กาลาเทีย 6:16) พวกเขาจะมีส่วนร่วมกับพระเยซูเพื่อทำให้มนุษย์ที่ซื่อสัตย์บนโลกได้รับพร
19. (ก) ทำไมสัญญาใหม่ถึงทำให้มี “รัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์” ได้? (ข) ทำไมคริสเตียนผู้ถูกเจิมถูกเรียกว่า “เป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่” และมีกี่คนที่จะไปปกครองในสวรรค์กับพระคริสต์?
19 แต่สัญญาใหม่ที่มี “รัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์” จะทำให้มนุษย์ได้รับพรยังไง? สัญญาใหม่นี้ไม่ได้เน้นความคิดที่ว่าสาวกของพระเยซูเป็นคนบาป แทนที่จะเป็นอย่างนั้น สัญญานี้เน้นว่าพวกเขาจะได้รับการอภัยบาปโดยทางเครื่องบูชาของพระเยซู (เยเรมีย์ 31:31-34) พระยะโฮวามองว่าพวกเขาเป็นคนดี ไม่มีบาป พระองค์รับพวกเขาเข้ามาในครอบครัวฝ่ายสวรรค์ของพระองค์และเจิมพวกเขาด้วยพลังบริสุทธิ์ (โรม 8:15-17; 2 โครินธ์ 1:21) โดยวิธีนี้พวกเขาได้ ‘เกิดใหม่เพื่อให้มีความหวังในสวรรค์’ (1 เปโตร 1:3, 4) เพราะมนุษย์ถูกสร้างให้มีชีวิตอยู่บนโลก คริสเตียนผู้ถูกเจิมเลยถูกเรียกว่า “เป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่” (2 โครินธ์ 5:17) คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยว่า 144,000 คนจะเป็นกษัตริย์ด้วยกันกับพระเยซูในสวรรค์และพวกเขาจะปกครองมนุษย์ที่ได้รับการไถ่บาป—วิวรณ์ 5:9, 10; 14:1-4
20. (ก) มีการเปิดเผยอะไรอีกเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์ในปี ค.ศ. 36? (ข) ใครบ้างจะได้รับพรจากสัญญาที่พระเจ้าทำกับอับราฮัม?
20 คริสเตียนผู้ถูกเจิมกับพระเยซูเป็น “ลูกหลานของอับราฮัม”b (กาลาเทีย 3:29) กลุ่มแรกที่ถูกเลือกเป็นคนยิวตามสายเลือด แต่ในปี ค.ศ. 36 พระยะโฮวาบอกให้รู้บางอย่างมากขึ้นอีกเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์ พระองค์เลือกคนที่ไม่ใช่ชาวยิวให้ปกครองกับพระเยซูในสวรรค์ด้วย (โรม 9:6-8; 11:25, 26; เอเฟซัส 3:5, 6) คริสเตียนผู้ถูกเจิมเป็นกลุ่มเดียวไหมที่ได้รับพรจากสัญญาที่พระเจ้าทำกับอับราฮัม? ไม่ เพราะเครื่องบูชาของพระเยซูเป็นประโยชน์กับผู้คนทั้งโลก (1 ยอห์น 2:2) ต่อมาพระยะโฮวาบอกให้รู้ว่า “ชนฝูงใหญ่” ที่ไม่มีใครนับจำนวนได้จะรอดผ่านโลกชั่วของซาตาน (วิวรณ์ 7:9, 14) และคนอีกมากมายจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายและมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไปในอุทยาน—ลูกา 23:43; ยอห์น 5:28, 29; วิวรณ์ 20:11-15; 21:3, 4
สติปัญญาของพระเจ้าและความลับศักดิ์สิทธิ์
21, 22. ความลับศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวาแสดงให้เห็นสติปัญญาของพระองค์ยังไงบ้าง?
21 ความลับศักดิ์สิทธิ์นี้ทำให้เรา “ได้รู้จักสติปัญญาของพระองค์ซึ่งแสดงให้เห็นในหลาย ๆ วิธี” (เอเฟซัส 3:8-10) เราเห็นสติปัญญาของพระยะโฮวาเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์และวิธีที่พระองค์ค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องนี้ พระองค์มีสติปัญญามากและรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ได้ทันที พระองค์เลยค่อย ๆ บอกให้เรารู้มากขึ้น และเปิดโอกาสให้เราได้แสดงว่าเราไว้วางใจพระองค์—สดุดี 103:14
22 การที่พระยะโฮวาเลือกพระเยซูให้เป็นกษัตริย์แสดงให้เห็นว่าพระองค์มีสติปัญญามากกว่าใคร พระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าสร้างที่น่าไว้วางใจมากที่สุดในเอกภพ ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่บนโลก พระเยซูต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบากหลายอย่าง ท่านเลยเข้าใจได้ดีเกี่ยวกับปัญหาที่มนุษย์ต้องเจอ (ฮีบรู 5:7-9) ผู้ที่จะปกครองกับพระเยซูก็เหมือนกัน ตลอดหลายศตวรรษ พระยะโฮวาได้เลือกผู้ถูกเจิมทั้งชายและหญิงจากทุกเชื้อชาติ ทุกภาษา และทุกภูมิหลัง ดังนั้น ไม่ว่าเราจะต้องเจอกับปัญหาอะไร เราก็มั่นใจได้ว่าพวกผู้ถูกเจิมก็เคยเจอกับปัญหาเหล่านั้นด้วย และพวกเขาก็รับมือได้ (เอเฟซัส 4:22-24) ดีจริง ๆ ที่เราจะได้อยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์และปุโรหิตเหล่านี้ที่เข้าใจและอยากจะช่วยเรา
23. คริสเตียนมีสิทธิพิเศษอะไรเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวา?
23 อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ความลับศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกปกปิดไว้จากคนรุ่นก่อน ๆ ตลอดหลายยุคหลายสมัย . . . ถูกเปิดเผยกับพวกผู้บริสุทธิ์ของพระองค์แล้ว” (โคโลสี 1:26) คริสเตียนผู้ถูกเจิมของพระยะโฮวาได้เข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์ และได้บอกเรื่องนี้กับหลายล้านคน เป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่พระยะโฮวา “ให้เรารู้ความลับศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ตั้งใจจะทำ” (เอเฟซัส 1:9) ขอให้เราบอกความลับที่น่าตื่นเต้นนี้กับคนอื่นเพื่อพวกเขาจะมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับความลับที่น่าตื่นเต้นนี้ด้วยเหมือนกัน
a มีการเปิดเผย “ความลับศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับความเลื่อมใสพระเจ้า” ในตัวพระเยซูด้วย (1 ทิโมธี 3:16) คำถามที่ว่ามีใครสักคนไหมที่จะซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เรื่องนี้เป็นความลับมานานหลายปีแล้ว พระเยซูแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ แม้ท่านจะถูกซาตานทดสอบหลายครั้ง แต่ท่านก็ซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาเสมอ—มัทธิว 4:1-11; 27:26-50
b พระเยซูยังทำ ‘สัญญากับพวกเขาว่าจะให้พวกเขาปกครองในรัฐบาล’ ของท่าน (ลูกา 22:29, 30) พระเยซูสัญญากับทุกคนที่เป็นแกะ “ฝูงเล็ก” ว่าพวกเขาจะปกครองกับท่านในสวรรค์ฐานะเป็นลูกหลานที่สำคัญรองลงมาของอับราฮัม—ลูกา 12:32
-
-
“พระยะโฮวามีสติปัญญา” แต่ก็ถ่อมเข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 20
“พระยะโฮวามีสติปัญญา” แต่ก็ถ่อม
1-3. ทำไมเรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ถ่อม?
ขอนึกภาพพ่อคนหนึ่งที่อยากสอนเรื่องสำคัญให้กับลูกตัวน้อยของเขา ถ้าเขาอยากให้ลูกของเขาได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้จริง ๆ เขาจะบอกลูกยังไง? เขาจะยืนจ้องหน้าลูกและใช้คำพูดที่ทำให้ลูกกลัวไหม? หรือเขาจะย่อตัวลงมาแล้วพูดกับลูกอย่างอ่อนโยน? พ่อที่ฉลาดและถ่อมจะคุยกับลูกแบบนั้นแน่ ๆ
2 พระยะโฮวาเป็นพ่อที่หยิ่งหรือถ่อม พระองค์ดุหรือว่าใจดี? พระยะโฮวารู้ทุกอย่างและพระองค์ฉลาดกว่าทุกคน คุณอาจสังเกตว่าคนที่ฉลาดและมีความรู้ไม่ได้ถ่อมเสมอไป เหมือนที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ความรู้ทำให้คนอวดดี” (1 โครินธ์ 3:19; 8:1) แต่พระยะโฮวาผู้ที่ “มีสติปัญญาและมีพลังมาก” ก็ถ่อมด้วย (โยบ 9:4) นี่ไม่ได้ทำให้พระองค์ดูไม่มีอำนาจหรือไม่น่านับถือ แต่หมายความว่าพระองค์ไม่เคยหยิ่ง ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
3 พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์ พระองค์เลยไม่มีคุณลักษณะไม่ดี เช่น ความหยิ่ง (มาระโก 7:20-22) ขอให้เรานึกถึงสิ่งที่ผู้พยากรณ์เยเรมีย์พูดกับพระยะโฮวา เขาบอกว่า “พระองค์จะระลึกถึงผมและก้มลงมาหาผมแน่ ๆ”a (เพลงคร่ำครวญ 3:20) นี่เป็นเรื่องที่น่าประทับใจจริง ๆ ที่พระยะโฮวาพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุดเต็มใจ “ก้มลงมา” หรือลดตัวลงมาหาเยเรมีย์เพื่อแสดงความสนใจมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ (สดุดี 113:7) พระยะโฮวาถ่อมมากจริง ๆ แต่พระองค์แสดงความถ่อมยังไง? ความถ่อมของพระองค์แสดงให้เห็นยังไงว่าพระองค์มีสติปัญญา? และเรื่องนี้สำคัญกับเรายังไง?
พระยะโฮวาแสดงให้เห็นยังไงว่าพระองค์ถ่อม
4, 5. (ก) ความถ่อมคืออะไร พระยะโฮวาแสดงให้เห็นยังไงว่าพระองค์ถ่อม และความถ่อมไม่ได้หมายถึงอะไร? (ข) พระยะโฮวาแสดงความถ่อมกับดาวิดยังไง และความถ่อมของพระยะโฮวาเป็นประโยชน์กับเรายังไง?
4 คนถ่อมจะไม่คิดถึงหรือภูมิใจในตัวเองมากเกินไป คนถ่อมจะอ่อนโยน อดทน และมีเหตุผล (กาลาเทีย 5:22, 23) เราไม่ควรคิดว่าเพราะพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ถ่อม อ่อนโยนและอดทน พระองค์จะไม่โกรธเมื่อมีเรื่องไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น หรืออ่อนแอจนไม่กล้าทำลายคนชั่ว แต่การที่พระยะโฮวาถ่อมและอ่อนโยนแสดงให้เห็นว่าพระองค์ควบคุมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ และใช้อำนาจอย่างถูกต้องเสมอ (อิสยาห์ 42:14) ความถ่อมของพระยะโฮวาแสดงให้เห็นว่าพระองค์มีสติปัญญามาก เป็นอย่างนั้นได้ยังไง? ผู้เชี่ยวชาญด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งบอกว่าคนถ่อมต้องไม่เห็นแก่ตัว และคนแบบนั้นเท่านั้นที่มีสติปัญญาแท้ แล้วความถ่อมของพระยะโฮวาเป็นประโยชน์กับเรายังไง?
พ่อที่ฉลาดแสดงความถ่อมและอ่อนโยนกับลูกของเขา
5 กษัตริย์ดาวิดเขียนเพลงที่พูดถึงพระยะโฮวาว่า “พระองค์ช่วยให้ผมพ้นภัยด้วยโล่ของพระองค์ มือขวาของพระองค์พยุงผมไว้ เพราะพระองค์ถ่อมตัวลง ผมจึงยิ่งใหญ่ขึ้น” (สดุดี 18:35) ดาวิดรู้สึกได้ว่าพระยะโฮวาโน้มตัวมาหาเขาและปกป้องดูแลเขาที่เป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ ดาวิดรู้ว่าพระยะโฮวาช่วยเขาจากพวกศัตรูและทำให้เขาขึ้นเป็นกษัตริย์ได้เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าที่ถ่อม คล้ายกัน เรามีความหวังที่จะรอดก็เพราะพระยะโฮวาถ่อม พระองค์รักเราและช่วยเราเหมือนกับพ่อที่ใจดี
6, 7. (ก) ทำไมคัมภีร์ไบเบิลไม่เคยพูดถึงว่าพระยะโฮวาเจียมตัว? (ข) ความอ่อนโยนกับสติปัญญาเกี่ยวข้องกันยังไง และใครเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมที่สุด?
6 น่าสังเกตว่าความถ่อมกับความเจียมตัวไม่เหมือนกัน ความเจียมตัวเป็นคุณลักษณะที่ดีอย่างหนึ่งที่คนซื่อสัตย์ควรมี เหมือนกับความถ่อม ความเจียมตัวเกี่ยวข้องกับสติปัญญา ตัวอย่างเช่น สุภาษิต 11:2 บอกว่า “คนเจียมตัวจะมีสติปัญญา” แต่คัมภีร์ไบเบิลไม่เคยบอกว่าพระยะโฮวาเจียมตัว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? เพราะคัมภีร์ไบเบิลใช้คำนี้กับมนุษย์เท่านั้นและหมายถึงการยอมรับว่าตัวเองมีขีดจำกัด พระยะโฮวาพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดไม่มีขีดจำกัด แต่คนที่ทำตามมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรมของพระองค์จะเข้าใจว่าเขาไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง (มาระโก 10:27; ทิตัส 1:2) และไม่มีใครจะมาสั่งว่าพระองค์ต้องทำอะไร เพราะพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ดังนั้น ความเจียมตัวจึงเอามาใช้กับพระยะโฮวาไม่ได้
7 แต่พระยะโฮวาเป็นพระจ้าที่ถ่อมและอ่อนโยน พระองค์สอนผู้รับใช้ของพระองค์ว่าเพื่อจะมีสติปัญญาแท้พวกเขาต้องอ่อนโยน คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า ‘ความอ่อนโยนเกิดจากสติปัญญา’b (ยากอบ 3:13) เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เรามาดูตัวอย่างของพระยะโฮวาด้วยกัน
พระยะโฮวามอบหมายงานให้คนอื่นและฟังพวกเขา
8-10. (ก) ทำไมถึงน่าประทับที่พระยะโฮวาเต็มใจมอบหมายงานและพร้อมที่จะรับฟัง? (ข) พระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดแสดงความถ่อมกับทูตสวรรค์ของพระองค์ยังไง?
8 ความถ่อมของพระยะโฮวาทำให้เราประทับใจในพระองค์ ตัวอย่างเช่น พระองค์เต็มใจมอบหมายงานให้ผู้รับใช้ของพระองค์และรับฟังพวกเขา นี่เป็นเรื่องน่าทึ่งเพราะพระยะโฮวาไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากใคร (อิสยาห์ 40:13, 14; โรม 11:34, 35) แต่คัมภีร์ไบเบิลช่วยให้เราเห็นหลายครั้งว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ถ่อม
9 ขอให้คิดถึงเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญในชีวิตของอับราฮัม มีสามคนมาหาอับราฮัมและเขาเรียกคนหนึ่งว่า “พระยะโฮวา” ที่จริงพวกเขาเป็นทูตสวรรค์ที่พระยะโฮวาส่งมาเพื่อทำงานมอบหมายของพระองค์ เมื่อทูตสวรรค์พูดหรือทำอะไรบางอย่างก็เหมือนกับว่าพระยะโฮวากำลังทำอย่างนั้นด้วย โดยวิธีนี้พระยะโฮวาบอกกับอับราฮัมว่าพระองค์ได้ยิน ‘ผู้คนร้องบ่นเกี่ยวกับเมืองโสโดมและโกโมราห์’ พระยะโฮวาบอกอีกว่า “เราจะลงไปดูให้รู้ว่า พวกเขาทำชั่วอย่างที่เราได้ยินเสียงร้องบ่นว่านั้นหรือเปล่า” (ปฐมกาล 18:3, 20, 21) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพระยะโฮวาจะ “ลงไป” ดูด้วยพระองค์เอง แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระองค์ส่งทูตสวรรค์ไปเป็นตัวแทนของพระองค์เพื่อไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น (ปฐมกาล 19:1) ถ้าพระยะโฮวามองเห็นทุกอย่างแล้วทำไมพระองค์ถึงต้องส่งทูตสวรรค์ลงมา? พระองค์ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาช่วยเพื่อจะ “รู้” ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองโสโดมและโกโมราห์ แต่พระองค์แสดงให้เห็นว่าพระองค์ถ่อมโดยให้ทูตสวรรค์ลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นและไปเยี่ยมโลทกับครอบครัวของเขาในเมืองโสโดม
10 นอกจากนั้น พระยะโฮวายังพร้อมที่จะรับฟังด้วย ครั้งหนึ่งพระองค์ขอทูตสวรรค์ของพระองค์ให้เสนอวิธีต่าง ๆ เพื่อจะทำให้กษัตริย์อาหับที่ชั่วร้ายไปตายในสงคราม พระยะโฮวาไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ แต่เมื่อทูตสวรรค์องค์หนึ่งมีข้อเสนอที่ดี พระองค์ก็ฟังและบอกให้เขาทำตามข้อเสนอของเขา (1 พงศ์กษัตริย์ 22:19-22) นั่นแสดงให้เห็นว่าพระองค์ถ่อมจริง ๆ
11, 12. อับราฮัมได้เข้าใจยังไงว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ถ่อม?
11 เมื่อมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบบอกเรื่องที่เขากังวล พระยะโฮวาก็เต็มใจฟังด้วย ตัวอย่างเช่น เมื่อรู้ว่าพระยะโฮวาจะทำลายเมืองโสโดมและโกโมราห์ อับราฮัมแปลกใจและพูดว่า “พระองค์ไม่มีทางทำอย่างนั้น” เขายังบอกอีกว่า “ผู้พิพากษาโลกทั้งสิ้นจะทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างแน่นอน” เขาถามว่าถ้ามีคนดี 50 คน 45 คน หรือ 40 คนที่นั่น พระยะโฮวาจะทำลายเมืองนั้นไหม ถึงแม้พระยะโฮวาจะรับรองกับอับราฮัมแล้วแต่เขาก็ยังถามเหมือนเดิม จนสุดท้ายเขาถามว่าถ้าเหลือคนดีแค่ 10 คนพระองค์จะยังทำลายเมืองนั้นไหม บางทีอับราฮัมอาจยังไม่เข้าใจเต็มที่ว่าพระยะโฮวาเมตตามากขนาดไหน แต่พระยะโฮวาก็อดทนและถ่อม พระองค์ยอมให้อับราฮัมที่เป็นเพื่อนและผู้รับใช้ของพระองค์บอกเรื่องที่เขากังวล—ปฐมกาล 18:23-33
12 หลายคนที่มีความรู้มากมักจะไม่อดทนฟังคนอื่นที่มีความรู้น้อยกว่าเขาc แต่พระยะโฮวาพระเจ้าของเราฟังผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยความถ่อม ตอนที่อับราฮัมถามพระองค์หลายครั้งเกี่ยวกับการทำลายเมืองโสโดมและโกโมราห์ เขาก็ได้มาเข้าใจว่าพระยะโฮวา “ไม่โกรธง่าย” (อพยพ 34:6) เขาอาจเห็นว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะสงสัยการกระทำของพระยะโฮวาพระเจ้าองค์สูงสุด เขาเลยบอกถึงสองครั้งว่า “พระยะโฮวาครับ อย่าเพิ่งโกรธนะครับ” (ปฐมกาล 18:30, 32) พระยะโฮวาไม่โกรธเพื่อนของพระองค์เพราะพระองค์มี “ความอ่อนโยนที่เกิดจากสติปัญญา”
พระยะโฮวามีเหตุผล
13. ในคัมภีร์ไบเบิลคำว่า “มีเหตุผล” หมายความว่ายังไง และทำไมคำนี้ถึงเหมาะกับพระยะโฮวา?
13 เราเห็นความถ่อมของพระยะโฮวาจากคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมอีกอย่างหนึ่ง คือความมีเหตุผล น่าเศร้าที่มนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบมักจะไม่ค่อยมีเหตุผล เราได้เรียนแล้วว่าพระยะโฮวาไม่ได้แค่เต็มใจฟังสิ่งที่มนุษย์และทูตสวรรค์บอกเท่านั้น แต่พระองค์ยังเต็มใจยอมทำตามข้อเสนอของพวกเขาด้วยถ้าเรื่องนั้นไม่ขัดกับมาตรฐานของพระองค์ ในคัมภีร์ไบเบิลคำว่า “มีเหตุผล” มีความหมายตามตัวอักษรว่า “ยินยอม” คุณลักษณะนี้ทำให้เห็นว่าพระองค์มีสติปัญญามากจริง ๆ ยากอบ 3:17 บอกว่า “แต่สติปัญญาจากเบื้องบนนั้น . . . มีเหตุผล” พระยะโฮวาแสดงให้เห็นยังไงว่าพระองค์มีเหตุผล? อย่างแรก พระองค์พร้อมที่จะปรับเปลี่ยน อย่าลืมว่าชื่อของพระองค์บอกให้เรารู้ว่าพระองค์จะเป็นอะไรก็ได้ที่จำเป็นเพื่อทำให้ความประสงค์ของพระองค์สำเร็จ (อพยพ 3:14) นี่บอกให้เรารู้ว่าพระยะโฮวาพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนและมีเหตุผล
14, 15. นิมิตของเอเสเคียลเรื่องราชรถของพระยะโฮวาสอนอะไรเราเกี่ยวกับองค์การส่วนที่อยู่ในสวรรค์ของพระองค์ และองค์การนี้ไม่เหมือนองค์การของมนุษย์ยังไง?
14 ในคัมภีร์ไบเบิลมีข้อความหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยเราให้เข้าใจมากขึ้นว่าพระยะโฮวาพร้อมที่จะปรับเปลี่ยน ผู้พยากรณ์เอเสเคียลได้เห็นนิมิตเกี่ยวกับองค์การส่วนที่อยู่ในสวรรค์ของพระยะโฮวาที่มีทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ เขาเห็นราชรถที่ใหญ่มากซึ่งพระยะโฮวาเองควบคุมอยู่ วิธีที่รถนี้เคลื่อนที่น่าสนใจมาก รถนี้มีสี่ล้อและมีตาอยู่รอบ ๆ ที่สามารถมองเห็นได้ทุกที่และเปลี่ยนทิศทางได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดหรือเลี้ยว และราชรถขนาดใหญ่นี้ไม่ได้เคลื่อนที่อย่างช้า ๆ เหมือนพาหนะใหญ่ ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเท่ากับความเร็วของแสง และทุกล้อก็เลี้ยวได้ทั้งสี่ทิศโดยไม่ต้องหันเลย (เอเสเคียล 1:1, 14-28) เห็นชัดว่าองค์การของพระยะโฮวาอยู่ใต้การควบคุมของพระองค์และพร้อมปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเสมอ
15 ตอนที่สถานการณ์เปลี่ยนไปมนุษย์อาจพยายามปรับเปลี่ยน แต่บ่อยครั้งตัวเขาเองและองค์การของเขาก็ปรับเปลี่ยนอะไร ๆ ได้ช้ามาก เพื่อเป็นตัวอย่าง เรือบรรทุกน้ำมันหรือรถไฟบรรทุกสินค้าอาจดูน่าประทับใจเพราะมีขนาดใหญ่และมีพลังมาก แต่ถ้าอยู่ ๆ มีอะไรมาขวางอยู่ข้างหน้าพาหนะเหล่านี้จะหลบได้ทันไหม? คงเป็นไปไม่ได้ที่รถไฟบรรทุกสินค้าหนักจะหยุดเพื่อไม่ชนสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ถึงรถไฟจะเริ่มเบรกแล้วแต่หลังจากนั้นก็ยังต้องใช้ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรกว่าจะหยุดได้ คล้ายกัน เรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่หลังจากดับเครื่องยนต์แล้วก็อาจแล่นต่อไปได้อีกถึง 8 กิโลเมตร และถ้าเดินเครื่องยนต์ถอยหลังแล้วเรือก็ยังอาจแล่นไปได้อีกถึง 3 กิโลเมตร เรื่องนี้คล้ายกันกับองค์การของมนุษย์ที่ไม่ยืดหยุ่นและไม่มีเหตุผล เพราะความหยิ่งมักจะทำให้พวกเขาไม่ยอมปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความจำเป็นหรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป การไม่ยอมปรับเปลี่ยนนี้ทำให้บริษัทล้มละลายและถึงกับทำให้รัฐบาลถูกล้มด้วยซ้ำ (สุภาษิต 16:18) เราดีใจมากที่พระยะโฮวาและองค์การของพระองค์ไม่ได้เป็นแบบนั้น
พระยะโฮวาแสดงให้เห็นยังไงว่าพระองค์มีเหตุผล
16. ก่อนที่พระยะโฮวาจะทำลายเมืองโสโดมและโกโมราห์ พระองค์แสดงให้เห็นยังไงว่ามีเหตุผลกับโลท?
16 ขอให้คิดถึงการทำลายเมืองโสโดมและโกโมราห์อีกครั้ง ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาบอกโลทกับครอบครัวของเขาอย่างชัดเจนว่า “ให้หนีไปที่เขตเทือกเขา” แต่โลทไม่อยากไปที่นั่น เขาเลยขอร้องว่า “พระยะโฮวาครับ อย่าให้ผมไปที่นั่นเลย” เพราะเขากลัวว่าถ้าต้องหนีไปที่นั่นเขาคงจะตายแน่ ๆ โลทขอให้เขากับครอบครัวหนีไปที่เมืองโศอาร์ที่อยู่ใกล้ ๆ แต่โลทไม่ต้องกลัวเพราะพระยะโฮวาสามารถปกป้องเขาให้ปลอดภัยที่เทือกเขาได้ ถึงแม้พระยะโฮวาตั้งใจจะทำลายเมืองนั้น แต่พระยะโฮวาก็ยอมให้โลททำตามที่ขอ พระองค์บอกโลทว่า “ได้ เราจะให้ตามที่ขอ และเราจะไม่ทำลายเมืองนั้น” (ปฐมกาล 19:17-22) นี่แสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวามีเหตุผลจริง ๆ
17, 18. พระยะโฮวาแสดงยังไงว่ามีเหตุผลกับชาวนีนะเวห์?
17 พระยะโฮวาเมตตาและทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ ดังนั้น พระองค์ก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนด้วยถ้ามีคนกลับใจอย่างแท้จริง ขอให้คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่ผู้พยากรณ์โยนาห์ถูกส่งไปเมืองนีนะเวห์ที่มีคนชั่วและโหดเหี้ยมมาก เมื่อโยนาห์เดินไปตามถนนในเมืองนีนะเวห์ เขาประกาศข่าวสารจากพระเจ้าว่าในอีก 40 วันเมืองใหญ่นี้จะถูกทำลาย แต่เหตุการณ์เปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อเพราะชาวนีนะเวห์กลับใจ—โยนาห์บท 3
18 ขอสังเกตว่าในเหตุการณ์นี้ปฏิกิริยาของพระยะโฮวากับของโยนาห์ต่างกันยังไง พระยะโฮวาพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ แทนที่จะเป็น “นักรบที่เก่งกาจ”d และทำลายชาวนีนะเวห์ พระองค์กลับให้อภัยพวกเขา (อพยพ 15:3) แต่โยนาห์ไม่พร้อมปรับเปลี่ยนและไม่แสดงความเมตตา แทนที่จะเลียนแบบพระยะโฮวาเขากลับไม่มีเหตุผล เขาประกาศว่าชาวนีนะเวห์จะถูกทำลายและเขาก็อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง แต่พระยะโฮวาก็อดทนกับโยนาห์และสอนบทเรียนที่สำคัญกับเขาในเรื่องความมีเหตุผลและความเมตตา—โยนาห์บท 4
พระยะโฮวามีเหตุผลและเข้าใจขีดจำกัดของเรา
19. (ก) ทำไมเรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาคาดหมายจากเราอย่างมีเหตุผล? (ข) สุภาษิต 19:17 แสดงให้เห็นยังไงว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ “ดีและมีเหตุผล” และถ่อมมาก?
19 พระยะโฮวาคาดหมายจากเราอย่างมีเหตุผล กษัตริย์ดาวิดบอกว่า “พระองค์รู้ดีว่าพวกเราถูกสร้างมาอย่างไร และไม่ลืมว่าพวกเราเป็นแค่ดิน” (สดุดี 103:14) พระยะโฮวาเข้าใจขีดจำกัดและความไม่สมบูรณ์แบบของเรามากกว่าที่เราเข้าใจตัวเอง พระองค์ไม่เคยคาดหมายจากเรามากกว่าที่เราทำได้ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าบางคนก็เป็นคน “ดีและมีเหตุผล” ส่วนบางคนก็เป็นคน “เอาใจยาก” (1 เปโตร 2:18) เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ดี มีเหตุผล และไม่ได้เอาใจยาก ขอสังเกตสุภาษิต 19:17 ที่นั่นบอกว่า “คนที่เมตตาคนจนก็เหมือนให้พระยะโฮวายืม” นี่หมายความว่าพระองค์สนใจสิ่งดี ๆ ที่เราทำเพื่อคนอื่น พระองค์ดีและมีเหตุผลจริง ๆ ยิ่งกว่านั้น พระยะโฮวาพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุดยังมองว่าพระองค์เป็นหนี้มนุษย์ที่ต่ำต้อยและพระองค์จะตอบแทนเราในสิ่งดีที่เราทำกับคนอื่น เห็นชัดเลยว่าพระองค์ถ่อมมากจริง ๆ
20. ทำไมเรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาฟังและตอบคำอธิษฐานของเรา?
20 พระยะโฮวาปฏิบัติกับผู้รับใช้ของพระองค์ในทุกวันนี้ด้วยความอ่อนโยนและมีเหตุผลเหมือนที่พระองค์ทำในอดีต เมื่อเราอธิษฐานด้วยความเชื่อ พระองค์จะฟังเรา และถึงแม้พระองค์ไม่ได้ให้ทูตสวรรค์มาพูดกับเรา เราก็ไม่ควรคิดว่าพระองค์ไม่ตอบคำอธิษฐานของเรา ขอจำไว้ว่าตอนที่อัครสาวกเปาโลขอให้เพื่อนร่วมความเชื่อ ‘อธิษฐานต่อไป’ เพื่อเขาจะได้ถูกปล่อยตัวออกจากคุก เขาบอกว่า “เพื่อให้ผมได้กลับไปหาพวกคุณเร็วขึ้น” (ฮีบรู 13:18, 19) ดังนั้น คำอธิษฐานของเราอาจทำให้พระยะโฮวาทำบางอย่างที่พระองค์ไม่ตั้งใจว่าจะทำตั้งแต่แรกก็ได้—ยากอบ 5:16
21. ความถ่อมของพระยะโฮวาไม่ได้หมายถึงอะไร และคุณรู้สึกยังไงที่พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ถ่อม?
21 ถึงแม้พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ถ่อม อ่อนโยน เต็มใจรับฟัง อดทน และมีเหตุผล แต่พระองค์จะไม่ยอมอะลุ่มอล่วยเมื่อมีคนไม่เชื่อฟังกฎหมายของพระองค์ ผู้นำในโบสถ์อาจคิดว่าเขาเป็นคนมีเหตุผลเมื่อสอนว่าการทำสิ่งที่พระเจ้าเกลียดไม่ใช่เรื่องผิด เพราะรู้ว่าคนส่วนใหญ่อยากได้ยินแบบนั้น (2 ทิโมธี 4:3) บางครั้งเราก็ทำบางอย่างทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผิดและอ้างว่ามีเหตุผลที่จะทำอย่างนั้น แต่พระยะโฮวาไม่ได้เป็นแบบนั้น พระองค์บริสุทธิ์และไม่ทำอะไรที่ขัดกับกฎหมายของพระองค์แน่นอน (เลวีนิติ 11:44) เราเห็นว่าความถ่อมทำให้พระเจ้ามีเหตุผล และนี่ทำให้เรารักพระองค์มาก คุณรู้สึกยังไงที่รู้ว่าพระยะโฮวาผู้มีสติปัญญามากที่สุดในเอกภพเป็นพระเจ้าที่ถ่อมที่สุดด้วย? เรามีความสุขมากที่ได้ใกล้ชิดกับพระเจ้าที่มีอำนาจมากแต่ก็อ่อนโยน อดทน และมีเหตุผล
a ผู้คัดลอกคัมภีร์ไบเบิลบางคนในอดีตได้เปลี่ยนข้อความในข้อนี้โดยบอกว่าเยเรมีย์เป็นผู้ที่ก้มตัวลง ไม่ใช่พระยะโฮวาที่ทำแบบนั้น พวกเขาอาจคิดว่าเป็นเรื่องผิดที่จะบอกว่าพระเจ้าลดตัวลงมาช่วยมนุษย์ นี่เลยทำให้ฉบับแปลหลายฉบับขาดจุดสำคัญที่น่าประทับใจนี้ไป
b ฉบับแปลอื่น ๆ บอกว่า “ความถ่อมซึ่งเกิดจากสติปัญญา” และ “ความสุภาพนั้นซึ่งเป็นเครื่องหมายของสติปัญญา”
c คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างน่าสนใจว่าคนที่ไม่อดทนก็เป็นคนหยิ่ง (ปัญญาจารย์ 7:8) ดังนั้นเมื่อพระยะโฮวาอดทน พระองค์ก็ทำให้เห็นว่าพระองค์ถ่อมมากจริง ๆ—2 เปโตร 3:9
d สดุดี 86:5 บอกว่าพระยะโฮวา “ดีจริง ๆ และพร้อมจะให้อภัย” เมื่อแปลสดุดีบทนี้เป็นภาษากรีก คำว่า “พร้อมจะให้อภัย” ถูกแปลว่า เอพิอิคิส หรือ “มีเหตุผล”
-
-
พระเยซูทำให้เห็น “สติปัญญาของพระเจ้า”เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 21
พระเยซูทำให้เห็น “สติปัญญาของพระเจ้า”
1-3. คนที่เคยเป็นเพื่อนบ้านของพระเยซูมีท่าทียังไงกับสิ่งที่ท่านสอน และทำไม?
ตอนที่พระเยซูสอนในที่ประชุมของคนยิว ผู้คนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกทึ่งมาก พวกเขารู้จักท่านดี เพราะท่านโตมาในเมืองนั้น และทำงานเป็นช่างไม้อยู่หลายปี พวกเขาบางคนอาจจะอยู่ในบ้านที่พระเยซูช่วยสร้าง หรือเป็นชาวไร่ชาวนาที่ทำงานโดยใช้คันไถและแอกที่ท่านทำa แต่พวกเขาจะรู้สึกยังไงตอนที่ได้ยินคนที่เคยเป็นช่างไม้คนนี้สอน?
2 คนส่วนใหญ่ที่ได้ยินท่านสอนรู้สึกประหลาดใจ เลยถามกันว่า “คนนี้ไปได้สติปัญญามาจากไหน?” แต่ก็มีบางคนบอกว่า “เขาเป็นช่างไม้ ลูกชายมารีย์” (มัทธิว 13:54-58; มาระโก 6:1-3) น่าเสียดาย คนที่เคยเป็นเพื่อนบ้านของพระเยซูอาจจะคิดว่า ‘คนนี้ก็เป็นแค่ช่างไม้ในเมืองของเราและเขาก็ไม่ได้เป็นคนพิเศษอะไร’ ถึงสิ่งที่ท่านสอนจะแสดงให้เห็นถึงสติปัญญา พวกเขาก็ปฏิเสธท่านอยู่ดี พวกเขาไม่รู้เลยว่าท่านได้สติปัญญานั้นจากที่ไหน
3 แล้วพระเยซูได้สติปัญญาจากที่ไหน? ท่านบอกว่า “ผมไม่ได้สอนคำสอนของผมเอง แต่เป็นของพระองค์ที่ใช้ผมมา” (ยอห์น 7:16) อัครสาวกเปาโลบอกว่าพระเยซู “ทำให้เราเห็นสติปัญญาของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 1:30) เราเห็นสติปัญญาของพระยะโฮวาได้จากพระเยซูลูกชายของพระองค์ ท่านทำได้ดีจนถึงขนาดที่ท่านบอกว่า “ผมกับพ่อเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยอห์น 10:30) ให้เรามาดู 3 อย่างที่พระเยซูแสดงว่าท่านมี “สติปัญญาของพระเจ้า”
เรื่องที่ท่านสอน
4. (ก) อะไรเป็นเรื่องหลักที่พระเยซูสอน และทำไมเรื่องนั้นถึงสำคัญมาก? (ข) ทำไมคำแนะนำของพระเยซูเป็นประโยชน์และช่วยผู้คนได้จริง ๆ?
4 ให้เรามาดูสิ่งที่พระเยซูสอน เรื่องหลักที่ท่านสอนคือ “ข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” (ลูกา 4:43) นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะรัฐบาลนี้จะทำให้ชื่อของพระยะโฮวาได้รับการยกย่องสรรเสริญและพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุด รวมถึงทำให้ทั้งโลกกลายเป็นสวนอุทยานและผู้คนจะมีชีวิตอยู่ที่นั่นได้ตลอดไป พระเยซูยังให้คำแนะนำที่ฉลาดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันด้วย ท่านแสดงให้เห็นว่าท่านเป็น “ที่ปรึกษามหัศจรรย์” ตามที่บอกไว้ล่วงหน้า (อิสยาห์ 9:6) ทำไมพระเยซูถึงเป็น “ที่ปรึกษามหัศจรรย์” หรือเป็นครูที่ดี? ก็เพราะท่านรู้จักคำสอนของพระยะโฮวาเป็นอย่างดีและรู้ว่าพระยะโฮวาอยากให้เรารับใช้พระองค์ยังไง ท่านยังรู้ด้วยว่ามนุษย์คิดและรู้สึกยังไง และท่านรักมนุษย์มาก ดังนั้น คำแนะนำของท่านเลยเป็นประโยชน์และช่วยผู้คนได้จริง ๆ พระเยซูมี “คำสอนที่ให้ชีวิตตลอดไป” เมื่อเราทำตามคำแนะนำของท่าน เราก็จะมีชีวิตตลอดไป—ยอห์น 6:68
5. ในคำบรรยายบนภูเขาพระเยซูสอนเรื่องอะไรบ้าง?
5 คำบรรยายบนภูเขาเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นชัดว่าพระเยซูสอนด้วยสติปัญญาของพระเจ้า ถึงแม้คำบรรยายที่อยู่ในมัทธิว 5:3–7:27 อาจจะใช้เวลาบรรยายแค่ 20 นาที แต่คำแนะนำเหล่านั้นยังใช้ได้ในทุกวันนี้ พระเยซูพูดถึงหลายเรื่องรวมทั้งวิธีที่เราจะเข้ากับคนอื่นได้ดี (5:23-26, 38-42; 7:1-5, 12) วิธีที่จะเป็นคนสะอาดทางด้านศีลธรรม (5:27-32) และวิธีใช้ชีวิตอย่างมีความสุข (6:19-24; 7:24-27) พระเยซูไม่ได้แค่บอกผู้ฟังว่าทำยังไงถึงจะใช้ชีวิตอย่างฉลาด แต่ท่านยังอธิบายว่าทำไมท่านถึงบอกแบบนั้นและทำให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วย
6-8. (ก) พระเยซูบอกเหตุผลที่ดีอะไรว่าเราไม่ควรกังวลมากเกินไป? (ข) คำแนะนำของพระเยซูแสดงให้เห็นสติปัญญาของพระเจ้ายังไง?
6 ตัวอย่างเช่น คำแนะนำของพระเยซูเกี่ยวกับวิธีรับมือกับความกังวลในชีวิต ในมัทธิวบท 6 พระเยซูแนะนำเราว่า “เลิกกังวลได้แล้วกับเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ว่าจะมีกินมีดื่มไหม หรือกังวลว่าจะมีเสื้อผ้าใส่หรือเปล่า” (ข้อ 25) อาหารและเสื้อผ้าเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เลยเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนมักจะกังวล แต่ทำไมพระเยซูถึงบอกเราให้ “เลิกกังวล”?b
7 พระเยซูบอกเหตุผลที่ดีหลายอย่างว่าทำไมผู้ฟังของท่านไม่ควรกังวลมากเกินไป เช่น พระยะโฮวาเป็นผู้สร้างเรา ดังนั้น พระองค์จะให้เรามีเสื้อผ้าและอาหารเพื่อเราจะมีชีวิตอยู่ได้แน่นอน (ข้อ 25) ถ้าพระเจ้าให้นกมีอาหารกินและดูแลดอกไม้ให้สวยงามได้ พระองค์ก็จะดูแลผู้รับใช้ของพระองค์ด้วย (ข้อ 26, 28-30) จริง ๆ แล้วความกังวลไม่มีประโยชน์อะไรและไม่ได้ช่วยให้เรามีชีวิตยืนยาวขึ้นc (ข้อ 27) แล้วเราจะเลิกกังวลได้ยังไง? พระเยซูแนะนำว่าเราต้องให้การนมัสการพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตต่อ ๆ ไป ถ้าทำอย่างนั้นเราก็มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ ‘จะให้เรามี’ สิ่งจำเป็นในชีวิต (ข้อ 33) พระเยซูยังบอกให้เรารับมือกับปัญหาเป็นวัน ๆ ไปและไม่ต้องกังวลเรื่องของวันพรุ่งนี้ (ข้อ 34) เพราะบางทีเรื่องที่เรากังวลอาจจะไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ การทำตามคำแนะนำที่ฉลาดนี้จะช่วยให้เราไม่ต้องเจอกับเรื่องเครียด ๆ ที่ทำให้เราไม่มีความสุข
8 เมื่อเวลาผ่านไปคำแนะนำของมนุษย์ก็อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เพราะบางคำแนะนำก็ใช้ไม่ได้แล้ว แต่เรื่องที่พระเยซูสอนไว้เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วยังใช้ได้ในทุกวันนี้ นี่ทำให้เห็นว่าสติปัญญาของท่านมาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของท่าน เราเห็นได้ชัดเจนว่าพระเยซูเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์และท่านถ่ายทอด ‘คำพูดของพระเจ้า’—ยอห์น 3:34
วิธีที่ท่านสอน
9. พวกทหารพูดยังไงเกี่ยวกับวิธีที่พระเยซูสอน และทำไมพวกเขาถึงไม่ได้พูดเกินจริง?
9 อย่างที่สองที่ทำให้เห็นว่าพระเยซูสอนด้วยสติปัญญาของพระเจ้าคือ วิธีที่ท่านสอน ครั้งหนึ่ง พวกผู้นำศาสนาชาวยิวส่งทหารไปจับพระเยซูแต่กลับมามือเปล่า พวกเขาบอกว่า “พวกเราไม่เคยได้ยินใครพูดเหมือนผู้ชายคนนี้มาก่อนเลย” (ยอห์น 7:45, 46) พวกเขาไม่ได้พูดเกินจริง เพราะพระเยซูมีชีวิตอยู่บนสวรรค์นานก่อนที่ท่านจะมาบนโลก ดังนั้น ท่านมีความรู้และประสบการณ์มากกว่ามนุษย์ทุกคน (ยอห์น 8:23) ไม่มีใครจะสอนได้เหมือนท่าน ให้เรามาดูวิธีสอนสองอย่างของพระเยซูครูที่ฉลาดด้วยกัน
“คนที่มาฟังก็รู้สึกทึ่งกับวิธีสอนของท่าน”
10, 11. (ก) ทำไมตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูทำให้เราประทับใจ? (ข) ตัวอย่างเปรียบเทียบคืออะไร และพระเยซูใช้ตัวอย่างอะไรบ้างเพื่อสอนบทเรียนที่สำคัญ?
10 ใช้ตัวอย่างที่เข้าถึงหัวใจ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระเยซูพูดเรื่องทั้งหมดนี้กับผู้คนโดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบ ที่จริง ท่านสอนพวกเขาโดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเสมอ” (มัทธิว 13:34) พระเยซูใช้ตัวอย่างง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันเพื่อสอนความจริงที่สำคัญได้อย่างน่าประทับใจ ท่านพูดถึงชาวนาที่หว่านเมล็ดพืช ผู้หญิงทำขนมปัง เด็ก ๆ ที่เล่นกันในตลาด ชาวประมงลากอวน คนเลี้ยงแกะตามหาแกะที่หายไป ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ผู้ฟังของท่านเห็นอยู่บ่อย ๆ เมื่อท่านใช้เรื่องที่ผู้คนคุ้นเคยเพื่อสอนความจริงที่สำคัญ พวกเขาก็จะเข้าใจ จดจำ และเอาคำสอนที่สำคัญนี้ไปใช้ได้ง่ายขึ้น—มัทธิว 11:16-19; 13:3-8, 33, 47-50; 18:12-14
11 บ่อยครั้งพระเยซูใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบที่เป็นเรื่องสั้น ๆ ซึ่งสอนบทเรียนที่สำคัญ ท่านทำแบบนั้นเพราะอยากให้ผู้ฟังเข้าใจและจำบทเรียนต่าง ๆ ได้ ในหลายตัวอย่าง พระเยซูพูดถึงพ่อของท่านโดยใช้ภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจนและจำได้ง่าย เช่น ตัวอย่างเรื่องลูกที่หลงหายสอนให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแบบไหน และยังสอนว่าเมื่อคนที่ทำผิดกลับใจจริง ๆ พระองค์ก็พร้อมจะให้อภัยและต้อนรับเขากลับมา—ลูกา 15:11-32
12. (ก) พระเยซูสอนโดยใช้คำถามแบบไหนบ้าง? (ข) พระเยซูถามคนที่สงสัยเรื่องอำนาจของท่านยังไงที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าตอบ?
12 ใช้คำถามที่เหมาะสม พระเยซูใช้คำถามเพื่อช่วยผู้ฟังให้คิด ตรวจดูแรงกระตุ้น หรือลงมือตัดสินใจ (มัทธิว 12:24-30; 17:24-27; 22:41-46) เช่น ตอนที่พวกผู้นำศาสนาชาวยิวถามพระเยซูว่าใครให้อำนาจท่าน ท่านเลยบอกว่า “ที่ยอห์นให้บัพติศมานั้น ใครให้อำนาจเขา พระเจ้าหรือมนุษย์?” พวกเขาไม่ตอบและคุยกันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘พระเจ้า’ เขาก็จะถามว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงไม่เชื่อยอห์น?’ แต่ใครจะไปกล้าตอบว่า ‘มนุษย์’ ล่ะ” ที่พวกเขาพูดกันอย่างนั้น “เพราะกลัวประชาชนจะโกรธแค้น เพราะประชาชนถือว่ายอห์นเป็นผู้พยากรณ์จริง ๆ” ในที่สุดพวกเขาตอบว่า “ไม่รู้สิ” (มาระโก 11:27-33; มัทธิว 21:23-27) พระเยซูใช้คำถามง่าย ๆ แต่พวกเขากลับไม่กล้าตอบเพราะมีความคิดที่ไม่ถูกต้อง
13-15. ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องคนสะมาเรียทำให้เราเห็นสติปัญญาของพระเยซูยังไง?
13 บางครั้งพระเยซูก็ใช้ทั้งสองวิธีในการสอน คือใช้คำถามเพื่อช่วยให้ผู้ฟังคิดเกี่ยวกับตัวอย่างเปรียบเทียบที่ท่านใช้ เช่น มีผู้ชายคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญกฎหมายของโมเสสถามพระเยซูว่าต้องทำอะไรถึงจะได้ชีวิตตลอดไป พระเยซูเลยบอกให้เขาคิดถึงกฎหมายของโมเสสที่สอนให้รักพระเจ้าและรักคนอื่น แต่ผู้ชายคนนี้อยากแสดงว่าเขาทำตามกฎหมายของพระเจ้าอยู่แล้ว เขาเลยถามว่า “แล้วใครคือคนที่ผมจะต้องรัก?” พระเยซูตอบโดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องหนึ่ง ท่านเล่าว่ามีคนยิวคนหนึ่งเดินทางคนเดียว เขาถูกโจรปล้นและทุบตีจนเกือบตาย ต่อมามีคนยิวสองคนผ่านมาเห็น คนแรกเป็นปุโรหิต ส่วนอีกคนเป็นคนเลวี แต่พวกเขาทั้งสองคนไม่สนใจที่จะช่วย แล้วในที่สุดก็มีคนสะมาเรียคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นผู้ชายคนนี้ก็รู้สึกสงสาร เขาเลยค่อย ๆ พันแผลให้ แล้วพาผู้ชายที่บาดเจ็บไปพักรักษาตัวที่โรงแรม เมื่อพระเยซูเล่าเรื่องนี้จบ ท่านถามผู้ชายที่เชี่ยวชาญกฎหมายของโมเสสคนนั้นว่า “ในสามคนนี้ คุณว่าคนไหนรักคนที่ถูกปล้นเหมือนรักตัวเอง?” เขาต้องจำใจตอบว่า “คนที่ช่วยเหลือเขา”—ลูกา 10:25-37
14 ตัวอย่างเปรียบเทียบนี้ช่วยให้เราเห็นสติปัญญาของพระเยซูยังไง? ในสมัยของพระเยซู คนยิวคิดว่า “คนอื่น” ในที่นี้หมายถึงคนที่ทำตามธรรมเนียมของพวกเขาเท่านั้นซึ่งไม่ใช่คนสะมาเรียแน่นอน (ยอห์น 4:9) ดังนั้น ถ้าพระเยซูเล่าเรื่องโดยให้คนสะมาเรียเป็นคนถูกทำร้าย และคนยิวเป็นคนช่วย นั่นจะทำให้ผู้ชายคนนี้เลิกมีอคติไหม? พระเยซูฉลาดมาก ท่านเล่าเรื่องนี้โดยให้คนสะมาเรียเป็นฝ่ายดูแลคนยิว หลังจากเล่าจบท่านก็ถามคำถามเพื่อช่วยให้ผู้ชายคนนี้เข้าใจว่าการรัก “คนอื่น” หมายถึงอะไรจริง ๆ ก่อนหน้านี้เขาถามเพราะอยากรู้ว่า ‘ใครคือคนที่ผมจะต้องรัก?’ แต่เมื่อพระเยซูถามว่า “ในสามคนนี้ คุณว่าคนไหนรักคนที่ถูกปล้นเหมือนรักตัวเอง?” ท่านไม่ได้เน้นคนที่ได้รับความกรุณาซึ่งก็คือคนที่ถูกทำร้าย แต่ท่านเน้นคนที่แสดงความกรุณาซึ่งก็คือคนสะมาเรียนั่นเอง คนที่รักคนอื่นจะแสดงความกรุณากับทุกคนไม่ว่าจะมีภูมิหลังหรือเชื้อชาติอะไรก็ตาม พระเยซูสอนอย่างฉลาดจริง ๆ
15 ไม่แปลกที่ผู้คนจะรู้สึกทึ่งใน “วิธีสอน” ของพระเยซูและอยากฟังท่าน (มัทธิว 7:28, 29) ครั้งหนึ่ง “มีคนมากมาย” อยู่กับท่านนานถึง 3 วันและไม่ยอมไปกินอาหาร—มาระโก 8:1, 2
วิธีที่ท่านใช้ชีวิต
16. พระเยซูแสดงให้เห็นยังไงว่าท่านเอาสติปัญญาของพระเจ้าไปใช้ในชีวิต?
16 อย่างที่สามที่พระเยซูทำให้เห็นสติปัญญาของพระยะโฮวาคือวิธีที่ท่านใช้ชีวิต สติปัญญาคือการเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใช้แล้วเกิดผลที่ดี ยากอบถามว่า “ใครบ้างในพวกคุณมีสติปัญญา?” แล้วเขาก็พูดต่อไปว่า “ให้เขาแสดงออกโดยความประพฤติที่ดี คือการกระทำด้วยความอ่อนโยนที่เกิดจากสติปัญญา” (ยากอบ 3:13) ตัวอย่างของพระเยซูแสดงให้เห็นว่าท่านเอาสติปัญญาของพระเจ้าไปใช้ ให้เรามาดูว่าพระเยซูใช้สติปัญญายังไงในการใช้ชีวิตและการปฏิบัติกับคนอื่น
17. อะไรแสดงว่าพระเยซูเป็นคนที่สมดุลอยู่เสมอ?
17 คุณอาจเห็นว่าคนที่ไม่มีสติปัญญาจะเป็นคนที่เข้มงวดและมักจะพูดหรือทำอะไรแบบไม่มีเหตุผล แต่พระเยซูเป็นคนที่สมดุลเสมอเพราะท่านเลียนแบบสติปัญญาของพระเจ้า นอกจากนั้น ท่านมองว่าการรับใช้พระยะโฮวาสำคัญที่สุดในชีวิต ท่านขยันทำงานประกาศข่าวดี พระเยซูบอกว่า “ที่ผมมาก็เพื่อทำงานนี้” (มาระโก 1:38) เห็นชัดว่าทรัพย์สินเงินทองไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับท่านและดูเหมือนว่าท่านไม่มีสิ่งของอะไรมากมาย (มัทธิว 8:20) แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูไม่มีของดี ๆ ใช้หรือไม่ได้ทำอะไรสนุก ๆ เลย ท่านเป็นคนร่าเริงและทำให้คนอื่นมีความสุขเหมือนกับพ่อของท่านที่เป็น “พระเจ้าผู้มีความสุข” (1 ทิโมธี 1:11; 6:15) เมื่อพระเยซูไปงานเลี้ยงซึ่งมักจะมีดนตรี การร้องเพลง และบรรยากาศที่สนุกสนาน ท่านก็ไม่ได้ไปทำให้งานนั้นหมดสนุกและตอนที่เหล้าองุ่นหมด ท่านก็เปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นอย่างดีซึ่งเป็นสิ่งที่ “ทำให้ใจมนุษย์เบิกบาน” (สดุดี 104:15; ยอห์น 2:1-11) มีหลายครั้งที่พระเยซูถูกเชิญไปกินอาหารและท่านก็มักจะใช้โอกาสนั้นเพื่อสอนด้วย—ลูกา 10:38-42; 14:1-6
18. พระเยซูแสดงว่าท่านมีสติปัญญายังไงตอนที่ปฏิบัติกับพวกสาวก?
18 พระเยซูแสดงให้เห็นว่าท่านมีสติปัญญามากจริง ๆ ตอนที่ท่านปฏิบัติกับคนอื่น ท่านเข้าใจความคิด ความรู้สึกและแรงกระตุ้นของสาวกอย่างดี ถึงแม้พวกเขาจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ท่านก็ยังเห็นคุณลักษณะที่ดีของพวกเขาและท่านรู้ด้วยว่าแต่ละคนที่พระยะโฮวาชักนำเข้ามาเป็นคนแบบไหน (ยอห์น 6:44) ถึงบางครั้งพวกสาวกจะทำผิดพลาดแต่พระเยซูก็ยังไว้ใจพวกเขาโดยให้พวกเขาทำงานมอบหมายที่สำคัญคือการประกาศข่าวดี และท่านก็มั่นใจว่าพวกเขาจะทำงานนี้สำเร็จ (มัทธิว 28:19, 20) เมื่อเราอ่านหนังสือกิจการ เราเห็นว่าพวกสาวกทำงานที่พระเยซูมอบหมายอย่างซื่อสัตย์ (กิจการ 2:41, 42; 4:33; 5:27-32) นี่ทำให้เราเห็นว่าพระเยซูมีสติปัญญาจริง ๆ
19. พระเยซูแสดงให้เห็นยังไงว่าท่าน “เป็นคนอ่อนโยนและถ่อมตัว”?
19 ในบท 20 เราได้เรียนว่าคนที่มีสติปัญญาแท้จะเป็นคนถ่อมและอ่อนโยน พระยะโฮวาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องความถ่อมและอ่อนโยน พระเยซูก็เป็นอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน เราประทับใจมากเมื่อเห็นว่าท่านแสดงความถ่อมตอนที่ปฏิบัติกับสาวกของท่าน ถึงแม้จะเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ แต่ท่านก็ไม่คิดว่าตัวเองดีกว่าพวกเขา ท่านไม่อยากให้พวกเขาคิดว่าตัวเองไม่สำคัญหรือทำอะไรก็ไม่สำเร็จ แต่ท่านคิดถึงข้อจำกัดของพวกเขาและอดทนตอนที่พวกเขาทำผิดพลาด (มาระโก 14:34-38; ยอห์น 16:12) แม้แต่เด็ก ๆ ก็ชอบอยู่กับพระเยซู ทำไม? พวกเขาอยากอยู่ใกล้ท่านเพราะรู้สึกว่าท่าน “เป็นคนอ่อนโยนและถ่อมตัว”—มัทธิว 11:29; มาระโก 10:13-16
20. พระเยซูแสดงว่าเป็นคนมีเหตุผลยังไงตอนที่ปฏิบัติกับผู้หญิงต่างชาติที่ลูกสาวถูกผีสิง?
20 พระเยซูเลียนแบบความถ่อมของพระยะโฮวาโดยเป็นคนมีเหตุผลและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยน ท่านแสดงความเมตตาเมื่อเห็นว่าเหมาะที่จะทำอย่างนั้น ขอคิดถึงตัวอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนยิว เธอขอให้พระเยซูรักษาลูกสาวที่ถูกผีสิง แต่ท่านพยายามปฏิเสธ ตอนแรก ท่านไม่ตอบอะไรเลยตอนที่ผู้หญิงคนนี้ขอให้ช่วย หลังจากนั้นพระเยซูก็บอกเธอว่าพระเจ้าส่งท่านมาเพื่อช่วยคนยิวไม่ใช่คนต่างชาติ และสุดท้ายท่านก็ใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อแสดงให้เห็นอย่างกรุณาว่าทำไมท่านถึงไม่ช่วยเธอ แต่ผู้หญิงคนนี้มีความเชื่อมากเธอเลยไม่เลิกขอให้พระเยซูช่วย แล้วพระเยซูทำยังไง? ท่านช่วยรักษาลูกสาวของเธอให้หายทั้ง ๆ ที่ตอนแรกท่านบอกว่าจะไม่ช่วย (มัทธิว 15:21-28) พระเยซูถ่อมมากจริง ๆ และคนถ่อมเท่านั้นที่จะมีสติปัญญาแท้
21. ทำไมเราควรเลียนแบบคุณลักษณะ คำพูด และการกระทำของพระเยซู?
21 เราขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ ที่บอกเราหลายอย่างเกี่ยวกับพระเยซูซึ่งเป็นคนฉลาดที่สุดในโลก คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรารู้ว่าท่านพูดและทำอะไรบ้าง ให้เราจำไว้ว่าพระเยซูเลียนแบบพ่อของท่านอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ถ้าเราเลียนแบบคุณลักษณะของพระเยซูทั้งคำพูดและการกระทำ เราก็กำลังเลียนแบบสติปัญญาของพระยะโฮวาด้วย ในบทต่อไปให้มาดูกันว่าเราจะเอาสติปัญญาของพระเจ้ามาใช้ในชีวิตได้ยังไง?
a ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ช่างไม้ถูกจ้างให้สร้างบ้าน ทำเฟอร์นิเจอร์ และทำเครื่องมือการเกษตร นักเขียนคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ประมาณ 100 ปีหลังจากพระเยซูเสียชีวิตได้เขียนเกี่ยวกับท่านว่า “ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านทำงานเป็นช่างไม้ งานที่ท่านทำเป็นประจำคือ ทำคันไถและแอก”
b คำกริยาภาษากรีกที่แปลว่า “กังวล” หมายถึง “ความหนักใจที่ทำให้จิตใจคนเราแบ่งแยก ไขว้เขว” ในมัทธิว 6:25 คำนี้ใช้กับคนที่กังวลมากจนไม่คิดถึงเรื่องอื่นและทำให้เขาไม่มีความสุข
c แพทย์หลายคนเห็นว่าการเครียดมากเกินไปอาจทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและอีกหลายโรคที่อาจทำให้ตายเร็วขึ้น
-
-
“สติปัญญาจากเบื้องบน” มีผลกับชีวิตของคุณไหม?เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 22
“สติปัญญาจากเบื้องบน” มีผลกับชีวิตของคุณไหม?
1-3. (ก) โซโลมอนแสดงให้เห็นว่ามีสติปัญญายังไงตอนที่เขาตัดสินคดีระหว่างผู้หญิงสองคน? (ข) พระยะโฮวาสัญญาว่าจะให้อะไรกับเรา และเราจะคุยอะไรกันบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้?
มีผู้หญิงสองคนอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ทั้งสองคลอดลูกชายในเวลาใกล้เคียงกันแต่เด็กคนหนึ่งตาย ผู้หญิงสองคนนี้ต่างก็อ้างว่าเป็นแม่ของเด็กที่ยังมีชีวิตอยู่a ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ผู้พิพากษาพยายามค้นหาความจริงแต่ก็ทำไม่ได้ ในที่สุดผู้หญิงสองคนนี้ก็มาขอให้โซโลมอนกษัตริย์ของอิสราเอลช่วยตัดสินคดีนี้ แล้วเขาจะบอกได้ไหมว่าใครเป็นแม่จริง ๆ?
2 หลังจากฟังผู้หญิงทั้งสองคนเถียงกันสักพักหนึ่ง โซโลมอนบอกให้เอาดาบมา เขาสั่งให้ผ่าเด็กเป็นสองส่วนแล้วแบ่งให้พวกเธอคนละครึ่ง ผู้หญิงที่เป็นแม่ของเด็กขอร้องให้กษัตริย์ยกเด็กให้กับผู้หญิงอีกคน แต่ผู้หญิงคนนั้นบอกให้ผ่าเด็กเป็นสองส่วน นี่ทำให้โซโลมอนรู้เลยว่าใครเป็นแม่ของเด็กจริง ๆ เขารู้ว่าคนที่เป็นแม่จะรักลูกของตัวเองมาก นี่ทำให้เขาตัดสินได้อย่างถูกต้อง ลองคิดดูสิว่าคนที่เป็นแม่จะดีใจมากขนาดไหนตอนที่โซโลมอนอุ้มเด็กมาให้และบอกว่า “เธอเป็นแม่ของเด็ก”—1 พงศ์กษัตริย์ 3:16-27
3 นั่นเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดจริง ๆ เมื่อประชาชนได้ยินว่าโซโลมอนตัดสินคดีนั้นยังไง พวกเขาก็รู้สึกประทับใจมาก “เพราะเห็นว่าโซโลมอนได้รับสติปัญญาจากพระเจ้า” จนตัดสินได้อย่างยุติธรรม สติปัญญาของโซโลมอนเป็นของขวัญจากพระยะโฮวา พระองค์ให้เขามี “ปัญญาและมีความเข้าใจ” (1 พงศ์กษัตริย์ 3:12, 28) แล้วพวกเราล่ะ? พระองค์จะให้สติปัญญากับพวกเราด้วยไหม? แน่นอน เพราะโซโลมอนได้รับการดลใจให้เขียนว่า “พระยะโฮวาเป็นผู้ให้สติปัญญา” (สุภาษิต 2:6) พระองค์สัญญาว่าจะให้สติปัญญากับทุกคนที่ขอ แต่เราต้องทำอะไรเพื่อจะได้สติปัญญาจากพระยะโฮวา? และเราจะใช้สติปัญญานั้นในชีวิตยังไง?
เราต้องทำอะไรเพื่อจะได้สติปัญญาจากพระยะโฮวา
4-7. มี 4 อย่างอะไรบ้างที่เราต้องทำเพื่อจะได้สติปัญญาจากพระเจ้า?
4 เราต้องเป็นคนฉลาดมากหรือมีการศึกษาสูงไหมเพื่อจะได้สติปัญญาจากพระเจ้า? ไม่ พระยะโฮวาเต็มใจให้สติปัญญากับเราทุกคนไม่ว่าเป็นใครหรือมีความรู้มากน้อยแค่ไหน (1 โครินธ์ 1:26-29) แต่เราก็ต้องทำบางอย่างด้วยเพราะคัมภีร์ไบเบิลบอกเราให้ “เสาะหาสติปัญญา” (สุภาษิต 4:7) แล้วเราจะทำแบบนั้นได้ยังไง?
5 อย่างแรก เราต้องเกรงกลัวพระเจ้า สุภาษิต 9:10 บอกว่า “ความเกรงกลัวพระยะโฮวาเป็นจุดเริ่มต้นของสติปัญญา” ดังนั้น เพื่อจะมีสติปัญญาแท้เราต้องเกรงกลัวพระยะโฮวา ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ก่อนหน้านี้เราได้เรียนแล้วว่าเพื่อจะเป็นคนฉลาดจริง ๆ เราต้องใช้ความรู้และความเข้าใจที่จะทำสิ่งที่ดี ความเกรงกลัวพระเจ้าหมายถึงการเชื่อฟังและไว้วางใจพระองค์สุดหัวใจ ไม่ใช่กลัวว่าจะถูกพระเจ้าลงโทษ ความเกรงกลัวพระเจ้ามีประโยชน์และช่วยให้เราใช้ชีวิตสอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์อยากให้เราทำ การใช้ชีวิตแบบนี้ดีที่สุดเพราะสิ่งที่พระยะโฮวาบอกให้เราทำมีประโยชน์กับเราเสมอ
6 อย่างที่สอง เราต้องเป็นคนถ่อมและเจียมตัว มีแต่คนถ่อมเท่านั้นที่จะมีสติปัญญาจากพระเจ้าได้ (สุภาษิต 11:2) ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ถ้าเราถ่อมและเจียมตัวเราก็จะยอมรับว่าเราไม่ได้รู้ทุกอย่าง ความคิดของเราอาจไม่ถูกต้องเสมอไป และยอมรับว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะมองเรื่องต่าง ๆ แบบพระยะโฮวา คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวา “ต่อต้านคนหยิ่ง” แต่พระองค์ยินดีที่จะให้สติปัญญากับคนที่มีหัวใจถ่อม—ยากอบ 4:6
7 สิ่งสำคัญอย่างที่สามคือการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล พระยะโฮวาบอกให้เรารู้เกี่ยวกับสติปัญญาของพระองค์ในคัมภีร์ไบเบิล เพื่อจะมีสติปัญญาของพระเจ้าเราต้องพยายามค้นหาสติปัญญานั้น (สุภาษิต 2:1-5) อย่างที่สี่คือการอธิษฐาน ถ้าเราอธิษฐานขอสติปัญญาจากพระเจ้าอย่างจริงใจ พระองค์ก็จะเต็มใจให้สติปัญญากับเรา (ยากอบ 1:5) พระองค์จะให้พลังบริสุทธิ์กับเราด้วยถ้าเราอธิษฐานขอจากพระองค์ และพลังบริสุทธิ์ของพระองค์จะช่วยให้เราพบคำแนะนำที่ฉลาดในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งจะช่วยเรารับมือกับปัญหาต่าง ๆ หลีกเลี่ยงอันตราย และตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง—ลูกา 11:13
เพื่อเราจะมีสติปัญญาของพระเจ้า เราต้องพยายามค้นหาสติปัญญานั้น
8. ถ้าเรามีสติปัญญาจากพระเจ้าคนอื่นจะสังเกตเห็นอะไรบ้าง?
8 ในบท 17 เราได้เรียนว่าสติปัญญาของพระยะโฮวาเป็นประโยชน์กับเราเสมอ คนอื่นจะสังเกตเห็นได้ว่าเรามีสติปัญญาจากพระเจ้าจากสิ่งที่เราทำ ยากอบผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งอธิบายว่าคนที่มีสติปัญญาจากพระเจ้าจะเป็นคนแบบไหน เขาเขียนว่า “สติปัญญาจากเบื้องบนนั้น อย่างแรกคือบริสุทธิ์ แล้วก็ทำให้มีสันติสุข มีเหตุผล พร้อมจะเชื่อฟัง เต็มไปด้วยความเมตตา ทำให้เกิดผลดีมากมาย ไม่ลำเอียง และไม่เสแสร้ง” (ยากอบ 3:17) ตอนที่เราดูแต่ละแง่มุมของสติปัญญาของพระเจ้า เราอาจถามตัวเองว่า ‘สติปัญญาจากเบื้องบนมีผลยังไงบ้างกับชีวิตของฉัน?’
“บริสุทธิ์ แล้วก็ทำให้มีสันติสุข”
9. ความบริสุทธิ์หมายความว่ายังไง และทำไมถึงบอกได้ว่าความบริสุทธิ์เป็นคุณลักษณะแรกของสติปัญญาจากเบื้องบน?
9 “อย่างแรกคือบริสุทธิ์” เพื่อจะเป็นคนบริสุทธิ์เราต้องสะอาดทั้งด้านการกระทำ ความคิด และความรู้สึกด้วย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าสติปัญญา “เข้ามา” ในหัวใจ แต่พระยะโฮวาจะไม่ให้สติปัญญาของพระองค์กับคนที่มีความคิด ความต้องการ และเจตนาที่ชั่วร้าย (สุภาษิต 2:10; มัทธิว 15:19, 20) แต่ถ้าหัวใจเราบริสุทธิ์เท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ เราก็จะ ‘เลิกทำชั่ว และทำดี’ (สดุดี 37:27; สุภาษิต 3:7) คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เข้าใจชัดเจนว่าเพื่อจะได้สติปัญญาของพระเจ้าเราต้องเป็นคนสะอาดในทุกด้านก่อน เราถึงจะมีคุณลักษณะอื่น ๆ ของสติปัญญาจากเบื้องบนได้
10, 11. (ก) ทำไมถึงสำคัญที่เราจะมีสันติสุขกับคนอื่น? (ข) ถ้าคุณรู้สึกว่าทำให้พี่น้องโกรธคุณจะทำยังไงเพื่อจะคืนดีกับเขา? (ดูเชิงอรรถ)
10 “สันติสุข” ถ้าเรามีสติปัญญาจากพระยะโฮวาเราจะพยายามเต็มที่เพื่อจะมีสันติสุขกับคนอื่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราใช้ชีวิตตามการชี้นำจากพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า (กาลาเทีย 5:22) เราพยายามที่จะไม่ทำลาย “สันติสุขที่ผูกพัน” คนของพระยะโฮวาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน (เอเฟซัส 4:3) เรายังพยายามที่จะได้สันติสุขกลับคืนมาถ้าเรามีปัญหากับพี่น้อง ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ? คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรา “ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อ ๆ ไป แล้วพระเจ้าผู้มีความรักและเป็นผู้ให้สันติสุขจะอยู่กับพวกคุณ” (2 โครินธ์ 13:11) ดังนั้น ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างมีสันติสุขต่อ ๆ ไปพระเจ้าผู้ให้สันติสุขจะอยู่กับเรา สิ่งที่เราพูดและทำกับเพื่อนร่วมความเชื่อมีผลมากกับความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวา แต่เราจะทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่สร้างสันติได้ยังไง? ให้เรามาดูตัวอย่างหนึ่งด้วยกัน
11 คุณควรทำยังไงถ้ารู้สึกว่าทำให้พี่น้องโกรธ? พระเยซูบอกว่า “ดังนั้น ถ้าคุณเอาของถวายมาที่แท่นบูชาและนึกขึ้นได้ว่ามีคนโกรธคุณอยู่ ให้วางของถวายไว้หน้าแท่นบูชาก่อนและไปคืนดีกับเขา แล้วค่อยกลับมาถวายของนั้น” (มัดธาย 5:23, 24) ดังนั้น คุณควรเข้าไปหาพี่น้องและคุยกับเขาโดยมีเป้าหมายที่จะ “คืนดี” กับเขาb แทนที่จะบอกว่าเขาไม่มีเหตุผลเลยที่รู้สึกอย่างนั้น คุณอาจต้องไปขอโทษที่ทำให้เขาเสียใจ ถ้าคุณเข้าไปหาเขาโดยมีเป้าหมายที่จะคืนดีและพยายามที่จะได้สันติสุขกลับคืนมา พวกคุณก็จะแก้ไขเรื่องที่เข้าใจผิดกันได้ พร้อมจะขอโทษและให้อภัยกัน เมื่อคุณพยายามเต็มที่เพื่อจะคืนดีกับพี่น้อง คุณก็แสดงให้เห็นว่าคุณใช้ชีวิตตามสติปัญญาของพระเจ้า
“มีเหตุผล พร้อมจะเชื่อฟัง”
12, 13. (ก) คำว่า “มีเหตุผล” ที่ยากอบ 3:17 มีความหมายว่ายังไง? (ข) เราจะแสดงให้เห็นยังไงว่าเราเป็นคนมีเหตุผล?
12 “มีเหตุผล” การมีเหตุผลหมายถึงอะไร? นักวิชาการบอกว่าคำภาษากรีกที่แปลว่า “มีเหตุผล” ในยากอบ 3:17 เป็นคำที่แปลยาก คำนี้อาจหมายถึง “อ่อนโยน” “อดทนอดกลั้น” หรือ “กรุณา” เราจะแสดงให้เห็นยังไงว่าเป็นคนมีเหตุผล?
13 ฟีลิปปี 4:5 บอกว่า “ให้คนอื่นเห็นว่าพวกคุณเป็นคนมีเหตุผล” ข้อนี้แสดงว่าแค่เราคิดว่าเราเป็นคนมีเหตุผลยังไม่พอ แต่ที่สำคัญคือคนอื่นมองเรายังไง เราได้ชื่อว่าเป็นคนมีเหตุผลไหม คนที่มีเหตุผลจะไม่ยืนกรานให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎอย่างเคร่งครัดหรือเรียกร้องให้คนอื่นทำตามที่เขาต้องการเสมอ แต่เขาเต็มใจรับฟังคนอื่นและเมื่อเห็นว่าเหมาะสมก็ยอมทำตามที่คนอื่นต้องการ เขาจะอ่อนโยนและไม่หยาบคายกับคนอื่นด้วย ถึงแม้เรื่องนี้สำคัญสำหรับคริสเตียนทุกคน แต่สำคัญเป็นพิเศษสำหรับผู้ดูแล เพราะถ้าเขาอ่อนโยนคนอื่นก็อยากเข้ามาหาและคุยกับเขาได้ง่ายขึ้น (1 เธสะโลนิกา 2:7, 8) เราทุกคนควรถามตัวเองว่า ‘คนอื่นคิดว่าฉันเป็นคนเห็นอกเห็นใจ ยอมคนอื่น และอ่อนโยนไหม?’
14. เราจะแสดงให้เห็นได้ยังไงว่าเรา “พร้อมจะเชื่อฟัง”?
14 “พร้อมจะเชื่อฟัง” คำภาษากรีกที่แปลว่า “พร้อมจะเชื่อฟัง” มีอยู่แค่ครั้งเดียวในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก นักวิชาการคนหนึ่งบอกว่า คำนี้ “ใช้บ่อยครั้งกับทหารที่พร้อมจะเชื่อฟังคำสั่ง” คำนี้ยังถ่ายทอดความคิดเกี่ยวกับการเป็นคน “ว่านอนสอนง่าย” ด้วย คนที่ใช้ชีวิตตามสติปัญญาของพระเจ้าพร้อมจะเชื่อฟังสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอก คนอื่นมองว่าเขาเป็นคนไม่เอาความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ และถ้ามีหลักฐานชัดเจนจากคัมภีร์ไบเบิลที่แสดงว่าเขาตัดสินใจผิดหรือทำอะไรผิดไป เขาก็พร้อมจะเปลี่ยนทันที คนอื่นมองว่าคุณเป็นอย่างนั้นไหม?
“เต็มไปด้วยความเมตตา ทำให้เกิดผลดีมากมาย”
15. ความเมตตาคืออะไร และทำไมถึงเหมาะที่ยากอบ 3:17 พูดถึง “ความเมตตา” และ “เกิดผลดี” พร้อมกัน?
15 “เต็มไปด้วยความเมตตา ทำให้เกิดผลดีมากมาย” ความเมตตาเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของสติปัญญาจากเบื้องบน เพราะคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าสติปัญญา “เต็มไปด้วยความเมตตา” สังเกตว่ามีการพูดถึง “ความเมตตา” และ “เกิดผลดี” พร้อมกัน เรื่องนี้เหมาะมากเพราะคัมภีร์ไบเบิลมักจะใช้คำว่า “เมตตา” เพื่ออธิบายเกี่ยวกับคนที่สงสารคนอื่นและอยากจะทำหลายอย่างเพื่อช่วยเขา พจนานุกรมเล่มหนึ่งอธิบายความหมายของความเมตตาว่าเป็น “ความรู้สึกทุกข์ใจเมื่อเห็นใครบางคนเจอเรื่องแย่ ๆ และพยายามทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเขา” ดังนั้น คนที่มีสติปัญญาของพระเจ้าจะไม่สนใจที่ข้อเท็จจริงและข้อมูลบางอย่างเท่านั้น แต่เขาจะสนใจความรู้สึกของคนอื่น เขาจะแสดงความเมตตาและเห็นอกเห็นใจคนอื่นด้วย แล้วเราจะแสดงว่าเราเมตตาคนอื่นได้ยังไง?
16, 17. (ก) นอกจากความรักต่อพระเจ้าแล้ว อะไรกระตุ้นเราให้มีส่วนร่วมในงานประกาศ และทำไม? (ข) เราแสดงให้เห็นยังไงอีกว่าเรามีความเมตตา?
16 วิธีหนึ่งที่สำคัญคือการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า อะไรกระตุ้นเราให้ทำงานนี้? อย่างแรกคือความรักต่อพระเจ้า และเราก็อยากทำงานนี้เพราะเราสงสารคนอื่นด้วย (มัทธิว 22:37-39) หลายคนในทุกวันนี้ “ถูกขูดรีดและถูกทอดทิ้งเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง” (มัทธิว 9:36) พวกหัวหน้าศาสนาไม่สนใจและปิดหูปิดตาพวกเขาไม่ให้รู้ความจริงจากคำสอนของพระเจ้า พวกเขาเลยไม่ได้รับการชี้นำจากสติปัญญาของพระเจ้าและไม่รู้สิ่งดีต่าง ๆ ที่รัฐบาลของพระเจ้าจะทำให้เกิดขึ้นบนโลกนี้ เมื่อเราคิดถึงว่ามีหลายคนที่ต้องได้ยินข่าวดี เราก็ยิ่งรู้สึกสงสารพวกเขาและอยากจะพยายามเต็มที่ที่จะบอกพวกเขาเรื่องความประสงค์ของพระยะโฮวา
เมื่อเราเมตตาหรือสงสารคนอื่น นั่นแสดงว่าเรามี “สติปัญญาจากเบื้องบน”
17 มีวิธีอื่นอีกไหมที่เราจะแสดงความเมตตาได้? ให้เรานึกถึงตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูเรื่องคนสะมาเรียที่เจอผู้ชายคนหนึ่งนอนอยู่ข้างถนนเพราะถูกปล้นและถูกทำร้าย พอคนสะมาเรียเห็นแบบนั้นก็รู้สึกสงสารและ “ช่วยเหลือเขา” โดยพันแผลให้คนที่ถูกทำร้ายและดูแลเขาอย่างดี (ลูกา 10:29-37) เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าความเมตตาเกี่ยวข้องกับการลงมือให้ความช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรา “ทำดีกับทุกคน โดยเฉพาะกับพี่น้องร่วมความเชื่อของเรา” (กาลาเทีย 6:10) ลองคิดถึงบางอย่างที่คุณอาจทำได้ เช่น พี่น้องสูงอายุอาจจำเป็นต้องมีคนช่วยพาไปหอประชุม แม่ม่ายในประชาคมอาจต้องการคนมาช่วยซ่อมแซมบ้าน (ยากอบ 1:27) คนที่ท้อใจอาจต้องการ “คำพูดดี ๆ” เพื่อจะมีกำลังใจ (สุภาษิต 12:25) เมื่อเราแสดงความเมตตาในวิธีต่าง ๆ แบบนี้ เราก็แสดงให้เห็นว่าเราใช้ชีวิตตามสติปัญญาจากพระเจ้าจริง ๆ
“ไม่ลำเอียง และไม่เสแสร้ง”
18. ถ้าเราใช้ชีวิตตามสติปัญญาของพระเจ้าเราจะขจัดอะไรจากใจเรา และทำไม?
18 “ไม่ลำเอียง” สติปัญญาของพระเจ้าช่วยเราไม่ให้คิดว่าเราดีกว่าคนอื่นที่มีเชื้อชาติหรือสีผิวต่างจากเรา ถ้าเราใช้ชีวิตตามสติปัญญาของพระเจ้า เราก็จะพยายามขจัดความลำเอียงออกจากใจเรา (ยากอบ 2:9) เราไม่ทำดีเฉพาะกับคนที่มีการศึกษา คนรวย หรือคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในประชาคมเท่านั้น และเราจะไม่ดูถูกพี่น้องร่วมความเชื่อของเราถึงเขาจะดูเป็นคนที่ไม่สำคัญอะไร ถ้าพระยะโฮวาเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มารับความรักของพระองค์แล้ว เราก็น่าจะรักพวกเขาด้วยเหมือนกัน
19, 20. (ก) คำภาษากรีกที่แปลว่า “เสแสร้ง” มีที่มายังไง? (ข) เราจะแสดงว่าเรามี “ความรักอย่างจริงใจแบบพี่น้อง” ได้ยังไง และทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ?
19 “ไม่เสแสร้ง” คำภาษากรีกที่แปลว่า “เสแสร้ง” หมายถึง “นักแสดงบนเวที” ในสมัยก่อน นักแสดงกรีกและโรมันจะสวมหน้ากากขนาดใหญ่ตอนแสดงบนเวที ดังนั้น คำภาษากรีกที่แปลว่า “เสแสร้ง” เลยใช้กับคนที่ไม่จริงใจ หรือคนที่พยายามหลอกคนอื่น ถ้าเรามีสติปัญญาของพระเจ้า เราก็จะไม่ทำแบบนั้นกับพี่น้องของเรา และสติปัญญานี้ยังมีผลกับความรู้สึกที่เรามีกับพี่น้องด้วย
20 อัครสาวกเปโตรบอกว่า การที่เรา “เชื่อฟังความจริง” น่าจะทำให้เรามี “ความรักอย่างจริงใจแบบพี่น้อง” (1 เปโตร 1:22) ความรักที่เรามีต่อพี่น้องต้องไม่เห็นได้จากภายนอกเท่านั้น เราจะไม่ทำเป็นว่ารักพี่น้องเพื่อทำให้ตัวเองดูดี ความรักของเราต้องเป็นแบบที่ออกมาจากใจจริง ๆ ถ้าเราทำแบบนั้น พี่น้องก็จะไว้ใจเราเพราะพวกเขาเห็นว่าเราจริงใจกับเขา นี่จะทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้อง และเราก็จะรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในประชาคม
“รักษาสติปัญญา . . . เอาไว้”
21, 22. (ก) มีอะไรที่ทำให้เราเห็นว่าโซโลมอนไม่ได้รักษาสติปัญญาไว้? (ข) เราจะรักษาสติปัญญาไว้ได้ยังไง และการทำแบบนั้นมีประโยชน์อะไร?
21 สติปัญญาเป็นของขวัญจากพระยะโฮวา ดังนั้น เราควรรักษาเอาไว้ โซโลมอนบอกว่า “ลูกพ่อ . . . รักษาสติปัญญากับความสุขุมรอบคอบเอาไว้” (สุภาษิต 3:21) แต่โซโลมอนก็ไม่ได้ทำแบบนั้น ถ้าเขาเชื่อฟังพระยะโฮวาเสมอเขาจะมีสติปัญญา ในที่สุด พวกภรรยาต่างชาติก็ทำให้เขาไม่ได้นมัสการพระยะโฮวาอย่างที่พระองค์ยอมรับอีกต่อไป (1 พงศ์กษัตริย์ 11:1-8) สิ่งที่เกิดขึ้นกับโซโลมอนแสดงให้เห็นว่าความรู้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเราไม่ได้เอามันไปใช้
22 เราจะรักษาสติปัญญาเอาไว้ได้ยังไง? แค่การอ่านคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือต่าง ๆ ที่ “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” เตรียมให้นั้นยังไม่พอ เราต้องพยายามเอาสิ่งที่เรียนไปใช้ด้วย (มัทธิว 24:45) เรามีเหตุผลมากมายที่จะเอาสติปัญญาของพระเจ้ามาใช้ในชีวิต นี่จะช่วยให้เรามีความสุขในตอนนี้ และทำให้เรา “ยึดความหวังเรื่องชีวิตแท้ไว้ให้มั่น” นั่นคือชีวิตในโลกใหม่ (1 ทิโมธี 6:19) และสำคัญที่สุด การเอาสติปัญญาของพระเจ้าไปใช้จะทำให้เราใกล้ชิดมากขึ้นกับพระยะโฮวาผู้ให้สติปัญญากับเรา
a 1 พงศ์กษัตริย์ 3:16 บอกว่าผู้หญิงทั้งสองคนเป็นโสเภณี หนังสือการหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “ในภาษาฮีบรู ผู้หญิงสองคนนี้ถูกพูดถึงว่าเป็นโสเภณี ซึ่งอาจไม่ใช่ในแง่ของการค้าประเวณี แต่เป็นผู้หญิงที่ทำผิดศีลธรรมทางเพศ ทั้งสองคนอาจเป็นคนยิวหรืออาจเป็นคนต่างชาติก็ได้”—จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา
-