บทเจ็ด
“เราจะทำให้คนที่เหน็ดเหนื่อยสดชื่น”
1. คุณคอยท่าพระพรอะไรเป็นพิเศษในโลกใหม่?
“โลกใหม่.” เมื่อได้ยินคำนี้ คุณนึกภาพพระพรบางอย่างซึ่งมีการบอกไว้ล่วงหน้าไหม? อาจจะคิดถึงร่างกายที่สมบูรณ์, อาหารที่เป็นประโยชน์มีบริบูรณ์, สัตว์ที่อยู่กันอย่างสันติ, หรือที่อยู่อาศัยอันปลอดภัย. คุณคงจะอ้างถึงข้อคัมภีร์ที่เป็นพื้นฐานสำหรับความหวังดังกล่าวได้. อย่างไรก็ดี ขออย่ามองข้ามพระพรที่ว่า จะมีสุขภาพที่ดีทางฝ่ายวิญญาณและทางด้านอารมณ์. หากไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว ความยินดีอื่น ๆ ทั้งหมดก็จะเลือนหายไปในไม่ช้า.
2, 3. หนังสือที่ยิระมะยาห์เขียนช่วยเราให้คาดหมายพระพรพิเศษอะไร?
2 เมื่อให้ยิระมะยาห์บอกล่วงหน้าถึงชาวยิวที่กลับจากบาบิโลน พระเจ้าทรงให้ท่านชี้แจงว่าพวกเขาจะรู้สึก ดังที่กล่าวไว้ในยิระมะยา 31:4 (ล.ม.) ว่า “เจ้าจะถือรำมะนาแล้วออกไปเต้นรำกับคนที่ยินดี.” (อ่านยิระมะยา 30:18, 19; 31:4, 12-14 ) พระเจ้ายังตรัสอะไรบางอย่างที่ทำให้ซาบซึ้งใจที่ว่า “เราจะทำให้คนที่เหน็ดเหนื่อยสดชื่นและเราจะช่วยทุกคนที่ท้อแท้และอิดโรยให้สุขกายสบายใจ.”—ยิระ. 31:25, ล.ม.
3 ช่างเป็นคำสัญญาอันยอดเยี่ยมจริง ๆ! พระยะโฮวาตรัสว่าจะทำให้คนที่เหน็ดเหนื่อยและหมดกำลังใจสดชื่นหรือสนองความต้องการของเขาอย่างบริบูรณ์. ใช่แล้ว พระเจ้าทรงสัญญาไว้อย่างไรก็ทรงทำอย่างนั้น. หนังสือที่ยิระมะยาห์เขียนทำให้เรามั่นใจว่าเราจะอิ่มเอมด้วยเช่นกัน. ยิ่งกว่านั้น หนังสือเหล่านั้นทำให้เข้าใจว่า เราจะมีกำลังใจและมองในแง่ดีได้อย่างไรแม้แต่ในขณะนี้ และยังแสดงให้เห็นวิธีต่าง ๆ ที่เราอาจหนุนกำลังใจคนอื่น ช่วยทำให้คนที่เหน็ดเหนื่อยรู้สึกสดชื่นได้.
4. เหตุใดเราจึงเข้าใจความรู้สึกของยิระมะยาห์ได้?
4 คำสัญญานั้นทำให้ยิระมะยาห์ได้รับการปลอบโยน และทำให้เราได้รับการปลอบโยนเช่นกัน. เพราะเหตุใด? ขอนึกถึงจุดสำคัญที่กล่าวในบท 1 ของหนังสือนี้ที่ว่า ยิระมะยาห์เป็น “มนุษย์เหมือนเรา” เช่นเดียวกับเอลียาห์. (ยโก. 5:17) ขอให้คิดถึงเหตุผลเพียงไม่กี่อย่างที่บางครั้งยิระมะยาห์อาจรู้สึกท้อแท้หรือถึงกับหดหู่ใจบ้าง. ขณะที่ทำเช่นนั้น ลองนึกดูสิว่าคุณคงจะรู้สึกอย่างไรเมื่ออยู่ในสถานการณ์คล้ายกันและเหตุใดสภาพการณ์ที่คุณเผชิญอาจทำให้คุณท้อใจ.—โรม 15:4
5. อะไรอาจทำให้ยิระมะยาห์ท้อใจ?
5 ที่ยิระมะยาห์ท้อใจนั้นส่วนหนึ่งอาจมาจากบ้านเกิดของท่าน. ท่านเติบโตในเมืองอะนาโธธ. นี่เป็นเมืองของชาวเลวีอยู่ห่างจากเยรูซาเลมทางตะวันออกเฉียงเหนือไม่กี่กิโลเมตร. ท่านผู้พยากรณ์คงมีคนรู้จักคุ้นเคยและบางทีมีญาติอยู่ในอะนาโธธ. พระเยซูตรัสว่าผู้พยากรณ์ไม่ได้รับความนับถือในบ้านเกิดของตน และก็เป็นเช่นนี้กับยิระมะยาห์. (โย. 4:44) ชาวเมืองไม่เพียงแต่ไม่สนใจและไม่นับถือยิระมะยาห์เท่านั้น. ครั้งหนึ่ง พระเจ้าได้ตรัสว่า ‘พวกชายของเมืองอะนาโธธได้เสาะหาชีวิต [ของยิระมะยาห์].’ พวกเขาได้พูดอย่างก้าวร้าวว่า “เจ้าอย่าได้ทำนายความในนามพระยะโฮวา, เพื่อเจ้าจะไม่ถึงตายด้วยมือของพวกเรา.” ช่างเป็นคำข่มขู่ที่น่ากลัวจริง ๆ จากเพื่อนบ้านและบางทีอาจเป็นญาติพี่น้องซึ่งน่าจะอยู่ฝ่ายท่าน!—ยิระ. 1:1; 11:21
6. หากเพื่อนร่วมงานหรือคนอื่นต่อต้านคุณ คุณจะได้รับประโยชน์อย่างไรจากวิธีที่ยิระมะยาห์รับมือกับ “พวกชายของเมืองอะนาโธธ”?
6 หากคุณรู้สึกว่าได้รับการกดดันจากเพื่อนบ้าน, เพื่อนนักเรียน, เพื่อนร่วมงาน, หรือแม้แต่สมาชิกบางคนในครอบครัว ขอให้มีกำลังใจโดยนึกถึงวิธีที่พระยะโฮวาทรงปฏิบัติกับยิระมะยาห์. ย้อนไปในสมัยนั้น พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะ “ลงโทษ” คนเหล่านั้นในเมืองอะนาโธธที่ได้ต่อต้านผู้พยากรณ์ของพระองค์. (อ่านยิระมะยา 11:22, 23 ) แน่นอนว่า คำรับรองของพระเจ้าช่วยยิระมะยาห์ให้เอาชนะความท้อใจใด ๆ ที่เกิดจากการต่อต้านในท้องถิ่น. ภายหลัง พระเจ้าก็ได้ลงโทษอย่างนั้นจริงโดย “ทำความร้ายเหนือพวกชายของเมืองอะนาโธธนั้น.” ในกรณีของคุณ ขอให้มั่นใจว่าพระยะโฮวาทรงสังเกตและจะลงโทษพวกเขา. (เพลง. 11:4; 66:7) การที่คุณยึดอยู่กับคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลและทำสิ่งที่ถูกต้องอาจช่วยผู้ต่อต้านบางคนให้หลีกเลี่ยงความหายนะซึ่งจะเกิดขึ้นกับเขาถ้าไม่กลับใจ.—1 ติโม. 4:16
ในหนังสือยิระมะยา มีอะไรบ่งชี้ว่าพระเจ้าทรงสนพระทัยความรู้สึกของประชาชนของพระองค์ และเรื่องนี้อาจได้ช่วยผู้พยากรณ์อย่างไร?
การกระทำที่ทำให้ท้อใจได้
7, 8. ยิระมะยาห์ถูกทำร้ายเช่นไรบ้าง และนั่นทำให้ท่านรู้สึกอย่างไร?
7 ยิระมะยาห์เผชิญไม่เพียงคำข่มขู่จากผู้คนในบ้านเกิดเท่านั้น. เหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวข้องกับชายผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเลม เป็นปุโรหิตชื่อปัศฮูร (พัชฮูร์). เมื่อได้ยินคำพยากรณ์จากพระเจ้า “พัชฮูร์ก็ตีผู้พยากรณ์ยิระมะยาห์และเอาเขาไปใส่ขื่อ.” (ยิระ. 20:1, 2, ล.ม. ) คำว่า “ตี” คงไม่ได้หมายความแค่การตบหน้า. บางคนลงความเห็นว่าปัศฮูรได้สั่งให้ตีหรือเฆี่ยนยิระมะยาห์ถึง 40 ที. (บัญ. 25:3) ระหว่างที่ยิระมะยาห์ถูกทำร้ายร่างกาย ผู้คนอาจเยาะเย้ยและตะโกนด่า ถึงกับบ้วนน้ำลายใส่ท่าน. แต่ไม่จบแค่นั้น. ปัศฮูรได้จับยิระมะยาห์ใส่ “ขื่อ” ตลอดทั้งคืน. คำภาษาฮีบรูที่ใช้บ่งชี้ว่าร่างกายถูกบิดและโก่ง. ใช่แล้ว ยิระมะยาห์ต้องทรมานทั้งคืน เพราะติดอยู่ในขื่อ.
8 การปฏิบัติดังกล่าวทำให้ยิระมะยาห์รู้สึกอย่างไร? ท่านได้ทูลพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าได้ถูกความดูหมิ่นทุกวัน.” (ยิระ. 20:3-7) ท่านถึงกับคิดว่าจะไม่พูดในนามของพระเจ้าอีก. อย่างไรก็ดี คุณทราบว่ายิระมะยาห์ไม่อาจหยุดพูดและท่านก็ไม่ได้หยุดพูด. แทนที่จะทำเช่นนั้น ข่าวสารที่พระเจ้ามอบหมายให้ท่านประกาศเป็น “เหมือนอย่างไฟปิดไว้ในกะดูก [ของยิระมะยาห์]” และท่านต้องพูดแทนพระยะโฮวา.—อ่านยิระมะยา 20:8, 9
9. เหตุใดจึงเป็นประโยชน์ที่เราจะไตร่ตรองดูประสบการณ์ของยิระมะยาห์?
9 เรื่องราวนั้นสามารถช่วยได้หากเราเผชิญการเยาะเย้ยแบบมุ่งร้ายจากคนที่เรารู้จัก ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง, เพื่อนบ้าน, เพื่อนร่วมงาน, หรือเพื่อนนักเรียน. เราไม่ควรแปลกใจหากบางครั้งการต่อต้านเช่นนั้นทำให้เรารู้สึกท้อใจอยู่บ้าง. เราอาจท้อใจด้วยเมื่อถูกทำร้ายร่างกายเนื่องจากการนมัสการแท้. ยิระมะยาห์ซึ่งเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ได้รับผลกระทบจากการถูกทำร้ายดังกล่าว แล้วเราก็เป็นมนุษย์ซึ่งมีความรู้สึกเหมือนท่านมิใช่หรือ? แต่เราต้องไม่ลืมว่าด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า ยิระมะยาห์กลับมีความยินดีและความมั่นใจอีกครั้ง. ท่านไม่ได้ท้อใจตลอดไป และเราก็ไม่ต้องรู้สึกท้อใจตลอดไปเช่นกัน.—2 โค. 4:16-18
10. คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของยิระมะยาห์?
10 บางครั้งอารมณ์ความรู้สึกของยิระมะยาห์เปลี่ยนไปมากทีเดียว. คุณเคยต้องรับมือกับอารมณ์แบบนั้นไหม บางทีรู้สึกร่าเริงและมองในแง่ดี แต่แล้วก็รู้สึกหดหู่เศร้าหมอง? ขอสังเกตถ้อยคำที่ยิระมะยา 20:12, 13 (อ่าน ) เกี่ยวกับความรู้สึกในแง่ดีของท่าน. หลังจากถูกปัศฮูรเล่นงานแล้ว ยิระมะยาห์รู้สึกชื่นชมยินดีที่เป็นเหมือนคนยากจนซึ่งได้รับการช่วยให้ “ออกจากมือคนทำร้าย.” บางครั้ง คุณเคยรู้สึกปีติยินดี อยากร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา หลังจากที่คุณได้รับการช่วยให้พ้นวิกฤตการณ์บางอย่างหรือไม่ก็ประสบช่วงที่น่ายินดีในชีวิตหรือในงานรับใช้คริสเตียน. เป็นความรู้สึกที่ดีเยี่ยมจริง ๆ!—กิจ. 16:25, 26
การต่อต้านหรือการเยาะเย้ยอาจทำให้คุณรู้สึกอย่างไร?
11. หากอารมณ์ของเราแปรปรวน เราควรจำอะไรไว้เกี่ยวกับยิระมะยาห์?
11 แต่เนื่องจากไม่สมบูรณ์ อารมณ์ความรู้สึกของเราอาจเปลี่ยนไปเหมือนยิระมะยาห์. หลังจากเปล่งเสียงออกมาว่า “จงร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา” แล้ว ท่านรู้สึกสิ้นหวัง บางทีถึงกับร้องไห้. (อ่านยิระมะยา 20:14-16 ) ท่านรู้สึกหดหู่ใจจนสงสัยว่าท่านเกิดมาเพื่ออะไร! ท่านพูดด้วยความหม่นหมองว่าชายที่แจ้งข่าวการกำเนิดของท่านเป็นคนที่น่าสังเวชเหมือนเมืองโซโดมและโกโมร์ราห์. แต่ในเรื่องนี้มีประเด็นสำคัญที่ว่า ยิระมะยาห์สิ้นหวังเรื่อยไปไหม? ท่านยอมแพ้ โดยรู้สึกว่าต้องจมปลักอยู่กับความท้อแท้ไหม? ไม่เลย. แต่ท่านคงต้องพยายามเอาชนะความท้อแท้ และท่านได้ประสบผลสำเร็จ. ขอพิจารณาสิ่งที่หนังสือยิระมะยากล่าวต่อจากนั้น. ปัศฮูรอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้านายได้เข้าไปหายิระมะยาห์พร้อมกับคำถามของกษัตริย์ซิดคียาเกี่ยวกับเรื่องที่ชาวบาบิโลนล้อมกรุงเยรูซาเลม. แทนที่จะหวาดกลัว ยิระมะยาห์ได้ประกาศอย่างกล้าหาญเรื่องการพิพากษาของพระยะโฮวาและผลที่จะเกิดขึ้น. (ยิระ. 21:1-7) เห็นได้ชัด ยิระมะยาห์ยังคงทำงานต่อไปฐานะผู้พยากรณ์!
12, 13. เราอาจทำเช่นไรเพื่อรับมือกับอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเอง?
12 ผู้รับใช้บางคนของพระเจ้าในทุกวันนี้มีอารมณ์แปรปรวน ซึ่งอาจมีสาเหตุทางกาย บางทีเกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลันในระดับฮอร์โมนหรือความไม่สมดุลของระบบชีวเคมี และแพทย์ที่เชี่ยวชาญอาจแนะวิธีป้องกันไม่ให้อารมณ์เปลี่ยนไปมาก. (ลูกา 5:31) แต่สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ ความรู้สึกร่าเริงเบิกบานหรือเศร้าหมองเป็นครั้งคราวไม่ใช่เรื่องสุดโต่งหรือผิดปกติ. ความรู้สึกต่าง ๆ ในแง่ลบส่วนใหญ่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติในชีวิตมนุษย์ไม่สมบูรณ์. ความรู้สึกดังกล่าวอาจเกิดจากความเหน็ดเหนื่อยหรือการสูญเสียผู้เป็นที่รัก. หากเราอยู่ในสภาพเช่นนั้น เราอาจรำลึกว่ายิระมะยาห์เคยมีอารมณ์แปรปรวน แต่ท่านก็ยังคงเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าอยู่. เพื่อจะรับมือได้ เราอาจต้องปรับกิจวัตรประจำวันเพื่อจะพักผ่อนให้มากขึ้น. หรือหลังจากสูญเสียผู้เป็นที่รัก เราอาจต้องให้เวลาผ่านไประยะหนึ่งจนกว่าจะหายโศกเศร้า. อย่างไรก็ดี นับว่าสำคัญยิ่งที่เรายังคงเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนและมีส่วนเป็นประจำในกิจกรรมตามระบอบของพระเจ้า. สิ่งเหล่านั้นสำคัญยิ่งเพื่อจะรักษาสติและมีความยินดีในการรับใช้พระเจ้า.—มัด. 5:3; โรม 12:10-12
13 ไม่ว่าคุณท้อใจไม่บ่อยหรือว่าคุณมีอารมณ์แปรปรวนเป็นประจำ ประสบการณ์ของยิระมะยาห์จะช่วยคุณได้. ดังที่กล่าวแล้ว บางครั้งท่านรู้สึกท้อใจมาก. ถึงอย่างไร ท่านก็ไม่ปล่อยให้ความท้อใจเป็นเหตุให้หันเหไปจากพระเจ้าผู้ซึ่งท่านรักและรับใช้อย่างซื่อสัตย์. เมื่อเหล่าศัตรูตอบแทนความดีของท่านด้วยการทำชั่ว ท่านหมายพึ่งพระยะโฮวาและวางใจในพระองค์. (ยิระ. 18:19, 20, 23) จงตั้งใจเลียนแบบยิระมะยาห์.—ทุกข์. 3:55-57
หากบางครั้งคุณรู้สึกท้อใจหรือเศร้าหมอง คุณจะนำสิ่งที่เรียนจากหนังสือยิระมะยามาใช้ได้อย่างไร?
คุณจะทำให้คนที่เหน็ดเหนื่อยสดชื่นไหม?
14. ยิระมะยาห์ได้รับการหนุนกำลังใจเป็นพิเศษอย่างไร?
14 เราควรเอาใจใส่วิธีที่ยิระมะยาห์ได้รับการหนุนกำลังใจและวิธีที่ท่านหนุนกำลังใจคนอื่นที่ “เหน็ดเหนื่อย.” (ยิระ. 31:25) ผู้พยากรณ์ได้รับการหนุนกำลังใจเป็นพิเศษจากพระยะโฮวา. คิดดูสิว่าคุณคงจะได้รับการเสริมกำลังสักเพียงไรหากได้ยินพระยะโฮวาตรัสกับคุณว่า “เราได้กระทำให้ตัวเจ้าเป็นเมืองมีค่ายพร้อม . . . เขาเหล่านั้นจะรบต่อสู้เจ้า, แต่เขาจะไม่ชนะแก่เจ้า, เพราะเราอยู่ด้วยเจ้าเพื่อจะให้เจ้ารอด, พระยะโฮวาได้ตรัส.” (ยิระ. 1:18, 19) ด้วยเหตุผลที่ดี ยิระมะยาห์ได้กล่าวถึงพระยะโฮวาว่าเป็น “กำลังของข้าพเจ้า, แลเป็นป้อมของข้าพเจ้า, แลเป็นที่พึ่งอาศัยของข้าพเจ้าในวันความทุกข์ยาก.”—ยิระ. 16:19
15, 16. วิธีที่พระยะโฮวาหนุนกำลังใจยิระมะยาห์ช่วยเราอย่างไรในการหนุนกำลังใจคนอื่น?
15 เป็นที่น่าสังเกตว่าพระยะโฮวาได้ตรัสกับยิระมะยาห์ว่า “เราอยู่ด้วยเจ้า.” ตามคำตรัสนี้คุณอาจทำอะไรได้เมื่อคนที่คุณรู้จักต้องได้รับการหนุนกำลังใจ? แค่รู้ว่าพี่น้องชายหญิงคริสเตียนหรือบางทีญาติของเราจำเป็นต้องได้รับการหนุนใจยังไม่พอ แต่เราต้องสนองความจำเป็นของพวกเขา. ในหลายกรณี วิธีที่บังเกิดผลคือทำอย่างที่พระเจ้าทรงทำกับยิระมะยาห์ คือ อยู่เคียงข้างคนที่เป็นทุกข์. จากนั้นสักช่วงหนึ่งก็พูดให้กำลังใจ แต่ไม่ใช่พูดไม่หยุด. การพูดน้อยคงจะเกิดผลดีมากกว่าหากเป็นคำพูดที่เลือกสรรมาเพื่อทำให้สบายใจและเสริมสร้าง. คำพูดของคุณไม่จำเป็นต้องสละสลวย. ใช้คำพูดง่าย ๆ ที่แสดงถึงความสนใจ, ความห่วงใย, และความรักใคร่แบบคริสเตียน. คำพูดเช่นนั้นจะก่อผลดีอย่างมาก.—อ่านสุภาษิต 25:11
16 ยิระมะยาห์ได้ทูลขอว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา . . . ขอทรงระลึกถึงและเอาพระทัยใส่ข้าพเจ้า.” แล้วผู้พยากรณ์กล่าวต่อไปว่า “ข้าพเจ้าได้รับพระคำของพระองค์และกินลงไป พระคำของพระองค์ทำให้ใจข้าพเจ้าปลาบปลื้มยินดี.” (ยิระ. 15:15, 16, ล.ม.) คนที่คุณต้องการหนุนกำลังใจอาจจำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ด้วยความกรุณาคล้ายกัน. จริงอยู่ คำพูดของคุณเทียบไม่ได้กับคำตรัสของพระยะโฮวา. แต่คุณอาจรวมเอาคำตรัสของพระเจ้าอยู่ในสิ่งที่คุณพูด. คำพูดจากใจจริงซึ่งอาศัยคัมภีร์ไบเบิลเช่นนั้น อาจทำให้คนที่ท้อแท้ใจชื่นชมยินดีได้อย่างแท้จริง.—อ่านยิระมะยา 17:7, 8
17. เราได้บทเรียนสำคัญอะไรจากวิธีที่ยิระมะยาห์ปฏิบัติกับซิดคียาและโยฮานาน?
17 โปรดสังเกตว่านอกจากได้รับการหนุนกำลังใจจากพระเจ้าแล้ว ยิระมะยาห์ได้หนุนกำลังใจคนอื่นด้วย. โดยวิธีใด? ครั้งหนึ่ง กษัตริย์ซิดคียาได้บอกยิระมะยาห์ว่าท่านกลัวพวกยิวซึ่งเป็นพันธมิตรกับบาบิโลน. ผู้พยากรณ์ได้กล่าวคำหนุนกำลังใจ ทูลกระตุ้นเตือนกษัตริย์ให้เชื่อฟังพระยะโฮวาและจะประสบผลดี. (ยิระ. 38:18, 19) หลังจากเยรูซาเลมถูกทำลายและมีชาวยิวที่เหลือจำนวนน้อยยังคงอยู่ในแผ่นดินนั้น โยฮานานแม่ทัพของพวกเขาคิดจะพาประชาชนไปยังอียิปต์. แต่เขาได้ถามยิระมะยาห์ก่อน. ผู้พยากรณ์ฟังโยฮานานพูดแล้วอธิษฐานต่อพระยะโฮวา. ภายหลัง ท่านได้ถ่ายทอดคำตอบที่หนุนกำลังใจจากพระยะโฮวา และบอกว่าพวกเขาจะได้รับผลดีหากปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้าที่ให้คงอยู่ต่อไปในแผ่นดินนั้น. (ยิระ. 42:1-12) ในทั้งสองกรณี ยิระมะยาห์พร้อมจะรับฟัง ท่านฟังก่อนพูด. การฟังเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเพื่อจะหนุนกำลังใจคนอื่น. จงเปิดโอกาสให้ผู้ที่ทุกข์ใจระบายความรู้สึกของเขา. จงฟังเรื่องที่เขากังวลและหวั่นกลัว. เมื่อเห็นว่าเหมาะ ก็จงพูดหนุนกำลังใจ. แม้คุณจะไม่ได้รับข่าวสารจากพระเจ้าโดยตรงเพื่อจะบอกคนที่จำเป็นต้องได้รับการหนุนใจ แต่คุณก็สามารถรวมเอาเรื่องที่เสริมสร้างจากพระคำของพระเจ้าไว้ด้วย ซึ่งเน้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต.—ยิระ. 31:7-14
18, 19. แบบอย่างอะไรในเรื่องการหนุนกำลังใจคนอื่นที่เห็นได้จากเรื่องของพวกเรคาบและเอเบ็ดเมเล็ก?
18 ทั้งซิดคียากับโยฮานานต่างก็ไม่ยอมรับคำแนะนำที่หนุนกำลังใจจากยิระมะยาห์ และบางคนในทุกวันนี้อาจดูเหมือนว่าไม่ได้ทำตามคำแนะนำของคุณ. อย่าปล่อยให้เรื่องนี้ทำให้คุณท้อใจ. คนอื่น ๆ ได้ตอบรับอย่างดีเมื่อยิระมะยาห์หนุนกำลังใจพวกเขา และคงจะมีหลายคนตอบรับคำแนะนำของคุณด้วย. ขอให้คิดถึงพวกเรคาบ ชาวเคนีกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นมิตรกับชาวยิวมาเป็นเวลาหลายปี. หนึ่งในบรรดาคำสั่งที่ตกทอดมาจากโยนาดาบบรรพบุรุษของพวกเขา บอกไว้ว่าฐานะเป็นคนต่างด้าว พวกเขาต้องไม่ดื่มเหล้าองุ่น. เมื่อพวกบาบิโลนกำลังโจมตีกรุงอยู่ ยิระมะยาห์ได้พาพวกเรคาบไปที่ห้องรับประทานอาหารในพระวิหาร. ยิระมะยาห์ได้ตั้งเหล้าองุ่นไว้ตรงหน้าพวกเขาตามพระบัญชาของพระเจ้า. ต่างกันกับชาวอิสราเอลที่ไม่เชื่อฟัง พวกเรคาบไม่ยอมดื่มเหล้าองุ่นเนื่องจากเชื่อฟังบรรพบุรุษ. (ยิระ. 35:3-10) ยิระมะยาห์ได้บอกพวกเรคาบถึงคำชมเชยจากพระยะโฮวา รวมทั้งคำสัญญาเรื่องอนาคตของพวกเขา. (อ่านยิระมะยา 35:14, 17-19 ) เมื่อหนุนกำลังใจคนอื่น จงเลียนแบบท่านโดยให้คำชมเชยอย่างจริงใจเมื่อมีโอกาสจะทำเช่นนั้นได้.
19 ยิระมะยาห์ได้ทำเช่นนั้นด้วยกับเอเบ็ดเมเล็ก ชาวเอธิโอเปียซึ่งดูเหมือนรับใช้ฐานะข้าราชสำนักของกษัตริย์ซิดคียา. โดยไม่มีเหตุผล พวกเจ้านายของยูดาห์ได้เอายิระมะยาห์หย่อนลงในบ่อเก็บน้ำที่มีแต่โคลน เพื่อให้ตายอยู่ในนั้น. เอเบ็ดเมเล็กได้ทูลอ้อนวอนกษัตริย์ซิดคียา ซึ่งได้อนุญาตให้เขาช่วยชีวิตผู้พยากรณ์. ชายต่างชาติคนนี้ได้ช่วยเหลือยิระมะยาห์ แม้จะเสี่ยงต่อการขัดขวางอย่างรุนแรง. (ยิระ. 38:7-13) เนื่องจากการทำเช่นนี้คงทำให้พวกเจ้านายยูดาห์หมางเมินกับเขา เอเบ็ดเมเล็กอาจรู้สึกหวั่นกลัวในเรื่องอนาคต. ยิระมะยาห์ไม่ได้นิ่งเฉย และหวังว่าเอเบ็ดเมเล็กจะเอาชนะความกลัวได้เอง. แต่ท่านพูดถ่ายทอดคำหนุนกำลังใจเกี่ยวกับพระพรของพระเจ้าในอนาคตสำหรับเอเบ็ดเมเล็ก.—ยิระ. 39:15-18
20. เราควรต้องการทำอะไรเพื่อพี่น้องของเรา ไม่ว่าหนุ่มสาวหรือผู้สูงอายุ?
20 จริงทีเดียว ขณะที่อ่านหนังสือยิระมะยา เราพบตัวอย่างที่ดีเลิศเกี่ยวกับวิธีที่เราแต่ละคนสามารถทำตามที่อัครสาวกเปาโลได้กระตุ้นพี่น้องของเราในเทสซาโลนิเกที่ว่า “จงชูใจกันและส่งเสริมกันเรื่อยไป . . . ขอให้พระกรุณาอันใหญ่หลวงของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราจงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด.”—1 เทส. 5:11, 28
คุณตั้งใจจะนำบทเรียนอะไรจากหนังสือยิระมะยาไปใช้ขณะที่พยายามหนุนกำลังใจคนที่เหนื่อยล้า?