บทสิบ
หากพระผู้สร้างใฝ่พระทัย ทำไมจึงมีความทุกข์มากเหลือเกิน?
ขณะที่นาฬิกาของคุณเดินไปทุก ๆ นาที มีมากกว่า 30 คนเสียชีวิตเนื่องจากโรคติดเชื้อ, 11 คนเสียชีวิตเนื่องจากมะเร็ง, และ 9 คนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ. และคุณทราบอยู่ว่าโรคเหล่านี้เป็นเพียงบางโรคที่ทำให้ผู้คนทุกข์ทรมาน; หลายคนทนทุกข์และตายเนื่องจากสาเหตุอื่น.
ในปี 1996 นาฬิกาในห้องโถงของอาคารสหประชาชาติในนครนิวยอร์กดังติ๊กเป็นสัญลักษณ์แทนทารกแต่ละคนที่เกิดมาในครอบครัวยากจน—นาทีละ 47 ครั้ง. จากมุมมองอีกด้านหนึ่ง ทุกรอบที่โลกหมุน ประชากรโลก 20 เปอร์เซ็นต์เข้านอนด้วยความหิว. และจะว่าอย่างไรหากคุณพยายามคำนวณปริมาณอาชญากรรมในที่ที่คุณอยู่?
เราต้องเผชิญข้อเท็จจริงที่ว่า ความทุกข์มีอยู่ดาษดื่นในโลกรอบตัวเราทุกวันนี้.
อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งบอกว่า “กระนั้น หลายคนในพวกเรายังคงรู้สึกเฉย ๆ เกี่ยวกับความอยุติธรรมทุกแห่งหนรอบตัวเรา.” แต่เราอาจรู้สึกว่า ไม่ได้รับผลกระทบจนกว่าชีวิตของเราหรือของคนที่เรารักเข้าไปพัวพันด้วยเท่านั้น. ตัวอย่างเช่น ขอให้คุณนึกภาพว่าตัวเองเป็นมาซาโกะซึ่งปรนนิบัติดูแลบิดากับมารดาซึ่งเป็นมะเร็งทั้งคู่. ขณะที่ทั้งสองน้ำหนักตัวลดและครวญครางด้วยความเจ็บปวด มาซาโกะรู้สึกหมดหนทางอย่างสิ้นเชิง. หรือไม่ก็ขอให้คิดถึงความสิ้นหวังของชาราดา เด็กหญิงชาวเอเชียวัยเก้าขวบซึ่งบิดาได้ขายเธอไปเป็นโสเภณีด้วยเงิน 14 ดอลลาร์สหรัฐ. โดยถูกพาตัวจากหมู่บ้านไปยังเมืองหนึ่งในต่างประเทศ เธอถูกบังคับที่จะให้บริการทางเพศแก่ชายวันละหกคน.
ทำไมความทุกข์ดังกล่าวมีอยู่ดาษดื่น? และทำไมพระผู้สร้างไม่หยุดยั้งความทุกข์? เนื่องจากความทุกข์ดังกล่าว หลายคนจึงปฏิเสธพระเจ้า. มารดาของอดีตตำรวจที่กล่าวถึงข้างต้นกลายเป็นเหยื่อของคนที่เป็นโรคจิต. เขาชี้แจงปฏิกิริยาของตนว่า “แนวคิดเรื่องพระเจ้าองค์สูงสุดที่เปี่ยมด้วยความรักผู้ซึ่งควบคุมเอกภพนั้นดูเหมือนห่างไกลจากผมเหลือเกิน.” คุณอาจถามด้วยเช่นกันว่า ‘ทำไม?’ ใช่ ทำไมความทุกข์เช่นนั้นมีอยู่? อะไรเป็นสาเหตุ และพระผู้สร้างทรงห่วงใยในเรื่องนั้นไหม?
ชีวิตในชาติก่อนทำให้เกิดความทุกข์ไหม?
ตลอดทั่วโลก หลายล้านคนเชื่อว่าสาเหตุของความทุกข์คือชีวิตในอดีตของคนเรา; ความทุกข์ในปัจจุบันเป็นการลงโทษสำหรับสิ่งที่เขาทำในชาติก่อน. “ความทุกข์ของมนุษย์เป็นผลจากการที่เราติดอยู่ในบ่วงกรรม เพราะเราทุกคน ทันทีที่เกิดมาก็แบกภาระอันหนักอึ้งของกรรมเก่ามาด้วย.”a ไดเซ็ทสึ ที. ซูซูกิ นักปรัชญาซึ่งทำให้นิกายเชนแพร่หลายในสังคมตะวันตกได้ให้ความเห็นดังกล่าว. พวกปราชญ์ฮินดูได้คิดเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ขึ้นมาขณะที่สืบหาคำอธิบายเรื่องความทุกข์ของมนุษย์. แต่คำอธิบายของเขาเรื่องความทุกข์มีเหตุผลหรือทำให้จุใจจริง ๆ ไหม?
สตรีชาวพุทธคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันคิดว่าเป็นเรื่องไม่มีเหตุผลที่ต้องทนทุกข์เนื่องด้วยอะไรบางอย่างที่ติดตัวฉันมาตั้งแต่เกิด โดยที่ฉันไม่รู้เรื่องเลย. ฉันจำต้องยอมรับสิ่งนั้นว่าเป็นชะตากรรมของตัวเอง.” เธอเห็นว่าคำอธิบายเกี่ยวกับความทุกข์เช่นนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจ. คุณอาจรู้สึกเช่นนั้นด้วย. ถึงแม้แนวคิดเรื่องการเกิดใหม่อาจไม่แพร่หลายในที่ที่คุณอยู่ก็ตาม แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนคำสอนพื้นฐานที่พบได้ตลอดทั่วคริสต์ศาสนจักร นั่นคือคำสอนที่ว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณอมตะซึ่งยังอยู่ที่อื่น ๆ ต่อไปเมื่อร่างกายตาย. กล่าวกันว่า “จิตวิญญาณ” นี้มีส่วนเกี่ยวข้องในความทุกข์—ถ้าไม่ในชีวิตปัจจุบันก็ในชีวิตหลังจากตาย.
แนวคิดดังกล่าวแพร่หลาย แต่มีข้อพิสูจน์อะไรที่ว่าแนวคิดนั้นมีเหตุผล? ในเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ เป็นการสุขุมมิใช่หรือที่จะได้รับการชี้นำจากสิ่งที่พระผู้สร้างของเราตรัสไว้? ขณะที่ความคิดและความเชื่อมั่นของมนุษย์อาจผิดพลาดได้ แต่เราเห็นแล้วว่าคำแถลงของพระเจ้าเชื่อถือได้.
ดังที่เราได้สังเกตในบทก่อน บาปของบิดามารดาคู่แรกนำโศกนาฏกรรมใหญ่ที่สุดมาสู่มนุษย์ นั่นคือความตาย. พระผู้สร้างทรงเตือนอาดามว่า “ในวันซึ่งเจ้า [ไม่เชื่อฟัง, หรือทำบาป] นั้นเจ้าจะตายเป็นแน่.” (เยเนซิศ 2:17, ล.ม.; 3:19) พระเจ้ามิได้ตรัสอะไรเกี่ยวกับการที่อาดามมีจิตวิญญาณอมตะ; เขาเป็นมนุษย์. ตามถ้อยคำที่ใช้ในคัมภีร์ไบเบิล นี่หมายความว่าเขาเป็นจิตวิญญาณ. ดังนั้น เมื่อเขาตาย จิตวิญญาณชื่ออาดามตาย. เขาไม่รู้สึกตัวหรือทนทุกข์อยู่หลังจากนั้น.
พระผู้สร้างของเรามิได้ส่งเสริมหรือเห็นด้วยกับคำสอนเรื่องกรรม, การเวียนว่ายตายเกิด, หรือจิตวิญญาณอมตะที่อาจทนทุกข์ในชีวิตหลังจากตาย. กระนั้น หากเรารู้ว่าผลกระทบจากบาปของอาดามคืออะไรแล้ว เราก็สามารถเข้าใจดีขึ้นถึงสาเหตุที่ความทุกข์มีอยู่ในทุกวันนี้.
ความทุกข์เกิดจากที่ไหน?
ถึงแม้ยากจะเข้าใจขอบเขตทั้งสิ้นแห่งความทุกข์ของมนุษย์ก็ตาม การใช้เครื่องมือที่เหมาะสมอาจช่วยได้. เช่นเดียวกับที่การใช้กล้องส่องทางไกลช่วยให้เราเห็นวัตถุที่อยู่ไกลชัดเจนมากขึ้น การใช้คัมภีร์ไบเบิลก็ทำให้เราสามารถเข้าใจสาเหตุของความทุกข์ได้.
ประการหนึ่งคือ คัมภีร์ไบเบิลทำให้เราตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า “วาระและเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดล่วงหน้า” ย่อมบังเกิดแก่มนุษย์ทุกคน. (ท่านผู้ประกาศ 9:11, ล.ม.) ตัวอย่างเช่น พระเยซูตรัสถึงข่าวเรื่องหนึ่งในสมัยของพระองค์—18 คนเสียชีวิตเมื่อหอคอยพังทับพวกเขา. พระองค์ทรงชี้ชัดว่าผู้ตกเป็นเหยื่อเหล่านี้ไม่ใช่คนที่ทำบาปร้ายแรงกว่าคนอื่น. (ลูกา 13:1-5) พวกเขารับทุกข์เนื่องจากอยู่ผิดที่ผิดเวลา. แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกมากกว่านั้น คือให้ข้อมูลที่จุใจในเรื่องสาเหตุแรกของความทุกข์. ข้อมูลอะไรหรือ?
หลังจากมนุษย์คู่แรกทำบาปแล้ว พระยะโฮวา พระเจ้าผู้พิพากษาทรงชี้ขาดว่าเขาทั้งสองได้สูญเสียสิทธิใด ๆ ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป. ตลอดหลายปีก่อนที่เขาทั้งสองจะตายจริง ๆ อาดามและฮาวาเผชิญความทุกข์มากมาย. เป็นความทุกข์ที่เขาได้ก่อขึ้นเอง ซึ่งก็ได้แก่ ผลกระทบจากการแก่ลงและความเจ็บป่วย, การดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ, และความทุกข์โศกที่เห็นครอบครัวของตนพังทลายเนื่องจากความริษยาและความรุนแรง. (เยเนซิศ 3:16-19; 4:1-12) สำคัญที่พึงจำไว้ว่า ควรโทษใครเป็นอันดับแรกสำหรับความทุกข์ทั้งสิ้น. พวกเขาก่อความทุกข์ขึ้นเอง. แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม เราจะเข้าใจได้อย่างไรว่าทำไมความทุกข์จึงมีอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งสมัยของเรา?
ถึงแม้หลายคนคงจะคัดค้านการที่ถูกถือว่าเป็นคนบาปก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลเสนอข้อเท็จจริงด้วยมุมมองที่เหมาะสม โดยกล่าวว่า “บาปเข้ามาในโลกโดยทางคนคนเดียวและความตายโดยทางบาป และด้วยเหตุนั้นความตายจึงลามถึงคนทั้งปวงเพราะพวกเขาล้วนได้ทำบาป.” (โรม 5:12, ล.ม.) มนุษย์คู่แรกเก็บเกี่ยวผลจากแนวทางที่ยังความเสียหายของตนเอง แต่ลูกหลานของเขาก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน. (ฆะลาเตีย 6:7) ลูกหลานของเขาได้สืบทอดความไม่สมบูรณ์ ซึ่งนำไปสู่ความตาย. บางคนพบว่าเรื่องนี้เป็นที่เข้าใจได้ดีขึ้น เมื่อเขาพิจารณาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า แม้แต่ขณะนี้เด็กอาจพิการหรือเป็นโรคซึ่งได้รับสืบทอดมาจากพ่อแม่. อาจเป็นเช่นนั้นกับโรคฮีโมฟีเลีย, โรคธาลัสซีเมีย (โรคโลหิตจาง), โรคหลอดเลือดหัวใจ, เบาหวานชนิดหนึ่ง, และกระทั่งมะเร็งเต้านม. เด็กเองไม่ได้ทำผิด แต่พวกเขาอาจรับทุกข์อันเป็นผลจากสิ่งที่เขาได้รับสืบทอดมา.
อาดามและฮาวาบรรพบุรุษแรกเดิมของเราเลือกที่จะปฏิเสธแนวทางของพระยะโฮวาในการปกครองมนุษยชาติ.b คุณคงทราบจากประวัติศาสตร์ว่า มนุษย์ได้ทดลองการปกครองทุกรูปแบบมาแล้วด้วยความพยายามจะปกครองแผ่นดินโลก. ชายหญิงบางคนที่มีส่วนร่วมในความพยายามเหล่านี้ต่างก็มีเจตนาดี. กระนั้น เมื่อคุณประเมินผลของการที่มนุษย์ปกครองกันเองแล้วเป็นอย่างไร? ความทุกข์ส่วนใหญ่ของมนุษย์ได้รับการบรรเทาไหม? ไม่เลย. ตรงกันข้าม นโยบายหลายอย่างและสงครามระหว่างชาติได้ทำให้ความทุกข์เพิ่มมากขึ้น. ประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว ผู้ปกครองที่ฉลาดคนหนึ่งได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า “มนุษย์ใช้อำนาจเหนือมนุษย์อย่างที่ก่อผลเสียหายแก่เขา.”—ท่านผู้ประกาศ 8:9, ล.ม.
คุณเห็นสภาพการณ์ในขณะนี้แตกต่างไปมาก หรือบางทีดีขึ้นไหม? คนส่วนใหญ่จะตอบว่าไม่. ชาย, หญิง, และเด็กจำนวนมากมายทนทุกข์ไม่เพียงเนื่องจากบาปและความไม่สมบูรณ์ที่สืบทอดมาเท่านั้น แต่เนื่องจากสิ่งที่เขาและคนอื่นได้ทำ. ขอให้คิดถึงการที่มนุษย์ดำเนินการกับแผ่นดินโลกอย่างผิด ๆ ซึ่งบ่อยครั้งเนื่องจากความโลภ. มนุษย์มีความผิดด้วยเช่นกันในการก่อให้เกิดมลพิษ, ความยากจน, และความหิวโหยหรือการแพร่ระบาดของโรค. แม้แต่ภัยธรรมชาติบางอย่าง ซึ่งหลายคนเรียกว่าเหตุสุดวิสัย ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ก่อขึ้น. มีสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งของความทุกข์ซึ่งปกติแล้วถูกมองข้าม.
บุคคลที่อยู่เบื้องหลังความทุกข์
พระธรรมเล่มหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยโดยเฉพาะในเรื่องที่ว่าอะไรเป็นสาเหตุแรกของความทุกข์และทำไมพระผู้สร้างที่ใฝ่พระทัยทรงยอมให้มีความทุกข์. พระธรรมโยบนี้สามารถทำให้เราเข้าใจชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับเรื่องความทุกข์ โดยทำให้หยั่งเห็นเข้าใจในแดนอันไม่ประจักษ์แก่ตาที่เหตุการณ์สำคัญบางอย่างได้เกิดขึ้น.
ประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว ไม่นานก่อนโมเซเขียนพระธรรมเล่มแรกของคัมภีร์ไบเบิล บุรุษชื่อโยบมีชีวิตอยู่ในแถบซึ่งปัจจุบันคือแหลมอาระเบีย. บันทึกแสดงว่าโยบเป็นคนซื่อตรง, เมตตากรุณา, และได้รับความนับถืออย่างดี. ท่านมีทรัพย์สมบัติมหาศาลในรูปของปศุสัตว์ ถึงกับได้ชื่อว่าเป็นคน “ใหญ่โตที่สุดในบรรดาชาวตะวันออก.” โดยส่วนตัวแล้ว โยบมีชีวิตครอบครัวที่สุขสบาย—มีภรรยา, ลูกชายเจ็ดคนกับลูกสาวสามคน. (โยบ 1:1-3; 29:7-9, 12-16) วันหนึ่ง คนส่งข่าวพรวดพราดเข้ามารายงานว่าฝูงสัตว์ของโยบที่มีค่าส่วนหนึ่งถูกคนกลุ่มหนึ่งปล้นชิงไป. ไม่นานอีกคนหนึ่งก็มารายงานการสูญเสียฝูงแกะของโยบ. ต่อจากนั้นชาวเคเซ็ดมาชิงเอาอูฐ 3,000 ตัวของท่านไป แล้วฆ่าคนใช้ทั้งหมด เหลืออยู่เพียงคนเดียว. สุดท้ายก็มีข่าวร้ายที่สุด. พายุที่ผิดธรรมดาทำให้บ้านบุตรหัวปีของท่านพังพินาศและลูกทุกคนที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่นเสียชีวิตหมด. เมื่อเผชิญกับความทุกข์ดังกล่าว โยบจะโทษพระเจ้าไหม? คุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าอยู่ในสภาพอย่างนั้น?—โยบ 1:13-19.
แต่ยังมีภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นอีก. โยบเป็นโรคฝีร้ายที่น่าขยะแขยงทั้งตัว.c ท่านป่วยหนักและเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนจนภรรยาของท่านโทษพระเจ้า. นางพูดว่า “จงแช่งด่าพระเจ้า; ถึงจะตายก็ตายเถิด.” โยบไม่ทราบสาเหตุที่ท่านประสบความทุกข์ กระนั้น ท่านไม่ได้ติเตียนพระเจ้าว่าก่อความทุกข์ขึ้น. เราอ่านว่า “ในเหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้ท่านโยบหาได้กระทำผิดด้วยริมฝีปากของท่านไม่.”—โยบ 2:6-10.
เมื่อได้ยินถึงความทุกข์ร้อนของโยบ คนรู้จักสามคนได้มาหาท่าน. อะลีฟาศซึ่งทึกทักเอาว่า โยบคงต้องได้ทำสิ่งชั่วร้ายได้ถามว่า “มีที่ไหนที่คนชอบธรรมถูกกำจัดเสีย?” (โยบบท 4, 5) เขากล่าวหาโยบเรื่องการทำบาปอย่างลับ ๆ กระทั่งเรื่องการไม่ยอมให้ขนมปังแก่คนขัดสนและได้กดขี่แม่ม่ายกับลูกกำพร้า. (โยบบท 15, 22) ผู้ปลอบโยนจอมปลอมอีกสองคนยังได้ตำหนิโยบอย่างรุนแรงด้วยประหนึ่งว่าตัวท่านเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ยากนั้น. พวกเขาเป็นฝ่ายถูกไหม? เปล่าเลย.
พระธรรมโยบช่วยเราระบุสาเหตุอันเป็นต้นตอแห่งความทุกข์ของโยบและเข้าใจเหตุผลที่พระเจ้าทรงยอมให้มีความทุกข์นั้น. บท 1 และ 2 เปิดเผยเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นไม่นานในสวรรค์ที่ไม่ประจักษ์แก่ตา ในแดนวิญญาณ. วิญญาณที่กบฏซึ่งถูกเรียกว่าซาตานdได้ชุมนุมกับวิญญาณองค์อื่น ๆ ในที่ประทับของพระเจ้า. เมื่อมีการกล่าวถึงแนวทางที่ปราศจากตำหนิของโยบ ซาตานได้แย้งว่า “โยบนั้นยำเกรงพระเจ้าด้วยเปล่าประโยชน์หรือ? . . . ถ้าหากบัดนี้พระองค์จะยื่นพระหัตถ์ออกแตะต้องให้เป็นอันตรายแก่ทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามีอยู่นั้นเขาจะเลิกนับถือพระองค์ทีเดียว.”—โยบ 1:9-12.
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ซาตานได้กล่าวหาพระเจ้าว่าติดสินบนโยบ. บุคคลวิญญาณที่ท้าทายผู้นี้อ้างว่าถ้าโยบสูญเสียทรัพย์สมบัติและสุขภาพแล้ว เขาจะแช่งด่าพระยะโฮวา. ในความหมายอีกอย่างหนึ่ง ซาตานยืนยันว่าไม่มีมนุษย์คนใดจะรักและภักดีต่อพระเจ้าเมื่อเผชิญความทุกข์. การท้าทายนั้นมีผลกระทบยาวนานทั่วโลก. ประเด็นที่ซาตานยกขึ้นมาต้องได้รับการจัดการให้เรียบร้อย. ดังนั้น พระเจ้าทรงให้อิสระแก่ซาตานในการเล่นงานโยบ และซาตานก็ได้นำความทุกข์รูปแบบต่าง ๆ เหล่านั้นมาสู่โยบ.
เป็นที่เข้าใจได้ว่า โยบไม่รู้และไม่อาจรู้ได้เกี่ยวกับประเด็นสากลที่ถูกยกขึ้นในสวรรค์. และซาตานได้ทำให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปประหนึ่งว่าพระเจ้าทรงบันดาลให้ภัยพิบัติทั้งสิ้นเกิดขึ้นกับโยบ. ตัวอย่างเช่น เมื่อฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมายังฝูงแกะของโยบ คนใช้ที่รอดชีวิตมาได้ลงความเห็นว่านั่นเป็น “ไฟของพระเจ้า.” ถึงแม้โยบไม่ทราบสาเหตุที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็ตาม ท่านจะไม่แช่งด่าหรือละทิ้งพระยะโฮวาพระเจ้า.—โยบ 1:16, 19, 21.
หากคุณวิเคราะห์สภาพการณ์ที่อยู่เบื้องหลังประสบการณ์ของโยบ คุณจะเห็นว่าประเด็นคือ มนุษย์จะรับใช้พระยะโฮวาด้วยความรักไหมแม้จะมีความลำบาก? โยบช่วยตอบคำถามนั้น. เฉพาะแต่ความรักแท้ต่อพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นคนเราให้ยังคงซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่โยบได้ทำ. ช่างเป็นหลักฐานหักล้างข้อกล่าวหาเท็จของซาตานเสียนี่กระไร! อย่างไรก็ดี กรณีนี้มิได้เริ่มต้นและจบลงที่โยบในสมัยก่อนโน้น; เรื่องนี้ครอบคลุมเวลาหลายศตวรรษ. เรามีส่วนพัวพันด้วยเช่นกัน.
หลายคนมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเห็นหรือเผชิญความทุกข์ ไม่ว่ามีสาเหตุจากอะไรก็ตาม? พวกเขาอาจไม่ทราบเกี่ยวกับประเด็นที่ยกขึ้นมาในสมัยของโยบหรืออาจไม่เชื่อว่ามีซาตานอยู่ด้วยซ้ำ. ฉะนั้น บ่อยครั้งเขาสงสัยว่ามีพระผู้สร้างหรือไม่ หรือไม่ก็โทษพระองค์ในเรื่องความทุกข์. คุณรู้สึกอย่างไรในเรื่องนี้? จากสิ่งที่คุณทราบเกี่ยวกับพระผู้สร้าง คุณจะไม่เห็นด้วยกับยาโกโบผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลหรอกหรือ? ทั้ง ๆ ที่มีความทุกข์ ท่านก็ยังมีความเชื่อมั่นดังนี้: “เมื่อถูกทดลอง อย่าให้ผู้ใดว่า ‘พระเจ้าทดลองข้าพเจ้า.’ เพราะพระเจ้าจะถูกทดลองด้วยสิ่งที่ชั่วไม่ได้ หรือพระองค์เองก็ไม่ทดลองผู้ใดเลย.”—ยาโกโบ 1:13, ล.ม.
เรามีเครื่องช่วยอันทรงคุณค่าในการได้มาซึ่งทัศนะที่ฉลาดสุขุม. นั่นคือ การพิจารณาตัวอย่างของพระเยซู. เราทราบว่าพระเยซูได้รับความนับถือในเรื่องความหยั่งเห็นเข้าใจ, ความรู้, และความสามารถฐานะเป็นครู. พระองค์ทรงมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับซาตานและความทุกข์? พระเยซูทรงมั่นใจว่าซาตานพญามารไม่เพียงดำรงอยู่แต่ยังสามารถก่อความทุกข์ด้วย. ซาตานผู้ซึ่งพยายามทำลายความซื่อสัตย์มั่นคงของโยบได้พยายามอย่างโจ่งแจ้งที่จะทำเช่นเดียวกันนั้นกับพระเยซู. นอกจากพิสูจน์ว่าซาตานดำรงอยู่จริงแล้ว เรื่องนี้ยังแสดงว่าข้อท้าทายที่ยกขึ้นมาในสมัยของโยบนั้นยังมีอยู่เรื่อยมา. เช่นเดียวกับโยบ พระเยซูพิสูจน์ว่าพระองค์ซื่อสัตย์ต่อพระผู้สร้างกระทั่งถึงขั้นสละความมั่งคั่งและอำนาจ และถึงแม้ว่านั่นทำให้พระองค์ประสบความทุกข์ทางกายและความมรณาบนหลักทรมาน. กรณีของพระเยซูแสดงว่าพระเจ้ายังคงปล่อยให้มนุษย์พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาจะภักดีต่อพระองค์ทั้ง ๆ ที่มีปัญหา.—ลูกา 4:1-13; 8:27-34; 11:14-22; โยฮัน 19:1-30.
เวลาผ่านไป—โดยมีจุดมุ่งหมายที่ชอบด้วยเหตุผล
เพื่อจะเข้าใจเรื่องความทุกข์ เราต้องยอมรับว่า อุบัติเหตุ, แนวโน้มที่ผิดบาปของมนุษย์, การที่มนุษย์ดำเนินการกับแผ่นดินโลกอย่างผิด ๆ, และซาตานพญามารเป็นสาเหตุของความทุกข์. อย่างไรก็ตาม การรู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังความทุกข์ยังไม่พอ. เมื่อคนเราประสบความทุกข์ คงง่ายที่จะรู้สึกเหมือนฮะบาฆูคผู้พยากรณ์สมัยโบราณเมื่อท่านกล่าวว่า “โอ้พระยะโฮวา นานเท่าไรที่ข้าพเจ้าต้องร้องขอความช่วยเหลือและพระองค์ไม่ทรงฟัง? นานเท่าไรที่ข้าพเจ้าจะร้องขอพระองค์เพื่อช่วยให้พ้นความรุนแรงและพระองค์ไม่ทรงช่วยให้รอด? เหตุใดพระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าเห็นสิ่งซึ่งก่อความเสียหาย และพระองค์ทรงเฝ้าดูความลำบากล้วน ๆ? และทำไมจึงมีการปล้นสะดมและความรุนแรงอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า และทำไมจึงเกิดการวิวาท และทำไมจึงต่อสู้กัน?” (ฮะบาฆูค 1:2, 3, ล.ม.) ถูกแล้ว ทำไมพระยะโฮวา ‘เฝ้าดูความลำบาก’ โดยที่ดูเหมือนไม่ได้ลงมือจัดการ? ในฐานะผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ พระองค์ทรงมีอำนาจและความรักในความยุติธรรมซึ่งจำเป็นเพื่อทำให้ความทุกข์สิ้นสุดลง. แล้วพระองค์จะทรงทำเช่นนั้นเมื่อไร?
ดังที่กล่าวก่อนหน้านี้ เมื่อมนุษย์คู่แรกเลือกการเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิง พระผู้สร้างทรงมั่นใจว่าลูกหลานบางคนของเขาจะปฏิบัติอย่างที่ต่างออกไป. ด้วยความสุขุม พระยะโฮวาทรงปล่อยเวลาให้ผ่านไป. เพราะเหตุใด? เพื่อพิสูจน์ว่าการปกครองที่ไม่พึ่งอาศัยพระผู้สร้างมีแต่จะนำไปสู่ความทุกข์เท่านั้น และในทางตรงกันข้าม พิสูจน์ว่าการดำเนินชีวิตประสานกับพระผู้สร้างเป็นสิ่งที่ถูกต้องและนำมาซึ่งความสุข.
ระหว่างนั้น พระเจ้าทรงค้ำจุนแผ่นดินโลกให้มีสภาพแวดล้อมที่น่าเพลิดเพลินอย่างเหมาะสม. อัครสาวกเปาโลได้หาเหตุผลว่า “ในกาลก่อนพระองค์ได้ทรงยอมให้ชาวประเทศทั้งปวงประพฤติตามชอบใจของตน แต่พระองค์ไม่ได้ขาดพยาน, คือพระองค์ได้ทรงกระทำคุณให้ฝนตกและให้มีฤดูเกิดผล, ท่านทั้งหลายจึงอิ่มใจยินดีด้วยอาหารนั้น.” (กิจการ 14:16, 17) ปรากฏชัด พระผู้สร้างมิได้ก่อความทุกข์ แต่พระองค์ทรงยอมให้ความทุกข์มีอยู่เพื่อจะจัดการประเด็นซึ่งสำคัญที่สุดนี้ให้เรียบร้อย.
การปลดเปลื้องจะมีขึ้นเมื่อไร?
ที่แท้แล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าความทุกข์ของมนุษย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั้นแสดงว่าเวลาที่ความทุกข์จะสิ้นสุดลงนั้นใกล้เข้ามาแล้ว. ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้นได้? คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในแดนไม่ประจักษ์แก่ตาในสมัยของโยบ และเปิดเผยเรื่องนั้นอีกเกี่ยวกับสมัยของเรา. พระธรรมวิวรณ์ หนังสือเล่มสุดท้ายในพระคัมภีร์นำความสนใจไปที่การต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นในสวรรค์. ผลเป็นประการใด? ซาตาน “ถูกเหวี่ยงลงที่แผ่นดินโลก” พร้อมกับเหล่าผีปิศาจของมัน. พระธรรมนี้บอกต่อไปว่า “ด้วยเหตุนี้ จงยินดีเถิด สวรรค์ทั้งหลายและผู้ที่อยู่ในนั้น! วิบัติแก่แผ่นดินโลกและทะเล เพราะพญามารได้ลงมาถึงพวกเจ้าแล้ว มีความโกรธยิ่งนัก ด้วยรู้ว่ามันมีระยะเวลาอันสั้น.”—วิวรณ์ 12:7-12, ล.ม.
การพิจารณาอย่างละเอียดเกี่ยวกับคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลชี้ถึงศตวรรษนี้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้น. ดังที่คุณอาจทราบ นักประวัติศาสตร์ที่ได้รับความนับถือยอมรับว่ามีหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในประวัติศาสตร์ในปี 1914 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มต้น.e ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความทุกข์และวิบัติได้เพิ่มขึ้น. พระเยซูทรงชี้ถึงช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อเหล่าสาวกที่สนิททูลถามพระองค์เกี่ยวกับ “หมายสำคัญแห่งการประทับของพระองค์และช่วงอวสานของระบบนี้.” พระเยซูตรัสว่า “ชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ชาติและอาณาจักรต่อสู้อาณาจักร; และจะมีแผ่นดินไหวใหญ่ และโรคระบาดและการกันดารอาหารแห่งแล้วแห่งเล่า; และจะมีภาพที่น่ากลัวและหมายสำคัญใหญ่จากฟ้าสวรรค์.” (มัดธาย 24:3-14, ล.ม.; ลูกา 21:5-19, ล.ม.) ถ้อยคำเหล่านี้ซึ่งบ่งชี้ถึงความทุกข์มากมายกำลังสำเร็จเป็นจริงทุกด้านเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทีเดียว.
คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาสิ่งเหล่านี้ฐานะเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่ “ความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งซึ่งไม่เคยมีตั้งแต่เดิมโลกมาจนบัดนี้, หรือในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก.” (มัดธาย 24:21) นี่จะเป็นการเข้าแทรกแซงอย่างเด็ดขาดของพระเจ้าในกิจธุระของมนุษย์. พระองค์จะปฏิบัติการเพื่อทำให้ระบบชั่วซึ่งได้ก่อความทุกข์มานานแล้วสิ้นสุดลง. แต่นี่จะไม่หมายถึง ‘อวสานของโลก’ โดยบรรลัยกัลป์นิวเคลียร์ที่ทำลายมนุษยชาติ. พระคำของพระเจ้ารับรองกับเราว่าจะมีผู้รอดชีวิต. “ชนฝูงใหญ่ . . . จากชาติและตระกูลและชนชาติและภาษาทั้งปวง” จะออกมาจากความทุกข์ลำบากนั้นโดยที่มีชีวิตอยู่.—วิวรณ์ 7:9-15, ล.ม.
เพื่อได้ภาพครบถ้วน ขอพิจารณาสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าจะติดตามมา. บ้านที่เป็นเหมือนสวนซึ่งทรงมุ่งหมายไว้แต่แรกให้มนุษยชาติอยู่อาศัยนั้นจะได้รับการฟื้นฟู. (ลูกา 23:43) คุณจะไม่พบคนไร้ที่อยู่อาศัย. ยะซายาเขียนว่า “‘คนไหนปลูกสร้าง, คนนั้นก็ได้อยู่, และคนไหนทำสวนองุ่น, คนนั้นก็ได้กินผล. . . . เพราะว่าอายุของต้นไม้จะเป็นอายุของพลเมืองของเรา, และหัตถกรรมของเขาเราจะเลือกสรรไว้เป็นของเราให้มีความยินดีจนถึงที่สุดปลาย. เขาจะไม่ต้องทำงานเสียแรงเปล่า, และไม่ต้องคลอดบุตรแล้วพินาศไป, เพราะว่าเขาทั้งหลายจะเป็นชาติที่ได้รับพระพรของพระยะโฮวา, และลูกหลานของเขาจะคงอยู่กับเขาทั้งหลาย. . . . สุนัขป่ากับลูกแกะจะหากินอยู่ด้วยกัน, และสิงโตจะกินฟางเหมือนอย่างโค . . . สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำอันตราย, หรือทำความพินาศตามบนภูเขาอันบริสุทธิ์ของเรา.’ พระยะโฮวาได้ตรัสว่าดังนั้น.”—ยะซายา 65:21-25.
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับความทุกข์ในระดับบุคคล? จะไม่มีสงคราม, ความรุนแรง, หรืออาชญากรรม. (บทเพลงสรรเสริญ 46:8, 9; สุภาษิต 2:22; ยะซายา 2:4) พระผู้สร้างมนุษย์และผู้ประทานชีวิตจะช่วยมนุษย์ที่เชื่อฟังให้ได้รับและเพลิดเพลินกับสุขภาพสมบูรณ์. (ยะซายา 25:8; 33:24) จะไม่มีความหิวอีกต่อไป เนื่องจากแผ่นดินโลกจะได้รับการฟื้นฟูสู่ดุลยภาพทางนิเวศวิทยาและจะให้ผลผลิตอย่างบริบูรณ์. (บทเพลงสรรเสริญ 72:16) ที่จริง สาเหตุของความทุกข์ที่เราเห็นในปัจจุบันจะเป็นเรื่องของอดีต.—ยะซายา 14:7.
เรื่องนี้เหมาะจะเป็นข่าวดีที่สุดอย่างแน่นอน. กระนั้น บางคนอาจรู้สึกว่าพูดเชิงอุปมาแล้วยังคงมีเมฆดำปกคลุมอยู่อีกสองก้อน. ความเพลิดเพลินของคนเราเกี่ยวกับพระพรเหล่านั้นคงจะถูกจำกัดหากเขาคาดว่าหลังจากแค่ 70 หรือ 80 ปีเท่านั้นเขาก็จะตาย. และเขาจะไม่รู้สึกโศกเศร้าหรอกหรือเกี่ยวกับผู้เป็นที่รักซึ่งเสียชีวิตไปก่อนที่พระผู้สร้างจะทรงทำให้ความทุกข์ของมนุษย์สิ้นสุดลง? คำตอบคืออย่างไร?
การกำจัดความทุกข์อันเลวร้ายที่สุด
พระผู้สร้างมีทางแก้. พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเอกภพและชีวิตมนุษย์ที่อยู่บนแผ่นดินโลกนี้. พระองค์ทรงสามารถทำสิ่งที่เหนือความสามารถของมนุษย์หรือสิ่งที่มนุษย์เพียงแต่เริ่มตระหนักว่าเป็นไปได้. ขอพิจารณาเพียงสองตัวอย่างนี้.
เรามีศักยภาพที่จะมีชีวิตอย่างไม่สิ้นสุด.
คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างชัดแจ้งเรื่องโอกาสที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า. (โยฮัน 3:16; 17:3) หลังจากศึกษายีนในเซลล์ของมนุษย์ ดร. ไมเคิล ฟอสเซลรายงานว่า คุณภาพของเซลล์สืบพันธุ์เพศชายมิได้เสื่อมลงพร้อมกับอายุ. “ยีนที่เรามีอยู่แล้วซึ่งถ่ายทอดข้อมูลในตัวมันได้อย่างถูกต้องสามารถรักษาเซลล์ของเราไว้โดยไม่มีการแก่.” นั่นสอดคล้องกับสิ่งที่เราได้เห็นในบท 4 ที่ว่า สมองของเรามีสมรรถนะที่แทบจะไม่ได้ใช้ด้วยซ้ำในช่วงชีวิตปัจจุบัน; สมองดูเหมือนได้รับการออกแบบให้ปฏิบัติงานอย่างไม่สิ้นสุด. แน่นอน สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงประเด็นปลีกย่อยเสริมเข้ากับสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวโดยตรง—พระยะโฮวาทรงทำให้เป็นไปได้ที่เราจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปโดยไม่มีความทุกข์. โปรดสังเกตสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ในหนังสือเล่มสุดท้ายของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “[พระเจ้า] จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ทั้งความทุกข์โศกหรือเสียงร้องหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย.”—วิวรณ์ 21:4, ล.ม.
พระผู้สร้างทรงสามารถช่วยคนที่รับทุกข์และเสียชีวิต—ทรงทำให้เขากลับมีชีวิตอีก, ปลุกเขาให้เป็นขึ้นจากตาย.
ลาซะโรเป็นคนหนึ่งซึ่งได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย. (โยฮัน 11:17-45; โปรดดูหน้า 158-160.) ศาสตราจารย์โดนัลด์ แมกเคย์ใช้ตัวอย่างเกี่ยวกับไฟล์ในคอมพิวเตอร์. เขาเขียนว่า การที่คอมพิวเตอร์เสียก็ใช่ว่าสมการหรือโปรแกรมที่อยู่ในนั้นจะต้องเสียไปอย่างถาวร. อาจใส่สมการหรือโปรแกรมเดียวกันนั้นในคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่และให้มันทำงานที่นั่น “หากนักคณิตศาสตร์ปรารถนาเช่นนั้น.” ศาสตราจารย์แมกเคย์กล่าวต่อไปว่า “วิทยาศาสตร์ว่าด้วยสมองเชิงจักรกลนิยมดูเหมือนไม่ค่อยจะก่อให้เกิดข้อคัดค้านกับความหวังเรื่องชีวิตถาวรที่กล่าวไว้ใน [คัมภีร์ไบเบิล] พร้อมกับการเน้นเป็นพิเศษในเรื่อง ‘การกลับเป็นขึ้นจากตาย.’” ถ้ามนุษย์ตาย พระผู้สร้างทรงสามารถทำให้เขากลับมีชีวิตอีกได้ในภายหลัง ดังที่พระองค์ทรงทำกับพระเยซูและพระเยซูทรงทำกับลาซะโร. แมกเคย์สรุปว่า ความตายของคนเราจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการนำชีวิตกลับคืนสู่ร่างกายใหม่ของเขาอีก “หากพระผู้สร้างของเราทรงประสงค์เช่นนั้น.”
ถูกแล้ว ทางแก้ที่แท้จริงขึ้นอยู่กับพระผู้สร้างของเรา. พระองค์แต่ผู้เดียวทรงสามารถขจัดความทุกข์ได้อย่างเต็มที่, พลิกผันผลกระทบของบาป, และกำจัดความตาย. พระเยซูคริสต์ทรงบอกเหล่าสาวกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่โดดเด่นซึ่งยังอยู่ข้างหน้าเรา. พระองค์ตรัสว่า “เวลาจะมาเมื่อบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในอุโมงค์รำลึกจะได้ยินสุรเสียงของพระองค์และจะออกมา.”—โยฮัน 5:28, 29, ล.ม.
คิดดูสิ! ผู้ปกครององค์บรมมหิศรแห่งเอกภพทรงพร้อมและสามารถจะคืนชีวิตให้คนเหล่านั้นที่อยู่ในความทรงจำของพระองค์. คนเหล่านี้จะได้รับโอกาสที่จะพิสูจน์ว่า พวกเขาคู่ควรกับการได้รับ “ชีวิตจริง ๆ.”—1 ติโมเธียว 6:19; กิจการ 24:15.
แต่เราต้องทำอะไรไหมในตอนนี้ขณะที่คอยการปลดเปลื้องอย่างเต็มที่จากความทุกข์ของมนุษย์? และถ้าเราทำเช่นนั้น นั่นจะทำให้ชีวิตของเรามีความหมายมากขึ้นไหมแม้แต่ในทุกวันนี้ด้วยซ้ำ? ให้เรามาดูกัน.
[เชิงอรรถ]
a กล่าวกันว่ากรรมคือ “การกระทำในอดีตที่มีผลกระทบต่อชีวิตในอนาคต หรือการกลับชาติของคนเรา.”
b เยเนซิศ 2:17 กล่าวถึงพระบัญชาของพระเจ้าที่ห้ามอาดามกินผลจากต้นไม้เกี่ยวกับความรู้เรื่องความดีและความชั่ว. ในหมายเหตุเกี่ยวกับข้อนี้ เดอะ เจรูซาเลม ไบเบิล (1985) อธิบายสิ่งที่ความรู้นี้หมายถึงว่า “เป็นอำนาจในการตัดสินใจเอาเองว่าอะไรดีและอะไรชั่วและลงมือปฏิบัติตามนั้น, เป็นการอ้างถึงความเป็นอิสระด้านศีลธรรมอย่างเต็มที่ ซึ่งโดยการอ้างเช่นนั้นมนุษย์ปฏิเสธที่จะยอมรับฐานะของเขาเองที่เป็นผู้ถูกสร้าง, โปรดดู ยะซายา 5:20. บาปแรกสุดเป็นการโจมตีพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้า.”
c ข้อความตอนอื่น ๆ ให้ภาพที่ครบถ้วนเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของโยบ. เนื้อหนังของท่านมีตัวหนอนเต็มไปหมด, ผิวก็กลายเป็นสะเก็ดแข็ง ๆ, ลมหายใจก็น่ารังเกียจ. โยบทรมานด้วยความเจ็บปวด และผิวหนังที่กลายเป็นสีดำก็ลอกหลุดไป.—โยบ 7:5; 19:17; 30:17, 30.
d ในบทก่อนหน้านี้ที่มีชื่อเรื่องว่า “คุณสามารถเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระผู้สร้างจากหนังสือเล่มหนึ่ง?” เราได้พิจารณาบทบาทของซาตานพญามารในการทำบาปของอาดามและฮาวา.
e สำหรับการพิจารณาเกี่ยวกับคำพยากรณ์นี้ โปรดดูบท 11 ของหนังสือความรู้ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ จัดพิมพ์โดยสมาคม ว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่ง นิวยอร์ก.
[กรอบหน้า 168]
ไม่มีจิตวิญญาณอมตะ
คัมภีร์ไบเบิลสอนว่า เราแต่ละคนเป็นจิตวิญญาณที่เป็นมนุษย์; เมื่อคนเราตาย จิตวิญญาณนั้นตาย. ยะเอศเคล 18:4 กล่าวว่า “จิตวิญญาณที่ได้ทำบาป, จิตวิญญาณนั้นจะตายเอง.” คนตายไม่รู้สึกตัวหรือมีชีวิตอยู่ในที่ใด ๆ. ซะโลโมเขียนว่า “คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย.” (ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10) เดิมทีทั้งชาวยิวและคริสเตียนสมัยแรกสุดไม่ได้สอนว่าจิตวิญญาณเป็นอมตะ.
“จิตวิญญาณตามความหมายในพระคริสตธรรมเดิมไม่ได้หมายถึงส่วนประกอบของมนุษย์ แต่เป็นตัวมนุษย์ทั้งหมด—มนุษย์ฐานะผู้ที่มีชีวิตอยู่. ทำนองเดียวกัน ในพระคริสตธรรมใหม่จิตวิญญาณหมายถึงชีวิตมนุษย์ . . . คัมภีร์ไบเบิลมิได้กล่าวถึงการคงอยู่ต่อไปของจิตวิญญาณที่ไม่มีตัวตน.”—สารานุกรมคาทอลิกฉบับใหม่.
“แนวคิดเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณและความเชื่อเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย . . . เป็นความคิดสองอย่างที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง.”—โดพอ ลา มอร์เต: อิมอร์ตาลีตา ออ เรซูเรทซโยเน? โดยนักเทววิทยาฟีลิป เอช. เมนูด์.
“เนื่องจากมนุษย์ทั้งตัวเป็นคนบาป ฉะนั้น เมื่อตาย เขาตายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณอย่างแท้จริง (ตายทั้งหมด) . . . มีช่องว่างระหว่างความตายกับการกลับเป็นขึ้นจากตาย.”—คู่มือถามตอบของนิกายลูเทอรันเอฟานเกลิเชอร์ เออร์วักเซเนนคาเทคิสมุส (ภาษาเยอรมัน).
[กรอบหน้า 175]
เป็นเวลานานเหลือเกินไหม?
ตั้งแต่สมัยโยบจนถึงสมัยพระเยซูอาจดูเหมือนความทุกข์มีอยู่เรื่อยมาเป็นเวลานาน—ประมาณ 1,600 ปี. สำหรับมนุษย์แล้ว 100 ปีดูเหมือนเป็นเวลาเนิ่นนานที่ต้องคอยเพื่อให้ความทุกข์สิ้นสุดลง. แต่เราต้องตระหนักว่า ประเด็นสำคัญที่ซาตานยกขึ้นมานั้นสะท้อนภาพพระผู้สร้างในทางร้าย. ตามทัศนะของพระเจ้า การยอมให้มีความทุกข์และความชั่วต่อ ๆ กันมาในภายหลังนั้นเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ. พระองค์ทรงเป็น “พระมหากษัตริย์แห่งนิรันดรกาล” ซึ่งสำหรับพระองค์แล้ว “พันปีก็เหมือนเวลาวานนี้ที่ล่วงไปแล้ว.” (1 ติโมเธียว 1:17, ล.ม.; บทเพลงสรรเสริญ 90:4) และสำหรับมนุษย์ที่ได้รับชีวิตถาวรนั้น ช่วงเวลานี้ในประวัติศาสตร์ที่มีความทุกข์คงจะดูเหมือนว่าสั้นทีเดียวเช่นกัน.
[กรอบหน้า 178]
หัวเลี้ยวหัวต่อในประวัติศาสตร์
“เมื่อย้อนพิจารณาดูจากมุมมองในปัจจุบันเราเห็นอย่างชัดแจ้งในทุกวันนี้ว่า การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อให้เกิดยุคที่นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ อาร์โนลด์ ทอยน์บีเรียกอย่างมีความหมายว่า ‘ยุคลำบาก’ แห่งศตวรรษที่ยี่สิบ และจนถึงบัดนี้อารยธรรมของเรายังไม่ได้หลุดพ้นจากยุคนั้น.”—การล่มสลายของราชวงศ์ต่าง ๆ (ภาษาอังกฤษ) เอดมอนด์ เทย์เลอร์.
“จริง ๆ แล้วปี 1914 นั่นเองซึ่งส่อให้เห็นหัวเลี้ยวหัวต่อในสมัยของเราแทนที่จะเป็นปีที่มีเหตุการณ์ฮิโรชิมา เพราะถึงตอนนี้เราสามารถเห็นได้ว่า . . . เป็นสงครามโลกครั้งแรกซึ่งนำไปสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สับสนวุ่นวายซึ่งเรากำลังดิ้นรนอยู่ในท่ามกลางสภาพดังกล่าว.”—ดร. เรเน อัลเบรคท์-คาร์ริเอ วิทยาลัยบาร์นาร์ด.
“ในปี 1914 โลกได้สูญเสียความสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียวไปแล้ว ซึ่งไม่กลับคืนสู่สภาพเดิมตั้งแต่นั้น. . . . นี่เป็นยุคที่โกลาหลและรุนแรงผิดปกติ ไม่ว่าจะข้ามพรมแดนไปประเทศอื่น หรือแม้แต่ภายในประเทศก็ตาม.”—วารสารดิ อิโคโนมิสต์.
[กรอบหน้า 181]
การกลับเป็นขึ้นจากตายของคนเราเป็นไปได้ไหม?
ริชาร์ด เอ็ม. เรสแทก นักประสาทวิทยาอธิบายเกี่ยวกับสมองของมนุษย์และเซลล์ประสาทในสมอง. “ทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเราและทุกสิ่งที่เราได้ทำอาจถูกอ่านโดยผู้ตรวจที่สามารถถอดรหัสจุดเชื่อมต่อและวงจรที่ถูกกำหนดไว้ภายในเซลล์ประสาท 5 หมื่นล้านเซลล์ของเรา.” ถ้าเป็นเช่นนั้น พระผู้สร้างของเราองค์เปี่ยมด้วยความรัก พร้อมกับข้อมูลที่พระองค์มี ย่อมจะสามารถสร้างคนนั้นขึ้นใหม่ได้มิใช่หรือ?
[กรอบหน้า 182]
จุดเชื่อมต่อเซลล์ประสาทของคุณถูกนับไว้แล้ว
พระเยซูตรัสว่า “ถึงผมของท่านก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น.” (มัดธาย 10:29-31) จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับสมองที่อยู่ในศีรษะของคุณ? เซลล์สมอง (ที่เรียกว่านิวรอน) เล็กมากจนกระทั่งจะมองเห็นได้เฉพาะแต่โดยกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงเท่านั้น. ขอให้นึกถึงการที่คุณพยายามจะนับ ไม่เพียงเซลล์ประสาทเท่านั้น แต่จุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ (ซินแนปส์) ที่เล็กกว่า ซึ่งอาจมีถึง 250,000 จุดสำหรับเซลล์ประสาทบางเซลล์.
ดร. ปีเตอร์ ฮุทเทนลอเคอร์ได้เริ่มนำกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่มีกำลังขยายสูงเข้ามาใช้ในการนับจุดเชื่อมต่อเซลล์ประสาทจากการผ่าศพของตัวอ่อนในครรภ์, ทารกที่ตาย, และศพของคนแก่. น่าประหลาดใจ ตัวอย่างที่ทดลองทั้งหมด ซึ่งแต่ละตัวอย่างมีขนาดราว ๆ หัวเข็มหมุด มีเซลล์ประสาทจำนวนเท่า ๆ กันคือประมาณ 70,000 เซลล์.
ต่อจากนั้น ดร. ฮุทเทนลอเคอร์เริ่มนับจำนวนจุดเชื่อมต่อเซลล์ประสาทหรือเซลล์สมองในตัวอย่างทดลองขนาดกระจิริดดังกล่าว. เซลล์ประสาทของตัวอ่อนในครรภ์มีจุดเชื่อมต่อ 124 ล้านจุด; ทารกแรกเกิดมี 253 ล้านจุด; ทารกวัยแปดเดือนมี 572 ล้านจุด. ดร. ฮุทเทนลอเคอร์พบว่าหลังจากนั้นขณะที่เด็กเติบโต จำนวนค่อย ๆ ลดลง.
การค้นพบเหล่านี้เป็นเรื่องน่าสนใจเมื่อคำนึงถึงสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเกี่ยวกับการกลับเป็นขึ้นจากตาย. (โยฮัน 5:28, 29) ผู้ใหญ่มีจุดเชื่อมต่อเซลล์ประสาทของทั้งสมอง ประมาณหนึ่งพันล้านล้านจุด นั่นคือเลข 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 15 ตัว. พระผู้สร้างทรงมีความสามารถไม่เพียงนับจุดเชื่อมต่อเหล่านี้เท่านั้น แต่สามารถสร้างจุดเหล่านี้ขึ้นใหม่ด้วยไหม?
สารานุกรมเวิลด์ บุ๊ก บอกจำนวนดาวในเอกภพว่ามี 200 ล้านล้านล้านดวง หรือเลข 2 ตามด้วยเลขศูนย์ 20 ตัว. พระผู้สร้างทรงรู้จักชื่อดาวเหล่านี้ทั้งหมด. (ยะซายา 40:26) ดังนั้น ไม่เกินความสามารถของพระองค์เลยทีเดียวที่จะระลึกถึงและสร้างจุดเชื่อมต่อเซลล์ประสาทขึ้นใหม่ซึ่งประกอบด้วยความทรงจำและความรู้สึกของมนุษย์ที่พระองค์ทรงเลือกที่จะปลุกขึ้นจากตาย.
[รูปภาพหน้า 166]
หลายคนเชื่อว่ากฎแห่งกรรมควบคุมชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนตาย
[รูปภาพหน้า 171]
อะเลคเซย์ โอรสของซาร์นิโคลัสที่ 2 กับอะเลคซันดรา เป็นโรคฮีโมฟีเลียซึ่งได้รับสืบทอดมา. พวกเราได้สืบทอดความไม่สมบูรณ์จากอาดาม บรรพบุรุษของเรา
[รูปภาพหน้า 179]
แม้แต่ขณะที่ทรงยอมให้มีความทุกข์ พระผู้สร้างก็ยังได้จัดเตรียมสิ่งที่ยังความยินดีมากมายไว้สำหรับมนุษย์