การแสดงออกซึ่ง “ความดีทุกอย่าง”
“ผลของความสว่างคือความดีทุกอย่าง.”—เอเฟโซ 5:9.
1, 2. ชนสองกลุ่มซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณกาลนั้นมีใครบ้าง และเวลานี้สภาพการณ์ของทั้งสองกลุ่มนี้ต่างกันอย่างไร?
ภายหลังการกบฏในสวนเอเดนเมื่อหกพันกว่าปีมาแล้ว และอีกครั้งหนึ่งหลังจากน้ำท่วมโลกสมัยโนฮา มนุษยชาติได้แตกออกเป็นสองกลุ่มหรือองค์การ ฝ่ายหนึ่งประกอบด้วยผู้ที่มุ่งมั่นจะปฏิบัติพระยะโฮวา อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพวกที่ติดตามซาตาน. องค์การเหล่านี้ยังมีอยู่ไหม? มีแน่นอน! ผู้พยากรณ์ยะซายาได้พูดถึงสองกลุ่มเหล่านี้และกล่าวพยากรณ์ถึงสภาพการณ์ของเขาในสมัยนี้ว่า “ด้วยว่าดูเถอะ ความมืดจะแผ่ปิดโลกไว้มิด และความมืดทึบจะคลุมประชาชนไว้ แต่ส่วนเจ้า พระยะโฮวาจะส่องแสงให้ และให้สง่าราศีของพระองค์จับปรากฏอยู่บนเจ้า.”—ยะซายา 60:1, 2.
2 ใช่แล้ว ระหว่างสององค์การนี้มีความแตกต่างมากเท่ากับความแตกต่างระหว่างความมืดกับความสว่าง. และเฉกเช่นลำแสงจะดึงดูดคนที่กำลังคลำทางในความมืดฉันใด ความสว่างจากพระยะโฮวาที่ฉายแสงเข้ามาในโลกมืดนี้ก็ได้ดึงดูดหลายล้านคนที่มีหัวใจรักความถูกต้องมาสู่องค์การของพระเจ้าฉันนั้น. ดังที่ยะซายากล่าวต่อไปว่า “ประชาชาติ [แกะอื่น] จะมายังความสว่างของเจ้า และพระราชาทั้งหลาย [ทายาทผู้ถูกเจิมแห่งราชอาณาจักร] ยังความสุกใสแห่งการขึ้นของเจ้า.”—ยะซายา 60:3, ฉบับแปลใหม่.
3. คริสเตียนแสดงสง่าราศีของพระยะโฮวาในทางใดบ้าง?
3 ไพร่พลของพระยะโฮวาสะท้อนสง่าราศีของพระยะโฮวาโดยวิธีใด? ประการหนึ่งก็คือพวกเขาประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้าทางภาคสวรรค์ที่ได้สถาปนาขึ้นแล้ว. (มาระโก 13:10) แต่ยิ่งกว่านั้น เขาเลียนแบบพระยะโฮวา ตัวอย่างที่ดีเลิศแห่งความดี และดังนั้น โดยการประพฤติของเขาจึงดึงดูดคนใจถ่อมมาสู่ความสว่าง. (เอเฟโซ 5:1) เปาโลพูดว่า “เพราะว่าเมื่อก่อนท่านทั้งหลายเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า. จงประพฤติอย่างลูกของความสว่าง.” แล้วท่านกล่าวต่อดังนี้: “ด้วยว่าผลของความสว่างนั้นคือความดีทุกอย่าง และความชอบธรรมและความจริง. ท่านทั้งหลายจงพิสูจน์ดูว่าทำประการใดจึงจะเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าเข้าส่วนกับกิจการของความมืดที่ไร้ผล.” (เอเฟโซ 5:8-11) เปาโลหมายถึงอะไรเมื่อพูดถึง “ความดีทุกอย่าง”?
4. ความดีคืออะไร และสิ่งนี้มองเห็นได้อย่างไรท่ามกลางชนคริสเตียน?
4 ดังบทความก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็น ความดีเป็นคุณสมบัติหรือสถานะคุณงามความดี ความเยี่ยมยอดทางศีลธรรม. พระเยซูตรัสว่าพระยะโฮวาแต่องค์เดียวทรงดีพร้อมทุกประการ. (มาระโก 10:18) กระนั้นก็ดี คริสเตียนสามารถจะเลียนแบบพระยะโฮวาได้โดยการปลูกฝังความดีอันเป็นผลแห่งพระวิญญาณ. (ฆะลาเตีย 5:22) เมื่อชี้แจงเรื่องอกาโธสʹ คำกรีกที่หมายถึง “ดี” นั้น หนังสืออธิบายศัพท์คัมภีร์ไบเบิลภาคพันธะสัญญาเก่าและใหม่ ฉบับของไวน์ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวดังนี้: “คำนี้พรรณนาสิ่งซึ่งดีในลักษณะหรือองค์ประกอบของสิ่งนั้นซึ่งยังประโยชน์ในผลที่เกิดขึ้น.” โดยเหตุนั้น คริสเตียนที่ปลูกฝังความดีย่อมเป็น คนดีและทำการดี. (เทียบกับพระบัญญัติ 12:28.) นอกจากนั้น คริสเตียนจะละเว้นสิ่งต่าง ๆ อันขัดต่อความดี ได้แก่ “กิจการของความมืดที่ไร้ผล.” วิธีต่าง ๆ ที่คริสเตียนจะแสดงความดีให้ปรากฏด้วยการประพฤติของตนนั้นเป็น “ความดีทุกอย่าง” ตามที่เปาโลได้กล่าวไว้. ความดีเหล่านี้บางอย่างได้แก่อะไร?
“จงกระทำการดีต่อ ๆ ไป”
5. ความดีชนิดหนึ่งได้แก่อะไร และทำไมคริสเตียนควรปลูกฝังความดีแบบนี้?
5 เปาโลอ้างถึงความดีอย่างหนึ่งในจดหมายที่ท่านเขียนถึงคริสเตียนในกรุงโรม. เมื่อพูดถึงการอยู่ใต้ผู้มี “อำนาจที่สูงกว่า” ท่านพูดว่า “ดังนั้น ท่านอยากจะอยู่ปราศจากความกลัวอำนาจนั้นหรือ? จงกระทำการดีต่อ ๆ ไป แล้วท่านจะได้รับคำสรรเสริญจากผู้มีอำนาจนั้น.” “การดี” ซึ่งท่านอ้างถึงคือการเชื่อฟังกฎหมายและการจัดเตรียมด้านต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง. คริสเตียนควรอยู่ใต้อำนาจเหล่านี้เพราะเหตุใด? ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งโดยไม่จำเป็นกับพวกเจ้าหน้าที่ อันเป็นการเสี่ยงต่อการรับโทษทัณฑ์จากเจ้าหน้าที่ และสำคัญยิ่งกว่านั้นก็เพื่อรักษาสติรู้สึกผิดชอบอันสะอาดจำเพาะพระเจ้า. (โรม 13:1-7) ขณะที่รักษาการเชื่อฟังของตนต่อพระยะโฮวาเป็นอันดับแรก คริสเตียนยัง ‘ให้เกียรติพระมหากษัตริย์’ ไม่ขัดขืนผู้มีอำนาจซึ่งพระเจ้ายะโฮวาทรงอนุญาตให้ดำรงอยู่. (1 เปโตร 2:13-17) โดยวิธีนี้ชนคริสเตียนเป็นเพื่อนบ้านที่ดี เป็นพลเมืองดีและเป็นตัวอย่างอันดี.
จงคำนึงถึงผู้อื่น
6. (ก) อีกแง่มุมหนึ่งของความดีได้แก่อะไร? (ข) พระคัมภีร์กล่าวถึงใครบ้างซึ่งเราควรคำนึงถึง?
6 ความดีของพระยะโฮวาทรงปรากฏให้เห็นโดยที่พระองค์ทรงจัดเตรียมสำหรับผู้อยู่อาศัยบนแผ่นดินโลกทุกคน โดย ‘บันดาลให้ฝนตก และให้มีฤดูเกิดผล.’ ทั้งนี้ทำให้มนุษย์ ‘อิ่มใจยินดีด้วยอาหารนั้น’ และแสดงให้เห็นว่า พระองค์เป็นพระเจ้าที่คำนึงถึงมนุษย์เราอย่างแท้จริง. (กิจการ 14:17) พวกเราจะเลียนแบบพระองค์ในแง่นี้ได้โดยการคำนึงถึงผู้อื่นไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่. ควรนึกถึงใครโดยเฉพาะ? เปาโลอ้างถึงผู้ปกครอง โดยเฉพาะ “คนเหล่านั้นที่ทำงานหนักในท่ามกลางท่าน และดูแลท่านในฐานะเป็นประธานในองค์พระผู้เป็นเจ้าและเตือนสติท่าน.” ท่านกล่าวสนับสนุนคริสเตียนให้ “คำนึงถึงเขามากเป็นพิเศษด้วยความรักเนื่องด้วยการงานของเขา.” (1 เธซะโลนิเก 5:12, 13, ล.ม.) เราจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? โดยการร่วมมือกับพวกเขาอย่างเต็มที่ เช่น การมีส่วนในงานจำเป็น ณ หอประชุม. ในขณะที่เรารู้สึกเป็นอิสระที่จะเข้าพบผู้ปกครองเมื่อต้องการความช่วยเหลือที่จำเป็น กระนั้น เราก็ไม่ควรเรียกร้องจะเอาให้ได้โดยไม่มีเหตุผล. แทนที่จะทำเช่นนั้น อะไรก็ตามที่เราทำได้ เราพยายามช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บำรุงเลี้ยงเหล่านี้ที่ทำงานหนัก ผู้ซึ่งหลายคนมีครอบครัวที่เขาต้องรับผิดชอบนอกเหนือจากหน้าที่ต่าง ๆ ในประชาคม.
7. เราอาจแสดงการคำนึงถึงผู้สูงอายุในทางใดบ้าง?
7 คนชราก็เป็นผู้ที่เราน่าจะคำนึงถึงเช่นกัน. ข้อบัญญัติหนึ่งโดยเฉพาะในกฎหมายของโมเซมีว่า “จงคำนับคนผมหงอกและนับถือคนแก่ และเกรงกลัวพระเจ้า. เราเป็นยะโฮวา.” (เลวีติโก 19:32) จะสำแดงการคำนึงถึงผู้อื่นในแง่นี้โดยวิธีใด? คงเป็นการดีหากคนในวัยหนุ่มแน่นกว่าจะขันอาสาช่วยจ่ายตลาดหรือทำงานบางอย่างให้ผู้สูงอายุ. ผู้ปกครองก็อาจพิจารณาด้วยการคำนึงถึงผู้สูงอายุว่าเขาต้องได้รับความช่วยเหลือหรือไม่ในการมาร่วมประชุม. ณ การประชุมหมวด การประชุมภาค คนหนุ่มที่มีกำลังวังชาจะหลีกเลี่ยงการผลักดันคนแก่ที่งุ่มง่าม เนื่องด้วยใจร้อนจะรีบเดินผ่านเร็ว ๆ และจะอดใจรอถ้าคนแก่ช้าไปบ้างเมื่อจะหาที่นั่งหรือจะรับอาหาร.
8. เราอาจแสดงการคำนึงถึงโดยวิธีใดต่อคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งพระคัมภีร์ได้จำแนกไว้เฉพาะ?
8 ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญพูดถึงอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการความเห็นอกเห็นใจ: “ผู้ใดที่ใส่ใจในพวกคนจนก็เป็นสุข.” (บทเพลงสรรเสริญ 41:1) ดูเป็นเรื่องง่ายที่จะคำนึงถึงผู้มีชื่อเสียงหรือคนรวย แต่สำหรับคนต่ำต้อยหรือยากจนล่ะ? ยาโกโบผู้เขียนพระคัมภีร์ระบุว่า การแสดงความเห็นอกเห็นใจแก่คนเหล่านี้อย่างเท่าเทียมกันเป็นการทดสอบความชอบธรรมและความรักของคริสเตียน. ขอให้เราผ่านการทดสอบเช่นนี้ด้วยการเป็นคนคำนึงถึงคนทุกชนิดไม่ว่าสภาพแวดล้อมของเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม.—ฟิลิปปอย 2:3, 4; ยาโกโบ 2:2-4, 8, 9.
“จงมีความเมตตากรุณา”
9, 10. เหตุใดคริสเตียนควรมีใจเมตตา และความดีแบบนี้จะสำแดงให้ปรากฏได้โดยวิธีใด?
9 ความดีอีกแบบหนึ่งปรากฏให้เห็นชัดในอุทาหรณ์ของพระเยซูบางเรื่อง. ในอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งพระเยซูทรงเล่าถึงชาวซะมาเรียที่พบชายผู้หนึ่งซึ่งถูกปล้น ถูกตีสาหัส และถูกทิ้งไว้นอนอยู่ข้างทาง. ชาวเลวีและปุโรหิตต่างก็เดินผ่านชายที่บาดเจ็บนั้นไปโดยไม่ได้ช่วยเหลือแต่อย่างใด. แต่ชาวซะมาเรียได้หยุดและให้ความช่วยเหลือ ทำอะไรให้หลายอย่างเกินความคาดหมาย. เรื่องนี้มักจะถูกเรียกว่าอุทาหรณ์เรื่องชาวซะมาเรียที่ใจดี. ชาวซะมาเรียผู้นี้ได้แสดงความดีแบบไหน? ความเมตตา. เมื่อพระเยซูถามผู้ฟังให้ระบุตัวบุคคลที่เป็นเพื่อนบ้านของชายผู้บาดเจ็บ เขาให้คำตอบอย่างถูกต้องว่า “คนนั้นแหละที่ได้สำแดงความเมตตาแก่เขา.”—ลูกา 10:37.
10 คริสเตียนผู้มีความเมตตาเลียนแบบพระยะโฮวา ผู้ซึ่งโมเซได้กล่าวแก่ชาวยิศราเอลดังนี้: “พระองค์จะไม่ละทิ้งเจ้า ไม่ทำลายเจ้า และจะไม่ลืมคำสัญญาไมตรีซึ่งพระองค์ได้ทรงปฏิญาณไว้แก่ปู่ย่าตายายของเจ้า เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าประกอบด้วยความเมตตา. (พระบัญญัติ 4:31) พระเยซูทรงชี้แจงวิธีที่ความเมตตาของพระเจ้าน่าจะมีผลกระทบต่อพวกเรา: “ท่านทั้งหลายจงมีความเมตตากรุณาเหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตาปรานี.” (ลูกา 6:36) เราจะแสดงความเมตตาได้อย่างไร? ดังที่อุทาหรณ์ของพระเยซูแสดงให้เห็น วิธีหนึ่งคืออยู่พร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ถึงแม้การทำเช่นนั้นอาจรวมเอาการเสี่ยงอันตรายหรือความไม่สะดวกของตัวเอง. คนดีจะไม่เมินเฉยต่อความทุกข์ยากของพี่น้อง หากตนอยู่ในฐานะจะทำอะไรบางอย่างได้ในเรื่องนั้น ๆ.—ยาโกโบ 2:15, 16.
11, 12. ตามอุทาหรณ์ของพระเยซูว่าด้วยบ่าวเหล่านั้น ความเมตตารวมถึงอะไร และเราจะแสดงความเมตตาเช่นนั้นได้อย่างไรเวลานี้?
11 อุทาหรณ์อีกเรื่องหนึ่งของพระเยซูแสดงว่าความดีที่เปี่ยมด้วยความเมตตานั้นหมายรวมถึงการพร้อมจะให้อภัยผู้อื่น. พระองค์ได้ทรงเล่าเรื่องบ่าวที่เป็นหนี้นายตัวเองถึงหมื่นตะลันต์. เมื่อไม่สามารถใช้หนี้ได้ บ่าวจึงได้วอนขอความเมตตา และนายของเขาได้เมตตายกหนี้ให้เขาจำนวนมหาศาลถึง 60,000,000 เดนารีทีเดียว. แต่บ่าวนั้นได้ออกไปพบเพื่อนบ่าวด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาแค่หนึ่งร้อยเดนารี. บ่าวที่นายยกหนี้ให้กลับจับลูกหนี้ของตนเข้าคุกอย่างไม่ปรานีจนกว่าเขาสามารถชดใช้หนี้ตนได้. เป็นที่ชัดเจนว่าบ่าวซึ่งไร้ความเมตตานั้นไม่เป็นคนดี ครั้นนายได้ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงได้เรียกบ่าวชั่วนั้นมาคิดบัญชีโดยไม่มีการผ่อนปรน.—มัดธาย 18:23-35.
12 พวกเราอยู่ในสภาพคล้ายคลึงกับบ่าวผู้ซึ่งนายยกหนี้ให้. โดยอาศัยเครื่องบูชาของพระเยซู พระยะโฮวาทรงโปรดให้อภัยบาปอันใหญ่หลวงของพวกเรา. แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น เราควรพร้อมจะให้อภัยผู้อื่น. พระเยซูตรัสว่า เราควรพร้อมจะอภัย “ถึงเจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด” ซึ่งก็หมายความว่าไม่จำกัด. (มัดธาย 5:7; 6:12, 14, 15; 18:21, 22) ดังนั้น คริสเตียนผู้มีใจเมตตาจะไม่เก็บความขุ่นแค้นไว้ในใจ. เขาจะไม่สุมความแค้นเคืองหรือไม่ยอมพูดกับเพื่อนคริสเตียนเนื่องด้วยรู้สึกเจ็บใจ. การขาดความเมตตาเช่นนั้นหาใช่ข้อบ่งชี้ความดีของคริสเตียนไม่.
มีใจกว้างและมีน้ำใจรับรองแขก
13. ความดีรวมไปถึงอะไรอีก?
13 อนึ่ง ความดีย่อมสำแดงให้ประจักษ์โดยการมีใจกว้างและน้ำใจรับรองแขก. ณ โอกาสหนึ่งมีชายหนุ่มได้มาหาพระเยซูขอรับคำแนะนำ. เขาพูดว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำดีประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?” พระเยซูทรงบอกว่าเขาควรถือรักษาบรรดาข้อบัญญัติของพระเจ้าไว้เสมอ. ถูกแล้ว การเชื่อฟังข้อห้ามต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาบัญญัติไว้เป็นส่วนหนึ่งของความดี. ชายหนุ่มผู้นั้นคิดว่าตนได้ทำสิ่งนั้นอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาทำได้อยู่แล้ว. เห็นได้ชัดว่าเพื่อนบ้านของเขาคิดว่าเขาเป็นคนดี กระนั้น เขารู้สึกว่าเขายังขาดอะไรบางอย่าง. ดังนั้น พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านปรารถนาเป็นผู้ดีรอบคอบ จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา และท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามา.” (มัดธาย 19:16-22) ชายหนุ่มได้ออกไปอย่างคนมีความหนักใจ. เขาเป็นคนร่ำรวยมาก. ถ้าเขาได้เชื่อฟังคำแนะนำของพระเยซู เขาคงแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนฝักใฝ่วัตถุ. และเขาคงจะได้ประกอบการดีอันแสดงถึงความมีใจกว้างไม่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง.
14. พระยะโฮวาและพระเยซูทรงให้คำแนะนำอันดีเยี่ยมอะไรเกี่ยวด้วยความมีใจกว้าง?
14 พระยะโฮวาทรงเร่งเร้าชาวยิศราเอลให้เป็นคนใจกว้าง. อย่างที่เราอ่านว่า “เจ้าทั้งหลายจงให้ของแก่เขา [คนอัตคัตขัดสน] จงได้ และเมื่อให้ของแก่เขาดังนั้นแล้ว ใจของเจ้าอย่าได้เสียดายเลย เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าจะอวยพรแก่เจ้าในบรรดากิจการ และในบรรดาการซึ่งมือของเจ้ากระทำนั้น.” (พระบัญญัติ 15:10; สุภาษิต 11:25) พระเยซูคริสต์เองก็ทรงเร่งเร้าให้มีใจกว้าง: “จงแจกปันให้เขา เขาจะแจกปันให้ท่านด้วย. เขาจะตวงด้วยทะนานถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ในตักของท่าน.” (ลูกา 6:38) ยิ่งกว่านั้น พระเยซูเองทรงมีพระทัยกว้างจริง ๆ. ในโอกาสหนึ่งพระองค์ทรงกะเวลาจะพักผ่อนสักประเดี๋ยวหนึ่ง. ฝูงชนสืบรู้ว่าพระองค์อยู่ ณ ที่ใดแล้วพากันมาหาพระองค์. พระเยซูแสดงพระทัยกว้างไม่นึกถึงเวลาพักผ่อน และได้ทรงให้เวลาเพื่อเห็นแก่ฝูงชนนั้นด้วย. ในเวลาต่อมา พระองค์ได้แสดงน้ำใจต้อนรับแขกอย่างเห็นได้ชัดด้วยการจัดอาหารเลี้ยงฝูงชนครั้งนั้น.—มาระโก 6:30-44.
15. โดยวิธีใดสาวกของพระเยซูได้วางตัวอย่างอันดีเยี่ยมในการแสดงความมีใจกว้าง?
15 เพราะความเชื่อฟังที่มีต่อคำแนะนำของพระยะโฮวาและของพระเยซู สาวกหลายคนของพระเยซูเป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจต้อนรับแขกอย่างน่าทึ่ง. ในช่วงต้นแห่งการตั้งประชาคมคริสเตียน ฝูงชนมากมายที่ได้ไปร่วมฉลองเทศกาลเพ็นเตคอสเตปีสากลศักราช 33 ได้ฟังการสั่งสอนของพวกอัครสาวกและได้เข้ามาเป็นผู้เชื่อถือ. หลังจากเสร็จเทศกาลแล้วเขาต้องการอยู่ต่อเพื่อจะเรียนรู้มากขึ้น แล้วเขาก็เริ่มขาดแคลนปัจจัย. ดังนั้น เพื่อนที่มีความเชื่อในท้องถิ่นนั้นจึงได้ขายทรัพย์สินของตนแล้วบริจาคเงินนั้นเจือจานแก่พี่น้องใหม่เหล่านั้นเพื่อว่าพวกเขาสามารถจะตั้งมั่นคงยิ่งขึ้นในความเชื่อ. ช่างเป็นการเอื้อเฟื้อกันจริง ๆ อย่างไม่คิดเสียดาย!—กิจการ 4:32-35; โปรดดูกิจการ 16:15; โรม 15:26 ด้วย.
16. จงบอกถึงบางวิธีซึ่งพวกเราสมัยนี้สามารถจะเป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจต้อนรับแขกได้.
16 สมัยนี้ ความมีใจกว้างแบบพระคริสต์ทำนองเดียวกันเห็นได้เมื่อคริสเตียนสละเวลาและบริจาคทรัพย์แก่ประชาคมท้องถิ่นและเพื่องานประกาศสั่งสอนทั่วโลก. หลักฐานปรากฏชัดเมื่อพวกเขาให้การบรรเทาทุกข์พี่น้องที่ประสบภัยธรรมชาติหรือภัยสงคราม. ทั้งปรากฏชัดเมื่อผู้ดูแลหมวดได้รับการเอาใจใส่ระหว่างที่เขาเยี่ยมประชาคม. หรือเมื่อ “ลูกกำพร้า” ได้รับเชิญด้วยน้ำใจเอื้อเฟื้อที่จะไปร่วมการพักผ่อนหย่อนใจหรือร่วมศึกษาพระคัมภีร์กับครอบครัวคริสเตียนอื่น ๆ การทำเช่นนี้ก็เช่นกันแสดงถึงน้ำใจต้อนรับแขก การแสดงออกอย่างหนึ่งของความดีแบบคริสเตียน.—บทเพลงสรรเสริญ 68:5.
การพูดความจริง
17. ทำไมสมัยนี้ความสัตย์จริงเป็นสิ่งท้าทาย?
17 เมื่อเปาโลพรรณนาผลของความสว่าง ท่านเชื่อมความดีเข้ากับความชอบธรรมและความจริง และคงเป็นสิ่งถูกต้องที่จะบอกว่า ความสัตย์จริงเป็นความดีอีกลักษณะหนึ่ง. คนดีย่อมไม่พูดปด. กระนั้นก็ดี การพูดความจริงเป็นสิ่งท้าทายพิเศษอย่างหนึ่งในทุกวันนี้ซึ่งมีการโกหกอย่างแพร่หลาย. หลายคนโกหกเมื่อเขากรอกใบเสียภาษี. ลูกจ้างโกหกเรื่องการทำงานของตน. นักเรียนทุจริตในการเรียนการสอบ. นักธุรกิจไม่ซื่อตรงในการดำเนินงาน. เด็กพูดปดเพื่อหลบเลี่ยงการถูกทำโทษ. คนที่นินทาให้ร้ายพูดโกหกเพื่อทำลายชื่อเสียงผู้อื่น.
18. พระยะโฮวาทรงมองคนโกหกอย่างไร?
18 การโกหกเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนต่อพระยะโฮวา. ในบรรดา ‘เจ็ดอย่าง’ ที่พระองค์ทรงชังนั้นก็มี “ลิ้นพูดปด” และ “พยานเท็จที่ระบายลมออกมาเป็นคำเท็จ.” (สุภาษิต 6:16-19) “คนทั้งปวงที่พูดมุสา” ถูกนับอยู่ในจำพวกคนขลาด ผู้ฆ่าคน และคนทำผิดประเวณี ซึ่งคนเหล่านี้จะไม่มีที่อยู่ในโลกใหม่ของพระเจ้า. (วิวรณ์ 21:8) ยิ่งกว่านั้น ภาษิตข้อหนึ่งสอนเราว่า “บุคคลผู้เดินในทางตรงย่อมยำเกรงพระยะโฮวา แต่ผู้ดื้อหลงผิดไปตามทางของตนย่อมเกลียดชังพระองค์.” (สุภาษิต 14:2) คนพูดปดเป็นคนทุจริตคดโกงในวิถีทางของเขา. ดังนั้น คนพูดปดให้หลักฐานว่าเขาดูถูกพระยะโฮวา. ช่างเป็นความคิดที่น่ากลัวอะไรเช่นนั้น! ขอให้เราพูดความจริงเสมอ ถึงแม้การพูดความจริงจะเป็นเหตุให้เราถูกตีสอนหรือเสียทรัพย์สินไปก็ตาม. (สุภาษิต 16:6; เอเฟโซ 4:25) บรรดาผู้พูดความจริงนั้นต่างก็เลียนแบบพระยะโฮวา “พระเจ้าแห่งความสัตย์จริง.”—บทเพลงสรรเสริญ 31:5.
ปลูกฝังความดี
19. เราพบเห็นสิ่งใดเป็นครั้งคราวในโลกนี้อันเป็นการสะท้อนเกียรติแด่พระเจ้าผู้สร้างโลก?
19 ที่กล่าวมาเป็นความดีเพียงไม่กี่ “อย่าง” ซึ่งคริสเตียนควรปลูกฝัง. จริงอยู่ที่ชาวโลกสำแดงความดีให้ประจักษ์ในระดับหนึ่ง. บางคนมีน้ำใจรับรองแขก บางคนเป็นคนเมตตากรุณา. อันที่จริง อุทาหรณ์ว่าด้วยชาวซะมาเรียที่ใจดีเป็นเรื่องเด่นขึ้นมาก็เนื่องจากพระเยซูตรัสถึงชายต่างชาติซึ่งไม่ใช่ยิวที่ได้แสดงความเมตตาขณะที่ผู้เฒ่าผู้แก่ในประชาคมยิวเพิกเฉย. ที่แท้แล้ว เป็นเกียรติแก่พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ที่ลักษณะนิสัยเช่นนี้ยังคงมีติดตัวมนุษย์บางคน แม้แต่หลังจากหกพันปีแห่งความไม่สมบูรณ์.
20, 21. (ก) เหตุใดความดีของคริสเตียนจึงต่างไปจากความดีใด ๆ ซึ่งเราพบเห็นได้จากผู้คนในโลกนี้? (ข) คริสเตียนจะปลูกฝังความดีได้โดยวิธีใด และทำไมเราควรขยันขันแข็งจะทำเช่นนั้น?
20 อย่างไรก็ดี สำหรับคริสเตียนแล้วความดีหาใช่เป็นเพียงคุณสมบัติอย่างหนึ่งซึ่งเขาอาจมีหรือขาดไปก็ได้. แต่ความดีเป็นคุณสมบัติซึ่งคริสเตียนต้องปลูกฝังในทุกแง่มุม เนื่องจากเขาต้องเลียนแบบพระเจ้า. ทั้งนี้จะทำได้อย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลมีคำกำชับว่าเราจะเรียนรู้ความดีได้. “ขอทรงสอนความดีแก่ข้าพเจ้า” นี้คือสิ่งที่ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า. โดยวิธีใด? ท่านกล่าวต่อดังนี้: “เพราะข้าพเจ้าได้สาแดงความเชื่อในข้อบัญญัติของพระองค์.” แล้วท่านกล่าวเพิ่มอีกว่า “พระองค์ก็ประเสริฐ [ดี] และทรงกระทำการดี. โปรดสอนข้าพเจ้าเรื่องกฎเกณฑ์ของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 119:66, 68, ล.ม.
21 ใช่แล้ว ถ้าเราเรียนพระบัญญัติต่าง ๆ ของพระยะโฮวาแล้วปฏิบัติตาม เราก็จะปลูกฝังความดี. จงจำไว้เสมอว่า ความดีคือผลของพระวิญญาณ. ถ้าเราแสวงหาพระวิญญาณของพระยะโฮวาโดยการอธิษฐาน การร่วมสมาคมคบหากับพี่น้องคริสเตียน และโดยการศึกษาพระคัมภีร์ ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าเราจะได้รับการช่วยในการฝึกฝนให้มีคุณสมบัติข้อนี้. ยิ่งกว่านั้น ความดีเป็นพลังเข้มแข็ง. ความดีพิชิตได้กระทั่งความชั่ว. (โรม 12:21) เช่นนั้นแล้ว เป็นสิ่งจำเป็นเพียงใดที่เราพึงทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะต่อพวกพี่น้องคริสเตียนของเรา. (ฆะลาเตีย 6:10) ถ้าเราทำเช่นนั้น เราจะอยู่ท่ามกลางผู้ที่ชื่นชมใน “สง่าราศี ยศศักดิ์และความสุขสำราญ” ซึ่งได้สัญญาว่าจะบังเกิดแก่ “ทุกคนที่ประพฤติดี.”—โรม 2:6-11.
คุณจะตอบได้ไหม?
▫ เราจะทำดีเรื่อยไปโดยวิธีใดเกี่ยวกับอำนาจที่สูงกว่า?
▫ ผู้ใดบ้างในท่ามกลางผู้คนหลายประเภทที่เราพึงคำนึงถึง?
▫ ความเมตตาปรากฏออกในทางใดบ้าง?
▫ การกระทำแบบไหนที่แสดงถึงความใจกว้างและการมีน้ำใจรับรองแขกซึ่งระบุตัวคริสเตียนสมัยนี้?
▫ จะปลูกฝังความดีได้อย่างไร?
[รูปภาพหน้า 20]
การคำนึงถึงผู้อื่นเป็นแง่มุมหนึ่งของความดี
[รูปภาพหน้า 23]
ในฐานะครูผู้ใหญ่ยิ่ง พระเยซูทุ่มเทพระองค์เองโดยไม่คิดเสียดาย