อนาคตของศาสนาจากการพิจารณาศาสนาในอดีต
ตอนที่ 17: ตั้งแต่ปี 1530 เป็นต้นมา—ลัทธิโปรเตสแตนต์ เป็นการปฏิรูปไหม?
“การเปลี่ยนแปลงใหม่หาใช่การปฏิรูปไม่.” เอ็ดมันด์ เบิร์ก สมาชิกรัฐสภาอังกฤษ ศตวรรษที่ 18
นักประวัติศาสตร์โปรเตสแตนต์มองดูการปฏิรูปโปรเตสแตนต์ว่าเป็นการฟื้นฟูศาสนาคริสเตียนที่แท้จริงขึ้นใหม่. แต่ในทางกลับกัน พวกผู้เชี่ยวชาญของคาทอลิกบอกว่าโปรเตสแตนต์ก่อให้เกิดความผิดพลาดในหลักเทววิทยา. อย่างไรก็ตาม กระจกสะท้อนภาพประวัติศาสตร์ศาสนาเผยให้เห็นอะไร? การปฏิรูปโปรเตสแตนต์เป็นการปฏิรูปจริง ๆ ไหม หรือเป็นแต่การเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยเอาแบบแผนการนมัสการหนึ่งเข้ามาแทนแบบแผนเดิมที่มีจุดบกพร่องเท่านั้น?
สถานภาพพิเศษที่ให้แก่พระวจนะของพระเจ้า
นักปฏิรูปโปรเตสแตนต์เน้นความสำคัญของพระคัมภีร์. พวกเขาปฏิเสธจารีตประเพณีต่าง ๆ แม้ว่า มาร์ติน มาร์ตี บรรณาธิการอาวุโสแห่งวารสารเดอะ คริสเตียน เซ็นจูรี่ กล่าวว่า ในช่วงศตวรรษที่ผ่านไป “ชาวโปรเตสแตนต์มากขึ้นทุกทีพอใจจะได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคัมภีร์ไบเบิลกับจารีตประเพณี.” ถึงกระนั้น นี้ไม่เป็นความจริงสำหรับ “บรรพบุรุษผู้มีความเชื่อ” ของพวกเขา. สำหรับเขาเหล่านั้น “คัมภีร์ไบเบิลอยู่ในสถานภาพพิเศษ และจารีตประเพณี หรืออำนาจสันตะปาปาไม่อาจทัดเทียมได้เลย.”
เจตคติเช่นนี้ได้ทำให้ความสนใจในการแปล การจำหน่ายจ่ายแจกและการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมีเพิ่มขึ้น. ในช่วงกลางศตวรรษที่ 15—กว่าห้าสิบปีก่อนการปฏิรูปจะเริ่มมีขึ้น—โยฮันเนส กูเตนเบอร์ก สหายชาวเยอรมันของลูเทอร์ได้เตรียมเครื่องมืออันมีประสิทธิภาพให้แก่ลัทธิโปรเตสแตนต์ซึ่งกำลังจะมา. โดยที่ได้คิดค้นวิธีการพิมพ์ด้วยระบบตัวเรียง กูเตนเบอร์กได้ผลิตคัมภีร์ไบเบิลที่ใช้วิธีพิมพ์เป็นเล่มแรก. ลูเทอร์เห็นประโยชน์ของสิ่งประดิษฐ์ที่ทรงคุณค่านี้ และเขาเรียกการพิมพ์นี้ว่า “การงานล่าสุดและดีเยี่ยมของพระเจ้าเพื่อเผยแพร่ศาสนาแท้ออกไปทั่วโลก.”
ถึงตอนนั้น ผู้คนมากขึ้นสามารถมีคัมภีร์ไบเบิลเป็นส่วนตัวได้ ซึ่งคริสต์จักรคาทอลิกไม่เห็นด้วยกับความก้าวหน้าเช่นนี้. ในปี 1559 สันตะปาปาพอลที่สี่ได้ชี้ขาดว่า คัมภีร์ไบเบิลไม่อาจพิมพ์ขึ้นได้ในภาษาท้องถิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคริสต์จักร และสิ่งนั้นคริสต์จักรไม่ยอมอนุญาต. ที่จริง ในปี 1564 สันตะปาปาไพอัสที่สี่แถลงว่า “ประสบการณ์ได้แสดงว่าหากมีการอนุญาตกันตามอำเภอใจให้มีการอ่านคัมภีร์ไบเบิลในภาษาสามัญ . . . นั่นจะก่อผลเสียมากกว่าผลดี.”
การปฏิรูปทำให้มี “ศาสนาคริสเตียน” ชนิดใหม่. ศาสนานี้เปลี่ยนจากอำนาจสันตะปาปาไปเป็นการเลือกด้วยเสรีภาพส่วนบุคคล. มิสซาของคาทอลิกถูกแทนที่ด้วยพิธีสวดของโปรเตสแตนต์ และโบสถ์คาทอลิกที่ดูโอ่อ่าก็ถูกแทนที่ด้วยโบสถ์โปรเตสแตนต์แบบธรรมดาที่หรูหราน้อยกว่า.
ผลประโยชน์ที่ไม่คาดหมาย
ประวัติศาสตร์สอนเราว่า ขบวนการใด ๆ ซึ่งเดิมทีมีลักษณะทางศาสนามักมีเรื่องสังคมและการเมืองเข้ามาแทรก. สิ่งนี้ได้เป็นความจริงกับการปฏิรูปของโปรเตสแตนต์. ยูจีน เอฟ. ไรซ์ จูเนียร์ ศาสตราจารย์สาขาประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สาธยายว่า “ในยุคกลาง คริสต์จักรตะวันตกเคยเป็นองค์กรร่วมแห่งยุโรป. พอในช่วงห้าสิบปีแรกของศตวรรษที่สิบหกคริสต์จักรนี้ก็ได้แตกแยกออกไปเป็นหลายคริสต์จักรที่มีเขตปกครองมากมาย . . . ซึ่งผู้ปกครองฝ่ายฆราวาสจะมีอำนาจควบคุม.” การนี้ก่อผลเป็น “จุดสุดยอดแห่งการต่อสู้อันยาวนานในยุคกลางระหว่างอำนาจนักบวชกับฆราวาส. . . . ดุลอำนาจได้แปรเปลี่ยนไปอย่างเด่นชัดและอย่างเด็ดขาดจากคริสต์จักรสู่รัฐและจากสงฆ์สู่ฆราวาส.”
สำหรับปัจเจกชนทั่วไปแล้ว นั่นหมายถึงเสรีภาพมากขึ้น ทั้งทางศาสนาและฝ่ายพลเรือน. ต่างจากลัทธิคาทอลิก ลัทธิโปรเตสแตนต์ไม่ได้มีสำนักงานกลางเพื่อคอยควบคุมด้านหลักคำสอนหรือกิจปฏิบัติ ดังนั้นจึงยอมให้มีความคิดเห็นทางศาสนาได้อย่างกว้างขวาง. การกระทำดังกล่าวค่อย ๆ ส่งเสริมการยินยอมทางศาสนา และการคิดอย่างเสรีซึ่งในสมัยปฏิรูปยังไม่มีใครนึกถึง.
การมีเสรีภาพมากยิ่งขึ้นนั้นได้ปลดปล่อยพลังซึ่งก่อนหน้านั้นยังไม่ได้นำมาใช้. บางคนอ้างว่า นั่นเป็นสิ่งกระตุ้นที่จำเป็นต่อการพัฒนาทางสังคม การปกครอง และเทคโนโลยีซึ่งเป็นตัวผลักดันให้เข้าสู่ยุคใหม่ของพวกเรา. ทีโอดอร์ ไวท์ นักเขียนที่ล่วงลับไปแล้วได้เขียนว่า หลักจริยธรรมในการทำงานของโปรเตสแตนต์ได้ “ถูกนำไปใช้ทั้งในการปกครองและในชีวิตประจำวัน.” เขาอธิบายเรื่องนี้ว่าเป็น “ข้อบัญญัติทางศาสนาที่ว่ามนุษย์มีความรับผิดชอบโดยตรงต่อพระเจ้าสำหรับสติรู้สึกผิดชอบและการประพฤติปฏิบัติของเขา โดยปราศจากการก้าวก่าย หรือการทูลขอของพวกบาทหลวง. . . . หากชายใดได้ทำงานหนัก ไถให้ลึก ไม่เกียจคร้านหรือเฉื่อยชาและเอาใจใส่ดูแลภรรยาและบุตรของตน เมื่อนั้น ไม่โชคชะตาก็พระเจ้าจะตอบแทนความพยายามของเขา.”
แง่มุมเหล่านี้ที่ดูเหมือนว่าดีของลัทธิโปรเตสแตนต์ควรบดบังสายตาเราไว้จากข้อบกพร่องของลัทธินี้ไหม? เอ็นไซโคพีเดีย อ็อฟ รีลิจัน แอนด์ เอทิคส์ กล่าวว่าการปฏิรูปของโปรเตสแตนต์ก็เป็น “โอกาสสำหรับบาปอันชั่วร้าย” และเสริมอีกว่า “ยุคแห่งพวกเยซูอิท และศาลศาสนาได้สิ้นสุดลง . . . เพียงเพื่อถูกตามติดมาด้วยบางสิ่งที่ต่ำทรามกว่านั้นอีก. ถ้าหากความไม่รู้จริงมีอยู่มากในยุคกลาง ก็มีการหลอกลวงที่คิดกะการไว้อย่างดีในยุคนี้.”
“การหลอกลวงที่คิดกะการไว้อย่างดี”—ในแง่ใด?
เป็น “การหลอกลวงที่คิดกะการไว้อย่างดี” เพราะลัทธิโปรเตสแตนต์ยืนยันจะปฏิรูปหลักคำสอนแต่แล้วไม่ทำ. มักจะเป็นนโยบายของคริสต์จักรต่างหากไม่ใช่ความเท็จของหลักคำสอนที่ก่อความขุ่นเคืองแก่นักปฏิรูป. ส่วนใหญ่แล้ว ลัทธิโปรเตสแตนต์ยังคงไว้ซึ่งแนวคิดและกิจปฏิบัติทางศาสนาแบบนอกรีตของนิกายคาทอลิก. อย่างไรล่ะ? ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับสมาชิกภาพในสภาคริสต์จักรโปรเตสแตนต์แห่งโลก. การยึดมั่นกับหลักคำสอนนี้เหนียวแน่นอย่างยิ่ง แม้ว่า ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย อ็อฟ รีลิจัน จะยอมรับว่า ‘ผู้ชำนาญการแปล และนักเทววิทยาในสมัยนี้ต่างเห็นด้วยว่าไม่มีที่ใดเลยในคัมภีร์ไบเบิลที่มีการสอนหลักคำสอนนี้อย่างชัดแจ้ง.’
ลัทธิโปรเตสแตนต์ได้ปฏิรูประบบปกครองคริสต์จักรที่เหลวแหลกไหม? เปล่าเลย. แทนที่จะทำเช่นนั้น ดังที่ มาร์ติน มาร์ตี กล่าว นิกายนี้ “สืบต่อแบบอย่างอำนาจปกครองจากลัทธิคาทอลิกในยุคกลาง” และ “เพียงแยกตัวออกจากองค์การแห่งโรมันคาทอลิก เพื่อก่อตั้งการปกครองแบบโปรเตสแตนต์ขึ้น.”
ลัทธิโปรเตสแตนต์ยังได้ยืนยันจะฟื้นฟู “ความเชื่ออย่างเดียวกัน” ขึ้น. แต่ว่า คำสัญญาแห่งคัมภีร์ไบเบิลข้อนี้มิได้มาสำเร็จด้วยการเกิดนิกายโปรเตสแตนต์ที่แตกแยกจำนวนมาก.—เอเฟโซ 4:13.
ความยุ่งเหยิงที่เป็นระบบ—ทำไม?
ปัจจุบัน ในปี 1990 ลัทธิโปรเตสแตนต์ได้แยกเป็นนิกายและสำนักย่อยมากมายจนไม่อาจทราบจำนวนทั้งหมดได้. ก่อนที่บุคคลใดจะนับจำนวนได้ทั้งหมดก็มีกลุ่มใหม่ถูกตั้งขึ้นหรือไม่ก็กลุ่มอื่น ๆ อาจล้มเลิกไป.
อย่างไรก็ตาม เวิลด์ คริสเตียน เอ็นไซโคลพีเดีย ทำสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้” นี้โดยการแบ่งคริสต์ศาสนจักร (เมื่อปี 1980) ออกเป็น “20,780 กลุ่มคริสเตียนที่เป็นเอกเทศ” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนิกายโปรเตสแตนต์.a จำนวนนี้รวมทั้งกลุ่มโปรเตสแตนต์แบบดั้งเดิม 7,889 กลุ่ม และกลุ่มศาสนาในท้องถิ่นซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่คนผิวขาว 10,065 กลุ่ม กับอีก 225 สำนักแองกลิกัน และ 1,345 กลุ่มโปรเตสแตนต์ที่คลุมเครือ.
ในคำอธิบายถึงความเป็นมาของกลุ่มอันยุ่งเหยิงเหล่านี้ ซึ่งเรียกว่า “เครื่องหมายแสดงถึงสุขภาพ และความเจ็บป่วย” หนังสือโปรเตสแตนต์ คริสเตียนนิตี กล่าวว่า สิ่งนั้น “อาจเนื่องมาจากความสามารถในการสร้างสรรค์ และข้อจำกัดของมนุษย์ ยิ่งกว่านั้น อาจเนื่องมาจากความหยิ่งผยองของบางคนที่คิดมากเกินควรเกี่ยวกับทัศนะของตนที่มีต่อชีวิต.”
เป็นความจริงทีเดียว! โดยปราศจากการเอาใจใส่ในความจริงของพระเจ้าอย่างพอเพียง คนที่หยิ่งผยองเสนอวิธีใหม่ ๆ หลายอย่างเพื่อแสวงความรอด อิสรภาพ หรือความสำเร็จ. การมีหลายศาสนาไม่พบแหล่งสนับสนุนจากคัมภีร์ไบเบิลเลย.
ในการส่งเสริมการมีหลายศาสนานั้น ดูเหมือนลัทธิโปรเตสแตนต์จะบอกเป็นนัย ๆ ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจัดให้มีเครื่องนำทางสำหรับการนมัสการพระองค์. ความยุ่งเหยิงที่เป็นระบบเช่นนั้นลงรอยกันไหมกับพระเจ้าแห่งความจริง ผู้ซึ่งพระคัมภีร์กล่าวว่า “มิใช่พระเจ้าแห่งความยุ่งเหยิง แต่เป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข”? ความคิดของพวกโปรเตสแตนต์อันเป็นที่รู้กันว่า ไปโบสถ์ใดก็ได้ตามแต่ใจชอบนั้นต่างจากความนึกคิดแบบเอกเทศที่นำอาดามกับฮาวาไปสู่การเชื่อที่ผิดพลาด และต่อเนื่องด้วยเหตุการณ์ยุ่งยากไหม?—1โกรินโธ 14:33; โปรดดูเยเนซิศ 2:9; 3:17-19.
การละเลยสถานภาพพิเศษของคัมภีร์ไบเบิล
มาร์ตีกล่าวว่าถึงแม้พวกนักปฏิรูปในตอนแรก ๆ ได้ให้คัมภีร์ไบเบิลอยู่ในสถานภาพพิเศษ นักเทววิทยาโปรเตสแตนต์สมัยต่อมาก็ได้ก่อการวิพากษ์วิจารณ์ในระดับสูงขึ้น และ “ดังนั้นจึงปฏิบัติต่อถ้อยคำในคัมภีร์ไบเบิลเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อถ้อยคำในหนังสือโบราณอื่น ๆ.” พวกเขาไม่ได้ให้ “สถานภาพพิเศษต่อการดลใจของผู้ประพันธ์พระคัมภีร์.”
ฉะนั้น โดยตั้งข้อสงสัยเรื่องการดลบันดาลคัมภีร์ไบเบิลโดยพระเจ้า นักเทววิทยาโปรเตสแตนต์ได้บ่อนทำลายความเชื่อในสิ่งที่พวกนักปฏิรูปถือว่าเป็นรากฐานของลัทธิโปรเตสแตนต์. สิ่งนี้จึงเปิดทางให้แก่การสงสัย การคิดอย่างอิสระ และการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง. อย่างมีเหตุผล พวกนักวิชาการหลายคนเห็นว่าการปฏิรูปเป็นสาเหตุใหญ่ของทัศนะฝ่ายโลกสมัยใหม่.
ยุ่งกับการเมือง
ผลที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นหลักฐานชัดเจนว่าถึงแม้อาจเป็นได้ว่าพวกนักปฏิรูปแต่ละคนและเหล่าผู้ติดตามเขาจะมีเจตนาดี ลัทธิโปรเตสแตนต์ก็ไม่ได้ฟื้นฟูศาสนาคริสเตียนแท้ขึ้น. แทนการส่งเสริมสันติสุขโดยความเป็นกลางแบบคริสเตียน พวกเขากลับเข้าไปพัวพันในลัทธิชาตินิยม.
สิ่งนี้ปรากฏให้เห็นในขณะเดียวกับที่การแบ่งแยกคริสต์ศาสนจักรออกเป็นคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ได้เป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา. กองกำลังคาทอลิก และโปรเตสแตนต์ได้ทำให้มีการนองเลือดตลอดทั่วทวีปยุโรปในสงครามสิบสองครั้งหรือมากกว่านั้น. เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา เรียกสงครามนั้นว่า “สงครามศาสนาที่ถูกก่อขึ้นโดยการปฏิรูปของเยอรมันและสวิสแห่งทศวรรษปี 1520.” ครั้งที่เด่นที่สุดแห่งสงครามเหล่านั้นคือ สงครามสามสิบปี (1618-1648) ซึ่งพัวพันทั้งข้อขัดแย้งทางการเมือง และทางศาสนาระหว่างพวกโปรเตสแตนต์ กับพวกคาทอลิกในเยอรมนี.
มีการนองเลือดในอังกฤษด้วย. ระหว่างปี 1642 และ 1649 พระเจ้าชาร์ลส์ที่หนึ่งได้ก่อสงครามกับรัฐสภา. เนื่องจากพวกที่อยู่ฝ่ายต่อต้านกษัตริย์ส่วนมากเป็นสมาชิกของคริสต์จักรแห่งอังกฤษสาขาพิวริตัน สงครามนั้นจึงได้มีการกล่าวถึงในบางครั้งว่าเป็นการปฏิวัติพิวริตัน. สงครามนี้สิ้นสุดลงด้วยการปลงพระชนม์กษัตริย์ และการก่อตั้งสาธารณรัฐพิวริตันขึ้นภายใต้โอลิเวอร์ ครอมเวล. แม้สงครามกลางเมืองของประเทศอังกฤษครั้งนี้ ในอันดับแรกไม่ใช่การสู้รับทางศาสนา พวกนักประวัติศาสตร์ก็เห็นพ้องกันว่าศาสนาเป็นตัวชี้ขาดในการเลือกว่าจะอยู่ฝ่ายไหน.
ระหว่างสงครามครั้งนั้น ได้มีกลุ่มศาสนาที่รู้จักกันว่า เฟรนดส์ หรือเควเกอร์เกิดขึ้น. กลุ่มนี้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากพวก “พี่น้อง” โปรเตสแตนต์ของเขา. สมาชิกหลายร้อยคนของกลุ่มนี้ตายในคุก และหลายพันคนต้องทนรับการสบประมาทเหยียดหยาม. แต่ขบวนการนี้ก็แพร่ออกไป กระทั่งถึงอาณานิคมอังกฤษในอเมริกา ที่ซึ่งพระเจ้าชาร์ลที่สองได้ออกหนังสืออนุญาตให้วิลเลียม เพนน์ ตั้งอาณานิคมเควเกอร์ขึ้น ซึ่งภายหลังกลายเป็นรัฐเพ็นซิลเวเนีย.
พวกเควเกอร์ไม่ใช่กลุ่มเดียวเท่านั้นที่เสาะหาผู้เลื่อมใสในต่างแดน ศาสนาอื่น ๆ ได้ทำเช่นนั้นมาก่อนแล้ว. อย่างไรก็ตาม บัดนี้ภายหลัง “การริเริ่มใหม่” นี้ของโปรเตสแตนต์ พวกคาทอลิกพร้อมกับกลุ่มโปรเตสแตนต์จำนวนมากก็ได้เพิ่มความพยายามมากขึ้นเพื่อนำข่าวสารแห่งความจริงและสันติสุขของพระคริสต์ไปยัง “ผู้ที่ไม่เชื่อ.” แต่ช่างน่าหัวเราะเสียจริง! ในฐานะ “ผู้เชื่อถือ” ทั้งพวกคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ไม่อาจหาข้อตกลงกันได้ในเรื่องการจัดคำนิยามเกี่ยวกับความจริงของพระเจ้า. และพวกเขาล้มเหลวอย่างแท้จริงในการแสดงถึงสันติภาพและเอกภาพแบบพี่น้อง. เมื่อมองดูสภาพการณ์เช่นนี้ จะคาดหมายอะไรได้ “เมื่อ ‘คริสเตียน’ พบกับ ‘ชนนอกรีต’? เชิญอ่านตอน 18 ในฉบับหน้า.
[เชิงอรรถ]
a หนังสืออ้างอิงนี้ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1982 ได้ประเมินว่าในปี 1985 จะมีถึง 22,190 กลุ่มโดยกล่าวว่า “จำนวนสุทธิที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มใหม่ในตอนนี้คือ 270 ต่อปี (สัปดาห์ละ 5 กลุ่ม).”
[กรอบหน้า 28]
ผลิตผลแรก ๆ ของการปฏิรูป
นิกายแองกลิกัน: มี 25 คริสต์จักรที่ปกครองตนเองไม่ขึ้นกับใคร และอีก 6 กลุ่มที่ร่วมกับคริสต์จักรแห่งอังกฤษในด้านหลักคำสอนและพิธีสวด และยอมรับตำแหน่งผู้นำของอาร์คบิชอพแห่งแคนเทอร์เบอรี. ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย อ็อฟ รีลิจัน กล่าวว่า ลัทธิแองกลิกัน “ยังคงความเชื่อในเรื่องการสืบตำแหน่งอัครสาวกของพวกบิชอพ และยังคงไว้ซึ่งกิจปฏิบัติต่าง ๆ หลายอย่างที่มีอยู่ก่อนการปฏิรูป.” ศูนย์รวมแห่งการนมัสการของพวกเขาคือ เดอะ บุ๊ค อ็อฟ คอมมัน เพรเยอร์ ซึ่งเป็น “หนังสือบทสวดมนต์ในภาษาสามัญ เพียงเล่มเดียวของช่วงที่มีการปฏิรูปที่ยังคงใช้อยู่.” พวกแองกลิกันในสหรัฐซึ่งแตกแยกกับคริสต์จักรแห่งอังกฤษ และได้ตั้งคริสต์จักรโปรเตสแตนต์เอพิสโคพัลขึ้นในปี 1789 นั้น ก็ได้ทำการฝืนจารีตอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 1989 โดยการแต่งตั้งบิชอพหญิงขึ้นเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์แองกลิกัน.
คริสต์จักรแบ็พติสต์: มี 369 กลุ่ม (ในปี 1970) สืบเนื่องจากกลุ่มอนาแบ็พติสต์แห่งศตวรรษที่สิบหกซึ่งเน้นหนักในเรื่องการให้บัพติสมาแก่ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่โดยการจุ่มตัวมิดในน้ำ. ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย อ็อฟ รีลิจัน กล่าวว่า พวกแบ็พติสต์ได้ “พบว่าเป็นการยากจะรักษาไว้ซึ่งเอกภาพขององค์การหรือทางศาสนา” และกล่าวเพิ่มเติมว่า “ครอบครัวแบ็พติสต์ในสหรัฐเป็นครอบครัวใหญ่ . . . แต่ก็เป็นดังในครอบครัวใหญ่อื่น ๆ สมาชิกบางคนไม่ได้พูดคุยกับสมาชิกคนอื่น ๆ.”
คริสต์จักร์ลูเทอรัน: มี 240 กลุ่ม (ในปี 1970) ซึ่งโอ่ว่ามีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในบรรดากลุ่มของโปรเตสแตนต์. เดอะ เวิลด์ อัลมาแน็ค แอนด์ บุ๊ค อ็อฟ แฟ็คท์ส 1988 กล่าวว่าพวกเขา “ยังคงแบ่งเป็นกลุ่มตามเชื้อชาติอยู่บ้าง (เช่น เยอรมัน สวีเดน และอื่น ๆ)” แต่ก็เสริมว่า “การแตกแยกที่สำคัญ คือระหว่างพวกที่ยึดตามบันทึกในคัมภีร์แต่เดิมกับพวกเสรีนิยม.” การแตกแยกของพวกลูเทอรันไปเป็นกลุ่มที่นิยมชาติ ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในระหว่างสงครามโลกที่สอง ในคราวที่ “พวกบาทหลวงลูเทอรันและคริสต์จักร [ในเยอรมนี] ส่วนน้อยต่อต้านฮิตเลอร์ แต่พวกลูเทอรันส่วนใหญ่มีทั้งไม่ปริปากหรือไม่ก็ร่วมมือกับระบอบนาซีอย่างแข็งขัน.” ดังคำกล่าวของ อี ดับบึลยู กริตช์ แห่งวิทยาลัยเทววิทยาลูเทอรัน สหรัฐอเมริกา.
คริสต์จักรเมโธดิสต์: มี 188 กลุ่ม (ในปี 1970) เกิดขึ้นจากความเคลื่อนไหวภายในคริสต์จักรอังกฤษ ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี 1738 โดยจอห์น เวสลีย์. หลังจากเขาตาย กลุ่มนี้ก็แยกตัวออกไปอยู่ต่างหาก เวสลีย์นิยามสมาชิกคริสต์จักรเมโธดิสต์ว่าเป็น “ผู้ซึ่งดำเนินตามวิธีการที่มีในคัมภีร์ไบเบิล.”
คริสต์จักรต่าง ๆ ที่ได้ปฏิรูปแล้วและคริสต์จักรเพรสไบทีเรียน: คริสต์จักรที่มีการปฏิรูปแล้ว (354 กลุ่ม ในปี 1970) ในด้านหลักคำสอนสืบมาจากพวกคาลวินไม่ใช่พวกลูเทอรัน และพวกเขาถือว่าตัวเป็น “คริสต์จักรคาทอลิกที่ได้ปฏิรูปแล้ว.” “เพรสไบทีเรียน” หมายถึงคณะปกครองคริสต์จักรโดยพวกผู้อาวุโส (เพรสไบเทอร์) คริสต์จักรเพรสไบทีเรียนทุกคริสต์จักร คือคริสต์จักรที่ปฏิรูปแล้ว แต่ไม่ใช่ทุก ๆ คริสต์จักรที่ปฏิรูปแล้วจะมีคณะปกครองแบบเพรสไบทีเรียน.
[รูปภาพหน้า 25]
หน้าหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษาลาตินโดย กูเตนเบอร์กซึ่งออกแบบอย่างสวยงาม.
[ที่มาของภาพ]
By permission of The British Library
[รูปภาพหน้า 26]
กูเตนเบอร์กกับแท่นพิมพ์ตัวเรียงของเขา
[รูปภาพหน้า 27]
จอห์น เวสลีย์ ผู้ก่อตั้งคริสต์จักรเมโธดิสต์ (1738)