ศาลสูงแห่งยุโรปสนับสนุนสิทธิที่จะประกาศศาสนาในประเทศกรีซ
ทำไมคนที่ได้รับการยกย่องนับถือจากเพื่อนบ้านจึงถูกจับมากกว่า 60 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1938? ทำไมเจ้าของร้านค้าที่ซื่อสัตย์คนนี้จากเกาะครีตของประเทศกรีซจึงถูกนำไปต่อหน้าศาลแห่งกรีซถึง 18 ครั้งและได้รับโทษจำคุกกว่าหกปี? ใช่แล้ว ทำไมหัวหน้าครอบครัวที่เอาการเอางานคนนี้ มีโนส คกคินะคิส จึงถูกเอาตัวไปจากภรรยาและลูก ๆ ห้าคนของเขาและถูกเนรเทศไปอยู่ตามเกาะต่าง ๆ ที่เป็นทัณฑสถาน?
สาเหตุส่วนใหญ่เนื่องจากกฎหมายต่าง ๆ ที่มีการประกาศใช้ในปี 1938 และปี 1939 ซึ่งห้ามการชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนา. กฎหมายเหล่านั้นถูกกำหนดขึ้นโดยผู้เผด็จการชาวกรีก อีโออันนิส เมทาซัส ซึ่งปฏิบัติการภายใต้อิทธิพลของคริสต์จักรกรีกออร์โทด็อกซ์.
ผลจากการออกกฎหมายนั้นคือ ตั้งแต่ปี 1938 ถึงปี 1992 มีการจับพยานพระยะโฮวา 19,147 ครั้ง และศาลตัดสินลงโทษรวมกันทั้งหมด 753 ปี ซึ่งมีการรับโทษจริง ๆ รวมกัน 593 ปี. สิ่งที่ได้ทำไปทั้งหมดนี้ก็เพราะพยานพระยะโฮวาในประเทศกรีซ เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเยซูคริสต์ที่จะ “ทำให้ชนจากทุกชาติเป็นสาวก . . . สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด” ที่พระองค์ได้สั่งไว้.—มัดธาย 28:19, 20, ล.ม.
แต่ในวันที่ 25 พฤษภาคม 1993 ชัยชนะอันใหญ่หลวงเพื่อประโยชน์แห่งเสรีภาพในการนมัสการก็มาถึง! ในวันนั้นศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปในเมืองสตราสเบอร์ก, ประเทศฝรั่งเศส ได้สนับสนุนสิทธิของพลเมืองกรีกที่จะสอนความเชื่อของตนแก่คนอื่น ๆ. ในการตัดสินเช่นนั้น ศาลสูงแห่งยุโรปได้ทำให้มีการปกป้องอย่างกว้างขวางต่อเสรีภาพทางศาสนาซึ่งอาจจะมีผลกระทบอันลึกซึ้งต่อชีวิตผู้คนทั่วทุกหนทุกแห่ง.
ให้เรามาดูเหตุการณ์นี้ใกล้ชิดขึ้นอีก รวมถึงการสบประมาทต่าง ๆ ที่พลเมืองกรีกคนหนึ่งต้องทนรับเอา ซึ่งนำไปสู่การตัดสินครั้งสำคัญนี้ของศาล.
ความเป็นมาช่วงต้น ๆ
ในปี 1938 พลเมืองคนนี้ มีโนส คกคินะศิส เป็นพยานพระยะโฮวาคนแรกที่ถูกตัดสินภายใต้กฎหมายกรีกซึ่งทำให้การชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนาเป็นการละเมิดทางอาญา. โดยไม่มีการขึ้นศาล เขาถูกเนรเทศไปอยู่บนเกาะอะมอร์กอสในทะเลอีเจียน 13 เดือน. ในปี 1939 เขาถูกตัดสินลงโทษสองครั้งและถูกจำคุกครั้งละสองเดือนครึ่ง.
ในปี 1940 คกคินะคิสถูกเนรเทศไปที่เกาะเมลอสหกเดือน. ปีต่อมา ระหว่างสงครามโลกที่ 2 เขาถูกคุมขังในคุกทหารในเอเธนส์กว่า 18 เดือน. เขาเล่าถึงช่วงเวลานั้นดังนี้:
“การขาดแคลนอาหารในคุกเลวร้ายหนักขึ้น. เราหมดแรงจนเราเดินไม่ได้. หากไม่มีพยานฯจากเอเธนส์กับไพรีอัสซึ่งจัดอาหารให้เราจากที่เขามีอยู่อย่างจำกัด เราคงตายไปแล้ว.” ต่อมาในปี 1947 เขาถูกตัดสินลงโทษอีกครั้งและได้รับโทษอีกสี่เดือนครึ่งในคุก.
ในปี 1949 มีโนส คกคินะคิสถูกเนรเทศไปที่เกาะมาโครนีโซส ชื่อซึ่งทำให้เกิดภาพอันน่าสยดสยองแก่จิตใจของชาวกรีกเนื่องจากคุกที่นั่น. ในท่ามกลางนักโทษประมาณ 14,000 คนซึ่งถูกคุมขังที่มาโครนีโซสในตอนนั้น ประมาณ 40 คนเป็นพยานฯ. สารานุกรมกรีก พาพีรอส ลารุสส์ บริแทนนิกา ให้ข้อสังเกตว่า “วิธีการทรมานอันทารุณ . . . สภาพการดำรงชีวิต ซึ่งชาติที่เจริญแล้วไม่อาจยอมรับได้ และการประพฤติเลวทรามที่ผู้คุมมีต่อนักโทษ . . . เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าแก่ประวัติศาสตร์แห่งประเทศกรีซ.”
คกคินะคิสซึ่งอยู่ในคุกที่มาโครนีโซสปีหนึ่งพรรณนาถึงสภาพการณ์ที่นั่นว่า “พวกทหาร เหมือนพวกสมาชิกศาลศาสนา จะสอบสวนนักโทษแต่ละคนตั้งแต่เช้าจนค่ำ. การทรมานที่พวกเขาทำแก่นักโทษนั้นไม่อาจพรรณนาเป็นถ้อยคำได้. นักโทษหลายคนเสียสติ; คนอื่น ๆ ถูกฆ่า; มีหลายคนที่ถูกทิ้งไว้ในสภาพร่างกายพิการ. ระหว่างกลางคืนอันน่ากลัวเหล่านั้นที่เราได้ยินเสียงร้องและเสียงคร่ำครวญของคนที่ถูกทรมาน เราจะอธิษฐานกันเป็นกลุ่ม.”
ภายหลังที่รอดจากความยากลำบากบนเกาะมาโครนีโซส คกคินะคิสถูกจับอีกหกครั้งในระหว่างทศวรรษปี 1950 และรับโทษจำคุกสิบเดือน. ในทศวรรษปี 1960 เขาถูกจับเพิ่มอีกสี่ครั้งและถูกตัดสินจำคุกแปดเดือน. แต่อย่าลืมว่า มีโนส คกคินะคิสเป็นเพียงคนหนึ่งในบรรดาพยานพระยะโฮวาหลายร้อย คนซึ่งถูกจับและจำคุกในหลายสิบปีมานี้เพราะพวกเขาพูดถึงความเชื่อของตนแก่ผู้อื่น!
เป็นไปอย่างไรที่ความอยุติธรรมอันน่ากลัวซึ่งมีการก่อขึ้นกับพยานพระยะโฮวาในประเทศกรีซนั้นในที่สุดได้มาถึงศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป?
คดีตัวอย่าง
คดีนี้มีที่มาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 1986. ในวันนั้น มีโนส คกคินะคิสซึ่งในขณะนั้นเป็นนักธุรกิจที่เกษียณแล้ววัย 77 ปี กับภรรยาของเขาได้เยี่ยมที่บ้านของนางจอร์เจีย คือริอาคะคิ ในซีเทีย เกาะครีต. สามีของนางคือริอาคะคิซึ่งเป็นผู้ร้องนำในคณะร้องเพลงสวดในโบสถ์ออร์โทด็อกซ์ท้องถิ่นได้แจ้งตำรวจ. ตำรวจจึงมาจับตัวนายและนางคกคินะคิสแล้วนำไปยังสถานีตำรวจประจำท้องที่นั้น. พวกเขาถูกกักตัวไว้ที่สถานีตำรวจทั้งคืน.
พวกเขาถูกฟ้องด้วยข้อหาอะไร? ก็ข้อหาเดียวกับที่มีต่อพยานพระยะโฮวาหลายพันคนในช่วง 50 ปีก่อนหน้านี้นั่นแหละ นั่นก็คือ พวกเขาชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนา. รัฐธรรมนูญของประเทศกรีซ (1975) มาตรา 13 กล่าวว่า “ห้ามการชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนา.” ขอพิจารณาต่อไปถึงกฎหมายของประเทศกรีซ ในหมวด 4 มาตรา 1363/1938 และมาตรา 1672/1939 ซึ่งทำให้การชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนาเป็นการละเมิดทางอาญา. ข้อนั้นมีความว่า:
“คำ ‘ชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนา’ มีความหมายในรายละเอียดว่า ความพยายามไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมเพื่อบุกรุกความเชื่อทางศาสนาของบุคคลหนึ่งที่มีความเชื่อทางศาสนาที่ต่างออกไป . . . ด้วยจุดมุ่งหมายจะเซาะกร่อนความเชื่อของเขา ไม่ว่าโดยการชักจูงหรือคำสัญญาที่ชักจูงใจชนิดใด, หรือการสนับสนุนทางศีลธรรมหรือการช่วยเหลือด้านวัตถุ, หรือโดยวิธีฉ้อฉลหรือโดยการฉวยโอกาสจากการขาดประสบการณ์, ความไว้วางใจ, ความจำเป็น, ความด้อยสติปัญญาหรือความไม่เดียงสาของเขา.”
ศาลอาญาที่ลาซีที เกาะครีต ได้พิจารณาคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1986 และเห็นว่านายและนางคกคินะคิสมีความผิดฐานชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนา. ทั้งสองถูกตัดสินลงโทษจำคุกสี่เดือน. ในการตัดสินสามีภรรยาคู่นี้ ศาลแถลงว่าจำเลยได้บุกรุก “ความเชื่อทางศาสนาของคริสเตียนออร์โทด็อกซ์ . . . โดยฉวยโอกาสจากการขาดประสบการณ์, ความด้อยสติปัญญาและความไม่เดียงสาของพวกเขา.” จำเลยทั้งสองยังถูกกล่าวหาอีกด้วยว่า “สนับสนุน [นางคือริอาคะคิ] โดยการชี้แจงที่เฉียบแหลมและชำนาญ . . . เพื่อเปลี่ยนความเชื่อแบบคริสเตียนออร์โทด็อกซ์ของนาง.”
ได้มีการอุทธรณ์คำตัดสินนั้นต่อศาลอุทธรณ์แห่งเกาะครีต. เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 1987 ศาลแห่งเกาะครีตนี้ได้ตัดสินปล่อยตัวนางคกคินะคิสแต่สนับสนุนการตัดสินลงโทษสามีของเธอ ถึงแม้ศาลนี้ได้ลดโทษจำคุกเขาเหลือสามเดือนก็ตาม. คำตัดสินนั้นอ้างว่านายคกคินะคิสได้ “ฉวยโอกาสจากการขาดประสบการณ์, ความด้อยสติปัญญาและความไม่เดียงสาของ [นางคือริอาคะคิ]” บอกว่าเขา “เริ่มอ่านข้อความจากพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเขาได้แยกแยะอย่างชำนิชำนาญในวิธีที่สตรีคริสเตียนไม่อาจโต้แย้งได้ เนื่องจากขาดพื้นฐานเพียงพอในด้านหลักคำสอน.”
ในการเสนอความเห็นแย้ง ผู้พิพากษาคนหนึ่งในศาลอุทธรณ์เขียนว่านายคกคินะคิส “ควรได้รับการปล่อยตัวเช่นกัน เพราะไม่มีหลักฐานแสดงว่าจอร์เจีย คือริอาคะคิ . . . ขาดประสบการณ์อย่างยิ่งในหลักคำสอนแบบคริสเตียนออร์โทด็อกซ์, เนื่องจากเธอสมรสกับผู้ร้องนำในคณะร้องเพลงสวดในโบสถ์, หรือด้อยสติปัญญาอย่างยิ่งหรือไม่เดียงสาอย่างยิ่ง ซึ่งจำเลยอาจฉวยโอกาสได้และ . . . [ด้วยเหตุนั้น] จึงชักจูงเธอให้เป็นสมาชิกของกลุ่มพยานพระยะโฮวา.”
นายคกคินะคิสอุทธรณ์คดีต่อศาลฎีกา ศาลสูงสุดของประเทศกรีซ. แต่ศาลฎีกาได้ยกอุทธรณ์นั้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน 1988. ดังนั้น ในวันที่ 22 สิงหาคม 1988 นายคกคินะคิสจึงร้องต่อคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป. ในที่สุดก็มีการรับคำร้องของเขาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1992 และได้มีการรับเรื่องเข้าสู่ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป.
ประเด็นแห่งคดี
เนื่องจากกรีซเป็นประเทศสมาชิกของสภายุโรป ประเทศนี้จึงมีพันธะจะปฏิบัติตามข้อบังคับแห่งสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนของยุโรป. ข้อบังคับข้อ 9 แห่งสนธิสัญญานั้นอ่านว่า “ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการคิด, สติรู้สึกผิดชอบและศาสนา; สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพในการเปลี่ยนศาสนาหรือความเชื่อของเขาและเสรีภาพในการแสดงให้เห็นถึงศาสนาหรือความเชื่อ, ในการนมัสการ, กิจปฏิบัติและการปฏิบัติตาม ไม่ว่าโดยลำพังหรือในชุมชนร่วมกับคนอื่น ๆ และในที่สาธารณะหรือที่ส่วนตัว.”
ดังนั้น รัฐบาลแห่งประเทศกรีซจึงตกเป็นจำเลยในศาลแห่งยุโรป. รัฐบาลนี้ถูกกล่าวหาในเรื่องการปล่อยให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของพลเมืองกรีกที่จะปฏิบัติศาสนาด้วยการทำตามพระบัญชาของพระเยซูคริสต์ นั่นคือ ‘ให้สอนและทำให้คนเป็นสาวก.’ (มัดธาย 28:19, 20) ยิ่งกว่านั้น อัครสาวกเปโตรกล่าวว่า “[พระเยซู] ได้ทรงสั่งเราทั้งหลายให้ประกาศแก่ผู้คนและให้กล่าวคำพยานอย่างครบถ้วน.”—กิจการ 10:42, ล.ม.
นิตยสารสิทธิมนุษยชนยุโรป ฉบับพิเศษปี 1992 ขึ้นปกด้วยชื่อเรื่อง “กรีซ—จงใจละเมิดสิทธิมนุษยชน.” นิตยสารนี้ชี้แจงในหน้า 2 ดังนี้: “กรีซเป็นประเทศเดียวเท่านั้นในอีซี [ประชาคมยุโรป] และในยุโรป ที่มีการออกกฎหมายลงโทษซึ่งให้มีการลงโทษปรับและจำคุกคนใดก็ตามที่กระตุ้นบุคคลอื่นให้เปลี่ยนศาสนาของเขา.”
ดังนั้น ในตอนนี้ความตื่นเต้นทั้งในและนอกแวดวงทางกฎหมายพุ่งสูงขึ้น. จะมีการตัดสินอย่างไรเกี่ยวกับกฎหมายของประเทศกรีซซึ่งห้ามการสอนความเชื่อของคนเราแก่คนอื่น ๆ?
การพิจารณาคดีในสตราสเบอร์ก
ในที่สุดก็มาถึงวันแห่งการพิจารณาคดี—วันที่ 25 พฤศจิกายน 1992. มีเมฆหนาทึบเหนือสตราสเบอร์ก และหนาวเหน็บ แต่พวกนักกฎหมายภายในศาลโต้แย้งกันอย่างเผ็ดร้อน. มีการเสนอหลักฐานเป็นเวลาสองชั่วโมง. ศาสตราจารย์เฟดอน เว็กเลริส ทนายความของคกคินะคิส ได้เข้าถึงแก่นของประเด็นโดยถามว่า ‘กฎหมายที่จำกัดสิทธิซึ่งถูกกำหนดขึ้นเพื่อปกป้องสมาชิกของคริสต์จักรกรีกออร์โทด็อกซ์จากการถูกเปลี่ยนไปเป็นความเชื่อศาสนาอื่น ๆ ควรมีอยู่และนำไปใช้ต่อไปไหม?’
ด้วยความสนเท่ห์อย่างเห็นได้ชัด ศาสตราจารย์เว็กเลริสถามว่า “ผมสงสัยว่าทำไมกฎหมาย [เรื่องการชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนา] นี้จึงทำให้ศาสนจักรออร์โทด็อกซ์ดูราวกับโฉดเขลาและไม่รู้อะไรเลย. ผมเคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมศาสนาจักรออร์โทด็อกซ์จึงจำเป็นต้องมีการป้องกันไว้จากความโฉดเขลา, จากการมีขีดความสามารถฝ่ายวิญญาณไม่พอ . . . นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนใจและทำให้ผมตะลึง.” ที่น่าสนใจก็คือ ตัวแทนรัฐบาลไม่สามารถให้ตัวอย่างที่กฎหมายนี้มีการใช้กับคนใดคนหนึ่งที่ไม่ใช่พยานพระยะโฮวาเลยสักตัวอย่างเดียว.
ทนายความคนที่สองของคกคินะคิส นายพานากิโอทิส บิตซักซิส แสดงให้เห็นว่ากฎหมายห้ามการชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนานั้นไร้เหตุผลเพียงไร. เขากล่าวว่า “การยอมรับการชักชวนของกันและกันเป็นเงื่อนไขอันดับแรกสำหรับการสนทนาระหว่างบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว. มิฉะนั้น เราคงตกอยู่ในสังคมแปลกประหลาดของสัตว์ที่เป็นใบ้ ซึ่งจะคิดแต่ไม่พูดออกมา, ซึ่งจะพูดแต่ไม่สื่อความ, ซึ่งจะดำรงอยู่แต่ไม่อยู่ร่วมกัน.”
นายบิตซักซิสยังได้โต้แย้งด้วยว่า “นายคกคินะคิสถูกลงโทษไม่ใช่ ‘เนื่องจากบางสิ่งบางอย่างที่เขาได้ทำ’ แต่ [เนื่องจาก] ‘สิ่งที่เขาเป็น.’” ฉะนั้น นายบิตซักซิสชี้แจงว่า หลักการของเสรีภาพทางศาสนาไม่เพียงแต่ได้ถูกละเมิดเท่านั้น แต่ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง.
ตัวแทนรัฐบาลกรีกพยายามเสนอภาพที่ต่างออกไปจากที่เป็นจริง โดยอ้างว่าประเทศกรีซเป็น “อุทยานแห่งสิทธิมนุษยชน.”
คำตัดสิน
วันซึ่งได้คาดหมายล่วงหน้าสำหรับอ่านคำตัดสินได้มาถึง—วันที่ 25 พฤษภาคม 1993. ในการลงมติชี้ขาดหกต่อสาม ศาลตัดสินว่ารัฐบาลกรีกได้ละเมิดเสรีภาพทางศาสนาของมีโนส คกคินะคิส วัย 84 ปี. นอกจากการพิสูจน์ว่าวิถีชีวิตแห่งการรับใช้อย่างเปิดเผยของเขานั้นถูกต้องแล้ว คำตัดสินนั้นให้เขาได้รับค่าเสียหายประมาณ 360,000 บาท. ด้วยเหตุนั้น ศาลนี้ได้ปฏิเสธข้อโต้แย้งของรัฐบาลกรีกที่ว่าคกคินะคิสกับพวกพยานพระยะโฮวาใช้วิธีการกดดันเมื่อพิจารณาความเชื่อของพวกเขากับคนอื่น ๆ.
ถึงแม้รัฐธรรมนูญและกฎหมายของประเทศกรีซล้าสมัยจะห้ามการชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนา ศาลสูงแห่งยุโรปก็ได้ตัดสินว่าการใช้กฎหมายนี้เพื่อข่มเหงพยานพระยะโฮวานั้นเป็นการผิด. การทำเช่นนั้นไม่ประสานกับข้อ 9 แห่งสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป.
คำตัดสินของศาลชี้แจงดังนี้: “ศาสนาเป็นส่วนของ ‘ความคิดของมนุษย์ที่หลั่งไหลออกมาใหม่ ๆ อยู่เสมอ ๆ’ และเป็นเรื่องเหลือจะคิดออกได้ถึงการขจัดสิ่งนี้ออกไปจากการถกกันอย่างเปิดเผย.”
ความคิดเห็นสนับสนุนของผู้พิพากษาคนหนึ่งในเก้าคนนั้นมีดังนี้: “การชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนาถูกนิยามว่าเป็น ‘ความกระตือรือร้นในการแพร่ความเชื่อ’ เช่นนั้นจึงไม่อาจลงโทษได้ นั่นเป็นวิธีหนึ่ง—ที่ชอบด้วยกฎหมายอย่างสมบูรณ์ในตัว—ของ ‘การแสดงออกถึงศาสนาของคนเรา.’
“ในคดีนี้ผู้ยื่นคำร้อง [นายคกคินะคิส] ถูกตัดสินลงโทษเพียงเพราะการที่ได้แสดงความกระตือรือร้นเช่นนั้น โดยที่เขาไม่ได้กระทำผิดใด ๆ เลย.”
ผลการตัดสิน
คำสั่งที่ชัดเจนของศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปคือว่า ให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกรีกระงับการใช้กฎหมายอย่างผิด ๆ ซึ่งห้ามการชักชวนคนให้เปลี่ยนศาสนา. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศกรีซจะปฏิบัติตามคำสั่งของศาลและเลิกการกดขี่ข่มเหงพยานพระยะโฮวา.
พยานพระยะโฮวาไม่มีวัตถุประสงค์จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือปฏิรูประบบกฎหมาย. ความห่วงใยอันสำคัญของพวกเขาคือเพื่อประกาศสั่งสอนข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าด้วยความเชื่อฟังต่อพระบัญชาของพระเยซูคริสต์. แต่เพื่อทำการนี้ พวกเขายินดีจะ ‘ป้องกันและทำให้ข่าวดีนั้นตั้งมั่นคงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย’ ดังที่อัครสาวกเปาโลได้ทำในศตวรรษแรก.—ฟิลิปปอย 1:7.
พยานพระยะโฮวาเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมายในทุกประเทศที่เขาอาศัยอยู่. แต่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด พวกเขาถูกกระตุ้นให้เชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าดังที่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลอันศักดิ์สิทธิ์. ฉะนั้น หากกฎหมายของประเทศใดก็ตามห้ามพวกเขาพูดกับคนอื่นถึงความเชื่อของเขาซึ่งอาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักละก็ พวกเขาก็ต้องยืนหยัดอย่างเดียวกับพวกอัครสาวกที่ว่า “พวกข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะเป็นผู้ครอบครองยิ่งกว่ามนุษย์.”—กิจการ 5:29, ล.ม.
[กรอบหน้า 28]
นักบวชยังก่อการกดขี่
พวกนักบวชในประเทศกรีซพยายามดำเนินการมาหลายสิบปีแล้วที่จะ ‘ใช้กฎหมายในทางที่ไม่ถูกต้องเป็นธรรม.’ (บทเพลงสรรเสริญ 94:20) ไม่นานมานี้ก็มีอีกตัวอย่างหนึ่งที่เกาะครีตซึ่งได้รับการแก้ไขไปแล้ว. ย้อนหลังไปในปี 1987 หัวหน้าบาทหลวงและบาทหลวง 13 คนในท้องที่นั้นได้กล่าวหาพยานฯเก้าคนว่าพยายามทำให้คนเปลี่ยนศาสนา. ในที่สุด วันที่ 24 มกราคม 1992 เป็นวันพิจารณาคดีนี้.
มีคนออกันแน่นศาล. บาทหลวงประมาณ 35 คนอยู่พร้อมจะสนับสนุนการกล่าวหาโดยอัยการ. อย่างไรก็ตาม ที่นั่งส่วนใหญ่เต็มหมดแล้วเนื่องจากเหล่าพยานฯได้พากันมาให้กำลังใจพี่น้องคริสเตียนของตน. แม้แต่ก่อนเริ่มการพิจารณาคดีตามปกติด้วยซ้ำไป ทนายฝ่ายจำเลยได้ระบุความผิดอันร้ายแรงที่กระทำโดยอัยการ.
ผลที่สุด คนเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องในการดำเนินคดีได้ออกไปประชุมกันเป็นการลับ. ภายหลังที่ได้หารือกันนานถึงสองชั่วโมงครึ่ง ประธานศาลได้แถลงว่าทนายจำเลยเป็นฝ่ายถูก. เหตุฉะนั้น ข้อกล่าวหาพยานฯทั้งเก้าคนจึงเป็นอันยกเลิก! เขาตัดสินว่าการสืบสวนจะต้องได้เริ่มขึ้นอีกเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิดฐานชักชวนผู้คนให้เปลี่ยนศาสนาหรือไม่.
ทันทีที่มีคำประกาศ ความโกลาหลก็เกิดขึ้นในศาล. พวกบาทหลวงเริ่มตะโกนคำข่มขู่และคำปรามาส. บาทหลวงคนหนึ่งได้ใช้ไม้กางเขนทำร้ายทนายฝ่ายพยานพระยะโฮวาและพยายามบังคับให้เขาสักการะไม้กางเขน. ตำรวจต้องเข้ามาจัดการ และพยานฯก็สามารถออกไปจากที่นั้นด้วยความสงบเรียบร้อยในที่สุด.
หลังจากยกเลิกคดีไปแล้ว พนักงานอัยการได้ตั้งข้อหาใหม่ฟ้องพยานฯทั้งเก้าคน. ได้มีการนัดพิจารณาคดีวันที่ 30 เมษายน 1993 เพียงสามสัปดาห์ก่อนศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปได้ตัดสินคดีของคกคินะคิส. อีกครั้งหนึ่งที่บาทหลวงหลายคนได้มาฟังการพิจารณาคดี.
ฝ่ายทนายที่ว่าความให้กับจำเลยเก้าคนนั้นก็ได้ยื่นค้านว่า ผู้กล่าวหาพยานฯไม่ได้มาศาล. เนื่องด้วยความรีบร้อนจะตั้งข้อหาใหม่ พนักงานอัยการได้ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง โดยไม่ได้ส่งหมายเรียกไปให้ผู้กล่าวหา. ฉะนั้น ทนายฝ่ายพยานฯจึงขอศาลเพิกถอนคดีโดยอาศัยความผิดพลาดที่ร้ายแรงนี้.
พอถึงตอนนี้ พวกผู้พิพากษาได้ออกไปจากห้องพิจารณาคดีและได้ปรึกษากันเกือบหนึ่งชั่วโมง. เมื่อกลับเข้ามา ประธานศาลได้ก้มหน้าและแถลงว่าพยานฯทั้งเก้าคนไม่มีความผิด.
เหล่าพยานฯในประเทศกรีซรู้สึกยินดีต่อผลการตัดสินของคดีนี้ รวมทั้งการตัดสินของศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปในคดีคกคินะคิสเมื่อวันที่ 25 เดือนพฤษภาคมปีนี้ด้วย. คำอธิษฐานของพวกเขาก็คือว่าเมื่อชนะคดีเหล่านี้แล้ว พวกเขาจะสามารถดำเนินชีวิตแบบคริสเตียนได้ต่อ ๆ ไป ‘อย่างสงบเงียบ และด้วยความเลื่อมใสอย่างเต็มเปี่ยมในพระเจ้าและอย่างเอาจริงเอาจัง.’—1 ติโมเธียว 2:1, 2.
[รูปภาพหน้า 31]
มีโนส คกคินะคิสกับภรรยา