ครอบครัวคริสเตียนช่วยเหลือคนสูงอายุ
“เวลาชราแล้วขออย่าทรงสลัดข้าพเจ้าเสีย; เมื่อกำลังของข้าพเจ้าถอย ขออย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าเสียเลย.”—บทเพลงสรรเสริญ 71:9.
1. ผู้สูงอายุได้รับการปฏิบัติอย่างไรตามวัฒนธรรมของหลายประเทศ?
“ผลการสำรวจบ่งชี้ว่า เกือบหกในเจ็ดราย (86 %) ของคนสูงอายุที่ถูกกระทำทารุณนั้นได้รับการปฏิบัติที่เลวร้ายโดยคนในครอบครัวของตนเอง” จากคำกล่าวในวารสารเดอะวอลสตรีตเจอร์นัล. วารสารโมเดิร์นมาทูริตี ระบุว่า “การทำทารุณคนสูงอายุเป็นการเปิดเผยล่าสุดซึ่งปรากฏเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ชั้นนำของประเทศ [สหรัฐอเมริกา].” ใช่แล้ว ในหลายประเทศ คนสูงอายุตกเป็นเหยื่อการกระทำทารุณอย่างหยาบคายและการละทิ้ง. จริง ๆ แล้ว ยุคสมัยนี้ทีเดียวที่คนเป็นอันมากเป็น “คนรักตัวเอง . . . อกตัญญู, ไม่ภักดี, ไม่มีความรักชอบตามธรรมชาติ.”—2 ติโมเธียว 3:1-3, ล.ม.
2. ตามที่กล่าวในคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู พระยะโฮวาทรงมองคนสูงอายุอย่างไร?
2 แต่นั้นไม่ใช่วิธีที่เคยปฏิบัติต่อคนสูงอายุในชาติยิศราเอลโบราณ. พระบัญญัติระบุดังนี้: “จงคำนับคนผมหงอกและนับถือคนแก่, และเกรงกลัวพระเจ้า: เราเป็นยะโฮวา.” หนังสือสุภาษิตที่คมคายโดยการดลบันดาลแนะนำเราว่า “เจ้าจงฟังคำบิดาผู้บังเกิดเกล้าของเจ้า, และอย่าดูหมิ่นมารดาของเจ้าเมื่อท่านแก่ชรา.” พระธรรมสุภาษิตกำชับดังนี้: “ศิษย์ของเราเอ๋ย, จงฟังโอวาทบิดาของเจ้า, และอย่าละทิ้งคำสอนของมารดาเจ้า.” พระบัญญัติของโมเซสอนให้เคารพและนับถือคนชราทั้งเพศชายและเพศหญิง. ชัดเจนทีเดียวว่า พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้คนสูงอายุได้รับเกียรติ.—เลวีติโก 19:32; สุภาษิต 1:8; 23:22.
การเอาใจใส่คนสูงอายุในสมัยจารึกพระคัมภีร์
3. โยเซฟแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อบิดาผู้ชราของท่านอย่างไร?
3 การแสดงความนับถือหาใช่เป็นแค่คำพูดเท่านั้นแต่ด้วยการกระทำที่คำนึงถึงผู้อื่นด้วย. โยเซฟได้แสดงความเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างยิ่งต่อบิดาผู้ชรา. ท่านมีความประสงค์จะให้ยาโคบเดินทางระยะไกลกว่า 300 กิโลเมตรจากคะนาอันไปยังอียิปต์. ดังนั้น โยเซฟจึงได้จัดส่ง “ลาสิบตัวบรรทุกของวิเศษต่าง ๆ ซึ่งมีในประเทศอายฆุบโต, และลาตัวเมียอีกสิบตัวบรรทุกข้าว, ขนม, และเสบียงอาหารสำหรับให้บิดารับประทานในกลางทาง.” เมื่อยาโคบได้มาถึงเมืองโฆเซ็น โยเซฟได้ไปพบท่านและ “กอดคอไว้ร้องไห้ด้วยความรักอยู่ช้านาน.” โยเซฟแสดงออกซึ่งความรักชอบอันล้ำลึกสุดหัวใจต่อบิดาของท่าน. นับว่าเป็นตัวอย่างที่ให้กระตุ้นใจเสียจริง ๆ ในเรื่องการเอาใจใส่คนสูงอายุ!—เยเนซิศ 45:23; 46:5, 29.
4. ทำไมรูธจึงเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะติดตาม?
4 รูธเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่งดงามน่าติดตามเกี่ยวกับความกรุณาต่อคนสูงอายุ. แม้นางไม่ใช่ชาวยิศราเอล แต่มีความผูกพันใกล้ชิดกับนางนาอะมี แม่ผัวซึ่งเป็นหญิงม่ายชาวยิวที่ชรา. รูธได้ละทิ้งเพื่อนร่วมชาติและเสี่ยงต่อการหาสามีใหม่ไม่ได้. เมื่อนางนาอะมีชวนเธอให้กลับไปอยู่กับคนชาติเดียวกัน รูธได้ตอบด้วยคำพูดอันไพเราะยิ่งในคัมภีร์ไบเบิลดังนี้: “ขออย่าสั่งให้ฉันละทิ้ง, หรือกลับจากการติดตามแม่เลย: ด้วยว่าแม่จะไปไหน, ฉันจะไปด้วย; แม่จะอาศัยอยู่ที่ไหน, ฉันจะอาศัยอยู่ที่นั้นด้วย: ญาติพี่น้องของแม่จะเป็นญาติพี่น้องของฉัน, และพระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของฉันด้วย: แม่สิ้นชีพที่ไหน, ฉันจะสิ้นชีพที่นั้น, แล้วจะฝังอยู่ที่นั้น: ขอพระยะโฮวาทรงกระทำดังนี้แก่ฉัน, และยิ่งกว่านี้อีก, ความมรณะสิ่งเดียวที่จะทำให้แม่กับฉันขาดจากกันและกันได้.” (ประวัตินางรูธ 1:16, 17) อนึ่ง รูธได้แสดงคุณสมบัติที่ดีหลายประการเมื่อนางยินยอมแต่งงานกับโบอัศ ชายสูงอายุ ตามการจัดเตรียมว่าด้วยการสมรสกับพี่หรือน้องชายของสามี.—ประวัตินางรูธบท 2 ถึงบท 4.
5. พระเยซูทรงสำแดงคุณลักษณะอะไรเมื่อติดต่อกับผู้คน?
5 พระเยซูทรงวางตัวอย่างคล้าย ๆ กันเมื่อพระองค์ติดต่อกับประชาชน. พระองค์เพียรอดทน, แสดงความเมตตาสงสาร, ความกรุณา, และทำให้ผู้อื่นสดชื่นเบิกบาน. พระองค์ทรงใฝ่พระทัยในชายคนจนซึ่งเป็นคนพิการ เดินไม่ได้มานาน ถึง 38 ปี และได้ทรงรักษาเขาให้หาย. พระองค์แสดงความเห็นอกเห็นใจพวกหญิงม่าย. (ลูกา 7:11-15; โยฮัน 5:1-9) กระทั่งในช่วงที่พระองค์ทรงเจ็บปวดก่อนสิ้นพระชนม์บนหลักทรมาน พระองค์ทรงทำให้แน่ใจว่า มารดาของพระองค์ซึ่งอาจมีอายุในวัย 50 เศษ ๆ นั้นจะได้รับการเอาใจใส่ดูแล. พระเยซูทรงเป็นมิตรที่ยังความสดชื่นแก่ทุกคน ยกเว้นพวกศัตรูหน้าซื่อใจคดเท่านั้น. ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงสามารถตรัสดังนี้: “บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น. จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลาย และเรียนจากเรา เพราะเรามีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม และเจ้าจะได้ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของเจ้า.”—มัดธาย 9:36; 11:28, 29, ล.ม.; โยฮัน 19:25-27.
ใครสมควรได้รับการเอาใจใส่?
6. (ก) ใครเป็นผู้ที่สมควรได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ? (ข) เราอาจถามตัวเองด้วยคำถามอะไร?
6 เนื่องจากพระเจ้ายะโฮวาและพระเยซูคริสต์พระบุตรทรงวางแบบอย่างอันดีในเรื่องการเอาใจใส่ดูแลดังกล่าว ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งที่คริสเตียนผู้อุทิศตัวแล้วพึงเลียนแบบพระองค์ทั้งสอง. ในท่ามกลางพวกเรามีบางคนซึ่งทำงานหนักและมีภาระมากนานหลายปี อาทิ พี่น้องสูงอายุทั้งชายและหญิงซึ่งบรรลุปัจฉิมวัยแล้ว. บางคนอาจเป็นบิดามารดาหรือปู่ย่าตายายของเราก็ได้. เราไม่ค่อยจะเห็นคุณค่าของพวกท่านไหม? เราแสดงท่าทีว่าเราเหนือกว่าบุคคลเหล่านี้ไหม? หรือว่า เราหยั่งรู้ค่าประสบการณ์และสติปัญญามากมายที่พวกเขามีไหม? จริง บางคนอาจทดสอบความเพียรอดทนของเราด้วยนิสัยประหลาดและข้อบกพร่องต่าง ๆ ซึ่งก็เป็นสิ่งธรรมดาสำหรับคนแก่. แต่จงถามตัวเองซิว่า ‘ฉันจะต่างไปไหมหากฉันตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น?’
7. ตัวอย่างอะไรซึ่งชี้ถึงความจำเป็นที่ต้องมีความร่วมรู้สึกกับคนสูงอายุ?
7 มีเรื่องจากตะวันออกกลางเรื่องหนึ่งที่กินใจมาก เป็นเรื่องความเมตตาสงสารของเด็กหญิงที่มีต่อคนแก่. คุณยายได้ช่วยทำงานในครัวและบังเอิญทำจานกระเบื้องตกแตก. คุณยายรู้สึกไม่สบายใจเพราะความงุ่มง่ามของตัวเอง ลูกสาวยิ่งหัวเสียใหญ่. แล้วเธอได้ใช้ลูกสาวเล็ก ๆ ของเธอให้ออกไปร้านค้าซื้อจานไม้ที่ไม่แตกง่ายมาให้คุณยายใช้. ลูกสาวกลับมาพร้อมกับจานไม้สองใบ. แม่ถามลูกสาวว่า “ทำไมซื้อมาสองใบ?” หลานรีรออยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ใบหนึ่งสำหรับยาย และอีกใบหนึ่งสำหรับแม่จะใช้เมื่อแก่.” ถูกแล้ว ในโลกนี้เราทุกคนกำลังมุ่งไปสู่ความชราด้วยกันทั้งนั้น. เราคงจะหยั่งรู้ค่ามิใช่หรือเมื่อมีคนปฏิบัติต่อเราด้วยความอดทนและความกรุณา?—บทเพลงสรรเสริญ 71:9.
8, 9. (ก) เราควรปฏิบัติอย่างไรต่อคนสูงอายุที่อยู่ท่ามกลางพวกเรา? (ข) บางคนที่เพิ่งมาเป็นคริสเตียนเมื่อไม่นานมานี้จะต้องจดจำสิ่งใด?
8 อย่าลืมว่าพี่น้องชายหญิงผู้สูงอายุของเราหลายคนมีประวัติการทำงานอันยาวนานในอดีตฐานะคริสเตียนที่ซื่อสัตย์. แน่นอน คนเหล่านั้นสมควรได้รับเกียรติและการเอาใจใส่จากพวกเรา การช่วยด้วยความกรุณาและการหนุนกำลังใจ. ปราชญ์กล่าวอย่างถูกต้องดังนี้: “ผมหงอกบนศีรษะเป็นเหมือนมงกุฎแห่งสง่าราศีถ้าใจอยู่ในที่ชอบธรรม.” และที่ว่าคนผมหงอกไม่ว่าชายหรือหญิงสมควรได้รับความนับถือ. ชายหญิงผู้สูงอายุเหล่านี้บางคนยังคงรับใช้อย่างซื่อสัตย์ฐานะไพโอเนียร์ และผู้ชายหลายคนยังคงรับใช้ด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอดฐานะเป็นผู้ปกครองในประชาคมต่าง ๆ บางคนทำงานเป็นแบบอย่างที่ดีในฐานะผู้ดูแลเดินทาง.—สุภาษิต 16:31.
9 เปาโลแนะนำติโมเธียวดังนี้: “อย่าพูดสบประมาทคนมีอาวุโส, แต่จงตักเตือนเหมือนเตือนบิดา และจงเตือนคนหนุ่ม ๆ ทั้งหลายเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง, และเตือนพวกผู้หญิงมีอาวุโสเหมือนเป็นมารดา, และผู้หญิงสาว ๆ เหมือนเป็นพี่สาวน้องสาว, ด้วยความบริสุทธิ์ทั้งหมด.” (1 ติโมเธียว 5:1, 2) ส่วนคนเหล่านั้นซึ่งเข้ามาในประชาคมคริสเตียนเมื่อไม่นานมานี้จากโลกที่ขาดความนับถือต่อกันก็ควรจดจำถ้อยคำของเปาโลใส่ใจไว้เป็นพิเศษ ซึ่งอาศัยความรักเป็นหลัก. หนุ่มสาวทั้งหลาย อย่าเลียนแบบทีท่าต่าง ๆ ในทางไม่ดีซึ่งพวกคุณเห็นที่โรงเรียน. อย่าขัดเคืองเมื่อเหล่าพยานฯที่มีอายุมากกว่าให้คำแนะนำด้วยความกรุณา. (1 โกรินโธ 13:4-8; เฮ็บราย 12:5, 6, 11) อย่างไรก็ดี เมื่อคนสูงอายุต้องการความช่วยเหลือเนื่องจากสุขภาพไม่ดีหรือมีปัญหาด้านการเงิน ใครมีหน้าที่รับผิดชอบเบื้องต้นที่จะช่วยเหลือพวกเขา?
บทบาทของครอบครัวในการดูแลคนสูงอายุ
10, 11. (ก) ตามที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิล ใครควรนำหน้าในการดูแลคนสูงอายุ? (ข) ทำไมการดูแลคนสูงอายุไม่ง่ายเสมอไป?
10 ในประชาคมคริสเตียนสมัยเริ่มแรกเคยเกิดมีปัญหาเรื่องการเอาใจใส่ดูแลหญิงม่าย. อัครสาวกเปาโลแสดงให้เห็นว่าสมควรดำเนินการตามความจำเป็นนั้นอย่างไร? “จงให้เกียรติแม่ม่ายซึ่งเป็นแม่ม่ายจริง ๆ. แต่ถ้าแม่ม่ายคนใดมีลูกหรือหลาน ก็ให้คนเหล่านี้เรียนรู้ที่จะแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าในครอบครัวของตัวเองก่อน และทดแทนบุญคุณบิดามารดาหรือปู่ย่าตายายของตนเสมอ เพราะการทำอย่างนี้เป็นที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า. แต่แน่นอน ถ้าแม้นผู้ใดไม่จัดหามาเลี้ยงคนเหล่านั้นซึ่งเป็นของตนเอง และโดยเฉพาะคนเหล่านั้นซึ่งเป็นสมาชิกแห่งครอบครัวของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธเสียซึ่งความเชื่อและนับว่าเลวร้ายกว่าคนที่ไม่มีความเชื่อเสียด้วยซ้ำ.”—1 ติโมเธียว 5:3, 4, 8, ล.ม.
11 ในคราวจำเป็น สมาชิกของครอบครัวนั้นเองควรริเริ่มให้การช่วยเหลือคนสูงอายุเหล่านั้น.a โดยการทำเช่นนี้ บุตรหลานที่โต ๆ กันแล้วย่อมแสดงความหยั่งรู้ค่าความรัก, การงาน, และการเอาใจใส่ตลอดหลายปีซึ่งเขาได้รับจากบิดามารดา. เรื่องนี้อาจไม่ง่าย. เมื่อคนเราแก่ตัวลง เป็นธรรมดาที่เขาเชื่องช้า และบางคนอาจกลายเป็นคนทุพพลภาพเสียด้วยซ้ำ. บางคนอาจเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองและเรียกร้อง บางทีโดยไม่ตระหนักว่าตนเป็นเช่นนั้น. แต่ตอนที่พวกเราเป็นเด็กเล็ก ๆ เราก็เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองและเรียกร้องด้วยมิใช่หรือ? และบิดามารดาของเราต่างก็กระตือรือร้นช่วยเราใช่ไหม? มาบัดนี้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปในวัยชราของท่าน. ฉะนั้น สิ่งที่จำเป็นคืออะไร? ความเห็นอกเห็นใจและความอดทน.—เทียบกับ 1 เธซะโลนิเก 2:7, 8.
12. จำต้องมีคุณสมบัติอะไรในการดูแลคนสูงอายุ—และคนอื่น ๆ ทั้งหมดในประชาคมคริสเตียน?
12 อัครสาวกเปาโลให้คำแนะนำที่ใช้การได้ เมื่อท่านเขียนดังนี้: “เหตุฉะนั้น ในฐานะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร บริสุทธิ์และเป็นที่รัก จงสวมตัวท่านด้วยความเอ็นดูอย่างลึกซึ้ง, ความกรุณา, ใจถ่อม, ความอ่อนโยน, และความอดกลั้นไว้นาน. จงทนต่อกันและกันอยู่เรื่อยไปและจงอภัยให้กันและกันอย่างใจกว้างถ้าแม้นผู้ใดมีสาเหตุจะบ่นว่าคนอื่น. พระยะโฮวาทรงให้อภัยท่านอย่างใจกว้างฉันใด ท่านทั้งหลายจงกระทำฉันนั้น. แต่นอกจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงสวมตัวท่านด้วยความรัก เพราะความรักเป็นเครื่องเชื่อมสามัคคีที่ดีพร้อม.” หากเราสมควรแสดงความเอ็นดูและความรักดังกล่าวในประชาคม เราควรแสดงความเอ็นดูและความรักเช่นนั้นต่อคนในครอบครัวยิ่งกว่านั้นมิใช่หรือ?—โกโลซาย 3:12-14, ล.ม.
13. นอกจากบิดามารดาและปู่ย่าตายายที่ชราแล้ว มีใครอีกที่อาจต้องการความช่วยเหลือ?
13 บางครั้งไม่เฉพาะบิดามารดาหรือปู่ย่าตายายเท่านั้นต้องการความช่วยเหลืออย่างนี้ แต่อาจเป็นญาติผู้สูงอายุคนอื่นด้วย. คนสูงอายุบางคนที่ไม่มีบุตรแต่ก็ได้ทำงานรับใช้เป็นมิชชันนารีอยู่หลายปี หรืองานรับใช้ที่ต้องเดินทาง และงานรับใช้เต็มเวลาประเภทอื่น. โดยแท้แล้ว เขาจัดเรื่องราชอาณาจักรไว้ในอันดับแรกตลอดชีวิตของเขา. (มัดธาย 6:33) เช่นนั้นแล้ว สมควรไหมที่เราพึงแสดงน้ำใจให้การดูแลพวกเขา? แน่นอน เรามีตัวอย่างที่ดีในวิธีที่สมาคมว็อชเทาเวอร์ให้การดูแลสมาชิกผู้สูงอายุที่เบเธล. ณ สำนักเบเธลในบรุกลิน และที่สาขาสมาคมในที่ต่าง ๆ หลายแห่ง พี่น้องผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงจำนวนไม่น้อยรับการดูแลทุกวันเป็นประจำจากสมาชิกครอบครัวซึ่งผ่านการฝึกอบรมแล้วถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้. พวกเขายินดีจะดูแลคนสูงอายุเหล่านี้ประหนึ่งเป็นบิดามารดาหรือปู่ย่าตายายของเขาเอง. ขณะเดียวกัน พวกเขาเรียนรู้ได้มากจากประสบการณ์ของผู้สูงอายุเหล่านี้.—สุภาษิต 22:17.
บทบาทของประชาคมในการดูแล
14. ในประชาคมคริสเตียนสมัยแรกได้มีการจัดเตรียมอะไรสำหรับคนสูงอายุ?
14 สมัยนี้หลายประเทศมีระบบจ่ายเบี้ยบำนาญให้คนสูงอายุ รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลที่รัฐจัดสรรสำหรับคนสูงอายุ. คริสเตียนสามารถใช้มาตรการให้การสงเคราะห์แบบนี้ได้เต็มที่ในเมื่อเขามีสิทธิ์จะได้. แต่ในศตวรรษแรกระบบเตรียมการดังกล่าวไม่มี. เหตุฉะนั้นประชาคมคริสเตียนจึงลงมือปฏิบัติเพื่อสงเคราะห์แม่ม่ายไร้ทาน. เปาโลได้ชี้แนะดังนี้: “อย่าให้แม่ม่ายคนใดที่มีอายุน้อยกว่าหกสิบปีลงชื่อในทะเบียนแม่ม่ายนั้น, และให้ได้เป็นภรรยาของชายผู้เดียว, กับได้เคยมีชื่อเสียงว่าได้กระทำการดี, เช่นได้บำรุงเลี้ยงลูก, ได้เอาใจใส่ในการรับแขก, ได้ล้างเท้าสิทธชน, ได้สงเคราะห์คนที่ได้รับความลำบาก, และได้อุตส่าห์กระทำการดีทุกอย่าง.” ดังนั้น เปาโลได้ชี้แจงว่าประชาคมก็เช่นเดียวกันมีบทบาทที่จะให้การสงเคราะห์คนสูงอายุ. พวกผู้หญิงที่ฝักใฝ่ทางฝ่ายวิญญาณซึ่งไม่มีบุตรอยู่ในความจริงก็ควรได้รับการสงเคราะห์ดังกล่าว.—1 ติโมเธียว 5:9, 10.
15. ทำไมจึงอาจต้องช่วยเหลือเพื่อจะได้รับการสงเคราะห์ของรัฐ?
15 เมื่อรัฐได้จัดระบบให้การสงเคราะห์คนสูงอายุ ตามปกติแล้วมักจะต้องเขียนคำร้องซึ่งอาจดูน่าหวั่นหวาด. ในกรณีดังกล่าวคงจะดีหากผู้ดูแลในประชาคมจัดเตรียมการช่วยเหลือเพื่อคนสูงอายุจะนำคำร้องไปยื่นได้ หรือขอรับ หรือกระทั่งได้รับการสงเคราะห์เพิ่มด้วยซ้ำ. บางครั้งสภาพการณ์เปลี่ยนแปลงยังผลให้มีการเพิ่มเบี้ยบำนาญ. แต่ก็มีอีกหลายอย่างในเชิงปฏิบัติซึ่งผู้ดูแลอาจจัดเป็นระเบียบเพื่อคนสูงอายุจะได้รับการเอาใจใส่ทั่วถึง. สิ่งต่าง ๆ นั้นมีอะไรบ้าง?
16, 17. ในทางใดบ้างที่เราอาจแสดงน้ำใจต้อนรับแขกต่อคนสูงอายุในประชาคม?
16 การแสดงน้ำใจต้อนรับแขกเป็นธรรมเนียมมานานตั้งแต่สมัยจารึกพระคัมภีร์. กระทั่งทุกวันนี้ หลายประเทศในตะวันออกกลางก็ยังคงแสดงน้ำใจต้อนรับแขก อย่างน้อย ๆ ก็ต้อนรับด้วยน้ำชาหรือกาแฟ. ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เปาโลเขียนดังนี้: “จงเข้าส่วนช่วยสิทธชนในการขัดสนของเขา จงมีน้ำใจรับรองแขก.” (โรม 12:13) คำภาษากรีกฟิโลเซเนียʹ ที่ใช้หมายถึงการรับรองแขกนั้น ตามตัวอักษรหมายถึง “ความรัก (หรือความกรุณาต่อ) คนแปลกหน้า.” หากคริสเตียนพึงต้องเป็นคนมีน้ำใจต้อนรับแขกแปลกหน้าเช่นนั้น เขาควรกระทำต่อคนเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องกับเขาในความเชื่อยิ่งกว่านั้นมิใช่หรือ? การเชิญคนสูงอายุไปรับประทานอาหารบ่อยครั้งเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่น่ายินดีจากความจำเจแห่งชีวิตของคนสูงอายุ. หากคุณอยากฟังคำพูดที่แสดงภูมิปัญญาและประสบการณ์เมื่อคุณจัดให้มีการพบปะสังสรรค์แล้วละก้อ ควรจะเชิญผู้สูงอายุด้วย.—เทียบกับลูกา 14:12-14.
17 คนสูงอายุสามารถรับการชูใจได้หลายทางด้วยกัน. ถ้าเราจัดกลุ่มคนนั่งรถไปหอประชุมหรือไปร่วมการประชุมภาคหรือประชุมหมวด มีคนสูงอายุไหมที่จะยินดีนั่งรถไปด้วย? อย่ารอให้เขาขอ. ออกปากชวนเขาไปด้วย. การช่วยเชิงปฏิบัติอีกวิธีหนึ่งคือช่วยซื้อของให้เขา. หรือถ้าคนสูงอายุสามารถไปได้ เราจะชวนเขาไปด้วยเมื่อเราไปซื้อของไหม? แต่จงทำให้แน่ใจว่าที่ที่จะพาเขาไปนั้นมีที่เขาจะนั่งลงพักผ่อนหายเหนื่อยได้หากมีความจำเป็น. แนน่นอน จำเป็นต้องใช้ความอดทนและความกรุณา ทว่าความรู้สึกรู้คุณอย่างจริงใจของคนสูงอายุเป็นรางวัลตอบแทนอย่างดี.—2 โกรินโธ 1:11.
เป็นทรัพย์อันมีค่าแก่ประชาคม
18. เหตุใดพวกผู้สูงอายุเป็นพระพรแก่ประชาคม?
18 ช่างเป็นพระพรจริง ๆ เมื่อเห็นมีคนผมหงอก, ผมขาวโพลน (และหัวล้านเนื่องจากอายุสูงด้วย) ในประชาคม! ทั้งนี้หมายความว่าท่ามกลางคนหนุ่มสาวที่มีชีวิตชีวาและมีกำลังวังชา เรามีสติปัญญาและประสบการณ์ประปรายอยู่—เป็นทรัพย์อันมีค่าอย่างแท้จริงแก่ประชาคมใด ๆ. ความรู้ของคนสูงอายุเป็นดุจน้ำที่ให้ความสดชื่นซึ่งต้องตักขึ้นมาจากบ่อ. ดังคำกล่าวในพระธรรมสุภาษิต 18:4 ที่ว่า “ถ้อยคำแห่งปากของผู้มีปัญญาเป็นเหมือนน้ำลึก, เป็นเหมือนธารที่มีน้ำไหลและเป็นเหมือนบ่อน้ำพุซึ่งไหลไม่รู้จักสิ้น.” นับว่าเป็นการชูกำลังใจเพียงไรสำหรับคนแก่เมื่อรู้ว่าตนยังเป็นที่ต้องการ และคนอื่นหยั่งรู้ค่าในตัวเขา!—เทียบบทเพลงสรรเสริญ 92:14.
19. โดยวิธีใดบางคนได้เสียสละเพื่อบิดามารดาของเขาที่ชรา?
19 บางคนที่รับใช้เต็มเวลามีความรู้สึกว่าจำเป็นต้องสละสิทธิพิเศษต่าง ๆ ของเขาเพื่อกลับบ้านไปดูแลบิดามารดาที่ชราและเจ็บป่วย. บุคคลเหล่านี้ยอมสละตนเพื่อผู้ซึ่งก่อนนั้นก็ได้เสียสละเพื่อเขามาแล้ว. สามีภรรยาคู่หนึ่งแต่ก่อนเคยเป็นมิชชันนารี และยังคงรับใช้เต็มเวลาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่คราวที่เขาได้กลับไปอยู่บ้านเพื่อดูแลบิดามารดาที่ชรา. คนทั้งสองได้ดูแลมาโดยตลอดนานกว่า 20 ปี. สี่ปีมาแล้ว มารดาของสามีต้องถูกส่งตัวไปอยู่บ้านพักคนชรา. สามีซึ่งเวลานี้อายุ 60 ปีเศษ ไปเยี่ยมมารดาอายุ 93 ปีทุกวัน. เขาให้เหตุผลว่า “ผมจะทอดทิ้งท่านได้อย่างไร? ท่านเป็นคุณแม่ของผม!” ในรายอื่น ๆ ประชาคมและปัจเจกบุคคลได้ยื่นมือช่วยเหลือด้วยการอาสาดูแลคนสูงอายุ เพื่อว่าลูกของเขาสามารถจะทำงานรับใช้ในเขตมอบหมายได้ต่อไป. ความรักอย่างไม่เห็นแก่ตัวเช่นนี้สมควรได้รับคำชมเป็นอย่างมากเช่นกัน. สภาพการณ์แต่ละอย่างต้องดำเนินการโดยสำนึกถึงความรับผิดชอบ เนื่องจากคนสูงอายุไม่ควรถูกละเลย. จงแสดงให้เห็นว่าคุณรักบิดามารดาของคุณที่สูงอายุ.—เอ็กโซโด 20:12; เอเฟโซ 6:2, 3.
20. พระยะโฮวาทรงวางตัวอย่างอะไรไว้ให้เราในการดูแลคนสูงอายุ?
20 พี่น้องผู้สูงอายุของเราทั้งชายและหญิงเป็นมงกุฎงามแห่งครอบครัวหรือประชาคมอย่างแท้จริง. พระยะโฮวาตรัสดังนี้: “เรายังจะต้องหอบหิ้วเจ้าไปอย่างนี้จนเจ้าชรา, เราจะต้องอุ้มชูเจ้าไปจนเจ้าหัวหงอก, เราได้อุ้มชูมาแล้ว, เราก็จะอุ้มชูต่อไป, เราจะหอบหิ้วและเราจะช่วยให้รอด.” ขอให้พวกเราแสดงความอดทนและเอาใจใส่ดูแลพี่น้องชายหญิงผู้สูงอายุของเราในครอบครัวคริสเตียนเช่นเดียวกัน.—ยะซายา 46:4; สุภาษิต 16:31.
[เชิงอรรถ]
a สำหรับข้อแนะนำในรายละเอียดว่าด้วยสิ่งที่สมาชิกครอบครัวทำได้เพื่อช่วยคนสูงอายุ ดูจากวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 1 มิถุนายน 1987, หน้า 16-21.
คุณจำได้ไหม?
▫ เรามีตัวอย่างอะไรในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวด้วยการเอาใจใส่ดูแลคนสูงอายุ?
▫ เราควรจะปฏิบัติต่อผู้สูงอายุอย่างไร?
▫ สมาชิกครอบครัวจะดูแลคนสูงอายุซึ่งเป็นที่รักนั้นโดยวิธีใด?
▫ ประชาคมจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยคนสูงอายุ?
▫ ทำไมคนสูงอายุจึงเป็นพระพรแก่พวกเราทุกคน?
[รูปภาพหน้า 23]
รูธแสดงความกรุณาและความนับถือต่อนาอะมีผู้ชรา
[รูปภาพหน้า 24]
คนสูงอายุเป็นสมาชิกที่มีค่าของประชาคม