การศึกษาให้ผลตอบแทน
คุณเคยมองดูผู้คนเลือกผลไม้ไหม? ผู้คนส่วนใหญ่จะสังเกตสีและขนาดเพื่อดูว่าผลนั้นสุกแล้วหรือยัง. บางคนใช้วิธีดมกลิ่น. บางคนจับดูและถึงกับบีบด้วยซ้ำ. ยังมีบางคนที่ชั่งน้ำหนักผลไม้ด้วยมือแต่ละข้างเพื่อดูว่าผลไหนมีน้ำมากกว่ากัน. คนเหล่านี้กำลังคิดอะไร? พวกเขากำลังวิเคราะห์รายละเอียด, ประเมินความแตกต่าง, นึกถึงการเลือกครั้งก่อน ๆ, และเปรียบเทียบสิ่งที่เขาเห็นตอนนี้กับสิ่งที่เขารู้มาแล้ว. เนื่องจากพวกเขาเลือกอย่างรอบคอบ จึงได้ผลไม้ที่อร่อยเป็นสิ่งตอบแทน.
แน่นอน ผลตอบแทนที่ได้จากการศึกษาพระคำของพระเจ้ามีมากกว่านั้นมากนัก. เมื่อการศึกษานั้นอยู่ในลำดับสำคัญในชีวิตของเรา ความเชื่อของเราจะเข้มแข็งยิ่งขึ้น, ความรักของเราจะลึกซึ้งยิ่งขึ้น, งานรับใช้ของเราจะบังเกิดผลมากขึ้น, และการตัดสินใจของเราจะให้หลักฐานชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเรามีความสังเกตเข้าใจและมีสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า. พระธรรมสุภาษิต 3:15 กล่าวถึงผลตอบแทนนั้นดังนี้: “ไม่มีสิ่งใด ๆ ซึ่งเจ้าพึงปรารถนาเอามาเทียมกับพระปัญญาได้.” คุณกำลังประสบผลตอบแทนดังกล่าวไหม? วิธีที่คุณศึกษาอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง.—โกโล. 1:9, 10.
ใช้เวลาคิดรำพึง
การศึกษาคืออะไร? การศึกษาไม่ใช่แค่การอ่านผ่าน ๆ. การศึกษาเกี่ยวข้องกับการใช้ความสามารถด้านความคิดในการพิจารณาเรื่องหนึ่ง ๆ อย่างถี่ถ้วนหรืออย่างกว้างขวาง. การศึกษาครอบคลุมไปถึงการวิเคราะห์สิ่งที่อ่าน, เปรียบเทียบเรื่องนั้นกับสิ่งที่รู้มาแล้ว, และสังเกตการอ้างเหตุผลที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น. เมื่อกำลังศึกษา จงใคร่ครวญให้ลึกซึ้งถึงแนวคิดใด ๆ ที่อาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับคุณ. จงพิจารณาด้วยว่าคุณจะนำคำแนะนำในพระคัมภีร์ไปใช้เป็นส่วนตัวอย่างเต็มที่ยิ่งขึ้นได้อย่างไร. นอกจากนั้น ฐานะพยานของพระยะโฮวา คุณควรคิดถึงโอกาสต่าง ๆ ที่จะใช้ความรู้นั้นเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ๆ ด้วย. ปรากฏชัดว่า การศึกษาหมายรวมถึงการคิดรำพึง.
การมีความคิดจิตใจที่ถูกต้อง
เพื่อจะได้รับประโยชน์เต็มที่ จากการศึกษาส่วนตัว จงเตรียมหัวใจของคุณ
เมื่อเตรียมตัวศึกษา คุณเตรียมเครื่องใช้ต่าง ๆ ไว้พร้อม เช่น คัมภีร์ไบเบิล, สิ่งพิมพ์ใด ๆ ที่คุณคิดจะใช้, ดินสอหรือปากกา, และอาจรวมไปถึงสมุดบันทึก. แต่คุณเตรียมหัวใจของคุณด้วยไหม? คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าท่านเอษรา “ได้สำรวมตั้งใจ [“เตรียมหัวใจ,” ล.ม.] แสวงหาในบทพระบัญญัติของพระยะโฮวาเพื่อจะได้ประพฤติตาม, และเพื่อจะได้เอาบทพระบัญญัติและข้อตัดสินทั้งปวงนั้นสอนให้พวกยิศราเอลแจ่มแจ้งขึ้น.” (เอษรา 7:10) การเตรียมหัวใจนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร?
การอธิษฐานทำให้เราเริ่มศึกษาพระคำของพระเจ้าด้วยทัศนะที่ถูกต้อง. เราต้องการให้หัวใจ ส่วนที่อยู่ลึกสุดของเราเปิดรับคำสอนที่พระยะโฮวาทรงสอนเรา. ก่อนเริ่มศึกษาแต่ละครั้ง จงทูลต่อพระยะโฮวาเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระองค์. (ลูกา 11:13) จงขอพระองค์ช่วยคุณให้เข้าใจความหมายของเรื่องที่จะศึกษา, เข้าใจว่าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับพระประสงค์ของพระองค์อย่างไร, เข้าใจว่าเรื่องนั้นสามารถช่วยคุณแยกแยะระหว่างสิ่งดีและชั่วได้อย่างไร, เข้าใจวิธีที่คุณจะนำหลักการของพระองค์ไปใช้ในชีวิตของคุณ, และเข้าใจว่าเรื่องนั้นส่งผลกระทบต่อสัมพันธภาพของคุณกับพระองค์อย่างไร. (สุภา. 9:10) ขณะที่คุณศึกษา ‘จงทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป.’ (ยโก. 1:5, ล.ม.) จงประเมินตัวเองอย่างซื่อสัตย์โดยคำนึงถึงสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ ขณะที่คุณแสวงหาความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาเพื่อขจัดความคิดที่ไม่ถูกต้องหรือความปรารถนาที่เป็นอันตราย. จง “ขอบพระเดชพระคุณของพระยะโฮวา” เสมอสำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงเปิดเผย. (เพลง. 147:7) การเริ่มการศึกษาด้วยการอธิษฐานนี้ทำให้ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา เนื่องจากการทำเช่นนั้นจะช่วยเราให้ตอบรับเมื่อพระองค์ตรัสกับเราผ่านทางพระคำของพระองค์.—เพลง. 145:18.
การตอบรับเช่นนั้นทำให้ไพร่พลของพระยะโฮวาต่างจากนักศึกษาคนอื่น ๆ. ท่ามกลางผู้ไม่เลื่อมใสพระเจ้า เป็นเรื่องที่นิยมกันที่จะสงสัยและท้าทายเรื่องที่มีการเขียนไว้. แต่นั่นไม่ใช่ทัศนะของเรา. เราไว้วางใจพระยะโฮวา. (สุภา. 3:5-7) หากเราไม่เข้าใจบางเรื่อง เราไม่ทึกทักสรุปเอาเองว่าเรื่องนั้นไม่จริง. ขณะค้นคว้าและขุดค้นเพื่อหาคำตอบ เราคอยท่าพระยะโฮวา. (มีคา 7:7) เช่นเดียวกับท่านเอษรา เรามีเป้าหมายจะประพฤติตามและสอนสิ่งที่เราเรียนรู้. ด้วยแนวโน้มของหัวใจเช่นนี้ เราจึงอยู่ในเส้นทางที่จะเก็บเกี่ยวผลตอบแทนอันอุดมจากการศึกษาของเรา.
วิธีศึกษา
แทนที่จะเริ่มโดยตรงกับวรรค 1 และดำเนินต่อไปจนจบ จงใช้เวลาเพื่อดูเนื้อหาทั้งเรื่องหรือทั้งบทอย่างคร่าว ๆ ก่อน. จงเริ่มโดยวิเคราะห์ชื่อเรื่อง. ชื่อเรื่องจะเป็นอรรถบทของเรื่องที่คุณจะศึกษา. จากนั้น จงสังเกตให้ดีว่าหัวเรื่องย่อยสัมพันธ์กับชื่อเรื่องอย่างไร. จงพิจารณารูปภาพ, แผนภูมิ, หรือกรอบช่วยสอนใด ๆ ที่อยู่ในเรื่องนั้น. ลองถามตัวเองดังนี้: ‘โดยการดูคร่าว ๆ นี้ ฉันคาดหมายจะได้เรียนรู้อะไร? บทความนั้นจะมีค่าต่อฉันในทางใด?’ การตั้งคำถามเหล่านี้จะทำให้คุณรู้ว่าทิศทางการศึกษาจะไปในแนวใด.
จงคุ้นเคยกับเครื่องมือค้นคว้าที่มีในภาษาของคุณ
บัดนี้ให้เข้าสู่การศึกษาในรายละเอียด. บทความศึกษาในวารสารหอสังเกตการณ์ และหนังสือบางเล่มมีคำถามด้วย. ขณะอ่านแต่ละวรรค จะเป็นประโยชน์ถ้าคุณหมายคำตอบไว้. แม้ว่าไม่มีคำถามสำหรับการศึกษา คุณก็อาจจะหมายจุดสำคัญที่อยากจดจำไว้. หากมีแนวคิดใหม่สำหรับคุณ จงใช้เวลามากขึ้นสักเล็กน้อยตรงจุดนั้นเพื่อจะเข้าใจเรื่องนั้นเป็นอย่างดี. จงสังเกตตัวอย่างหรือแนวการหาเหตุผลที่จะเป็นประโยชน์ต่อคุณในงานรับใช้หรือที่อาจนำไปใช้ในคำบรรยายที่ได้รับมอบหมายครั้งถัดไป. จงนึกถึงบางคนโดยเฉพาะที่จะได้รับการเสริมความเชื่อให้เข้มแข็งขึ้นถ้าได้แบ่งปันสิ่งที่คุณกำลังศึกษาให้กับเขา. จงหมายจุดต่าง ๆ ที่คุณต้องการนำไปใช้ และทบทวนจุดเหล่านั้นเมื่อศึกษาเสร็จ.
ขณะที่คุณศึกษาเรื่องหนึ่ง จงเปิดดูข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง. วิเคราะห์ว่าข้อคัมภีร์แต่ละข้อเกี่ยวข้องกับจุดสำคัญในวรรคนั้นอย่างไร.
คุณอาจพบจุดที่ไม่เข้าใจเต็มที่หรือจุดที่ต้องการค้นคว้าให้ละเอียดยิ่งขึ้น. แทนที่จะให้เรื่องนั้นมาเบนความสนใจของคุณ จงจดบันทึกจุดเหล่านั้นเพื่อจะพิจารณาเพิ่มเติมในภายหลัง. บ่อยครั้ง คุณจะเข้าใจจุดเหล่านั้นชัดเจนเมื่ออ่านส่วนที่เหลือของเนื้อเรื่อง. หากไม่เป็นเช่นนั้น คุณอาจทำการค้นคว้าเพิ่มเติม. ควรจดเรื่องใดไว้เพื่อค้นคว้าเพิ่มเติม? บางทีมีข้อคัมภีร์ที่ยกขึ้นมากล่าวซึ่งคุณเข้าใจไม่ชัดเจน. หรือคุณยังไม่เข้าใจว่าจะนำข้อคัมภีร์นั้นมาใช้อย่างไรกับเรื่องที่กำลังพิจารณา. บางทีคุณรู้สึกว่าคุณเข้าใจแนวคิดบางอย่างในเรื่องนั้น แต่ยังไม่เข้าใจดีพอจะอธิบายกับคนอื่น. แทนที่จะเพียงแต่ปล่อยให้มันผ่านไป อาจจะสุขุมกว่าที่จะค้นคว้าจุดเหล่านั้นหลังจากศึกษาเรื่องนั้นจบ.
จงเปิดดูข้อคัมภีร์
เมื่ออัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายที่มีรายละเอียดมากมายถึงคริสเตียนชาวฮีบรู ท่านหยุดตรงครึ่งทางเพื่อกล่าวว่า “นี่เป็นจุดสำคัญ.” (เฮ็บ. 8:1, ล.ม.) คุณเตือนตัวเองแบบนี้เป็นครั้งคราวไหม? ขอพิจารณาเหตุผลที่ท่านเปาโลทำเช่นนั้น. ในบทก่อนหน้านี้ของจดหมายที่ท่านเขียนโดยได้รับการดลใจ ท่านแสดงให้เห็นแล้วว่าพระคริสต์ฐานะมหาปุโรหิตใหญ่ของพระเจ้าได้เข้าสู่สวรรค์แล้ว. (เฮ็บ. 4:14–5:10; 6:20) กระนั้น โดยการแยกให้เห็นเด่นชัดและเน้นจุดสำคัญนั้นในตอนต้นของเฮ็บรายบท 8 ท่านเปาโลเตรียมจิตใจของผู้อ่านให้คิดอย่างจริงจังว่าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาอย่างไร. ท่านชี้ให้เห็นว่าพระคริสต์ทรงปรากฏเบื้องหน้าพระเจ้าเพื่อพวกเขาและทรงเปิดทางเพื่อตัวพวกเขาเองจะได้เข้าใน “ที่บริสุทธิ์” ในสวรรค์. (เฮ็บ. 9:24; 10:19-22) การยืนยันความหวังของพวกเขาคงจะช่วยกระตุ้นเขาให้นำคำแนะนำที่มีต่อไปอีกในจดหมายนี้ไปใช้ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ, ความอดทน, และความประพฤติแบบคริสเตียน. คล้ายคลึงกัน เมื่อเราศึกษา การมุ่งความสนใจที่จุดสำคัญของเรื่องจะช่วยเราเข้าใจการขยายอรรถบทและจะประทับเหตุผลอันหนักแน่นสำหรับการปฏิบัติสอดคล้องกับเรื่องนั้นลงในจิตใจของเรา.
การศึกษาส่วนตัวกระตุ้นคุณให้ลงมือปฏิบัติไหม? นี่เป็นคำถามสำคัญ. เมื่อคุณเรียนเรื่องอะไรก็ตาม จงถามตัวเองดังนี้: ‘เรื่องนี้ควรส่งผลกระทบต่อทัศนะและเป้าหมายในชีวิตของฉันอย่างไร? ฉันสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในการแก้ปัญหา, ทำการตัดสินใจ, หรือเพื่อบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร? ฉันสามารถนำเรื่องนี้ไปใช้กับครอบครัว, ในงานประกาศ, ในประชาคมได้อย่างไร?’ จงพิจารณาคำถามเหล่านี้ด้วยใจจริง, ไตร่ตรองถึงสภาพการณ์จริงที่คุณสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ได้.
หลังจากศึกษาจบบทหรือจบเรื่องหนึ่ง จงใช้เวลาเพื่อทบทวนสั้น ๆ. ดูว่าคุณจำจุดสำคัญและเหตุผลที่สนับสนุนได้ไหม. ขั้นตอนนี้จะช่วยคุณจดจำข้อมูลนี้ไว้เพื่อใช้ในวันข้างหน้า.
สิ่งที่จะศึกษา
ฐานะไพร่พลของพระยะโฮวา เรามีหลายเรื่องที่จะศึกษา. แต่เราควรเริ่มกับอะไรดี? แต่ละวัน เราควรศึกษาข้อคัมภีร์และคำอธิบายจากหนังสือการพิจารณาพระคัมภีร์ทุกวัน. แต่ละสัปดาห์ เราเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ ในประชาคม และการศึกษาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการประชุมเหล่านั้นจะช่วยเราได้รับประโยชน์มากขึ้น. นอกจากนั้นแล้ว บางคนใช้เวลาอย่างสุขุมในการศึกษาสรรพหนังสือของคริสเตียนบางเล่มที่พิมพ์ออกมาก่อนที่เขาจะเรียนรู้ความจริง. บางคนเลือกบางส่วนจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิลประจำสัปดาห์และศึกษาส่วนนั้นให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น.
จะว่าอย่างไรหากสภาพการณ์ของคุณไม่เอื้ออำนวยให้คุณศึกษาข้อมูลทั้งหมดที่จะพิจารณาแต่ละสัปดาห์ ณ การประชุมประชาคมได้อย่างถี่ถ้วน? จงหลีกเลี่ยงหลุมพรางของการเตรียมแบบลวก ๆ หรือซ้ำร้ายกว่านั้น ไม่ศึกษาอะไรเลยเนื่องจากคุณไม่สามารถศึกษาได้ทั้งหมด. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงกำหนดปริมาณที่คุณสามารถศึกษาได้, และศึกษาส่วนนั้นเป็นอย่างดี. ทำอย่างนั้นทุกสัปดาห์. เมื่อเวลาผ่านไป จึงค่อยพยายามรวมการศึกษาสำหรับการประชุมรายการอื่น ๆ เข้าไว้ด้วย.
‘จงเสริมสร้างครัวเรือนของคุณ’
พระยะโฮวาทรงทราบดีว่าหัวหน้าครอบครัวต้องทำงานหนักเพื่อจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ เพื่อคนที่เขารัก. สุภาษิต 24:27 (ล.ม.) กล่าวว่า “จงเตรียมการงานของเจ้าที่นอกบ้าน และทำการงานให้พร้อมสำหรับตนในทุ่งนา.” กระนั้น ไม่อาจมองข้ามความจำเป็นฝ่ายวิญญาณของครอบครัวคุณได้. ดังนั้น ข้อนี้จึงกล่าวต่อไปว่า “หลังจากนั้นเจ้าต้องเสริมสร้างครัวเรือนของเจ้าเช่นกัน.” หัวหน้าครอบครัวทำเช่นนี้ได้อย่างไร? สุภาษิต 24:3 (ล.ม.) กล่าวดังนี้: “โดยการสังเกตเข้าใจ [ครัวเรือน] จะปรากฏว่าตั้งมั่นคง.”
การสังเกตเข้าใจอาจเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวของคุณได้อย่างไร? การสังเกตเข้าใจคือความสามารถทางความคิดที่จะมองลึกลงไปกว่าที่เห็น. เป็นเรื่องเหมาะที่จะกล่าวว่าการศึกษาที่ได้ผลในครอบครัวเริ่มต้นกับการศึกษาครอบครัวคุณให้ดีเสียก่อน. สมาชิกในครอบครัวของคุณก้าวหน้าทางฝ่ายวิญญาณอย่างไร? จงตั้งใจฟังขณะสนทนากับพวกเขา. มีน้ำใจขี้บ่นหรือขุ่นเคืองไหม? การแสวงหาวัตถุเงินทองเป็นเรื่องใหญ่ไหม? เมื่อคุณอยู่ในงานประกาศกับบุตร เขารู้สึกสะดวกใจไหมที่จะแสดงตนว่าเป็นพยานพระยะโฮวาต่อหน้าเพื่อน ๆ? พวกเขาเพลิดเพลินกับกำหนดการอ่านและการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประจำครอบครัวไหม? พวกเขาทำให้แนวทางของพระยะโฮวาเป็นวิถีชีวิตของพวกเขาไหม? การสังเกตอย่างรอบคอบจะเผยให้เห็นว่าคุณฐานะหัวหน้าครอบครัวต้องทำอะไรบ้างเพื่อสร้างและพัฒนาคุณภาพฝ่ายวิญญาณให้แก่สมาชิกแต่ละคนในครอบครัว.
จงตรวจดูบทความในวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! ที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นเฉพาะอย่าง. จากนั้นบอกครอบครัวล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาเพื่อพวกเขาสามารถคิดถึงเรื่องนั้นได้. จงรักษาบรรยากาศแห่งความรักในระหว่างการศึกษา. โดยไม่ดุด่าหรือทำให้สมาชิกครอบครัวคนใดอึดอัด จงเน้นคุณค่าของเรื่องที่กำลังพิจารณา, นำเรื่องนั้นมาใช้กับความจำเป็นของครอบครัวโดยเฉพาะ. ให้สมาชิกแต่ละคนมีส่วนร่วมเสมอ. จงช่วยแต่ละคนให้เห็นวิธีที่พระคำของพระยะโฮวา “ดีรอบคอบ” ในการจัดเตรียมสิ่งจำเป็นในชีวิต.—เพลง. 19:7.
การเก็บเกี่ยวผลตอบแทน
คนช่างสังเกตที่ขาดความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณอาจศึกษาเรื่องเอกภพ, เหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลก, และแม้แต่เรื่องตัวเขาเอง กระนั้น พวกเขาไม่เข้าใจความหมายอันแท้จริงของสิ่งที่เขาเห็น. อีกด้านหนึ่ง ด้วยการช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้ที่ศึกษาพระคำของพระเจ้าเป็นประจำสังเกตเข้าใจในสิ่งเหล่านั้นที่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า, ความสำเร็จเป็นจริงตามคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล, และการเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะอวยพรมนุษย์ที่เชื่อฟัง.—มโก. 13:4-29; โรม 1:20; วิ. 12:12.
นั่นเป็นสิ่งยอดเยี่ยม แต่ไม่ควรเป็นเหตุให้เราถือดี. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การพิจารณาพระคำของพระเจ้าทุกวันช่วยเราให้รักษาความถ่อมใจ. (บัญ. 17:18-20) การทำเช่นนี้ยังช่วยป้องกันเราจาก “อุบายของความบาป” เนื่องจากเมื่อพระคำของพระเจ้ามีพลังในหัวใจของเรา เสียงเรียกร้องให้ทำบาปมักจะไม่ชนะความตั้งใจของเราที่จะต้านทานมัน. (เฮ็บ. 2:1; 3:13; โกโล. 3:5-10) ดังนั้น เราจะ “ดำเนินคู่ควรกับพระยะโฮวา เพื่อทำให้พระองค์พอพระทัยอย่างเต็มเปี่ยม ขณะที่เราทั้งหลายเกิดผลต่อไปในการงานที่ดีทุกอย่าง.” (โกโล. 1:10, ล.ม.) นั่นเป็นเป้าหมายของเราในการศึกษาพระคำของพระเจ้า และการสำเร็จผลในการทำดังกล่าวเป็นผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่ที่สุด.