บท 6
เกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน?
“ผมสูงเร็วมาก. ผมตื่นเต้นที่โตเร็ว. แต่ผมมักเป็นตะคริวที่ขาและเท้า มันทรมานมาก ผมไม่ชอบเลย.”—พอล
“ฉันรู้ว่าร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลงและหวังว่าจะไม่มีใครสังเกต. แต่แล้วก็มีคนบอกว่า ‘สะโพกหนูเริ่มผายแล้วนะ.’ ฉันอยากจะแทรกแผ่นดินหนี.”—แชนแนล
ครอบครัวคุณเคยย้ายบ้านไหม? การย้ายบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายจริงไหม? คุณต้องทิ้งทุกอย่างที่คุ้นเคย เช่น บ้าน โรงเรียน และเพื่อน ๆ กว่าจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ต้องใช้เวลา.
ช่วงแตกเนื้อหนุ่มสาวเป็นช่วงที่คุณกำลังเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่และมีการเปลี่ยนแปลงมากในชีวิต อาจเปรียบเหมือนคุณกำลังย้ายบ้าน. มันน่าตื่นเต้นจริง ๆ แต่ก็ต้องใช้เวลาปรับตัวและอาจทำให้รู้สึกสับสน. ในช่วงที่น่าตื่นเต้นนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?
เรื่องของสาว ๆ
ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงมากจนน่าตกใจ. การเปลี่ยนแปลงบางอย่างเห็นได้ชัด เช่น ฮอร์โมนทำให้มีขนตรงอวัยวะเพศ. คุณยังสังเกตว่า หน้าอก สะโพก ต้นขา และก้นใหญ่ขึ้น. รูปร่างของคุณค่อย ๆ เปลี่ยนจากเด็กมามีส่วนเว้าส่วนโค้งแบบผู้ใหญ่. อย่าตกใจ นี่เป็นเรื่องธรรมดาแสดงว่าร่างกายคุณพร้อมจะมีลูกได้.
หลังจากแตกเนื้อสาวได้ไม่นาน คุณจะเริ่มมีประจำเดือน. ถ้าไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน คุณอาจตกใจได้. ซาแมนทาเล่าว่า “ฉันตกใจมากตอนเริ่มมีเมนส์. ฉันรู้สึกว่าตัวเองสกปรก. ฉันอาบน้ำขัดตัวอยู่หลายรอบ คิดว่าตัวเอง ‘น่ารังเกียจ.’ เมื่อคิดว่าจะต้องมีเมนส์แบบนี้ทุกเดือนไปอีกหลายปีฉันแทบทนไม่ไหว.”
จำไว้ว่า การมีประจำเดือนแสดงว่าคุณสามารถมีลูกได้แล้ว. ถึงแม้ตอนนี้คุณยังไม่พร้อมจะเป็นแม่คน แต่คุณก็เริ่มเป็นสาวแล้ว. การมีประจำเดือนอาจทำให้คุณหงุดหงิด. เคลลีบอกว่า “ที่แย่ที่สุดคือฉันไม่รู้จะทำอย่างไรกับอารมณ์ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ. ฉันไม่เข้าใจเลยว่า ทั้ง ๆ ที่รู้สึกดีมาทั้งวัน ทำไมจู่ ๆ พอตกเย็นฉันก็รู้สึกเศร้าและร้องไห้จนตาบวม.”
ถ้าคุณรู้สึกแบบนี้ก็ให้อดทน. อีกหน่อยคุณจะปรับตัวได้. แอนเนตต์ อายุ 20 บอกว่า “ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะยอมรับว่าฉันกำลังเป็นสาวและนี่เป็นสิ่งที่พระยะโฮวาประทานให้เพื่อฉันจะมีลูกได้. บางคนอาจต้องใช้เวลานานกว่านี้ แต่ในที่สุดก็ยอมรับได้.”
ร่างกายคุณมีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไหม? ถ้าคุณสงสัยอะไรให้เขียนลงไป.
․․․․․
เรื่องของหนุ่ม ๆ
ถ้าคุณเป็นผู้ชาย การแตกเนื้อหนุ่มจะมีผลมากต่อรูปร่างหน้าตาคุณ เช่น ผิวคุณจะมันขึ้นทำให้เกิดสิวง่าย.a แมท อายุ 18 บอกว่า “การมีสิวมันน่าเบื่อมาก. ผมต้องคอยสู้กับมันอยู่ตลอดไม่รู้ว่ามันจะหายไหม จะมีแผลเป็นไหม หรือจะทำให้คนอื่นรังเกียจผมหรือเปล่า.”
ในอีกด้านหนึ่ง คุณคงสังเกตว่าตัวคุณใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น และไหล่คุณก็กว้างออก. พอแตกเนื้อหนุ่ม คุณจะเริ่มมีหนวดเครา มีขนขึ้นตามแขนขา หน้าอก และรักแร้. ขนจะมีมากหรือน้อยเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ไม่เกี่ยวอะไรกับแมนหรือไม่แมน.
เนื่องจากส่วนต่าง ๆ ในร่างกายไม่ได้เติบโตในระดับเดียวกัน คุณจึงดูเก้งก้างในช่วงนี้. ดเวนบอกว่า “ตัวผมเก้งก้างอย่างกับยีราฟเล่นสเกต. เหมือนสมองสั่งการไปแล้วอาทิตย์หนึ่ง แขนขาถึงจะรับรู้.”
ช่วงวัยรุ่นเสียงคุณจะค่อย ๆ ทุ้มขึ้น. แต่บางทีจู่ ๆ เสียงคุณก็อาจแหลมและแตกจนคุณรู้สึกอาย. อย่าคิดมาก เพราะอีกไม่นานเสียงคุณก็จะดีขึ้น. ดังนั้น ในช่วงนี้การหัวเราะขำตัวเองน่าจะช่วยคุณแก้เขินได้.
เมื่อระบบสืบพันธุ์ของคุณเติบโตเต็มที่ อวัยวะเพศของคุณจะใหญ่ขึ้นและมีขนงอกรอบ ๆ. นอกจากนั้น จะเริ่มมีการผลิตน้ำอสุจิที่ประกอบด้วยสเปิร์มตัวจิ๋ว ๆ จำนวนเป็นล้าน ๆ ซึ่งจะหลั่งออกมาตอนมีเพศสัมพันธ์. ตัวสเปิร์มนี้แหละจะผสมกับไข่ของผู้หญิงแล้วเกิดเป็นทารก.
เมื่อร่างกายคุณผลิตน้ำอสุจิ บางส่วนจะถูกดูดซึมไป แต่บางส่วนอาจถูกปล่อยออกมาตอนที่คุณหลับอยู่เรียกว่า ฝันเปียก. การหลั่งน้ำอสุจิเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ. คัมภีร์ไบเบิลก็พูดถึงเรื่องนี้. (เลวีติโก 15:16, 17) นี่แสดงว่าระบบสืบพันธุ์ของคุณเริ่มทำงานแล้วและคุณกำลังจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว.
ร่างกายคุณมีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไหม? ถ้าคุณสงสัยอะไรให้เขียนลงไป.
․․․․․
รับมือกับความรู้สึกใหม่ ๆ
เมื่อระบบสืบพันธุ์เริ่มทำงาน ทั้งชายและหญิงจะเริ่มสนใจเพศตรงข้าม. แมทบอกว่า “พอผมแตกเนื้อหนุ่ม ผมเริ่มเห็นว่ามีสาว ๆ สวย ๆ เยอะแยะไปหมด. แต่ผมก็หงุดหงิดเพราะรู้ว่าตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ ต้องรอให้อายุมากกว่านี้.” ในบท 29 จะพิจารณารายละเอียดมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้. แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณควรทำคือ หัดควบคุมแรงกระตุ้นทางเพศ. (โกโลซาย 3:5) ถึงแม้จะยาก แต่คุณก็ควบคุมมันได้.
ในช่วงแตกเนื้อหนุ่มสาว คุณยังต้องรับมือกับความรู้สึกอื่น ๆ ด้วย เช่น เบื่อตัวเอง รู้สึกเหงา และเศร้าเป็นครั้งคราว. ถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้น ให้คุยกับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่คุณไว้ใจ. ผู้ใหญ่คนไหนที่คุณ อยากระบายความในใจ?
․․․․․
การเติบโตที่สำคัญที่สุด
นอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องรูปร่างหน้าตาและส่วนสูงแล้ว คุณยังต้องเติบโตในด้านบุคลิก ความคิดจิตใจ และอารมณ์ ที่สำคัญที่สุดคือสายสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า. อัครสาวกเปาโลบอกว่า “ตอนที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก ข้าพเจ้าเคยพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก หาเหตุผลอย่างเด็ก แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าพเจ้าจึงได้เลิกนิสัยอย่างเด็ก.” (1 โครินท์ 13:11) เห็นได้ชัดว่า การเป็นผู้ใหญ่แค่รูปร่างหน้าตายังไม่พอ. คุณต้องคิด พูด และทำสิ่งต่าง ๆ อย่างผู้ใหญ่ด้วย. อย่ามัวแต่ห่วงเรื่องรูปร่างหน้าตาจนลืมเอาใจใส่นิสัยใจคอ.
จำไว้ด้วยว่า พระเจ้าอ่านหัวใจได้. (1 ซามูเอล 16:7, ล.ม.) พระคัมภีร์พูดถึงกษัตริย์ซาอูลว่าสูงสง่าและหน้าตาดี แต่เขาเป็นกษัตริย์ที่ไม่ดีและเป็นผู้ชายที่ใช้ไม่ได้. (1 ซามูเอล 9:2) ส่วนซัคเคอุสแม้จะเป็นคน “ตัวเล็ก” แต่ก็มีจิตใจเข้มแข็งจนถึงกับเปลี่ยนแปลงชีวิตและกลายมาเป็นสาวกของพระเยซู. (ลูกา 19:2-10) เห็นได้ชัดว่านิสัยใจคอ นั่นแหละที่สำคัญที่สุด.
แน่นอน คุณไม่สามารถเร่งหรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของร่างกายได้. ดังนั้น แทนที่จะกลัวหรือไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ให้ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานพร้อมกับมีอารมณ์ขัน. การแตกเนื้อหนุ่มสาวไม่ใช่โรค และคุณก็ไม่ใช่คนแรกที่เป็นอย่างนี้. คุณมั่นใจได้เลยว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ แล้วคุณจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว.
จะทำอย่างไรถ้าคุณมองกระจกแล้วไม่ชอบหน้าตาตัวเอง? คุณจะมีทัศนะที่สมดุลในเรื่องนี้ได้อย่างไร?
[เชิงอรรถ]
a สาว ๆ ก็มีปัญหาเรื่องสิวเหมือนกัน. การดูแลผิวพรรณอย่างดีจะแก้ปัญหานี้ได้.
ข้อคัมภีร์หลัก
‘ข้า [จะ] สรรเสริญพระองค์เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าอย่างมหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม.’—บทเพลงสรรเสริญ 139:14, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย
ข้อแนะ
เมื่อร่างกายเริ่มแตกเนื้อหนุ่มสาว คุณต้องระวังอย่าแต่งตัวเซ็กซี่ยั่วยวน. ให้แต่งตัว “สุภาพ และมีสติ.”—1 ติโมเธียว 2:9
คุณรู้ไหม . . . ?
ช่วงแตกเนื้อหนุ่มสาวเริ่มตั้งแต่อายุ 8 ถึง 15 ปี. บางคนอาจเร็วหรือช้ากว่านั้น.
แผนปฏิบัติการ
ในช่วงวัยรุ่นนี้ ฉันต้องปรับปรุงนิสัย ․․․․․
เพื่อจะมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ฉันจะ ․․․․․
สิ่งที่ฉันอยากถามพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ․․․․․
คุณคิดอย่างไร?
● ทำไมการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและอารมณ์ในช่วงแตกเนื้อหนุ่มสาวจึงรับมือได้ยาก?
● คุณคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอะไรที่รับมือยากที่สุด?
● ในช่วงแตกเนื้อหนุ่มสาว ทำไมคุณมีโอกาสจะห่างเหินกับพระเจ้า และถ้าไม่อยากเป็นแบบนั้นต้องทำอย่างไร?
[คำโปรยหน้า 61]
“ช่วงวัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย คุณเองไม่มีทางรู้ว่าร่างกายจะเปลี่ยนไปอย่างไร. แต่คุณต้องปรับตัวและยอมรับให้ได้.”—แอนเนตต์
[กรอบหน้า 63, 64]
ฉันจะคุยเรื่องเพศกับพ่อแม่อย่างไร?
“ถ้าฉันสงสัยอะไรในเรื่องเพศ ฉันจะไม่ถามพ่อแม่.”—เบท
“ผมไม่กล้าพูดเรื่องนี้.”—เดนนิส
ถ้าคุณเป็นเหมือนเบทหรือเดนนิส คุณคงไม่รู้จะทำอย่างไร. คุณอยากรู้เรื่องเพศและพ่อแม่น่าจะตอบได้ดีที่สุด แต่คุณไม่กล้าถามเพราะไม่รู้ว่า . . .
พ่อแม่จะคิดอย่างไร?
“ถ้าฉันถาม เดี๋ยวพ่อแม่จะสงสัยฉัน.”—เจสซิกา
“พ่อแม่อยากให้ฉันเป็นเด็กและไร้เดียงสาไปตลอด ถ้าวันไหนฉันพูดเรื่องเพศขึ้นมา เขาคงตกใจและคิดว่าฉันไม่ใช่เด็กอีกต่อไป.”—เบท
พ่อแม่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
“ฉันกลัวว่าก่อนจะพูดจบ พ่อแม่คงคิดไปไกลแล้วเทศน์ฉันเสียยกใหญ่.”—กลอเรีย
“พ่อแม่ฉันเก็บความรู้สึกไม่เก่ง ฉันไม่อยากเห็นพวกเขาแสดงสีหน้าผิดหวัง. แค่ฉันเริ่มเล่า พ่อก็คงเตรียมจะเทศน์ฉันแล้ว.”—แพม
พวกเขาจะเข้าใจฉันผิดไหม?
“พ่อแม่อาจทำเป็นเรื่องใหญ่แล้วถามว่า ‘ทำไมลูกอยากรู้เรื่องนี้?’ หรือ ‘มีใครมาชวนลูกให้มีเซ็กซ์หรือ?’ จริง ๆ แล้วฉันแค่อยากรู้เฉย ๆ.”—ลิซา
“เวลาฉันพูดถึงผู้ชายทีไร พ่อจะแสดงอาการเป็นห่วงแล้วเริ่มแนะนำฉันเกี่ยวกับเรื่องเพศ. ฉันคิดในใจว่า ‘โถพ่อ หนูแค่ชมว่าเขาหล่อ ไม่ได้อยากแต่งงานหรือมีเซ็กซ์กับเขาสักหน่อย.’”—สเตซี
ที่จริง พ่อแม่คงรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะคุยเรื่องเพศกับคุณ คล้าย ๆ กับที่คุณรู้สึกเวลาจะคุยกับพวกเขา. จากการสำรวจพบว่า มีพ่อแม่ 65 เปอร์เซ็นต์บอกว่าได้คุยเรื่องเพศกับลูก แต่มีเด็กเพียง 41 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จำได้ว่าพ่อแม่เคยคุยเรื่องนี้กับตน.
พ่อแม่คุณคงไม่รู้จะคุยเรื่องเพศกับคุณอย่างไรเพราะพ่อแม่เขาคงไม่เคยคุยเรื่องนี้กับเขาเลย. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ขอให้คุณพยายามเข้าใจพ่อแม่. คุณ นั่นแหละน่าจะเป็นคนเริ่มพูดเพราะจะเป็นผลดีกับทั้งตัวคุณและพ่อแม่. แต่จะพูดอย่างไรล่ะ?
วิธีเริ่มเรื่อง
พ่อแม่รู้เรื่องเพศดีกว่าคุณและมีคำแนะนำดี ๆ มากมาย. คุณแค่ต้องรู้ว่าจะเริ่มพูดเรื่องนี้อย่างไร. ลองทำตามนี้สิ.
1 บอกพ่อแม่ตรง ๆ ว่า กว่าคุณจะพูดเรื่องนี้ได้มันไม่ง่าย. “หนูไม่ค่อยกล้าพูดถึงเรื่องนี้เพราะกลัวพ่อ (แม่) จะคิดว่า . . .”
2 บอกพ่อแม่ว่าทำไมคุณถึงมาหาเขา. “หนูมีเรื่องสงสัยอยากจะถามพ่อ (แม่) ไม่อยากถามคนอื่น.”
3 แล้วพูดเรื่องนั้น. “หนูสงสัยว่า . . . ”
4 อย่าลืมบอกว่าคราวหน้าถ้ามีอะไรสงสัยจะมาหาพ่อแม่อีก. “ถ้าหนูมีอะไรสงสัย หนูจะมาคุยกับพ่อ (แม่) อีกได้ไหมคะ?”
ถึงแม้รู้ว่าพ่อแม่จะบอกว่าได้ แต่การได้ยินจากปาก ของเขาโดยตรงจะทำให้คุณสบายใจและอยากไปคุยกับเขาอีก. ลองดูสิ แล้วคุณจะรู้สึกเหมือนทรีนา ซึ่งตอนนี้อายุ 24 แล้ว. เธอเล่าว่า “ตอนที่คุยกับแม่ ฉันรู้สึกอายมากไม่อยากพูดเรื่องนั้นเลย. แต่ตอนนี้ฉันดีใจที่เราได้คุยกัน แม่เป็นคนเปิดเผยและพูดตรงไปตรงมา. การคุยกันครั้งนั้นช่วยปกป้องฉันได้จริง ๆ.”
[ภาพหน้า 59]
การบอกลาวัยเด็กเป็นเหมือนการย้ายบ้าน แต่คุณจะปรับตัวได้