ความเชื่อของโจชัวชัยชนะของสิทธิเด็ก
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในแคนาดา
“เป็นครั้งแรกที่หลักยึดถือว่าด้วยผู้เยาว์ที่บรรลุวุฒิภาวะได้รับการพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์. และมีบางคนกล่าวว่าคำตัดสินนั้นได้จัดวางแนวทางอันชัดเจนไว้ไม่เพียงสำหรับแพทย์และโรงพยาบาลใน นิวบรันสวิกเท่านั้น แต่บางทีรวมไปถึงที่อื่น ๆ ในแคนาดาด้วย.”—วารสารแพทยสมาคมแห่งแคนาดา (ภาษาอังกฤษ).
วารสารดังกล่าวอ้างอิงถึงพระราชบัญญัติว่าด้วยการยินยอมของผู้เยาว์ทางการแพทย์แห่ง นิวบรันสวิก ซึ่งกล่าวว่าหากแพทย์สองคนประกาศให้ผู้เยาว์วัยต่ำกว่า 16 ปีเป็นผู้ใหญ่และตัวเขาเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่ตนเป็นรวมทั้งการรักษาที่เสนอให้ ผู้นั้นย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะยอมรับหรือปฏิเสธการบำบัดทางการแพทย์ เฉกเช่นผู้ใหญ่. เกี่ยวกับกรณีของโจชัว วอล์กเกอร์วัย 15 ปี ผู้ซึ่งป่วยด้วยโรคลิวคีเมียในไขกระดูกขั้นรุนแรง หัวหน้าผู้พิพากษา ดับเบิลยู. แอล. ฮอยต์ ประจำศาลอุทธรณ์ใน นิวบรันสวิก ได้เขียนดังนี้: “มีหลักฐานอย่างท่วมท้นว่าโจชัวเป็นผู้ใหญ่พอและ ภายใต้สภาพการณ์นี้ การรักษาที่เสนอให้ก็เป็นไปเพื่อผลดีที่สุดและคงไว้ซึ่งสุขภาพที่ดีอีกทั้งเพื่อสวัสดิภาพของเขา. . . . ผมคิดว่าการร้องขอศาล [เพื่อได้รับการประกาศให้เป็นผู้เยาว์ที่บรรลุวุฒิภาวะ] นั้นไม่จำเป็น.” คำตัดสินของหัวหน้าผู้พิพากษาฮอยต์ยังให้ข้อสังเกตด้วยว่ากฎหมายประเพณีของแคนาดา “ยอมรับหลักยึดถือว่าด้วยผู้เยาว์ที่บรรลุวุฒิภาวะ.”
แดเนียล โพล ทนายคนหนึ่งของโจชัวกล่าวว่าคำตัดสินที่เป็นลายลักษณ์อักษรของศาลอุทธรณ์ “จะเป็นคดีตัวอย่างสำหรับทั้งแคนาดา.” เนื่องจากไม่ใช่คดีธรรมดา ๆ ศาลจึงมีผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์ถึงห้าคนแทนที่จะเป็นสามคนตามปกติ. โพลกล่าวว่า “ในสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อ ผู้พิพากษาจะมานั่งบัลลังก์ครบทั้งชุด. อาจเป็นได้ว่าพวกเขาถือว่าการตัดสินครั้งนี้เป็นคดีหนึ่งที่สำคัญสำหรับแคนาดา.” เขาชี้ว่าคำวินิจฉัยที่วางเป็นแบบอย่างนี้เปิดทางให้กับผู้เยาว์ที่บรรลุวุฒิภาวะปฏิบัติการเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และ “ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะนำเรื่องนี้ขึ้นศาลอีก. นั่นเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้เยาว์คนอื่น.” เพื่อเน้นต่อไปอีกถึงคุณค่าอันกว้างขวางของชัยชนะในชั้นศาลครั้งนี้ โพลได้แถลงว่า “นั่นเป็นการพิสูจน์ความถูกต้องครั้งสำคัญในเรื่องสิทธิของเด็ก, ของเยาวชนชายและหญิง ผู้ซึ่งมีความสามารถในการตัดสินใจว่าอะไรที่พวกเขาต้องการให้ทำกับร่างกายของตนเอง.”
ภายใต้หัวเรื่อง “ชัยชนะของ ‘ผู้เยาว์’” บทบรรณาธิการในเทเลกราฟ เจอร์นัล กล่าวว่า “คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ใน นิวบรันสวิก ที่ว่า โจชัว วอล์กเกอร์วัย 15 ปีมีสิทธิในการยอมรับหรือปฏิเสธการรักษาทางแพทย์นั้นเป็นชัยชนะไม่เพียงสำหรับพยานพระยะโฮวาเท่านั้น แต่สำหรับเราทุกคนด้วย. . . . บางครั้งการตัดสินใจที่ปัจเจกบุคคลทำลงไปอาจดูเหมือนว่ายากที่สังคมจะยอมรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีวิตของผู้เยาว์อยู่ระหว่างความเป็นความตาย. แต่ที่ยอมรับได้ยากกว่านั้นอีกก็คือสังคมซึ่งละเมิดสิทธิด้านร่างกายและจิตใจของประชาชนเป็นประจำ. โจชัว วอล์กเกอร์ได้ทำส่วนของเขาเพื่อช่วยปกป้องเราให้ปลอดจากสิ่งนั้น.”
แพทย์ผู้กล้าหาญ
ตั้งแต่เริ่มป่วย โจชัวได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์หญิงแมรี แฟรนซิส สกัลลี ผู้ชำนัญพิเศษด้านโลหิตวิทยาและเนื้องอกวิทยาในเด็ก. งานของเธอรวมถึงการวินิจฉัยและการรักษามะเร็งในเด็กด้วย.
การรักษาโดยปกติสำหรับโรคลิวคีเมียชนิดที่โจชัวเป็นนั้นต้องใช้เคมีบำบัดและการถ่ายเลือด. โจชัวและครอบครัวเป็นพยานพระยะโฮวา พวกเขาจึงปฏิเสธการถ่ายเลือด เนื่องด้วยเหตุผลตามหลักพระคัมภีร์. พระบัญชาของพระเจ้าแก่คริสเตียนคือ “จงละเว้นจากสิ่งที่เป็นมลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ และจากการผิดประเวณี และจากสิ่งที่ถูกรัดคอ และจากเลือด.” (กิจการ 15:20, 29, ล.ม.) ตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียว โจชัวได้ยึดจุดยืนแน่วแน่ที่จะยึดมั่นกับกฎหมายของพระเจ้าที่ให้ ‘ละเว้นจากเลือด.’
แพทย์หญิงสกัลลี จดไว้ที่บันทึกทางการแพทย์ของโรงพยาบาลว่าโจชัว “เด็ดเดี่ยวมาก” ในเรื่องนี้. นายแพทย์โดแลน หัวหน้าแผนกเนื้องอกวิทยาในผู้ใหญ่ของโรงพยาบาลนี้ ได้พูดคุยเป็นส่วนตัวกับโจชัว. ทั้งเขาและแพทย์หญิงสกัลลี สรุปว่าโจชัวเป็นผู้เยาว์ที่บรรลุวุฒิภาวะ. นายแพทย์ลอร์ดอน แพทย์ประจำครอบครัววอล์กเกอร์ ก็มองว่าโจชัวเป็นผู้เยาว์ที่บรรลุวุฒิภาวะด้วยเช่นกัน. ด้วยจำนวนแพทย์ที่ไม่ใช่แค่สอง แต่มีถึงสามคนที่ประกาศว่าโจชัวเป็นผู้เยาว์ที่บรรลุวุฒิภาวะ เขาจึงมีคุณสมบัติมากกว่าที่ระบุในพระราชบัญญัติว่าด้วยการยินยอมของผู้เยาว์ทางการแพทย์เพื่อเลือกการรักษาสำหรับตน. ไม่น่าจะต้องมีการขึ้นศาลแต่อย่างใด.
น่าเสียดายที่สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป. โรงพยาบาลซึ่งได้มองโจชัวว่าเป็นผู้เยาว์ที่บรรลุวุฒิภาวะแล้ว กลับต้องการได้รับการยืนยันโดยคำตัดสินของศาลเพื่อที่จะปกป้องตนเอง. ผลของการพิจารณาคดีที่ยืดยาวและยากลำบากปรากฏออกมาว่าผู้พิพากษาตัดสินให้โจชัวไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธการรักษา. การตัดสินครั้งนี้ได้รับการอุทธรณ์ต่อศาลที่สูงกว่าทันทีซึ่งผลการพิจารณาได้เอ่ยถึงในวรรคแรกแล้ว.
ตลอดช่วงที่ยากลำบากแสนสาหัสของโจชัว แพทย์หญิงสกัลลีได้ยึดมั่นกับการปฏิเสธของเธอที่จะถ่ายเลือดให้แก่โจชัวไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตามเว้นเสียแต่โจชัวจะเปลี่ยนใจและยินยอม. วารสารแพทยสมาคมแห่งแคนาดา รายงานเกี่ยวกับจุดยืนของเธอโดยยกคำพูดของเธอขึ้นมาดังนี้: “สิ่งที่ดิฉันเป็นห่วงมากที่สุดก็คือโจชัวและครอบครัวของเขาซึ่งคงจะลำบากใจมากที่พวกเขาต้องกลับไปโดยไม่มีทางเลือกอื่นใด.” บทความนั้นกล่าวต่อไปว่า “แพทย์คนอื่น ๆ บอกกับเธอว่าพวกเขาจะไม่ยอมรักษา [โจชัว] เลย. แต่ความคิดเช่นนั้นไม่เคยผุดขึ้นมาในใจของเธอเลย.” จุดยืนอันมีเหตุผลและสูงส่งของเธอให้กำลังใจโจชัวและครอบครัวเป็นอย่างมาก.
โจชัวรักชีวิตและน่าเห็นใจ
โจชัว วอล์กเกอร์รักชีวิต เขาไม่อยากตาย. ครอบครัวของเขาก็ไม่ต้องการให้เขาตายเช่นกัน. ในหลายดินแดน พยานพระยะโฮวาซึ่งเป็นพี่น้องฝ่ายวิญญาณของเขา หวังว่าเขาจะหายและมีชีวิตต่อไป. โจชัวเต็มใจยอมรับสถานการณ์ของตน ความเชื่อในพระเจ้าทำให้เขาเชื่อมั่นว่าเขาจะกลับมาอีกโดยการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย. เขาพบการหนุนใจในคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “เวลาจะมาเมื่อบรรดาคนที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินสำเนียงของ [พระบุตรของพระเจ้า] และจะได้เป็นขึ้นมา.”—โยฮัน 5:25, 28, 29.
การสนับสนุนมาถึงเขาจากหลายแห่งด้วยกัน. หนังสือพิมพ์อีฟนิง ไทมส์ โกลบ กล่าวว่า “เมื่อวานนี้ทั้งบิดาและมารดาเน้นว่าพวกตนไม่ได้ละทิ้งโจชัว. เขานำโจชัวไปยังโรงพยาบาลเขตเพื่อรับการรักษาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยปราศจากเลือด. ‘เราคงปล่อยลูกไว้ที่บ้านหากเราต้องการให้เขาตาย’ ฝ่ายบิดาชักเหตุผล. ‘เราไม่อยากให้โจชตาย. เราพยายามทำทุกวิถีทางในด้านการแพทย์เพื่อรักษาชีวิตลูกไว้. และนั่นเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ต้องทำเพื่อคนที่ตนรัก. เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อเฝ้าดูลูกตาย. เรามาที่นี่เพื่อให้ลูกดีขึ้น เพื่อจะกลับไปหารถไฟเด็กเล่นของเขาอีกครั้ง, กลับไปยังหอประชุมราชอาณาจักร, ไปยังการประชุมและงานรับใช้, และอาจจะกลับไปเล่นบาสเกตบอลได้บ้าง.’”
ครอบครัวของเขาอยู่ที่นั่นเพื่อเขาจริง ๆ. หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งสังเกตว่า “ขณะที่คนหนึ่งผลัดเวียนมาอยู่เป็นเพื่อนกับโจชัว สมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ ก็จับกลุ่มกันในห้องเงียบ ๆ เล็ก ๆ ที่อยู่ถัดไป บางคนยังคงสวมชุดคลุมสำหรับเยี่ยมผู้ป่วยและมีหน้ากากถอดห้อยอยู่ที่คอ. ภาพที่เคยเห็นเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้นนับตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม เมื่อโจชัวมาโรงพยาบาลเป็นครั้งแรก. ในช่วงสามสัปดาห์ โจชัวไม่เคยขาดสมาชิกครอบครัวที่สวมชุดคลุมพร้อมหน้ากากเพื่ออยู่กับเขาในห้องพยาบาลแม้เพียงชั่วขณะ. . . . บ่อยครั้ง ทั้งพ่อและแม่อยู่กับโจชัวตลอดทั้งคืน นอนบนเตียงที่ถัดจากลูกชายคนเล็กของตน. [ผู้เป็นแม่กล่าวว่า] ‘เราจำเป็นสำหรับที่นี่มาก และดิฉันจะทำทุกสิ่งเพื่อโจช เพื่อลูก ๆ คนใดก็ตามของดิฉัน.’ ส่วนพ่อกล่าวดังนี้: ‘ผมจะนั่งรอในที่จอดรถหากผมต้องทำ.’”
ความไว้วางใจและการสนทนา
ในตอนค่ำเมื่อพ่อหรือแม่อยู่กับเขา จะมีการสนทนากันอย่างสนิทสนม. คืนหนึ่งเขาพูดว่า “แม่ครับ ช่วยจดสิ่งนี้ไว้นะครับ. ผู้เยาว์วัยทั้งหลาย โปรดเข้าใกล้ชิดพระยะโฮวาเพื่อว่าถ้ามีอะไรก็ตามเกิดขึ้นกับคุณ คุณจะรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระองค์. เมื่อผมทุเลาลง ผมสัญญาว่าจะทำมากขึ้นในการประกาศพระนามของพระยะโฮวา. พวกคุณผู้เยาว์วัยที่มีสุขภาพดี จงทำมากขึ้นถ้าคุณทำได้.”
คืนหนึ่งขณะอยู่ในโรงพยาบาล โจชพูดว่า “แม่ครับ หลายครั้งเวลาแม่เข้าห้องน้ำหรือไปหาคุณพ่อ พวกหมอมักจะเข้ามาและพูดว่า ‘โจช คุณต้องได้รับการถ่ายเลือด. มิฉะนั้นคุณจะตาย. เราต้องการช่วยคุณ.’ แล้วผมก็ตอบว่า ‘โปรดนับถือเจตจำนงของผมในเรื่องเลือดเถอะครับ.’ ผมบอกคุณหมอคนหนึ่งที่พยายามจะชักชวนให้ผมรับเลือดว่า ‘คุณหมออาจคิดว่าผมบ้า แต่ผมยังมีความสามารถในการคิดครบถ้วน. ผมเพียงต้องการดำเนินชีวิตตามกฎหมายของพระยะโฮวาในเรื่องเลือด. พระองค์ทรงทราบว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา. สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมก็คือการนับถือต่อความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต และถ้าผมตาย ผมจะกลับมีชีวิตอีก.’”
นายแพทย์แกร์รี แพทย์คนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกกุมารเวชศาสตร์ กล่าวกับบิดามารดาของโจชว่า “จงภูมิใจในตัวโจช. เขามีความเชื่อชนิดที่ผมไม่เคยเห็นใครแสดงมาก่อนเลยในชีวิต.” เขาโอบคนทั้งสองและพูดว่า “พวกคุณช่างเป็นครอบครัวที่กล้าหาญจริง ๆ.”
คืนหนึ่งในโรงพยาบาล หลังจากครอบครัวทราบข่าวร้ายเกี่ยวกับสภาพของโจช เจ็ฟฟ์พี่ชายและแจนิซพี่สาวได้อยู่กับเขา. ขณะเจ็ฟฟ์ร้องไห้ โจชพูดว่า “พี่เจ็ฟฟรีย์ หยุดร้องเถอะครับ. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไง ๆ ผมก็เป็นผู้ชนะ. ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก.” เขาหมายความว่าหากเขาหายจากโรค เขาจะเป็นผู้ชนะ; แต่ถ้าไม่หายและเสียชีวิตเขาก็จะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายสู่แผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน แล้วเขาก็คือผู้ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย!
เมื่อมีการคุยกันเกี่ยวกับการปลูกถ่ายไขกระดูก เจอร์รีพี่ชายของเขาเป็นคนแรกเสนอตัวที่จะสละไขกระดูกของตน. มีอยู่ช่วงหนึ่ง พวกพี่ชายคือจอห์นกับโจเคยจูบราตรีสวัสดิ์โจช. เมื่ออายุ 13 ปี เขาขอให้คุณแม่บอกพวกพี่ชายว่าตัวเขาอายุมากเกินไปสำหรับการทำเช่นนั้น. แต่ในระหว่างการป่วย แม้เขาจะอายุ 15 ปีแล้วก็ตาม พวกพี่ ๆ เริ่มทำสิ่งนี้อีกพร้อมกับสวมกอดและอธิษฐานกับเขา โจชบอกคุณแม่ว่าตอนนี้ไม่เป็นไร—นั่นแสดงว่าพวกพี่ ๆ ยังรักเขาอยู่.
การหนุนใจจากชุมชน
เจอร์รีและแซนดรา บิดามารดาของโจชัว กล่าวว่า การหนุนใจจากชุมชนมีอย่างล้นหลามและแพร่หลาย. ในเดือนพฤษภาคม 1994 หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งกล่าวว่า “โจชัวได้รับบัตรอวยพรเฉลี่ยแล้ววันละ 20 ใบ. บางบัตรมาไกลกระทั่งจากโรมาเนียและเม็กซิโกด้วยซ้ำ. เขายังได้รับโทรศัพท์และโทรสารที่โรงพยาบาลซึ่งส่งมาไกลจากอัลเบอร์ตาและวอชิงตันอีกด้วย. นอกจากนั้น เขาได้รับตะกร้าผลไม้ประมาณครึ่งโหล [และ] ดอกไม้อีกหลายสิบกระเช้า. . . . เมื่อสัญญาณชีวิตของเขา . . . ดีขึ้น เหล่าพยาบาลได้จัดงานเลี้ยงฉลองแบบฮาวายเพื่อเป็นเกียรติแก่โจชัว. พวกเขาเอาถุงขยะมาตัดเป็นกระโปรงใบหญ้าและเต้นฮูลาไปรอบ ๆ ห้อง. ‘โจชหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ดิฉันคิดว่าน้ำตาเขาจะไหลอยู่แล้ว’ แซนดรากล่าว.”
เจอร์รี บิดาของโจชกล่าวเสริมอีกว่า “เราไม่สามารถให้เด็กนักเรียนทุกคนที่มาเยี่ยมเข้ามาในห้องคนไข้ได้. ดังนั้นครูใหญ่จึงเข้ามาและรับรายงานเกี่ยวกับโจช. นักเรียนเหล่านั้นส่งภาพต่อพันชิ้นมาให้ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับรถไฟ—โจชคลั่งไคล้รถไฟมาก. ตำรวจต้องการจัดงานลีลาศสโมสรเพื่อหาทุนช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย แต่พวกเราปฏิเสธ. ในชั่วโมงสังคมศึกษาที่โรงเรียนมีการพูดคุยกันถึงเรื่องสิทธิต่าง ๆ ของประชาชน และแต่ละคนที่เรียนในชั่วโมงนั้นได้เขียนถึงโจชให้มาพูดเรื่องสิทธิ และเล่าถึงความรู้สึกของเขา.”
ระหว่างช่วงนี้ รายงานข่าวทางหนังสือพิมพ์เป็นไปอย่างครึกโครม—มีการลงเรื่องราวพร้อมภาพที่หน้าแรกของหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับ. พวกครูใหญ่ได้ถ่ายทอดข่าวเกี่ยวกับสุขภาพของโจชัวออกไป. เขาได้รับคำเชิญให้พูดเมื่อหายเป็นปกติ และโรงเรียนต่าง ๆ จัดประชุมเกี่ยวกับรายละเอียดของเรื่องนี้.
“คุณสังเกตว่าโจชัวเปลี่ยนไปมากไหมเมื่อโรคร้ายโจมตีและคุกคามชีวิตของเขา?” ตื่นเถิด! ถามขึ้น. เจอร์รี บิดาของโจชให้ความเห็นว่า “เขาเปลี่ยนไปมาก อาจพูดได้ว่าชั่วข้ามคืน. เมื่อก่อนโจชเป็นเด็กที่ปล่อยตัวสบาย ๆ, ไม่ค่อยกังวลอะไร, บางครั้งก็ต้องรับคำแนะนำซึ่งเด็กวัย 15 ปีทั่วไปต้องการ. ผมนั่งลงและจ้องมองลูกด้วยความทึ่ง. ดูราวกับเขาเป็นผู้ใหญ่ชั่วข้ามคืน. เย็นวันหนึ่ง ทนายต้องการพูดคุยกับโจช และโจชขอให้ผมออกไป. วันนี้เขาเป็นตัวตลกประจำชั้นเรียน วันรุ่งขึ้นเขาก็กลับกลายเป็นผู้ใหญ่กำลังสนทนากับเหล่าทนายและผู้พิพากษา. สภาพวิกฤติสามารถดึงสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจออกมาได้ ซึ่งไม่เคยส่อแววเลยว่าจะมีอยู่ที่นั่น.”
แพทย์หญิงสกัลลีได้กล่าวคำยกย่องชมเชยโจชัวอย่างสวยหรู. เธอบอกกับผู้เป็นแม่ว่า “ในบรรดาคนไข้ทั้งหมดที่ดิฉันเคยรักษามา เขาเป็นบุคคลที่เป็นมิตรที่สุด, คำนึงถึงผู้อื่นที่สุด, สุภาพที่สุด, และมีความเห็นอกเห็นใจมากที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยพบ. เขากล้าหาญมากและเป็นเด็กหนุ่มที่เราจะไม่มีวันลืมเลย. เขาเป็นคนที่น่ารักมาก. คุณภูมิใจในตัวโจชได้เลยค่ะ คุณนายวอล์กเกอร์.”
ในไม่กี่สัปดาห์ ลิวคีเมียก็พลิกโฉม. อาการทุเลาในระยะสั้น ๆ ผ่านพ้นไป มะเร็งหวนกำเริบขึ้นอีก. แพทย์หญิงสกัลลีบอกกับครอบครัวนี้ว่าโจชัวคงอยู่ได้ไม่นาน—บางทีไม่กี่สัปดาห์ หรืออาจจะไม่กี่เดือน. เย็นวันถัดมา ขณะที่บิดามารดาของโจชัวอยู่ด้วย แพทย์หญิงสกัลลีบอกกับโจชัวว่ามะเร็งกำเริบขึ้นอีกและตอนนี้อาจจะเกิดในกระเพาะอาหารด้วย. โจชัวพูดว่า “โอ้ ไม่ มันต้องไม่กลับมา—คุณหมอแน่ใจหรือครับ?” แพทย์หญิงสกัลลีกล่าวว่า “โจช การตรวจเลือดของเธอให้ผลไม่ค่อยดีนัก.” ไม่นานหลังจากนั้นเจอร์รีออกจากห้อง แล้วแพทยหญิงสกัลลีก็ตามไป.
สองดวงใจที่เจ็บปวดพบสันติสุข
มารดาของโจชัวพรรณนาเหตุการณ์ตอนนั้นว่า “ความเงียบบังเกิดขึ้น. ดิฉันเลื่อนเก้าอี้ไปข้าง ๆ เตียงลูกและกุมมือเขาไว้. ดิฉันถามเขาว่ารู้สึกกังวลหรือท้อแท้กับสิ่งที่คุณหมอได้บอกหรือเปล่า. โจชตอบว่า ‘ผมไม่เคยคิดว่าจะตายหรือจากไปในเร็ววันนี้. แต่แม่ครับ ไม่ต้องเป็นห่วง. ผมไม่กลัวที่จะตาย หรือกลัวความตายหรอก. แม่จะอยู่กับผมตอนผมตายใช่ไหมครับ? ผมไม่อยากตายอย่างโดดเดี่ยว?’ ดิฉันเริ่มร้องไห้และโอบกอดเขา. โจชก็ร้องไห้ด้วยและพูดว่า ‘แม่ครับ ผมอยู่ในพระหัตถ์ของพระยะโฮวา.’ แล้วพูดต่อไปว่า ‘ผมอยากให้ทุกคนในครอบครัวเราอยู่ในความจริงต่อไปเพื่อจะได้คอยต้อนรับผมในการกลับเป็นขึ้นจากตาย. ผมสามารถบอกสิ่งต่อไปนี้กับแม่ด้วยความมั่นใจ: ผมรู้ว่าพระยะโฮวาจะทรงนำผมกลับมาอย่างแน่นอนโดยการกลับเป็นขึ้นจากตาย. พระองค์ทรงอ่านหัวใจของผมออก และผมรักพระองค์จริง ๆ ครับ.’
“ดิฉันเริ่มร้องไห้อีก. ดิฉันบอกโจชว่าพวกเรารักเขามากแค่ไหน และในช่วง 16 ปีที่อยู่ด้วยกันเราภูมิใจในตัวเขามากเพียงใด—และที่สำคัญที่สุด พระยะโฮวากำลังยิ้มมาที่เขาด้วยความโปรดปราน. โจชพูดว่า ‘ผมทราบครับแม่.’ ดิฉันบอกกับเขาว่า ‘โจช ถึงแม้แม่จะเกลียดการจากไปของลูกมากที่สุด แต่ก็คงเป็นความเห็นแก่ตัวของพวกเราแน่ ๆ ที่ต้องการให้ลูกอยู่ต่อไป.’ โจชพูดว่า ‘ผมทราบครับแม่ และที่จริงผมก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้อยู่เหมือนกัน.’”
รายละเอียดต่าง ๆ ทางกฎหมาย
แดเนียล โพล หนึ่งในบรรดาทนายของโจชัว รวมทั้งผู้รับมอบอำนาจคนอื่น ๆ จัดการกับคำถามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในคดีของโจชัว วอล์กเกอร์. ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการยินยอมของผู้เยาว์ทางการแพทย์ ผู้เยาว์ที่บรรลุวุฒิภาวะหมายถึงอะไร? การยินยอมให้รักษารวมถึงสิทธิที่จะปฏิเสธด้วยไหม? การที่รัฐบาลอ้างเอาหลัก พาเรนซ์ พาเทรีย มาใช้ปฏิบัติกับผู้ที่ไม่สามารถดำเนินการเพื่อตนเองนั้น ใช้กับกรณีนี้ได้ไหม? ปัจเจกบุคคลมีสิทธิตามกฎหมายไหมที่จะกำหนดสิ่งซึ่งอาจกระทำต่อร่างกายของตนเองได้? บูรณภาพทางร่างกายของเขาศักดิ์สิทธิ์ไหม? และจะว่าอย่างไรกับกฎหมายประเพณีของแคนาดา? กฎหมายนี้นำมาใช้ในคดีดังกล่าวได้ไหม? และสุดท้าย คดีของโจชัว วอล์กเกอร์จำเป็นต้องขึ้นศาลตั้งแต่แรกไหม?
คำถามเหล่านี้ได้รับการตอบโดยคำตัดสินที่เป็นลายลักษณ์อักษรของศาลอุทธรณ์ไหม? ใช่แล้ว มีคำตอบ. เมื่อพิจารณาคดีเสร็จแล้ว ผู้พิพากษาห้าคนพักครู่หนึ่งและจากนั้นก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งและกล่าวคำตัดสินของผู้พิพากษาอย่างเป็นเอกฉันท์ดังนี้:
“คำอุทธรณ์เป็นที่ยอมรับ. คำตัดสินของเทิร์นบูล เจ. [ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น] ถูกยกเลิก. ขอประกาศว่า โจชัว วอล์กเกอร์ เป็นผู้เยาว์ที่บรรลุวุฒิภาวะภายใต้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติว่าด้วยการยินยอมของผู้เยาว์ทางการแพทย์ และไม่จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากบิดามารดาในเรื่องการรักษาของเขา. ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายจะชี้แจงให้ทราบในเหตุผลที่เป็นลายลักษณ์อักษรของเรา.”
กฎหมายประเพณีของแคนาดานำมาใช้กับคดีนี้ได้ไหม? ใช้ได้. รายงานการพิจารณาคดีซึ่งได้รับการตีพิมพ์กล่าวว่า “ในประเทศแคนาดา กฎหมายประเพณียอมรับหลักยึดถือว่าด้วยผู้เยาว์ที่บรรลุวุฒิภาวะ กล่าวคือ ผู้ที่มีความสามารถเข้าใจลักษณะและผลของการรักษาที่มีการเสนอให้. . . . นิวบรันสวิกได้ประมวลกฎหมายประเพณีด้วยขอบเขตที่มีการแสดงไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการยินยอมของผู้เยาว์ทางการแพทย์.”
ข้อสุดท้าย คดีของโจชัว วอล์กเกอร์จำเป็นต้องขึ้นศาลไหมเพื่อทำให้เขาสามารถปฏิเสธการถ่ายเลือดได้ตามกฎหมาย? ไม่จำเป็น. “ตราบใดที่บทบัญญัติใน พระราชบัญญัติ นั้นมีการทำตาม ไม่จำเป็นต้องร้องขอศาลเช่นนั้น.”
หัวหน้าผู้พิพากษา ดับเบิลยู. แอล. ฮอยต์ สรุปว่า “การร้องขอศาลทำไปโดยสุจริตและอย่างระมัดระวังทีเดียว. กระนั้น ผลของการร้องขอศาลทำให้โจชัวและครอบครัวของเขาต้องสู้คดีความโดยไม่จำเป็น. ด้วยเหตุผลนี้ ตามทัศนะของผมแล้ว พวกเขาสมควรได้รับการชดใช้จากโรงพยาบาล.”
โจชัวเสียชีวิตวันที่ 4 ตุลาคม 1994.
[จุดเด่นหน้า 12]
“คำตัดสินนั้นได้จัดวางแนวทางอันชัดเจนไว้ . . . สำหรับแพทย์ และโรงพยาบาล.”—วารสารแพทยสมาคมแห่งแคนาดา (ภาษาอังกฤษ)
[จุดเด่นหน้า 13]
“ชัยชนะไม่เพียงสำหรับพยานพระยะโฮวาเท่านั้น แต่สำหรับเราทุกคนด้วย.”—เทเลกราฟ เจอร์นัล
[จุดเด่นหน้า 14]
“ผมเพียงต้องการดำเนินชีวิตตามกฎหมายของพระยะโฮวาในเรื่องเลือด.”—โจชัว วอล์กเกอร์
[จุดเด่นหน้า 15]
“เขามีความเชื่อชนิดที่ผมไม่เคยเห็นใครแสดงมาก่อนเลยในชีวิต.”—นายแพทย์แกร์รี