เรื่องราวชีวิตจริง
เราต่อสู้เพื่อคงความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ
เล่าโดย รอล์ฟ บรึกเกไมเยอร์
จดหมายฉบับแรกที่ผมได้รับหลังจากถูกคุมขังมาจากเพื่อนคนหนึ่ง. เขาแจ้งว่าแม่กับน้องชายของผม—พีเตอร์, โยเคน, และมันเฟรด—ถูกจับเช่นกัน. เมื่อเป็นอย่างนั้นน้องสาวเล็ก ๆ สองคนของเราก็ถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง ขาดทั้งพ่อแม่และพี่ ๆ. ทำไมผู้มีอำนาจปกครองในเยอรมนีตะวันออกจึงข่มเหงครอบครัวของเรา? อะไรได้ช่วยเราให้คงความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณไว้ได้?
สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ย่ำยีทำลายความสงบสุขของเราในวัยเด็กอย่างสิ้นเชิง เราเรียนรู้ด้วยตัวเองถึงความทารุณโหดร้ายของสงคราม. พ่อออกรบร่วมกับกองทัพเยอรมันและเสียชีวิตตอนที่เป็นเชลยศึก. นั่นหมายความว่าเบอร์ทา แม่ผมต้องเลี้ยงลูกหกคนอายุไล่กันตั้งแต่หนึ่งขวบถึงสิบหกปี.
คริสตจักรที่แม่เข้าร่วมด้วยนั้นทำให้แม่ผิดหวังกับศาสนาอย่างสิ้นเชิง จนแม่ไม่ต้องการฟังเรื่องใด ๆ เกี่ยวกับพระเจ้า. แต่วันหนึ่งในปี 1949 อิลเซ ฟุกส์ ผู้หญิงรูปร่างเล็ก สุภาพเรียบร้อยได้แวะเยี่ยมที่บ้านของเราและสนทนากับแม่เรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. คำถามและการหาเหตุผลของเธอทำให้แม่รู้สึกทึ่งและสนใจอยากรู้. การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้ความหวังแก่แม่.
อย่างไรก็ตาม เด็กผู้ชายอย่างเราทีแรกรู้สึกเคลือบแคลง. เหล่านาซีและต่อมาพวกคอมมิวนิสต์ต่างให้คำสัญญาต่าง ๆ นานาอย่างเลิศลอย แต่แล้วก็ทำให้พวกเราผิดหวังตาม ๆ กัน. ถึงแม้พวกเราคิดสงสัยคำสัญญาใหม่ ๆ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม แต่ก็รู้สึกประทับใจเมื่อรู้ว่าพยานฯ บางคนถูกส่งเข้าค่ายกักกันเพราะปฏิเสธที่จะร่วมทำสงคราม. ปีถัดมา แม่, พีเตอร์, และผมได้รับบัพติสมา.
มันเฟรดน้องชายคนเล็กได้รับบัพติสมาเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าความจริงของคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้หยั่งรากในหัวใจของเขา. เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ประกาศห้ามงานของเราในปี 1950 และน้องชายคนนี้ถูกกดดันจากตำรวจลับ—หน่วยชตาซีซึ่งมีชื่อเสียงฉาวโฉ่—เขาจึงเปิดเผยให้เจ้าหน้าที่รู้สถานที่ที่เราประชุม. นั่นเป็นเหตุที่แม่และน้องชายคนอื่น ๆ ของผมถูกจับกุมในที่สุด.
รับใช้ในระหว่างการสั่งห้าม
เนื่องจากการสั่งห้าม พวกเราจึงต้องลอบนำสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเข้าไปในเยอรมนีตะวันออก. ผมจึงไปรับหนังสือจากฟากตะวันตกของเบอร์ลินซึ่งที่นั่นสรรพหนังสือของเราไม่ถูกสั่งห้าม แล้วขนข้ามชายแดน. ผมหลบการจับกุมของตำรวจได้หลายครั้ง แต่ก็ถูกจับในเดือนพฤศจิกายน ปี 1950.
หน่วยชตาซี จับผมยัดใส่ห้องขังใต้ดิน ไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว. เขาไม่ยอมให้ผมหลับตอนกลางวัน แถมตอนกลางคืนยังถูกไต่สวนอีก และบางครั้งถูกเฆี่ยน. ผมไม่มีโอกาสติดต่อทางบ้านจนกระทั่งเดือนมีนาคม ปี 1951 ตอนนั้นแม่, พีเตอร์, และโยเคนได้มาเข้าร่วมการพิจารณาคดีของผม. คำพิพากษาจบลงด้วยการตัดสินจำคุกผมหกปี.
หลังการพิจารณาคดีของผมเพียงหกวัน พีเตอร์, โยเคน, และแม่ก็ถูกจับกุม. ในเวลาต่อมา เพื่อนร่วมความเชื่อได้ช่วยดูแลฮันเนอลอเรอ น้องสาววัย 11 ขวบของผม และป้ารับซาบีเนอ อายุ 7 ขวบไปเลี้ยงดู. หน่วยชตาซี ปฏิบัติกับแม่และน้องชายของผมเหมือนเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ แม้แต่เชือกผูกรองเท้าก็ถูกริบไป. แม่กับน้องชายต้องยืนตลอดเวลาระหว่างการซักถาม. แต่ละคนถูกตัดสินลงโทษหกปีเช่นเดียวกัน.
ในปี 1953 มีการมอบหมายงานให้ผมและนักโทษพยานฯ บางคนสร้างสนามบินทหาร ซึ่งเราไม่ยอมทำงานนี้. เจ้าหน้าที่ลงโทษพวกเราด้วยการแยกขังเดี่ยว 21 วัน หมายถึงไม่ให้งานทำ, ไม่มีการติดต่อทางจดหมาย, และได้อาหารเล็กน้อย. พี่น้องหญิงคริสเตียนบางคนเก็บอาหารของตนเองที่ได้จากการปันส่วนอย่างจำกัดแล้วแอบส่งให้พวกเรา. ทั้งนี้ทำให้ผมได้รู้จักอันนี หนึ่งในจำนวนพี่น้องหญิงเหล่านั้น และได้แต่งงานกับเธอหลังจากเธอและผมได้รับการปล่อยตัวในปี 1956 และปี 1957. หนึ่งปีหลังการแต่งงาน เราได้ลูกสาวชื่อรูท. ส่วนพีเตอร์, โยเคน, และฮันเนอลอเรอนั้น ทุกคนได้แต่งงานในเวลาไล่เลี่ยกัน.
ประมาณสามปีหลังจากผมได้รับการปล่อยตัว ผมก็ถูกจับกุมอีก. หน่วยชตาซี พยายามเกลี้ยกล่อมผมให้แจ้งเบาะแส. เขาพูดว่า “นี่คุณบรึกเกไมเยอร์ มีเหตุผลหน่อยซี. คุณก็รู้ว่าชีวิตในคุกเป็นอย่างไร และเราไม่อยากให้คุณตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นอีก. คุณยังคงเป็นพยานฯ ได้, ศึกษาค้นคว้าต่อไปก็ได้, และจะพูดเรื่องคัมภีร์ไบเบิลก็ได้ตามใจชอบ. เราเพียงแต่ต้องการรับข้อมูลล่าสุดเท่านั้นเอง. นึกถึงภรรยาและลูกสาวตัวน้อยของคุณบ้าง.” คำพูดตอนท้ายนั้นทำให้อารมณ์ผมขุ่นมัวขึ้นมาทันที. แต่กระนั้น ผมรู้ว่าระหว่างอยู่ในคุก พระยะโฮวาจะพิทักษ์ดูแลครอบครัวของผมได้ดีกว่าที่ผมจะดูแลด้วยตัวเอง และก็เป็นเช่นนั้นจริง!
พวกเจ้าหน้าที่พยายามบังคับอันนีให้ทำงานเต็มเวลาและปล่อยให้คนอื่นเลี้ยงรูทช่วงวันทำงานระหว่างสัปดาห์. อันนียืนกรานจะทำงานกะกลางคืน เพื่อดูแลรูทตอนกลางวัน. พี่น้องฝ่ายวิญญาณของเราก็คอยเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีและให้หลายสิ่งหลายอย่างแก่ภรรยาผมจนมีพอแบ่งปันให้คนอื่น ๆ ได้. ช่วงเวลาเดียวกัน ผมยังต้องติดคุกอีกเกือบหกปี.
วิธีที่เรารักษาความเชื่อระหว่างถูกคุมขัง
ครั้นผมกลับเข้าคุกอีก เพื่อนพยานฯ ร่วมห้องขังกระหายอยากรู้ว่ามีการพิมพ์อะไรออกมาใหม่บ้างระยะหลังนี้. ผมมีความสุขเสียนี่กระไรที่ผมได้ศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ อย่างถี่ถ้วนและเข้าร่วมประชุมสม่ำเสมอ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงกลายเป็นแหล่งหนุนกำลังฝ่ายวิญญาณสำหรับพวกเขา!
เมื่อเราขอร้องผู้คุมอนุญาตให้เรามีคัมภีร์ไบเบิลสักเล่มหนึ่ง เขาตอบว่า “การให้พระคัมภีร์แก่พยานพระยะโฮวาเป็นอันตรายพอ ๆ กันกับการให้เครื่องมือที่ใช้แหกคุกแก่ผู้ร้าย.” แต่ละวัน พี่น้องชายที่เป็นผู้นำหน้าจะเลือกข้อคัมภีร์หนึ่งข้อขึ้นมาพิจารณา. ช่วงครึ่งชั่วโมงระหว่างที่เราเดินในสนามเป็นประจำทุกวัน พวกเราไม่สนใจกับการได้ออกกำลังกายหรือได้สูดอากาศบริสุทธิ์เมื่อนำมาเทียบกับความสนใจที่จะรับประโยชน์จากข้อคัมภีร์ประจำวัน. แม้เราต้องอยู่ห่างกัน 15 ฟุตและไม่มีการอนุญาตให้พูด กระนั้น เราก็ยังหาวิธีส่งข้อคัมภีร์ประจำวันผ่านไปถึงกันได้. เมื่อกลับเข้าห้องขัง เรายกเอาข้อความที่แต่ละคนพอจะได้ยินมาปะติดปะต่อกัน แล้วการพิจารณาข้อคัมภีร์ประจำวันของเราก็เริ่มขึ้น.
ในที่สุด คนให้เบาะแสได้เปิดเผยการกระทำของพวกเรา และผมถูกแยกขังเดี่ยว. ผมสุขใจมากเพราะตอนนั้นผมจำข้อคัมภีร์ได้หลายร้อยข้อจนขึ้นใจ! ผมสามารถเติมเต็มวันเวลาที่ว่างเปล่าโดยการคิดใคร่ครวญเรื่องต่าง ๆ ในพระคัมภีร์. ครั้นแล้วเขาย้ายผมไปขังอีกคุกหนึ่ง ที่นั่น ผู้คุมให้ผมอยู่รวมกับพยานฯ สองคนในห้องขังและสิ่งที่ยังความยินดีมากที่สุดคือผู้คุมให้พวกเรามีพระคัมภีร์เล่มหนึ่ง. หลังจากผมถูกขังเดี่ยวนานหกเดือน ผมซึ้งใจมากที่สามารถพิจารณาเนื้อหาสำคัญในพระคัมภีร์ได้อีกครั้งหนึ่งกับเพื่อนร่วมความเชื่อ.
พีเตอร์น้องชายผมพรรณนาสิ่งที่ช่วยเขาให้อดทนได้ในคุกอีกแห่งหนึ่งว่า “ผมสร้างมโนภาพชีวิตในโลกใหม่ ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอย แต่หมกมุ่นอยู่กับข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ตลอดเวลา. พวกเราพยานฯ เสริมกำลังกันและกันด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ หรือไม่ก็ทดสอบความรู้จากพระคัมภีร์. ชีวิตพวกเราไม่สะดวกสบายเลย. บางครั้ง พวกเรา 11 คนถูกจำกัดอยู่ในเนื้อที่แค่ 12 ตารางเมตร. เราต้องทำทุกอย่างในบริเวณนี้—กิน, นอน, ซักล้าง, กระทั่งขับถ่าย. พวกเรากลายเป็นคนประสาทเสีย มีอารมณ์ฉุนเฉียว.”
โยเคน น้องชายอีกคนหนึ่งของผมเล่าประสบการณ์ชีวิตในคุกว่า “ผมร้องเพลงที่ผมจำได้จากหนังสือเพลงของเรา. ทุกวันผมคิดรำพึงข้อพระคัมภีร์ที่ผมจำได้. เมื่อออกจากคุกแล้ว ผมยังคงทำกิจวัตรที่ดีอย่างต่อเนื่องตามคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล. ผมอ่านข้อพระคัมภีร์ประจำวันทุก ๆ วันพร้อมกับครอบครัว. นอกจากนั้น เราทุกคนเตรียมตัวพร้อมสำหรับการประชุมทุกวาระ.”
แม่ออกจากคุก
แม่ได้รับการปลดปล่อยภายหลังถูกคุมขังนานกว่าสองปี. แม่ได้ใช้เสรีภาพที่มีอยู่สอนความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิลให้แก่ฮันเนอลอเรอและซาบีเนอ ช่วยลูกทั้งสองสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับความเชื่อของเขา. แม่ยังได้สอนวิธีจัดการประเด็นปัญหาซึ่งเกิดขึ้นในโรงเรียนสืบเนื่องจากความเชื่อในพระเจ้า. ฮันเนอลอเรอบอกว่า “เราไม่ห่วงเรื่องผลกระทบเพราะที่บ้านเราให้กำลังใจกันและกัน. สายใยครอบครัวอันเหนียวแน่นได้ชดเชยความยากลำบากใด ๆ ที่พวกเราประสบ.”
ฮันเนอลอเรอพูดต่อว่า “พวกเราจัดอาหารฝ่ายวิญญาณให้แก่พี่น้องในคุกด้วย. เราคัดลอกวารสารหอสังเกตการณ์ ทั้งเล่มโดยเขียนตัวหนังสือขนาดจิ๋วลงบนกระดาษไข แล้วหุ้มห่อหน้าเหล่านั้นด้วยกระดาษกันน้ำ และใส่แทรกปนไปกับลูกพรุนแห้งภายในกล่องพัสดุที่เราจัดส่งรายเดือน. น่ายินดีจริง ๆ เมื่อเราได้รับตอบกลับมาว่าลูกพรุนแห้ง ‘อร่อยเหลือเกิน.’ เราเพลิดเพลินอยู่กับงานจนดิฉันต้องบอกว่าช่วงเวลานั้นวิเศษมาก ๆ.”
การดำเนินชีวิตภายใต้คำสั่งห้าม
พีเตอร์ได้เล่าสภาพความเป็นอยู่หลายสิบปีในเยอรมนีตะวันออกภายใต้คำสั่งห้ามดังนี้: “เราประชุมกันเป็นกลุ่มเล็กในบ้านส่วนตัว จะเข้าบ้านหรือออกบ้านก็มักสลับเวลาให้ต่างกัน. ณ การประชุมแต่ละครั้ง เราจะเตรียมการสำหรับครั้งต่อไป. เราทำอย่างนี้โดยการให้อาณัติสัญญาณและใช้วิธีเขียน เนื่องจากมีอันตรายอยู่เสมอจากการลอบฟังของหน่วยชตาซี.”
ฮันเนอลอเรอชี้แจงว่า “บางครั้งเราได้รับเทปบันทึกระเบียบวาระการประชุมหมวด. สิ่งนี้ทำให้พวกเราที่ร่วมการประชุมเบิกบานยินดีเสมอ. กลุ่มเล็ก ๆ ของเรามากันพร้อมหน้าและอยู่นานหลายชั่วโมงเพื่อฟังคำแนะนำที่อาศัยพระคัมภีร์เป็นหลัก. แม้เราไม่ได้เห็นผู้บรรยาย กระนั้น เราติดตามระเบียบวาระอย่างถี่ถ้วนและจดบันทึก.”
พีเตอร์พูดว่า “พี่น้องคริสเตียนในประเทศอื่น ๆ ได้ทุ่มเทความพยายามเป็นพิเศษเพื่อให้เรามีสรรพหนังสือคู่มือศึกษาพระคัมภีร์. ในช่วงประมาณสิบปีสุดท้ายก่อนการทลายกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 พี่น้องได้ผลิตสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ สำหรับพวกเราเป็นพิเศษ โดยการย่อขนาดให้เล็กลง. บางคนเสี่ยงต่อการถูกยึดรถยนต์, เงินตรา, และกระทั่งอิสรภาพด้วยซ้ำในการลำเลียงอาหารฝ่ายวิญญาณเข้าไปในเยอรมนีตะวันออก. คืนหนึ่งเราเฝ้าคอยพยานฯ สองสามีภรรยา แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้มา. ตำรวจค้นพบสรรพหนังสือและได้ยึดรถยนต์ของเขา. ถึงแม้มีอันตรายต่าง ๆ พวกเราไม่เคยคิดจะล้มเลิกการงานของเราเพื่อมีชีวิตสุขสงบกว่าที่เป็นอยู่.”
มันเฟรด น้องชายคนเล็กซึ่งได้ทรยศพวกเราในปี 1950 เล่าถึงสิ่งที่ช่วยให้เขาฟื้นตัวและยังตั้งมั่นในความเชื่อ: “หลังจากถูกกักตัวประมาณสองสามเดือน ผมก็ย้ายไปที่เยอรมนีตะวันตก ทั้งได้ละทิ้งแนวทางแห่งความจริงของคัมภีร์ไบเบิลเสียสิ้น. ปี 1954 ผมกลับมาอยู่ในเยอรมนีตะวันออกและได้แต่งงานในปีถัดมา. แต่ในไม่ช้า ภรรยาผมได้รับเอาความจริงของคัมภีร์ไบเบิล และในปี 1957 เธอรับบัพติสมา. ในที่สุด สติรู้สึกผิดชอบเริ่มรบกวนจิตใจผม และด้วยการช่วยเหลือของภรรยา ผมจึงได้กลับคืนสู่ประชาคม.
“พี่น้องคริสเตียนที่เคยรู้จักกันก่อนที่ผมออกไปจากความจริง พวกเขารับผมกลับด้วยแนวทางอันเปี่ยมด้วยความรัก เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น. การมีคนเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มและสวมกอดอย่างจริงใจนั้นวิเศษสุด. ผมมีความสุขเหลือเกินที่ได้กลับคืนดีกับพระยะโฮวาและพี่น้องของผม.”
การต่อสู้ฝ่ายวิญญาณดำเนินต่อไป
ทุกคนในครอบครัวของเราจำต้องสู้อย่างทรหดเพื่อความเชื่อ. พีเตอร์น้องชายของผมชี้จุดสำคัญว่า “ทุกวันนี้พวกเราถูกห้อมล้อมด้วยสิ่งยวนตาล่อใจหลายอย่าง อีกทั้งการชักนำไปในทางนิยมวัตถุ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน. สมัยที่มีการสั่งห้าม เรายังรู้สึกพอใจกับสิ่งที่เรามี. ตัวอย่างเช่น ไม่มีสักคนในกลุ่มของเราต้องการไปอยู่ในกลุ่มการศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งด้วยเหตุผลส่วนตัว และไม่มีใครโอดครวญว่าที่ประชุมอยู่ห่างไกลหรือประชุมในเวลามืดค่ำเกินไป. เราทุกคนรู้สึกเป็นสุขที่ได้มาร่วมประชุมด้วยกัน ถึงแม้บางคนยังต้องรอถึงห้าทุ่มซึ่งเป็นเวลากำหนดให้เราออกจากที่ประชุม.”
ปี 1959 แม่ตัดสินใจย้ายไปเยอรมนีตะวันตกกับซาบีเนอซึ่งตอนนั้นอายุ 16 ปี. เพราะทั้งสองคนต้องการรับใช้ในเขตที่มีความต้องการผู้ประกาศราชอาณาจักร ทางสำนักงานสาขาได้แนะนำให้ไปที่เมืองเอลล์วาเงิน, บาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก. การที่แม่มีใจแรงกล้าถึงแม้สุขภาพไม่ค่อยดีได้กระตุ้นซาบีเนอเริ่มเป็นไพโอเนียร์เมื่ออายุ 18 ปี. เมื่อซาบีเนอแต่งงาน แม่ตอนนั้นอายุ 58 ปี ได้เรียนขับรถเพื่อจะได้ทำงานประกาศมากขึ้น. แม่ยึดมั่นอยู่กับงานรับใช้นี้จนกระทั่งสิ้นชีวิตในปี 1974.
ส่วนผมเอง หลังจากติดคุกครั้งที่สองนานเกือบหกปี ผมก็ถูกเนรเทศไปเยอรมนีตะวันตกในปี 1965 โดยที่ครอบครัวของผมไม่รู้เรื่องเลย. แต่ต่อมา อันนี ภรรยากับรูทลูกสาวของเราได้ตามมาอยู่กับผม. ผมได้ปรึกษากับทางสำนักงานสาขาถึงแนวทางอันเป็นไปได้ที่เราจะรับใช้ในเขตงานที่มีความต้องการผู้ประกาศ ดังนั้น พวกเราจึงรับการชี้แนะให้ไปที่เนอร์ทลิงเงิน, รัฐบาวาเรีย. รูทและโยฮันเนสลูกชายคนเล็กของเราเติบโตที่นี่. อันนีเริ่มรับใช้เป็นไพโอเนียร์. ตัวอย่างที่ดีของมารดาเป็นแรงกระตุ้นรูทให้ก้าวสู่งานไพโอเนียร์ทันทีหลังจบโรงเรียน. ลูกทั้งสองคนของเราแต่งงานกับไพโอเนียร์. เวลานี้พวกเขาต่างก็มีครอบครัวของตัวเอง และเรามีหลาน ๆ น่ารักน่าเอ็นดูถึงหกคน.
ปี 1987 ผมถือโอกาสเกษียณอายุก่อนเวลาและรับใช้เป็นไพโอเนียร์ร่วมกับอันนี. สามปีหลังจากนั้น สำนักงานสาขาในเมืองเซลเทอร์ส ได้เชิญผมเข้าไปช่วยในโครงการก่อสร้างขยายอาคาร. หลังจากนั้นเราได้ช่วยสร้างห้องประชุมใหญ่ของพยานพระยะโฮวาแห่งแรกในเมืองเกลาเคาซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีตะวันออก ต่อมาเราทำงานดูแลห้องประชุมนี้. แต่เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ เราจึงย้ายไปอยู่กับลูกสาวในประชาคมเนอร์ทลิงเงิน และทำงานรับใช้ฐานะไพโอเนียร์.
ผมปลื้มปีติมากที่น้องชายและน้องสาวของผมทั้งหมด รวมทั้งสมาชิกส่วนใหญ่ในครอบครัวยังคงรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าองค์ประเสริฐยิ่งของเราอยู่เรื่อยมา. ตลอดเวลาหลายปี เราได้เรียนรู้ว่าตราบใดที่เราคงความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ ตราบนั้นเราย่อมประสบความจริงแห่งถ้อยคำในบทเพลงสรรเสริญ 126:3 ที่ว่า “พระยะโฮวาได้ทรงกระทำการมโหฬารแก่พวกข้าพเจ้า, และพวกข้าพเจ้าจึงชื่นชมยินดี.”
[ภาพหน้า 13]
วันแต่งงานของเรา ปี 1957
[ภาพหน้า 13]
กับครอบครัวของผม ปี 1948 (แถวหน้า จากซ้ายไปขวา) มันเฟรด, เบอร์ทา, ซาบีเนอ, ฮันเนอลอเรอ, พีเตอร์; (แถวหลัง จากซ้ายไปขวา) ผมและโยเคน
[ภาพหน้า 15]
หนังสือขนาดย่อให้เล็กลงที่ใช้ระหว่างการสั่งห้าม และเครื่องดักฟังของหน่วย “ชตาซี”
[ที่มาของภาพ]
Forschungs- und Gedenkstätte NORMANNENSTRASSE
[ภาพหน้า 16]
กับน้อง ๆ ของผม: (แถวหน้า จากซ้ายไปขวา) ฮันเนอลอเรอและซาบีเนอ; (แถวหลัง จากซ้ายไปขวา) ผม, โยเคน, พีเตอร์, และมันเฟรด