-
การเกิดใหม่เป็นทางสู่ความรอดไหม?หอสังเกตการณ์ 2009 | 1 เมษายน
-
-
การเกิดใหม่เป็นทางสู่ความรอดไหม?
คุณจะตอบอย่างไรถ้ามีคนถามว่า “คุณเกิดใหม่แล้วไหม?” คริสต์ศาสนิกชนนับล้าน ๆ ทั่วโลกคงจะตอบอย่างหนักแน่นว่า “ใช่สิ!” พวกเขาเชื่อว่าการเกิดใหม่เป็นสิ่งที่ระบุตัวคริสเตียนแท้ทุกคนและเป็นทางเดียวที่นำไปสู่ความรอด. ความเชื่อของคนเหล่านี้ตรงกับทัศนะของผู้นำทางศาสนาหลายคน เช่น นักเทววิทยาชื่อโรเบิร์ต ซี. สปราวล์ ซึ่งเขียนไว้ว่า “ถ้าใครไม่ได้เกิดใหม่ . . . เขาก็ไม่ใช่คริสเตียน.”
คุณเป็นคนหนึ่งไหมที่เชื่อว่าการเกิดใหม่จะนำคุณไปสู่ทางแห่งความรอด? ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่มีข้อสงสัยว่าคุณคงต้องการจะช่วยญาติ ๆ และเพื่อน ๆ ให้พบทางนั้นและเริ่มดำเนินในทางนั้นด้วย. แต่เพื่อจะทำเช่นนั้นได้ ญาติและเพื่อนของคุณจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่าคนที่เกิดใหม่กับคนที่ไม่ได้เกิดใหม่แตกต่างกันอย่างไร. คุณจะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจความหมายของการเกิดใหม่ได้อย่างไร?
หลายคนเชื่อว่าคำว่า “เกิดใหม่” หมายถึงการที่ใครคนหนึ่งตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะรับใช้พระเจ้าและพระคริสต์ ซึ่งจะยังผลให้เขาเปลี่ยนจากสภาพที่ไม่มีสายสัมพันธ์กับพระเจ้ามาเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับพระองค์ราวกับมีชีวิตใหม่. ที่จริง พจนานุกรมภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งซึ่งใช้กันในปัจจุบันได้ให้ความหมายของคำ ผู้เกิดใหม่ ไว้ว่า “ตามปกติแล้วหมายถึงคริสเตียนที่ได้รับเชื่ออีกครั้งหรือยืนยันความเชื่อที่ตนมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์ทางศาสนาที่ทำให้ซาบซึ้งใจมาแล้ว.”—มิเรียม-เวบสเตอร์ส คอลลิจิเอท ดิกชันนารี—ฉบับที่สิบเอ็ด
คุณจะแปลกใจไหมถ้าได้ทราบว่าคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้เห็นพ้องกับคำนิยามนั้น? คุณอยากทราบไหมว่าพระคำของพระเจ้าสอนอย่างไรจริง ๆ ในเรื่องการเกิดใหม่? คุณจะได้ประโยชน์จากการพิจารณาเรื่องนี้โดยละเอียดอย่างแน่นอน. ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น? ก็เพราะการเข้าใจความหมายของการเกิดใหม่อย่างถูกต้องจะมีผลกระทบต่อชีวิตของคุณรวมทั้งความหวังในอนาคตของคุณด้วย.
คัมภีร์ไบเบิลสอนอย่างไร?
ในคัมภีร์ไบเบิลเราพบคำว่า “เกิดใหม่” ที่โยฮัน 3:1-12 ซึ่งกล่าวถึงการสนทนาที่น่าสนใจระหว่างพระเยซูกับผู้นำศาสนาชาวยิวคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเลม. คุณจะเห็นว่ามีการยกบันทึกตอนนั้นมาลงไว้ในกรอบหน้าถัดไป. ขอเชิญคุณอ่านเรื่องทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน.
ในบันทึกนี้ พระเยซูทรงเน้นหลายแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับการ “เกิดใหม่.”a ที่จริง คำตรัสของพระเยซูช่วยเรารู้คำตอบสำหรับคำถามสำคัญห้าข้อนี้:
◼ การเกิดใหม่มีความสำคัญอย่างไร?
◼ การเกิดใหม่เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเราเองไหม?
◼ การเกิดใหม่มีวัตถุประสงค์อะไร?
◼ คนเราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร?
◼ การเกิดใหม่ทำให้สายสัมพันธ์ของคนเรากับพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
ให้เราพิจารณาคำถามเหล่านี้ทีละข้อ.
[เชิงอรรถ]
a คำว่า “บังเกิดใหม่” ซึ่งพบที่ 1 เปโตร 1:3 เป็นอีกคำหนึ่งที่คัมภีร์ไบเบิลใช้เพื่ออธิบายเรื่อง “การเกิดใหม่.” ทั้งสองคำมาจากคำกริยาภาษากรีก เก็นนาโอ.
[กรอบ/ภาพหน้า 4]
“เจ้าทั้งหลายจะต้องเกิดใหม่”
“มีฟาริซายคนหนึ่งชื่อนิโคเดมุส เป็นผู้นำชาวยิว. เขามาหาพระเยซูตอนกลางคืนและทูลพระองค์ว่า ‘อาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครทำการอัศจรรย์เหล่านั้นอย่างท่านได้เว้นแต่พระเจ้าทรงอยู่กับเขา.’ พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘เราบอกเจ้าตามจริงว่า ไม่มีใครจะเห็นราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เว้นแต่เขาจะเกิดใหม่.’ นิโคเดมุสถามพระองค์ว่า ‘คนที่ชราแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? เขาจะเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สองแล้วเกิดมาอีกได้หรือ?’ พระเยซูตรัสตอบว่า ‘เราบอกเจ้าตามจริงว่า ไม่มีใครจะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เว้นแต่เขาจะเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ. ผู้ที่เกิดจากมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ ผู้ที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นบุตรของพระเจ้า. อย่าประหลาดใจที่เราบอกเจ้าว่า เจ้าทั้งหลายจะต้องเกิดใหม่. ลมอยากจะพัดไปทางไหนก็พัดไปทางนั้น เจ้าได้ยินเสียงลมแต่ไม่รู้ว่ามันพัดมาจากที่ไหนและจะพัดไปที่ไหน. ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นเช่นนั้นแหละ.’ นิโคเดมุสจึงถามพระองค์ว่า ‘สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?’ พระเยซูตรัสตอบเขาว่า ‘เจ้าเป็นผู้สอนในชาติอิสราเอลแต่กลับไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ? เราบอกเจ้าตามจริงว่า พวกเราพูดสิ่งที่พวกเรารู้และยืนยันสิ่งที่พวกเราเห็น แต่เจ้าทั้งหลายไม่ยอมรับคำยืนยันของพวกเรา. ถ้าเราบอกเรื่องที่เกี่ยวกับแผ่นดินโลกแก่เจ้า เจ้ายังไม่เชื่อ แล้วถ้าเราบอกเรื่องในสวรรค์แก่เจ้า เจ้าจะเชื่อได้อย่างไร?’ ”—โยฮัน 3:1-12
-
-
การเกิดใหม่มีความสำคัญอย่างไร?หอสังเกตการณ์ 2009 | 1 เมษายน
-
-
การเกิดใหม่มีความสำคัญอย่างไร?
ตลอดการสนทนากับนิโคเดมุส พระเยซูทรงเน้นให้เห็นว่าการเกิดใหม่หรือการบังเกิดใหม่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง. พระเยซูตรัสอย่างไร?
ขอให้สังเกตวิธีที่พระเยซูเน้นถึงความสำคัญของการเกิดใหม่ในการสนทนากับนิโคเดมุส. พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีใครจะเห็นราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เว้นแต่เขาจะเกิดใหม่.” (โยฮัน 3:3) คำว่า “ไม่มี” และ “เว้นแต่” เน้นให้เห็นว่าการเกิดใหม่เป็นสิ่งจำเป็น. ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนพูดว่า “โลกนี้จะไม่มีแสงสว่าง เว้นแต่ดวงอาทิตย์จะส่องแสง” เขาก็หมายความว่าแสงอาทิตย์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเกิดแสงสว่าง. ในทำนองเดียวกัน พระเยซูตรัสว่าการเกิดใหม่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเห็นราชอาณาจักรของพระเจ้า.
ท้ายที่สุด พระเยซูตรัสอย่างชัดเจนราวกับจะขจัดข้อสงสัยใด ๆ ที่อาจยังมีอยู่เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายจะต้องเกิดใหม่.” (โยฮัน 3:7) คำตรัสของพระเยซูแสดงชัดว่า การเกิดใหม่เป็นข้อเรียกร้องหรือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เพื่อที่ใครคนหนึ่งจะได้ “เข้าราชอาณาจักรของพระเจ้า.”—โยฮัน 3:5
เนื่องจากพระเยซูทรงถือว่าการเกิดใหม่เป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้น ผู้ที่เป็นคริสเตียนจึงควรตรวจดูให้แน่ใจว่าเขาเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้. ตัวอย่างเช่น คุณคิดว่าคริสเตียนคนใดคนหนึ่งจะเลือกเกิดใหม่ด้วยตนเองได้ไหม?
[คำโปรยหน้า 5]
“โลกนี้จะไม่มีแสงสว่างเว้นแต่ดวงอาทิตย์จะส่องแสง”
-
-
การเกิดใหม่เป็นเรื่องที่เราเลือกเองไหม?หอสังเกตการณ์ 2009 | 1 เมษายน
-
-
การเกิดใหม่เป็นเรื่องที่เราเลือกเองไหม?
ใครเป็นผู้ทำให้มีการเกิดใหม่? เมื่อนักเทศน์บางคนกระตุ้นผู้ฟังให้มาเป็นคริสเตียนที่เกิดใหม่ พวกเขาจะยกคำตรัสของพระเยซูมากล่าวที่ว่า “เจ้าทั้งหลายจะต้องเกิดใหม่.” (โยฮัน 3:7) นักเทศน์เหล่านี้ใช้คำตรัสของพระเยซูในลักษณะคำสั่ง เหมือนกับจะบอกว่า “จงเกิดใหม่!” โดยกล่าวเช่นนี้พวกเขากำลังสอนว่า การเชื่อฟังพระเยซูและทำตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อจะเกิดใหม่เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับผู้เชื่อถือแต่ละคน. หากคิดเช่นนี้ก็หมายความว่าการเกิดใหม่เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะเลือกเองได้. แต่ทัศนะเช่นนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่พระเยซูตรัสกับนิโคเดมุสไหม?
เมื่ออ่านคำตรัสของพระเยซูอย่างถี่ถ้วน จะเห็นว่าพระเยซูไม่ได้สอนว่าการเกิดใหม่เป็นเรื่องที่มนุษย์จะเลือกเอง. ทำไมเรากล่าวเช่นนั้น? สำนวนภาษากรีกที่มีการแปลว่า “เกิดใหม่” สามารถจะแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ควรเกิดจากเบื้องบน.”a ฉะนั้น การแปลแบบที่สองนี้แสดงให้เห็นว่า การเกิดใหม่มีที่มา “จากเบื้องบน” คือ “จากสวรรค์” หรือ “จากพระบิดา” นั่นเอง. (โยฮัน 19:11; ยาโกโบ 1:17) ฉะนั้น ผู้ที่ทำให้มีการเกิดใหม่ก็คือพระเจ้า.—1 โยฮัน 3:9
ถ้าเราจำไว้เสมอว่าการเกิดใหม่ในภาษาเดิมอาจหมายถึงการเกิด “จากเบื้องบน” เราก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมมนุษย์จึงไม่สามารถเกิดใหม่ได้ด้วยตัวเอง. ขอให้คิดถึงตอนที่คุณเกิดจากท้องแม่. คุณเลือกให้ตัวเองเกิดได้ไหม? เปล่าเลย! คุณเกิดมาก็เพราะมีพ่อผู้ให้กำเนิด. ในทำนองเดียวกัน เราจะเกิดใหม่ได้ก็ต่อเมื่อพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเราในสวรรค์ทำให้เราเกิดใหม่. (โยฮัน 1:13) ฉะนั้น อัครสาวกเปโตรจึงกล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า “ขอให้พระองค์ผู้เป็นพระเจ้าและพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราได้รับการสรรเสริญ เพราะพระเมตตาอันใหญ่หลวง พระองค์จึงทรงให้เราบังเกิดใหม่.”—1 เปโตร 1:3
เป็นคำสั่งไหม?
อย่างไรก็ตาม บางคนอาจสงสัยว่า ‘หากเป็นความจริงที่ว่าไม่มีใครเลือกเกิดใหม่เองได้ ทำไมพระเยซูจึงให้คำสั่งว่า “เจ้าทั้งหลายต้องเกิดใหม่”?’ นี่เป็นคำถามที่มีเหตุผลทีเดียว. ที่จริง ถ้าคำตรัสของพระเยซูเป็นคำสั่งจริง ๆ ละก็ พระองค์ก็กำลังสั่งให้เราทำสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา ซึ่งไม่มีเหตุผลที่พระองค์จะสั่งเช่นนั้น. ถ้าอย่างนั้น เราควรเข้าใจคำตรัสที่ว่า เจ้าต้อง “เกิดใหม่” อย่างไร?
เมื่อพิจารณาประโยคนี้ในภาษาเดิมอย่างถี่ถ้วนจะเห็นว่าไม่ได้เขียนในลักษณะคำสั่ง. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ประโยคนี้เขียนในลักษณะบอกเล่า. กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อพระเยซูตรัสว่าเจ้าต้อง “เกิดใหม่” พระองค์กำลังตรัสถึงข้อเท็จจริง ไม่ใช่สั่งให้ทำ. พระองค์ตรัสว่า “เป็นเรื่องจำเป็นที่เจ้าจะเกิดจากเบื้องบน.”—โยฮัน 3:7, ฉบับโมเดิร์น ยังส์ ลิเทอรัล แทรนสเลชัน (ภาษาอังกฤษ)
เพื่อจะเข้าใจความแตกต่างระหว่างประโยคคำสั่งกับประโยคบอกเล่า ขอให้คิดถึงตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องหนึ่ง. ลองนึกภาพเมืองหนึ่งซึ่งมีโรงเรียนอยู่หลายโรง. มีโรงเรียนหนึ่งที่แตกต่างจากโรงเรียนอื่น ๆ เพราะเป็นโรงเรียนกินนอนสำหรับนักเรียนชาวพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ไกลจากตัวเมือง. วันหนึ่ง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ชาวพื้นเมืองกลุ่มนั้นมาบอกกับครูใหญ่ของโรงเรียนว่า “ผมต้องการสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนของท่านครับ.” ครูใหญ่บอกเขาว่า “ถ้าจะมาสมัครเรียนที่นี่ เธอจะต้องเป็นคนพื้นเมือง.” แน่นอนว่าคำพูดของครูใหญ่ไม่ใช่คำสั่ง. เขาไม่ได้สั่งนักเรียนคนนั้นว่า “จงเป็นคนพื้นเมือง!” ครูใหญ่เพียงแต่กำลังบอกข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องสำหรับผู้ที่จะเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้. ทำนองเดียวกัน เมื่อพระเยซูตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายจะต้องเกิดใหม่” พระองค์ก็เพียงแต่ตรัสถึงข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องสำหรับผู้ที่จะ “เข้าราชอาณาจักรของพระเจ้า.”
ราชอาณาจักรของพระเจ้านี้ยังเกี่ยวข้องกับอีกแง่มุมหนึ่งของการเกิดใหม่ด้วย คือเกี่ยวข้องกับคำถามที่ว่า การเกิดใหม่นี้มีวัตถุประสงค์อะไร? หากเราทราบคำตอบสำหรับคำถามนี้ เราก็จะเข้าใจความหมายของการเกิดใหม่ได้อย่างถูกต้อง.
[เชิงอรรถ]
a คัมภีร์ไบเบิลบางฉบับแปลโยฮัน 3:3 โดยใช้สำนวนคล้าย ๆ กันนี้ เช่น พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับมาตรฐาน 2002 กล่าวว่า “ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ (แปลได้อีกว่า เกิดจากเบื้องบน) คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า.”
[ภาพหน้า 6]
มีความคล้ายคลึงอะไรระหว่างการเกิดใหม่กับการเกิดของมนุษย์โดยทั่วไป?
-
-
การเกิดใหม่มีวัตถุประสงค์อะไร?หอสังเกตการณ์ 2009 | 1 เมษายน
-
-
การเกิดใหม่มีวัตถุประสงค์อะไร?
หลายคนเชื่อว่าคนเราจำเป็นต้องเกิดใหม่เพื่อจะได้รับความรอดตลอดไป. แต่ขอให้สังเกตว่าพระเยซูเองตรัสถึงวัตถุประสงค์ของการเกิดใหม่อย่างไร. พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีใครจะเห็นราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เว้นแต่เขาจะเกิดใหม่.” (โยฮัน 3:3) ฉะนั้น คนเราจำเป็นต้องเกิดใหม่เพื่อจะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อจะได้รับความรอด. บางคนอาจบอกว่า ‘แต่ทั้งสองสิ่งนี้ คือการเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้าและการได้รับความรอดก็หมายถึงรางวัลอย่างเดียวกันไม่ใช่หรือ?’ ไม่ใช่เช่นนั้น. เพื่อจะเข้าใจความแตกต่างระหว่างคำกล่าวทั้งสองนี้ ให้เรามาดูความหมายของคำว่า “ราชอาณาจักรของพระเจ้า” ก่อน.
ราชอาณาจักรคือรัฐบาลรูปแบบหนึ่ง. ดังนั้น คำว่า “ราชอาณาจักรของพระเจ้า” ก็หมายถึง “รัฐบาลของพระเจ้า.” คัมภีร์ไบเบิลสอนว่าพระเยซูคริสต์ ผู้เป็น “บุตรมนุษย์” ทรงเป็นกษัตริย์แห่งรัฐบาลของพระเจ้าและพระคริสต์ทรงมีผู้ที่ร่วมปกครองด้วย. (ดานิเอล 7:1, 13, 14; มัดธาย 26:63, 64) นอกจากนี้ นิมิตที่อัครสาวกโยฮันได้รับยังเผยให้ทราบด้วยว่าผู้ที่ร่วมปกครองกับพระคริสต์คือคนที่ได้รับเลือก “จากทุกตระกูล ทุกภาษา ทุกชนชาติ และทุกประเทศ” และจะ “เป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดินโลก.” (วิวรณ์ 5:9, 10; 20:6) พระคำของพระเจ้ายังเปิดเผยอีกว่าผู้ที่จะร่วมปกครองเป็นกษัตริย์นั้นประกอบกันเป็น “ฝูงน้อย” จำนวน 144,000 คน “ซึ่งถูกซื้อไว้แล้วจากแผ่นดินโลก.”—ลูกา 12:32; วิวรณ์ 14:1, 3
ราชอาณาจักรของพระเจ้าตั้งขึ้นที่ไหน? มีการเรียก “ราชอาณาจักรของพระเจ้า” อีกอย่างหนึ่งว่า “ราชอาณาจักรสวรรค์” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเยซูและผู้ที่ร่วมเป็นกษัตริย์กับพระองค์จะปกครองจากสวรรค์. (ลูกา 8:10; มัดธาย 13:11) ดังนั้น ราชอาณาจักรของพระเจ้าก็คือรัฐบาลในสวรรค์ที่ประกอบด้วยพระเยซูคริสต์และผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งซึ่งได้รับเลือกจากท่ามกลางมนุษยชาติ.
แล้วพระเยซูทรงหมายถึงอะไรเมื่อตรัสว่าคนเราต้องเกิดใหม่เพื่อจะ “เข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้า”? พระองค์ทรงหมายความว่าคนเราต้องเกิดใหม่จึงจะได้เป็นผู้ร่วมปกครองกับพระคริสต์ในสวรรค์. พูดง่าย ๆ ก็คือ การเกิดใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อจะเตรียมมนุษย์จำนวนหนึ่งไว้พร้อมสำหรับการปกครองในสวรรค์.
ถึงตอนนี้ เราก็ได้เห็นแล้วว่า การเกิดใหม่มีความสำคัญมาก, เกิดขึ้นโดยพระเจ้า และเป็นการเตรียมมนุษย์กลุ่มหนึ่งไว้เพื่อจะไปปกครองในสวรรค์. แต่การเกิดใหม่นี้เกิดขึ้นอย่างไรจริง ๆ?
[คำโปรยหน้า 7]
วัตถุประสงค์ของการเกิดใหม่คือเพื่อจะเตรียมมนุษย์จำนวนหนึ่งไว้สำหรับการปกครองในสวรรค์
[ภาพหน้า 7]
พระเยซูคริสต์และผู้ร่วมปกครองกลุ่มหนึ่งซึ่งได้รับเลือกจากมนุษยชาติประกอบกันเป็นราชอาณาจักรของพระเจ้า
-
-
การเกิดใหม่เกิดขึ้นโดยวิธีใด?หอสังเกตการณ์ 2009 | 1 เมษายน
-
-
การเกิดใหม่เกิดขึ้นโดยวิธีใด?
พระเยซูไม่เพียงตรัสกับนิโคเดมุสเกี่ยวกับความสำคัญ, ผู้ทำให้เกิด, และวัตถุประสงค์ของการเกิดใหม่เท่านั้น แต่พระองค์ยังตรัสด้วยว่าการเกิดใหม่นี้เกิดขึ้นโดยวิธีใด. พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีใครจะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เว้นแต่เขาจะเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ.” (โยฮัน 3:5) ฉะนั้น คนเราเกิดใหม่โดยทางน้ำและพระวิญญาณ. แต่คำว่า “น้ำและพระวิญญาณ” นั้นหมายถึงอะไร?
“น้ำและพระวิญญาณ”—คืออะไร?
ในฐานะผู้คงแก่เรียนในศาสนายิว ไม่มีข้อสงสัยว่านิโคเดมุสคงคุ้นเคยกับวิธีที่พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูใช้คำว่า “พระวิญญาณของพระเจ้า” คือใช้หมายถึงพลังปฏิบัติการของพระเจ้าที่มีอำนาจช่วยให้คนเรามีความสามารถพิเศษ. (เยเนซิศ 41:38; เอ็กโซโด 31:3; 1 ซามูเอล 10:6) ดังนั้น เมื่อพระเยซูใช้คำว่า “พระวิญญาณ” นิโคเดมุสคงต้องเข้าใจว่าพระองค์หมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพลังปฏิบัติการของพระเจ้า.
แล้วพระเยซูทรงหมายถึงอะไรเมื่อตรัสถึงน้ำ? ขอพิจารณาเหตุการณ์ที่มีการบันทึกก่อนและหลังบทสนทนาของพระเยซูกับนิโคเดมุส. บันทึกเหล่านั้นแสดงว่าทั้งสาวกของโยฮันและของพระเยซูต่างก็ให้บัพติสมาด้วยน้ำ. (โยฮัน 1:19, 31; 3:22; 4:1-3) การบัพติสมากลายเป็นสิ่งที่คนในกรุงเยรูซาเลมรู้จักดี. ดังนั้น เมื่อพระเยซูตรัสถึงน้ำ นิโคเดมุสคงเข้าใจว่าพระเยซูทรงหมายถึงน้ำที่ใช้ในการบัพติสมา ไม่ใช่น้ำทั่ว ๆ ไป.
รับบัพติสมา “ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
ถ้าการ “เกิดจากน้ำ” เกี่ยวข้องกับการรับบัพติสมาด้วยน้ำ แล้วการ “เกิดจาก . . . พระวิญญาณ” จะหมายความว่าอย่างไร? ก่อนหน้าการสนทนาของพระเยซูกับนิโคเดมุส โยฮันผู้ให้บัพติสมาได้ประกาศว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องในการบัพติสมาไม่ได้มีเพียงน้ำเท่านั้น แต่ยังมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย. ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติสมาแก่พวกท่านด้วยน้ำ แต่พระองค์ [พระเยซู] จะให้บัพติสมาแก่พวกท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (มาระโก 1:7, 8) มาระโกผู้เขียนกิตติคุณได้พรรณนาถึงเหตุการณ์ตอนที่มีการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณครั้งแรก. ท่านเขียนว่า “ในช่วงนั้นพระเยซูเสด็จมาจากเมืองนาซาเรทในแคว้นแกลิลีและทรงรับบัพติสมาจากโยฮันในแม่น้ำจอร์แดน. ทันทีที่พระองค์เสด็จขึ้นจากน้ำก็ทรงเห็นท้องฟ้าแยกออก และทรงเห็นพระวิญญาณลงมาบนพระองค์ดุจนกพิราบ.” (มาระโก 1:9, 10) เมื่อพระเยซูถูกจุ่มตัวมิดในแม่น้ำจอร์แดน พระองค์ทรงรับบัพติสมาด้วยน้ำ. ในตอนที่พระองค์ได้รับพระวิญญาณจากสวรรค์ พระองค์ทรงรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์.
ประมาณสามปีหลังจากที่พระเยซูทรงรับบัพติสมาแล้ว พระองค์ได้ให้คำรับรองแก่สาวกของพระองค์ว่า “ในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้เจ้าทั้งหลายจะได้รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (กิจการ 1:5) เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไร?
ในวันเพนเทคอสต์ปีสากลศักราช 33 สาวกของพระเยซูประมาณ 120 คนมาประชุมกันที่บ้านหลังหนึ่งในกรุงเยรูซาเลม. “ทันใดนั้น มีเสียงดังจากฟ้าเหมือนเสียงพายุ เสียงนั้นดังไปทั่วบ้านที่พวกเขานั่งอยู่ และมีสิ่งที่คล้ายเปลวไฟรูปทรงคล้ายลิ้นปรากฏขึ้น . . . พวกเขาจึงเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (กิจการ 2:1-4) ในวันเดียวกันนั้น มีอีกหลายคนในกรุงเยรูซาเลมได้รับการกระตุ้นให้รับบัพติสมาด้วยน้ำ. อัครสาวกเปโตรบอกกับฝูงชนกลุ่มหนึ่งว่า “จงกลับใจ และให้พวกท่านทุกคนรับบัพติสมาในพระนามพระเยซูคริสต์เพื่อบาปของพวกท่านจะได้รับการอภัย และพวกท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์.” ฝูงชนตอบรับอย่างไร? “คนที่เชื่อคำของเปโตรอย่างจริงใจจึงรับบัพติสมา และในวันนั้นมีสาวกเพิ่มเข้ามาประมาณสามพันคน.”—กิจการ 2:38, 41
สองขั้นตอนที่สำคัญ
การบัพติสมาทั้งสองอย่างนี้เผยให้ทราบอะไรเกี่ยวกับการเกิดใหม่? ก็ทำให้เราทราบว่าการเกิดใหม่เกิดขึ้นจากสองขั้นตอน. ขอให้สังเกตว่าพระเยซูทรงรับบัพติสมาด้วยน้ำก่อน หลังจากนั้นจึงได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์. สาวกรุ่นแรกก็เช่นกัน พวกเขาได้รับบัพติสมาด้วยน้ำก่อน (บางคนได้รับจากโยฮันผู้ให้บัพติสมา) แล้วจากนั้นจึงได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์. (โยฮัน 1:26-36) เช่นเดียวกัน ผู้ที่เข้ามาเป็นคริสเตียน 3,000 คนได้รับบัพติสมาด้วยน้ำก่อน แล้วจากนั้นจึงได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์.
เมื่อคำนึงถึงการบัพติสมาที่เกิดขึ้นในวันเพนเทคอสต์ปี ส.ศ. 33 เราควรคาดหมายให้การเกิดใหม่ในทุกวันนี้เป็นอย่างไร? ก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกับในสมัยของอัครสาวกและสาวกรุ่นแรกของพระเยซู. ขั้นตอนแรก คนเราต้องกลับใจจากบาปที่ได้ทำ เลิกทำสิ่งที่ผิด อุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาเพื่อจะนมัสการและรับใช้พระองค์ แล้วประกาศการอุทิศตัวของตนให้ผู้อื่นได้รับทราบโดยการรับบัพติสมาด้วยน้ำ. หลังจากนั้น ถ้าพระเจ้าทรงเลือกเขาให้เป็นผู้ปกครองในราชอาณาจักรของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงเจิมเขาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์. ขั้นตอนแรก (การบัพติสมาด้วยน้ำ) เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะทำด้วยตนเอง ส่วนขั้นตอนที่สอง (การบัพติสมาด้วยพระวิญญาณ) พระเจ้าทรงเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น. เมื่อใครคนหนึ่งได้รับบัพติสมาทั้งสองอย่างแล้ว เขาก็ได้เกิดใหม่.
แต่ทำไมตอนที่พระเยซูสนทนากับนิโคเดมุส พระองค์จึงใช้คำว่า “เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ”? นั่นก็เพื่อเน้นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นกับผู้ที่ได้รับบัพติสมาด้วยน้ำและพระวิญญาณ. ในบทความถัดไปจะพิจารณาเรื่องนี้ซึ่งเป็นอีกแง่มุมหนึ่งของการเกิดใหม่.
[ภาพหน้า 9]
โยฮันให้บัพติสมาด้วยน้ำแก่ชาวอิสราเอลที่กลับใจ
-
-
การเกิดใหม่ทำให้สิ่งใดบรรลุผลสำเร็จ?หอสังเกตการณ์ 2009 | 1 เมษายน
-
-
การเกิดใหม่ทำให้สิ่งใดบรรลุผลสำเร็จ?
เหตุใดพระเยซูจึงใช้สำนวน “เกิด . . . จากพระวิญญาณ” เมื่อตรัสถึงการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์? (โยฮัน 3:5) คำว่า “เกิด” หรือ “กำเนิด” เมื่อใช้ในความหมายเป็นนัยอาจหมายถึง “การเริ่มต้น” ก็ได้. ดังนั้น คำว่า “เกิดใหม่” จึงมีความหมายว่า “เริ่มต้นใหม่.” ด้วยเหตุนี้ เมื่อใช้คำว่า “เกิด” และ “เกิดใหม่” ในความหมายเป็นนัยจึงเป็นการเน้นว่า จะมีการเริ่มต้นใหม่ของสัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับผู้ที่ได้รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์. การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงนี้เกิดขึ้นอย่างไร?
เมื่อเปาโลอธิบายถึงวิธีที่พระเจ้าทรงเตรียมมนุษย์บางคนไว้เพื่อเป็นผู้ปกครองในสวรรค์ ท่านได้ใช้ตัวอย่างชีวิตจริงในครอบครัวมนุษย์. ท่านเขียนถึงคริสเตียนในสมัยของท่านว่าพวกเขาจะถูก ‘รับเป็นบุตร’ และเพราะเหตุนั้น พระเจ้าจึงทรงปฏิบัติต่อพวกเขา “เหมือนเป็นบุตร.” (กาลาเทีย 4:5; ฮีบรู 12:7) เพื่อจะเห็นว่าตัวอย่างเรื่องการรับเป็นบุตรช่วยเราอย่างไรให้เข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ได้รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณ ขอให้นึกถึงตัวอย่างของเด็กหนุ่มที่ต้องการจะเข้าเรียนในโรงเรียนสำหรับนักเรียนที่เป็นชาวพื้นเมืองอีกครั้งหนึ่ง.
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเนื่องจากถูกรับเป็นบุตร
ในตัวอย่างนั้น เด็กหนุ่มคนนั้นไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนนั้นได้เพราะเขาไม่ใช่ชาวพื้นเมือง. ตอนนี้ลองนึกภาพว่า วันหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่เกิดขึ้น. บิดาของครอบครัวชาวพื้นเมืองครอบครัวหนึ่งได้รับเขาเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย. เรื่องนี้จะมีผลกระทบเช่นไรต่อเด็กหนุ่มคนนั้น? ก็เนื่องจากเขาถูกรับเป็นบุตรแล้ว ตอนนี้เขาจึงอาจมีสิทธิในเรื่องต่าง ๆ เหมือนกับเยาวชนชาวพื้นเมืองคนอื่น ๆ รวมทั้งมีสิทธิ์ที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนนั้นด้วย. การถูกรับเป็นบุตรได้เปลี่ยนอนาคตของเขาอย่างสิ้นเชิง.
ตัวอย่างนี้ช่วยเราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่เกิดใหม่ซึ่งเป็นสภาพการณ์ที่คล้ายกันแต่มีความสำคัญกว่ามาก. ให้เราเปรียบเทียบแง่มุมบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน. เด็กหนุ่มในตัวอย่างนั้นจะเข้าเรียนในโรงเรียนได้ก็ต่อเมื่อเขามีคุณสมบัติตามข้อเรียกร้องสำหรับการสมัครเรียน นั่นคือเขาต้องเป็นชาวพื้นเมือง. แต่เขาไม่สามารถบรรลุข้อเรียกร้องนี้ได้ด้วยตัวเอง. คล้ายกัน มนุษย์บางคนจะเป็นผู้ร่วมปกครองในราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเขามีคุณสมบัติตามข้อเรียกร้องที่กำหนดไว้ นั่นคือเขาต้อง “เกิดใหม่.” แต่พวกเขาไม่สามารถจะบรรลุข้อเรียกร้องนั้นได้ด้วยตัวเอง เพราะการเกิดใหม่เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า.
อะไรทำให้สภาพการณ์ของเด็กหนุ่มคนนี้เปลี่ยนไป? สิ่งนั้นก็คือการถูกรับเป็นบุตรอย่างถูกต้องตามกฎหมาย. จริงอยู่ การถูกรับเป็นบุตรไม่ได้เปลี่ยนตัวตนเดิมของเด็กหนุ่ม. หลังจากถูกรับเป็นบุตรแล้ว เขาก็ยังเป็นคนเดิม. อย่างไรก็ตาม หลังจากบรรลุข้อเรียกร้องตามกฎหมายสำหรับการรับเป็นบุตรแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้รับฐานะใหม่. ที่จริง อาจกล่าวได้ว่าเขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่หรือเกิดใหม่นั่นเอง. เขากลายเป็นลูกชายของชาวพื้นเมืองซึ่งทำให้เขามีสิทธิที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนั้นและได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหม่.
ในทำนองเดียวกัน พระยะโฮวาทรงเปลี่ยนฐานะของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์กลุ่มหนึ่งโดยดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างหนึ่งเพื่อจะรับพวกเขามาเป็นบุตรของพระองค์. อัครสาวกเปาโล ซึ่งเป็นคนหนึ่งในกลุ่มนี้ ได้เขียนไปถึงเพื่อนร่วมความเชื่อของท่านว่า “พวกท่านได้รับจิตใจอย่างผู้ที่ถูกรับเป็นบุตร ซึ่งโดยจิตใจเช่นนั้น เราจึงร้องว่า ‘อับบา พระบิดา!’ พระวิญญาณนั้นเป็นพยานยืนยันร่วมกับจิตใจของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า.” (โรม 8:15, 16) โดยผ่านขั้นตอนการรับเป็นบุตรนี้เอง คริสเตียนเหล่านั้นจึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า หรือเป็น “บุตรของพระเจ้า.”—1 โยฮัน 3:1; 2 โครินท์ 6:18
แน่นอนว่า การถูกรับเป็นบุตรของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนตัวตนเดิมของผู้ที่ถูกรับเป็นบุตร เพราะพวกเขายังคงเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์. (1 โยฮัน 1:8) แต่ดังที่เปาโลอธิบายต่อไป หลังจากบรรลุข้อเรียกร้องตามกฎหมายสำหรับการรับเป็นบุตรแล้ว พวกเขาก็ได้รับฐานะใหม่. ในขณะเดียวกัน พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทำให้ผู้ถูกรับเป็นบุตรเหล่านี้เกิดความเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะได้อยู่กับพระเยซูในสวรรค์. (1 โยฮัน 3:2) ความเชื่อมั่นที่แน่นอนซึ่งได้รับจากพระวิญญาณของพระเจ้านี้ทำให้พวกเขามองชีวิตต่างไปจากเดิม. (2 โครินท์ 1:21, 22) พวกเขามีชีวิตใหม่แล้ว หรือกล่าวได้ว่า พวกเขาได้เกิดใหม่แล้วนั่นเอง.
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงผู้ที่พระเจ้าทรงรับเป็นบุตรดังนี้: “พวกเขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ และจะปกครองเป็นกษัตริย์กับพระคริสต์เป็นเวลาหนึ่งพันปี.” (วิวรณ์ 20:6) คนเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงรับเป็นบุตรจะได้รับตำแหน่งกษัตริย์ร่วมกับพระคริสต์ในราชอาณาจักรหรือรัฐบาลของพระเจ้าซึ่งอยู่ในสวรรค์. อัครสาวกเปโตรบอกกับเพื่อนร่วมความเชื่อของท่านว่าพวกเขาจะได้รับ “ทรัพย์สมบัติที่ไม่เน่าเปื่อย ไม่มีมลทิน และไม่ร่วงโรย” ซึ่งถูก “เก็บไว้ในสวรรค์” สำหรับพวกเขา. (1 เปโตร 1:3, 4) ช่างเป็นทรัพย์ที่ล้ำค่าจริง ๆ!
อย่างไรก็ตาม เรื่องการปกครองนี้ได้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาข้อหนึ่ง นั่นคือ ถ้าผู้ที่เกิดใหม่จะปกครองเป็นกษัตริย์ในสวรรค์ แล้วใครคือผู้ที่อยู่ใต้การปกครองของพวกเขา? จะมีการพิจารณาคำถามนี้ในบทความถัดไป.
[ภาพหน้า 10]
เปาโลกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับการรับเป็นบุตร?
-