-
การรู้จักบังคับตน—ทำไมจึงสำคัญมาก?หอสังเกตการณ์ 1991 | พฤศจิกายน 15
-
-
การรู้จักบังคับตน—ทำไมจึงสำคัญมาก?
“โดยการที่ท่านทั้งหลายมีส่วนตอบรับความพยายามอย่างจริงจังทุกอย่าง จงเพิ่มความเชื่อของท่านด้วยคุณความดี เพิ่มคุณความดีด้วยความรู้ เพิ่มความรู้ด้วยการรู้จักบังคับตน.”—2 เปโตร 1:5, 6, ล.ม.
1. มีการแสดงอะไรที่น่าทึ่งในศตวรรษที่ 19 เกี่ยวข้องกับการรู้จักควบคุมร่างกาย?
ไม่ต้องสงสัย การควบคุมร่างกายอย่างน่าทึ่งที่สุดรายหนึ่งได้แสดงโดยชาร์ลส์ บลอนดีนในครึ่งหลังศตวรรษที่ 19. ตามรายงานข่าวชิ้นหนึ่งแจ้งว่า บลอนดีนข้ามน้ำตกไนแอการาหลายครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 1859 ด้วยการไต่บนเส้นเชือกยาว 340 เมตรและสูงเหนือพื้นผิวน้ำ 50 เมตร. หลังจากนั้น เขาทำเช่นนั้นโดยแสดงความสามารถในท่าต่าง ๆ แต่ละครั้งไม่ซ้ำแบบ เช่น เอาผ้าผูกตา อยู่ในกระสอบ ใช้มือเข็นรถเข็นล้อเดียว เดินโดยใช้ไม้ต่อขา และท่าที่มีคนขี่หลัง. การแสดงอีกคราวหนึ่งเขายืนบนไม้ต่อขาแล้วตีลังกาบนเส้นเชือกที่ขึงอยู่เหนือพื้นดินถึง 52 เมตร. ที่จะทรงตัวอยู่ในท่าเช่นนั้นได้ต้องมีการควบคุมบังคับร่างกายตัวเองอย่างเข้มงวดจริง ๆ. เพราะเขามีความอุตสาหะพยายามมากมายเช่นนี้ บลอนดีนจึงรวยทั้งชื่อเสียงและเงินรางวัล.
2. กิจกรรมอื่น ๆ อะไรอีกซึ่งจำต้องควบคุมการเคลื่อนไหวทางกาย?
2 ขณะที่มีเพียงไม่กี่คนสามารถเลียนแบบการแสดงนั้นได้ แต่ความสำคัญของการรู้จักบังคับร่างกายในการฝึกฝนเพื่อเป็นมืออาชีพหรือในด้านการกีฬานั้นก็ประจักษ์แจ้งแก่พวกเราทุกคน. ยกตัวอย่าง เมื่อพรรณนาความสามารถของวลาดิมีร์ ฮอโรวิตซ์ นักเปียโนชื่อดังที่เสียชีวิตไปแล้ว นักดนตรีคนหนึ่งกล่าวว่า “สิ่งที่ประทับใจผมคือ สมรรถนะในการควบคุมอันแน่วแน่ . . . สมรรถนะในการนำพลังออกมาใช้อย่างไม่น่าเชื่อ.” อีกรายงานหนึ่งพูดเกี่ยวกับฮอโรวิตซ์ว่า “แปดทศวรรษแห่งการพลิ้วนิ้วมือด้วยการควบคุมที่เยี่ยมยอด.”
3. (ก) การควบคุมอะไรที่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และข้อนี้ได้รับการนิยามไว้อย่างไร? (ข) ภาษากรีกในพระคัมภีร์ที่ได้รับการแปล “การรู้จักบังคับตน” นั้นหมายถึงอะไร?
3 จำเป็นต้องใช้ความพยายามเต็มที่เพื่อฝึกฝนทักษะดังกล่าว. อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญและเป็นการท้าทายมากกว่านั้นคือการรู้จักบังคับตน. คำนี้ได้รับการนิยามว่า “การเหนี่ยวรั้งความหุนหันพลันแล่น, อารมณ์หรือความปรารถนาของตัวเอง.” ในคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก คำที่นำมาแปลเป็นการรู้จักบังคับตนที่ 2 เปโตร 1:6 และที่ข้ออื่น ๆ ได้รับการนิยามว่า “คุณความดีของผู้ที่ควบคุมความปรารถนาและตัณหาของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางความรู้สึก.” การรู้จักบังคับตนของแต่ละคนนั้นถึงกับเรียกได้ว่า “สุดยอดแห่งความสำเร็จของมนุษย์.”
เหตุผลที่การรู้จักบังคับตนเป็นเรื่องสำคัญมาก
4. การไม่รู้จักบังคับตนได้เก็บเกี่ยวผลเสียอะไรบ้าง?
4 เมื่อขาดการรู้จักบังคับตนเสียแล้ว ผลที่ตามมาช่างร้ายกาจจริง ๆ! ความเดือดร้อนหลายอย่างที่เกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน หลายครั้งมูลเหตุเบื้องต้นคือขาดการรู้จักบังคับตน. จริง ๆ แล้ว เราอยู่ใน “ยุคสุดท้าย” เมื่อ ‘วิกฤตกาลซึ่งยากจะรับมือนั้นมาถึงพวกเราแล้ว.’ มนุษย์ “ไม่มีสติรั้งใจ” บ่อยครั้งสืบเนื่องมาจากความมักโลภ ลักษณะหนึ่งอันส่อถึงความโลภคือ “เป็นคนรักความสนุกสนานมากกว่ารักพระเจ้า.” (2 ติโมเธียว 3:1-5) ความจริงที่ให้สติเช่นนี้เราเห็นประจักษ์ชัดจากการขับกว่า 40,000 คนที่ทำผิดให้พ้นจากสัมพันธภาพกับประชาคมคริสเตียนในช่วงปีรับใช้ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เนื่องจากการประพฤติผิดร้ายแรง. นอกจากจำนวนนี้ มีอีกหลายคนได้รับการว่ากล่าวตักเตือนเพราะการผิดศีลธรรมทางเพศเป็นส่วนใหญ่ แต่ทุกรายก็เพราะไม่ได้สำแดงการรู้จักบังคับตน. อนึ่ง ข้อเท็จจริงที่ให้สติคือผู้ปกครองบางคนที่ทำงานมานานปีกลับสูญเสียสิทธิพิเศษของตนฐานะผู้ดูแลก็ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน.
5. อาจยกอุทาหรณ์อะไรเพื่อชี้ถึงความสำคัญของการรู้จักบังคับตน?
5 ความสำคัญของการรู้จักบังคับตนนั้นอาจใช้รถยนต์เป็นตัวอย่างประกอบ. รถยนต์มีสี่ล้อที่ทำให้รถเคลื่อนที่ได้ มีเครื่องยนต์ที่มีกำลังดันให้ล้อรถหมุนไปได้อย่างรวดเร็ว และเบรกที่ทำให้รถหยุดได้. แต่อาจเกิดความหายนะได้หากไม่มีคนนั่งขับตัดสินใจให้ล้อเหล่านั้นหันไปทิศทางไหน จะไปเร็วแค่ไหน และจะหยุดเมื่อไร โดยการควบคุมพวงมาลัย คันเร่ง และเบรก.
6. (ก) มาตรฐานอะไรเกี่ยวกับความรักที่อาจนำมาใช้กับการรู้จักบังคับตน? (ข) เราต้องจดจำคำแนะนำข้อไหนอีกไว้เสมอ?
6 คงเป็นการยากที่จะตอกย้ำมากเกินไปถึงความสำคัญของการรู้จักบังคับตน. สิ่งที่อัครสาวกเปาโลได้กล่าวใน 1 โกรินโธ 13:1-3 เกี่ยวกับความสำคัญของความรักก็อาจนำมาใช้กับการรู้จักบังคับตนได้เช่นกัน. ไม่ว่าเราจะเป็นนักพูดที่พูดคล่องเท่าไรต่อหน้าสาธารณชน ไม่ว่าเรามีความรู้และความเชื่อมากเท่าไรเพราะได้เอาใจใส่ศึกษาเป็นประจำ ไม่ว่าเราทำการใด ๆ อันเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้อื่น ถ้าเราไม่รู้จักบังคับตน ทุกอย่างดังกล่าวก็หาประโยชน์อะไรมิได้. พวกเราควรระลึกถึงคำพูดของเปาโลที่ว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนได้รับรางวัลมีแต่คนเดียว? เหตุฉะนั้น จงวิ่งเอารางวัลให้ได้. ฝ่ายคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันเพื่อเอาชนะก็ระวังรักษาตัวทุกอย่าง.” (1 โกรินโธ 9:24, 25) คำตักเตือนของเปาโลใน 1 โกรินโธ 10:12 ช่วยเราสำแดงการรู้จักบังคับตนในทุกสิ่ง: “เหตุฉะนั้น คนที่คิดว่าตัวมั่นคงดีอยู่แล้วจงระวังให้ดี กลัวว่าจะหลงผิดไป.”
ตัวอย่างที่เป็นข้อเตือนใจ
7. (ก) การไม่รู้จักบังคับตนเป็นเหตุให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ดิ่งลงสู่ความเสื่อมอย่างไร? (ข) คัมภีร์ไบเบิลให้ตัวอย่างอื่น ๆ อะไรบ้างเกี่ยวข้องกับการไม่รู้จักบังคับตนของผู้คนสมัยก่อน?
7 โดยการยอมให้อารมณ์ควบคุมการกระทำของตนแทนการใช้เหตุผล อาดามไม่ได้สำแดงการรู้จักบังคับตน. ผลที่ตามมาคือ “ความผิดได้เข้ามาในโลกและความตายก็เกิดจากความผิดนั้น.” (โรม 5:12) ฆาตกรรมรายแรกก็เนื่องมาจากการขาดการรู้จักบังคับตนเช่นกัน เพราะพระเจ้ายะโฮวาได้ทรงเตือนคายินทำนองนี้: “เจ้าโกรธเคืองหน้าบูดบึ้งอยู่ทำไม? บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้นให้ได้” โดยเหตุที่คายินไม่เอาชนะบาป เขาจึงได้ฆ่าเฮเบลน้องชายของตนเสีย. (เยเนซิศ 4:6-12, ฉบับแปลใหม่) ภรรยาของโลตก็เช่นกันไม่ได้บังคับตนเอง. แค่การล่อใจให้เหลียวหลังนางก็อดใจไม่ได้. ที่นางขาดการรู้จักบังคับตนเช่นนั้นทำให้นางเสียอะไร? นางเสียชีวิต!—เยเนซิศ 19:17, 26.
8. ประสบการณ์ของผู้ชายสามคนในครั้งกระโน้นคือใครบ้างซึ่งเป็นเครื่องเตือนสติแก่เราถึงความจำเป็นที่ต้องรู้จักบังคับตน?
8 รูเบ็น ลูกหัวปีของยาโคบเสียสิทธิบุตรหัวปีไปก็เพราะเขาขาดการรู้จักบังคับตน. เขาได้ล่วงล้ำเข้าไปถึงเตียงนอนของบิดาและร่วมหลับนอนกับนางบำเรอคนหนึ่งของยาโคบ. (เยเนซิศ 35:22; 49:3, 4; 1 โครนิกา 5:1) เพราะเหตุที่โมเซไม่ควบคุมอารมณ์ข่มความโกรธเมื่อพวกยิศราเอลทดลองท่านด้วยการพร่ำบน โอดครวญ และเป็นกบฏ ท่านจึงขาดสิทธิพิเศษไม่ได้เข้าในแผ่นดินแห่งคำสัญญาอันเป็นสุดยอดความปรารถนา. (อาฤธโม 20:1-13; พระบัญญัติ 32:50-52) แม้กษัตริย์ดาวิดที่ซื่อสัตย์ผู้กระทำ ‘ตามชอบพระทัยของพระองค์’ ก็ยังถลำลึกในความทุกข์เดือดร้อนเนื่องจากมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านขาดการรู้จักบังคับตนเอง. (1 ซามูเอล 13:14; 2 ซามูเอล 12:7-14) จากตัวอย่างต่าง ๆ ดังกล่าวเราจึงได้คำเตือนสติอันเป็นประโยชน์ที่ว่าเราต้องสำแดงการรู้จักบังคับตน.
สิ่งที่เราต้องควบคุม
9. ข้อคัมภีร์อะไรบ้างชี้ถึงความสำคัญของการรู้จักบังคับตน?
9 ก่อนอื่น การรู้จักบังคับตนเกี่ยวข้องกับความคิดและอารมณ์ ของเรา. สิ่งเหล่านี้มักจะนำขึ้นมาอ้างถึงบ่อย ๆ ในพระคัมภีร์โดยใช้ถ้อยคำเช่น “หัวใจ” และ “ไต” เชิงเปรียบเทียบ. สิ่งซึ่งเราจดจ่อใคร่ครวญนั้นอาจส่งเสริมเราหรือขัดขวางเราในความบากบั่นของเราที่จะกระทำให้ชอบพระทัยพระยะโฮวา. การรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเชื่อฟังคำแนะนำอันมีหลักจากคัมภีร์ไบเบิล ดังปรากฏในพระธรรมฟิลิปปอย 4:8 ที่ให้ใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือและสิ่งที่ทรงคุณ. ดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญได้แสดงความรู้สึกทำนองนี้ในคำอธิษฐานที่ว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา ผู้เป็นศิลา และเป็นผู้ทรงไถ่โทษของข้าพเจ้า ขอให้ . . . ความคิดในใจของข้าพเจ้าเป็นที่ชอบต่อพระเนตรของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 19:14) พระบัญญัติประการที่สิบ—อย่าโลภสิ่งของของเพื่อนบ้าน—เรียกร้องให้คนเราควบคุมความคิด. (เอ็กโซโด 20:17) พระเยซูทรงชี้ถึงความสำคัญของการควบคุมความคิดและอารมณ์ของเราเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดแลดูผู้หญิงด้วยใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว.”—มัดธาย 5:28.
10. คัมภีร์ข้อไหนเน้นความสำคัญของการควบคุมคำพูดของเรา?
10 อนึ่ง การรู้จักบังคับตนรวมถึงถ้อยคำ การพูดจาปราศรัย ของเราด้วย. ตามจริงแล้ว มีข้อคัมภีร์มากมายที่แนะนำเราให้ควบคุมการใช้ลิ้น. เพื่อให้ตัวอย่าง: “เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตในสวรรค์ และเจ้าอยู่บนพื้นแผ่นดินโลก. เหตุฉะนั้นเจ้าจงพูดให้น้อยคำ.” (ท่านผู้ประกาศ 5:2) “การพูดมากมักมีความผิด แต่ผู้ที่ยับยั้งริมฝีปากของตนย่อมประพฤติเป็นคนมีปัญญา.” (สุภาษิต 10:19) “อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากของท่านเลย แต่ให้ใช้คำดีตามแต่จะต้องการซึ่งเป็นที่ให้เกิดความจำเริญขึ้น . . . การทะเลาะเถียงกัน การพูดเสียดสีกัน . . . จงให้อยู่ห่างจากท่านทั้งหลายเถิด.” แล้วเปาโลได้ให้คำแนะนำต่อไปอีกว่าให้เราเลิกนิสัยพูดโง่ ๆ ไม่เป็นเรื่องและการพูดตลกลามกเสีย.—เอเฟโซ 4:29, 31; 5:3, 4.
11. ยาโกโบพูดไว้อย่างไรเกี่ยวกับปัญหาการบังคับลิ้น?
11 ยาโกโบน้องชายร่วมมารดาของพระเยซูตำหนิการพูดพล่อยและชี้ให้เห็นว่าการควบคุมลิ้นนั้นยากสักเพียงไร. ท่านพูดดังนี้: “ลิ้นก็เหมือนกันเป็นอวัยวะเล็ก ๆ แต่ก็คุยโต. ดูซิ! ไฟเพียงน้อยนิดก็พอจะทำให้ป่าไม้อันกว้างใหญ่ไพศาลลุกไหม้! นั้นแหละ ลิ้นก็เป็นไฟ. ลิ้นเป็นโลกแห่งความอธรรมท่ามกลางอวัยวะทั้งหลายของเรา เพราะมันทำให้ทั้งร่ายกายด่างพร้อยไป และทำให้วัฏจักรชีวิตติดไฟและติดไฟโดยกิเฮนนา. ด้วยว่าสัตว์ป่าทุกชนิด เช่นเดียวกับนกและสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ทะเลก็ฝึกให้เชื่องได้ และทำให้เชื่องได้โดยมนุษย์. แต่ลิ้นนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดทำให้เชื่องได้. มันเป็นสิ่งที่บังคับไม่อยู่ ก่อให้เกิดความเสียหาย เต็มไปด้วยพิษที่ทำให้ถึงตาย. ด้วยลิ้นนั้นเราสรรเสริญพระยะโฮวาพระบิดา และกระนั้นด้วยลิ้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ที่เกิดมา ‘ตามฉายาของพระเจ้า.’ คำสรรเสริญและคำแช่งด่าออกมาจากปากเดียวกัน. พี่น้องของข้าพเจ้า ไม่สมควรให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเช่นนี้ต่อไป.”—ยาโกโบ 3:5-10, ล.ม.
12, 13. มีข้อคัมภีร์อะไรบ้างที่ชี้ถึงความสำคัญของการควบคุมการกระทำและความประพฤติ?
12 แน่นอน การรู้จักบังคับตนรวมถึงการกระทำ ของเราด้วย. ขอบเขตหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องมีการรู้จักบังคับตนอย่างมากนั้นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับเพศตรงกันข้าม. คริสเตียนถูกกำชับว่า “การล่วงประเวณีนั้นจงหลีกหนีเสีย.” (1 โกรินโธ 6:18) ฝ่ายสามีได้รับคำแนะนำให้จำกัดความสนใจทางเพศไว้เฉพาะกับภรรยาของตน คำตักเตือนส่วนหนึ่งบอกว่า “จงดื่มน้ำจากถังของเจ้าเอง และน้ำอันไหลซึมที่บ่อของเจ้าเอง.” (สุภาษิต 5:15-20) เรารับคำบอกอย่างชัดเจนว่า “คนล่วงประเวณีนั้นพระเจ้าจะทรงพิพากษา.” (เฮ็บราย 13:4) โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเหล่านั้นที่จะรักษาของประทานอันได้แก่ความเป็นโสดจำต้องมีการรู้จักบังคับตน.—มัดธาย 19:11, 12; 1 โกรินโธ 7:37.
13 พระเยซูทรงสรุปเรื่องทั้งหมดอันเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติของเราต่อเพื่อนมนุษย์ในคราวที่พระองค์ตรัสซึ่งโดยทั่วไปเรียกกันว่า “กฎทอง” ดังนี้: “เหตุฉะนั้น สิ่งสารพัดซึ่งท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่ท่าน จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน เพราะว่าพระบัญญัติและคำของศาสดาพยากรณ์สอนดังนั้น.” (มัดธาย 7:12) จริงทีเดียว จำต้องสำแดงการรู้จักบังคับตนเพื่อจะไม่ปล่อยให้ความโน้มเอียงในทางเห็นแก่ตัวหรือแรงกดดันจากภายนอกหรือการล่อใจใด ๆ เป็นสาเหตุให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่นต่างไปจากที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเรา.
14. พระวจนะของพระเจ้าได้แนะนำไว้อย่างไรในเรื่องการกินการดื่ม?
14 ทีนี้ก็มาถึงเรื่องการรู้จักบังคับตนเกี่ยวกับการกิน การดื่ม. พระคำของพระเจ้าแนะนำไว้อย่างฉลาดดังนี้: “อย่ามั่วสุมกับนักเสพเหล้าองุ่นหรือกับคนกินเนื้อเติบ.” (สุภาษิต 23:20) โดยเฉพาะในสมัยนี้ พระเยซูทรงเตือนไว้ว่า “จงระวังตัวให้ดี เกลือกว่าใจของท่านจะล้นไปด้วยอาการดื่มเหล้าองุ่นมากและด้วยการเมา และด้วยคิดกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านดุจบ่วงแร้วเมื่อท่านไม่ทันคิด.” (ลูกา 21:34, 35) ใช่แล้ว การรู้จักบังคับตนเกี่ยวข้องกับความคิดนึกและอารมณ์ความรู้สึก รวมทั้งคำพูดและการกระทำของเราด้วย.
เหตุผลที่การรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งท้าทาย
15. พระคัมภีร์ชี้ให้เห็นอย่างไรถึงสภาพที่เป็นจริงเกี่ยวกับการขัดขวางของซาตานที่มีต่อคริสเตียนซึ่งสำแดงการรู้จักบังคับตน?
15 การรู้จักบังคับตนมิใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ เพราะ ตามที่คริสเตียนทุกคนทราบ เราต้องสู้กับพลังสำคัญถึงสามอย่างที่ขัดขวางต้านทานการที่เราจะสำแดงการรู้จักบังคับตน. เริ่มต้นด้วยซาตานกับปีศาจบริวารของมัน. คัมภีร์ไบเบิลชี้ชัดเจนถึงสภาพความเป็นจริงแห่งวิญญาณชั่วเหล่านี้. เช่นเราอ่านว่า “ซาตานเข้าสิงอยู่ในใจ” ของยูดาก่อนเขาจะออกไปทรยศต่อพระเยซู. (โยฮัน 13:27) อัครสาวกเปโตรถามอะนาเนียดังนี้: “เหตุไฉนซาตานจึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยมุสาวาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์?” (กิจการ 5:3) นอกจากนั้น เปโตรเตือนสติอย่างเหมาะสมยิ่งที่ว่า “จงรักษาสติของท่านไว้ จงระวังระไวให้ดี พญามาร ปรปักษ์ของท่านทั้งหลาย เที่ยวเดินไปเหมือนสิงโตแผดเสียงร้อง เสาะหาคนที่มันจะขย้ำกลืนได้.”—1 เปโตร 5:8, ล.ม.
16. ทำไมคริสเตียนจึงต้องสำแดงการรู้จักบังคับตนเกี่ยวข้องกับโลกนี้?
16 นอกจากนั้น เมื่อบากบั่นพยายามจะแสดงการรู้จักบังคับตน คริสเตียนต้องต่อสู้กับโลกนี้ซึ่งอยู่ “ในอำนาจของตัวชั่วร้าย” ซาตานพญามาร. เกี่ยวกับเรื่องนี้ อัครสาวกโยฮันเขียนไว้ว่า “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก. ถ้าคนใดรักโลก ความรักต่อพระบิดามิได้อยู่ในคนนั้นเลย เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือความใคร่ของเนื้อหนังและความใคร่ของตา และการอวดอ้างถือตัวในชาตินี้มิได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก. และโลกนี้กับความใคร่ของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าคงจะตั้งอยู่เป็นนิตย์.” นอกเสียจากว่าเราสำแดงการรู้จักบังคับตนและยืนหยัดต้านทานแนวโน้มใด ๆ ที่จะรักโลก มิฉะนั้นแล้วเราจะตกอยู่ภายใต้แรงชักจูงของโลก เหมือนเดมาเพื่อนร่วมงานแต่ก่อนของเปาโลเคยเพลี่ยงพล้ำไป.—1 โยฮัน 2:15-17; 5:19; 2 ติโมเธียว 4:10.
17. เราเกิดมาพร้อมด้วยปัญหาอะไรเกี่ยวข้องกับการรู้จักบังคับตน?
17 พวกเราในฐานะที่เป็นคริสเตียนย่อมจำเป็นต้องมีการรู้จักบังคับตน หากเราจะต่อสู้กับความอ่อนแอแห่งเนื้อหนังของตนเองและการพลาดผิดต่าง ๆ ได้สำเร็จ. เราไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่า “ความคิดในใจของมนุษย์นั้นล้วนแต่ชั่วตั้งแต่เด็กมา.” (เยเนซิศ 8:21) เหมือนกษัตริย์ดาวิด ‘เราเกิดมาในความอสัตย์อธรรม และมารดาตั้งครรภ์คลอดเราในความบาป.’ (บทเพลงสรรเสริญ 51:5) เด็กแรกเกิดไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการรู้จักบังคับตน. เมื่อทารกต้องการบางสิ่ง เขาจะร้องจนกว่าได้รับสิ่งที่ต้องการ. รายงานหนึ่งพูดเรื่องการอบรมเด็กว่า ‘การหาเหตุผลของเด็กต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับวิธีของผู้ใหญ่. เด็กนึกถึงแต่ตัวเองจึงมักจะไม่ตอบสนองการจูงใจอย่างมีเหตุผลเป็นส่วนใหญ่ เพราะเด็กไม่สามารถ “เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง.” จริงทีเดียว “ความโง่เขลาผูกพันอยู่ในจิตใจของเด็ก.” อย่างไรก็ตาม ด้วยการใช้ ‘ไม้เรียวตีสอน’ เด็กเรียนไปทีละขั้นว่ามีกฎต่าง ๆ ซึ่งเขาต้องเชื่อฟังและพึงต้องหักห้ามการเห็นแก่ตัว.—สุภาษิต 22:15.
18. (ก) ตามที่พระเยซูตรัสไว้ ความโน้มเอียงในทางใดมีประจำในหัวใจโดยนัย? (ข) เปาโลกล่าวอย่างไรซึ่งแสดงว่าท่านตระหนักถึงปัญหาของการสำแดงการรู้จักบังคับตน?
18 ถูกแล้ว แนวโน้มในทางเห็นแก่ตัวอันเป็นสันดานโดยกำเนิดนับว่าเป็นสิ่งท้าทายสำหรับเราเมื่อถึงคราวจะต้องมีการสำแดงการรู้จักบังคับตนเอง. ความโน้มเอียงดังกล่าวมีอยู่ภายในหัวใจโดยนัย ซึ่งพระเยซูตรัสว่า “ด้วยว่าความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน และผิดผัวเมียกัน การเล่นชู้กัน การลักขโมยกัน การเป็นพยานเท็จ การกล่าวคำหมิ่นประมาทก็ออกมาแต่ [หัว] ใจ.” (มัดธาย 15:19) เพราะเหตุนี้ เปาโลจึงเขียนว่า “ด้วยการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำข้าพเจ้ายังทำอยู่. ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทำ ก็มิใช่ข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่ความผิดซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ.” (โรม 7:19, 20) อย่างไรก็ดี ก็มิใช่ว่าจะสิ้นหวัง เพราะเปาโลได้เขียนอีกด้วยว่า “แต่ข้าพเจ้าทุบตีร่างกายของข้าพเจ้าและจูงมันเยี่ยงทาส เพื่อว่าหลังจากข้าพเจ้าได้ประกาศแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะไม่กลายเป็นคนที่ไม่ได้ความพอพระทัยในทางใดทางหนึ่ง.” การที่เปาโลทุบตีร่างกายตัวเองนั้นท่านต้องสำแดงการรู้จักบังคับตน.—1 โกรินโธ 9:27, ล.ม.
19. เหตุใดเปาโลสามารถกล่าวได้เต็มที่ว่าท่านทุบตีร่างกายตัวเอง?
19 เปาโลสามารถกล่าวได้อย่างถูกต้องว่าท่านทุบตีร่างกายตัวเอง เพราะการสำแดงการรู้จักบังคับตนนั้นเป็นเรื่องยากมาก เนื่องด้วยองค์ประกอบหลายอย่างด้านร่างกาย เช่น ความดันโลหิตสูง ประสาทไม่ดี นอนไม่พอ ปวดศีรษะ อาหารไม่ย่อย และอื่น ๆ. ในบทความถัดไปเราจะพิจารณาคุณสมบัติและสิ่งสนับสนุนต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเราในการสำแดงการรู้จักบังคับตน.
คุณจำได้ไหม?
▫ เหตุใดการรูจักบังคับตนจึงเป็นสิ่งสำคัญ?
▫ มีตัวอย่างอะไรบ้างเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่ประสบความเสียหายเนื่องจากเขาขาดการรู้จักบังคับตน?
▫ เราต้องสำแดงการรู้จักบังคับตนในขอบเขตใดบ้าง?
▫ ศัตรูสามอย่างอะไรบ้างที่เป็นเหตุทำให้เป็นสิ่งยากที่เราจะสำแดงการรู้จักบังคับตน?
-
-
การพัฒนาการรู้จักบังคับตนหอสังเกตการณ์ 1991 | พฤศจิกายน 15
-
-
การพัฒนาการรู้จักบังคับตน
“ผลแห่งพระวิญญาณคือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดกลั้นไว้นาน ความปรานี ความดี ความเชื่อ ความอ่อนสุภาพ การรู้จักบังคับตน. การเช่นนั้นไม่มีพระบัญญัติห้ามเลย.”—ฆะลาเตีย 5:22, 23, ล.ม.
1. ใครเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการรู้จักบังคับตน ดังเห็นได้จากคัมภีร์ข้อใดบ้าง?
พระเจ้ายะโฮวาและพระเยซูคริสต์ทรงวางตัวอย่างอันดีเลิศแก่พวกเราในด้านการรู้จักบังคับตน. นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มไม่เชื่อฟังในสวนเอเดนเป็นต้นมา พระยะโฮวาก็ยังทรงไว้ซึ่งคุณลักษณะนี้ไม่เปลี่ยนแปลง. (เทียบกับยะซายา 42:14.) เก้าครั้งในคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเราอ่านว่าพระองค์ “ทรงอดพระทัยได้นาน.” (เอ็กโซโด 34:6) ทั้งนี้ต้องอาศัยการรู้จักบังคับตน. และเป็นที่แน่นอนว่าพระบุตรของพระเจ้าได้สำแดงการรู้จักบังคับพระองค์เองอย่างดีเยี่ยม เพราะ “เมื่อพระองค์ถูกว่า พระองค์ก็ไม่ทรงด่าตอบ.” (1 เปโตร 2:23, ล.ม.) กระนั้น พระเยซูจะสามารถทูลขอพระบิดาทางภาคสวรรค์สนับสนุนพระองค์โดย “ทูตสวรรค์กว่าสิบสองกอง” ก็ได้.—มัดธาย 26:53.
2. เรามีตัวอย่างที่ดีอะไรบ้างในคัมภีร์ไบเบิลในเรื่องมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แต่ก็ได้แสดงการรู้จักบังคับตน?
2 อนึ่ง เรามีตัวอย่างดี ๆ บางรายในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งกล่าวถึงการการรู้จักบังคับตนของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์. เช่น คุณสมบัติข้อนี้ได้ปรากฏให้เห็นขณะเกิดเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของโยเซฟ บุตรชายยาโคบบรรพชนผู้อาวุโส. โยเซฟได้สำแดงการรู้จักบังคับตนเองเพียงใดเมื่อภรรยาโพติฟาพยายามยั่วยวนท่าน! (เยเนซิศ 39:7-9) และตัวอย่างที่ดีของชายหนุ่มชาวฮีบรูสี่คนที่สำแดงการรู้จักบังคับตนโดยปฏิเสธการรับประทานอาหารอันโอชะที่กษัตริย์บาบูโลนเสนอให้ เนื่องจากข้อจำกัดที่กำหนดไว้ในบัญญัติของโมเซ.—ดานิเอล 1:8-17.
3. ใครบ้างเป็นที่รู้จักกันในด้านความประพฤติที่ดี เห็นได้จากหลักฐานอะไร?
3 สำหรับตัวอย่างการรู้จักบังคับตนในสมัยปัจจุบัน เราสามารถชี้ไปที่พยานพระยะโฮวาโดยส่วนรวม. พยานพระยะโฮวาสมควรได้รับคำชม ตามที่สารานุกรมนิว คาทอลิก ยกย่องไว้ว่า—คนเหล่านี้เป็น “กลุ่มหนึ่งในโลกผู้มีความประพฤติเยี่ยมยอด.” อาจารย์สอนมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์คนหนึ่งบอกว่า “พยานฯ ปฏิบัติเคร่งครัดตามความรู้ที่เขาเรียนจากพระคัมภีร์.” เกี่ยวกับการประชุมใหญ่ซึ่งพยานพระยะโฮวาได้จัดขึ้นที่กรุงวอร์ซอ ปี 1989 นักข่าวชาวโปแลนด์รายงานว่า “ประชาชน 55,000 คน ไม่สูบบุหรี่แม้แต่มวนเดียวตลอดสามวัน! . . . การแสดงถึงระเบียบวินัยเหนือชั้นเช่นนี้ประทับใจข้าพเจ้าและทำให้ข้าพเจ้านึกชมเชยแกมความรู้สึกครั่นคร้าม.”
การเกรงกลัวพระเจ้าและเกลียดสิ่งชั่ว
4. หนึ่งในบรรดาสิ่งที่ช่วยเหลือที่สำคัญยิ่งต่อการรู้จักบังคับตนได้แก่อะไร?
4 สิ่งส่งเสริมที่วิเศษยิ่งประการหนึ่งในการพัฒนาการรู้จักบังคับตนนั้นคือความยำเกรงพระเจ้า ความกลัวที่เป็นประโยชน์ว่าจะทำสิ่งใด ๆ อันยังความไม่พอพระทัยมาสู่พระบิดาฝ่ายสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยความรัก. ความกลัวพระเจ้าด้วยใจเคารพยำเกรงนั้นสำคัญขนาดไหนสำหรับเราย่อมเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้หลายครั้งหลายหน. ในคราวที่อับราฮามจวนจะถวายยิศฮาคเป็นบูชายัญอยู่แล้ว พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าอย่าทำอันตรายแก่ลูกชายนั้นเลย เพราะเดี๋ยวนี้เรารู้ว่าเจ้าเกรงกลัวพระเจ้า ด้วยเจ้ามิได้หวงลูกคนเดียวของเจ้าไว้จากเรา.” (เยเนซิศ 22:12) ไม่สงสัยเลยว่าตอนนั้นคงต้องมีความกดดันทางอารมณ์อย่างรุนแรง ดังนั้น อับราฮามคงต้องสำแดงการรู้จักบังคับตนอย่างมากที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าถึงขั้นหยิบมีดขึ้นมาหมายจะฆ่ายิศฮาคบุตรชายสุดที่รักของตน. ใช่แล้ว ความเกรงกลัวพระเจ้าช่วยเราให้สำแดงการรู้จักบังคับตน.
5. การชังความชั่วมีบทบาทอย่างไรต่อการรู้จักบังคับตน?
5 สิ่งที่เกี่ยวเนื่องอย่างใกล้ชิดกับความยำเกรงพระยะโฮวาได้แก่การเกลียดสิ่งที่ชั่ว. เราอ่านที่สุภาษิต 8:13 ดังนี้: “ความยำเกรงพระยะโฮวาคือการชังความชั่ว.” ส่วนการเกลียดสิ่งที่ชั่วนั้นช่วยเราให้สำแดงการรู้จักบังคับตน. คัมภีร์ไบเบิลบอกเราครั้งแล้วครั้งเล่าให้เกลียดสิ่งชั่ว. (บทเพลงสรรเสริญ 97:10; อาโมศ 5:14, 15; โรม 12:9) สิ่งชั่วมักจะน่าสนุกเพลิดเพลิน น่าลิ้มน่าลอง เป็นที่ชวนตาชวนใจ เราจึงต้องชังสิ่งนั้นเพื่อเสริมกำลังป้องกันตัวเองไว้จากสิ่งนั้น ๆ. การชังสิ่งชั่วดังกล่าวย่อมเสริมความตั้งใจของเราที่จะสำแดงการบังคับตนเอง และด้วยเหตุนั้น จึงเป็นการป้องกันเราให้พ้นอันตราย.
การรู้จักบังคับตนเป็นแนวทางที่สุขุม
6. ทำไมการยับยั้งความโน้มเอียงในทางที่เห็นแก่ตัวเองโดยการสำแดงการรู้จักบังคับตนจึงเป็นแนวทางอันสุขุม?
6 สิ่งส่งเสริมสำคัญอีกประการหนึ่งเพื่อสำแดงการรู้จักบังคับตนคือ หยั่งรู้ค่าความสุขุมของการแสดงคุณลักษณะนี้ให้ปรากฏ. พระยะโฮวาตรัสสั่งให้เราสำแดงการรู้จักบังคับตนก็เพื่อประโยชน์ของเราเอง. (เทียบกับยะซายา 48:17, 18.) พระวจนะของพระองค์เพียบพร้อมด้วยคำแนะนำมากมายซึ่งแสดงให้เห็นว่า การยับยั้งความโน้มเอียงอันเห็นแก่ตัวโดยการสำแดงการรู้จักบังคับตนนั้นเป็นสิ่งฉลาดสุขุมเพียงไร. เราไม่สามารถหลบหลีกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของพระเจ้าอันเปลี่ยนแปลงมิได้นั้นแล้วรอดตัวไปได้. พระวจนะของพระองค์แจ้งดังนี้: “คนใดหว่านพืชอย่างใดลงก็จะเกี่ยวเก็บผลอย่างนั้น ด้วยว่าผู้ใดที่หว่านสำหรับเนื้อหนังของตนเอง จะเกี่ยวเก็บผลอนิจจังจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ใดหว่านสำหรับพระวิญญาณจะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น.” (ฆะลาเตีย 6:7, 8) ตัวอย่างที่เห็นชัดคือเรื่องการกินการดื่ม. ความเจ็บป่วยหลายอย่างเนื่องมาจากคนเรากินจุหรือดื่มจัด. การปล่อยตัวตามอำเภอใจอย่างเห็นแก่ตัวเช่นนั้นทำให้เราขาดความนับถือตัวเอง. ยิ่งกว่านั้น คนเราไม่สามารถแสดงความเห็นแก่ตัวอยู่ร่ำไปโดยไม่ได้ก่อความเสียหายต่อสายสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับคนอื่น. ที่ร้ายแรงอย่างยิ่งก็คือเมื่อเราขาดการรู้จักบังคับตน สัมพันธภาพระหว่างเรากับพระบิดาฝ่ายสวรรค์ก็พลอยเสียไปด้วย.
7. อะไรคืออรรถบทสำคัญประการหนึ่งของพระธรรมสุภาษิต ดังปรากฏอยู่ในคัมภีร์ข้อไหน?
7 เหตุฉะนั้น เราต้องเฝ้าบอกตัวเองเสมอว่าความเห็นแก่ตัวก่อความเสียหายแก่เรา. อรรถบทที่เด่นของพระธรรมสุภาษิต ซึ่งเน้นเรื่องการมีวินัยกับตัวเอง คือว่าความเห็นแก่ตัวไม่ให้ผลคุ้มค่าและการสำแดงการรู้จักบังคับตนเป็นความฉลาดสุขุม. (สุภาษิต 14:29; 16:32) และเป็นที่น่าสังเกตว่า การมีวินัยกับตัวเองหมายรวมถึงหลายอย่าง ไม่เพียงแต่หลบหลีกความชั่ว. ต้องมีวินัยกับตนเองหรือการรู้จักบังคับตนที่จะกระทำสิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน ซึ่งอาจทำได้ยากเพราะเป็นการฝืนแนวโน้มทางความคิดอันไม่สมบูรณ์ของเรา.
8. ประสบการณ์อะไรชี้ถึงความสำคัญของการรู้จักบังคับตน?
8 ตัวอย่างความสุขุมของการสำแดงการรู้จักบังคับตนคือกรณีของพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งที่ยืนเข้าคิวในธนาคาร แล้วชายคนหนึ่งได้แซงคิวตัดหน้าเขา. แม้พยานฯ รู้สึกเคืองบ้าง แต่เขาก็สำแดงการรู้จักบังคับตน. ในวันเดียวกันเขาต้องไปพบวิศวกรคนหนึ่งเพื่อจะได้ลายเซ็นสำหรับโครงการสร้างหอประชุม. และปรากฏว่าวิศวกรคนนั้นเป็นใคร? ก็ชายที่แซงคิวที่ธนาคารนั่นเอง! วิศวกรคนนั้นไม่เพียงแต่มีอัธยาศัยดี แต่เขาคิดค่าธรรมเนียมจากพยานฯ ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์จากอัตราปกติ. พยานฯ ดีใจเพียงไรที่ตนได้แสดงการรู้จักบังคับตนในเช้าวันนั้นโดยระงับความโกรธเสีย!
9. การทำอะไรที่นับว่าสุขุมเมื่อเราเผชิญปฏิกิริยาหยาบคายในงานประกาศตามบ้านเรือน?
9 หลายครั้งเมื่อเราไปตามบ้านเพื่อประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า หรือเมื่อยืนอยู่ตามมุมถนนด้วยความพยายามจะเร้าความสนใจของผู้คนที่สัญจรไปมาให้รับรู้ข่าวสาร เรามักได้ยินคำพูดว่าร้ายหรือหยาบคาย. แนวทางอันสุขุมเป็นอย่างไร? คำแนะนำข้อนี้แจ้งอยู่ในสุภาษิต 15:1 ว่า “คำตอบอ่อนหวานกระทำให้ความโกรธผ่านพ้นไป.” กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราจำต้องสำแดงการรู้จักบังคับตน. และไม่เฉพาะพยานพระยะโฮวาเท่านั้นที่ได้ประสบคำกล่าวนี้เป็นความจริง แต่คนอื่นเคยประสบเช่นกัน. คุณค่าของการรู้จักบังคับตนในทางบำบัดรักษานั้นนับวันบรรดาแพทย์ที่เชี่ยวชาญต่างก็ตระหนักในเรื่องนี้มากขึ้นทุกที.
ความรักอย่างไม่เห็นแก่ตัวช่วยได้
10, 11. ทำไมความรักเป็นเครื่องช่วยอย่างแท้จริงในการรู้จักบังคับตน?
10 คำพรรณนาของเปาโลเกี่ยวกับความรักที่ 1 โกรินโธ 13:4-8 แสดงว่าอำนาจของความรักสามารถช่วยเราให้สำแดงการรู้จักบังคับตน. “ความรักอดทนนาน.” ที่จะอดทนนานได้ต้องมีการรู้จักบังคับตน. “ความรักไม่อิจฉาริษยาหวงแหน ไม่อวดตัว ไม่พองตัว.” คุณลักษณะแห่งความรักช่วยเราควบคุมความคิดและอารมณ์ของตัวเอง ทั้งจะยับยั้งแนวโน้มใด ๆ ในทางอิจฉาริษยา อวดตัวหรือพองตัว. ความรักกระตุ้นเราให้ประพฤติตรงกันข้าม ทำให้เราเป็นคนอ่อนโยน ถ่อมใจอย่างพระเยซู.—มัดธาย 11:28-30.
11 เปาโลกล่าวต่อไปว่าความรัก “ไม่ประพฤติหยาบโลน.” ต้องรู้จักบังคับตนเช่นกันเพื่อจะประพฤติอย่างสุภาพเรียบร้อยตลอดเวลา. คุณลักษณะของความรักป้องกันเราไว้ห่างจากการโลภ จาก ‘การหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง’ เสียอย่างเดียว. ความรัก “ไม่ปล่อยตัวให้เกิดโทโส.” ช่างง่ายเพียงไรที่จะปล่อยโทโสเข้าครอบงำเพราะสิ่งที่คนอื่นพูดหรือกระทำ! แต่ความรักจะส่งเสริมเราให้รู้จักบังคับตนและไม่พูดหรือทำการใด ๆ ซึ่งเราจะรู้สึกเสียใจภายหลัง. ความรัก “ไม่จดจำความเสียหาย.” ธรรมชาติของมนุษย์มักจะสุมความเจ็บแค้นหรือเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ. แต่ความรักจะช่วยเราลบล้างความคิดดังกล่าวออกจากจิตใจของเรา. ความรัก “ไม่ยินดีในการอธรรม.” การรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจะไม่ยินดีในการอธรรม เช่นภาพลามกหรือละครโทรทัศน์ที่ทำให้คนเลวทราม. นอกจากนั้น ความรักย่อม “ทนรับเอาทุกสิ่ง” และ “อดทนทุกสิ่ง.” จำเป็นต้องใช้การรู้จักบังคับตนเพื่อจะทนกับสิ่งต่าง ๆ ได้ อดทนในความทุกข์ยากหรือภาระผูกพันต่าง ๆ และไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้เราท้อแท้ คิดผูกพยาบาท หรือทำให้เราคิดจะเลิกรับใช้พระยะโฮวา.
12. วิธีหนึ่งซึ่งแสดงถึงการหยั่งรู้ค่าต่อทุกสิ่งที่พระยะโฮวาพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ทรงกระทำนั้นคืออะไร?
12 ถ้าเรารักพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์พร้อมกับหยั่งรู้ค่าอย่างแท้จริงต่อคุณลักษณะต่าง ๆ อันดีเลิศของพระองค์ และขอบคุณพระองค์สำหรับทุกสิ่งที่ทรงกระทำเพื่อเรา เราย่อมต้องการทำให้พระองค์พอพระทัยโดยที่เรารู้จักบังคับตนอยู่เสมอ. อนึ่ง ถ้าเรามีความรักอย่างแท้จริงต่อพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้านายของเรา และหยั่งรู้ค่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเรา เราจะเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ให้ ‘รับเอาหลักทรมานของเราแล้วติดตามพระองค์ไปอย่างไม่ละลด.’ (มาระโก 8:34) เป็นที่แน่นอนว่าการสำแดงการรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเรา. ความรักที่เรามีต่อพี่น้องคริสเตียนชายหญิงจะป้องกันมิให้เราก่อความเจ็บช้ำน้ำใจแก่เขาด้วยการกระทำอันเห็นแก่ตัว.
ความเชื่อและความถ่อมใจช่วย
13. ทำไมความเชื่อสามารถช่วยเราเป็นคนรู้จักบังคับตนได้?
13 เครื่องช่วยสำคัญอีกอย่างหนึ่งเพื่อการสำแดงการรู้จักบังคับตนได้แก่ความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าและคำสัญญาของพระองค์. ความเชื่อจะส่งเสริมเราให้วางใจในพระยะโฮวา และรอเวลากำหนดที่พระองค์จะทรงจัดการกับเรื่องราวต่าง ๆ ให้เรียบร้อย. อัครสาวกเปาโลก็พูดในจุดเดียวกันนี้ที่โรม 12:19 ว่า “ดูก่อนท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น . . . ด้วยมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า [ยะโฮวา, ล.ม.] ตรัสว่า การแก้แค้นนั้นเป็นพนักงานของเรา เราเองจะตอบแทน.’” ในเรื่องนี้ ความถ่อมใจช่วยเราได้เหมือนกัน. ถ้าเราสุภาพอ่อนโยน เราจะไม่หุนหันโกรธง่าย ไม่ว่าเรารับความเสียหายจริง ๆ หรือคิดไปเอง. เราจะไม่ด่วนใช้สิทธิโดยพลการ แต่จะแสดงการรู้จักบังคับตนและเต็มใจคอยท่าพระยะโฮวา.—เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 37:1, 8.
14. ประสบการณ์อะไรแสดงว่าถึงแม้คนที่ขาดการรู้จักบังคับตนก็ยังอาจเรียนรู้ แล้วสำแดงการรู้จักบังคับตนได้?
14 ข้อที่ว่าเราสามารถเรียนการสำแดงการรู้จักบังคับตนนั้นเห็นได้ชัดจากประสบการณ์ของชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนมีอารมณ์รุนแรง. เขาแสดงอารมณ์ร้ายถึงขนาดเมื่อตำรวจได้รับแจ้งให้มาระงับการทะเลาะวิวาทที่ชายคนนี้กับพ่อของเขาก่อเหตุขึ้น เขาชกตำรวจสามนายจนลุกไม่ขึ้นก่อนที่คนอื่นกำราบเขาได้! ต่อมาเขามีโอกาสพบปะพยานพระยะโฮวาแล้วได้เรียนรู้การสำแดงการรู้จักบังคับตน ซึ่งเป็นผลประการหนึ่งแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) เวลานี้ สามสิบปีต่อมา ผู้ชายคนนี้ยังคงปฏิบัติพระยะโฮวาด้วยความซื่อสัตย์.
การรู้จักบังคับตนภายในวงครอบครัว
15, 16. (ก) อะไรจะช่วยสามีให้รู้จักบังคับตน? (ข) การรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะภายใต้สภาพการณ์เช่นไร ดังเห็นได้จากประสบการณ์อะไร? (ค) เหตุใดฝ่ายภรรยาจำต้องสำแดงการรู้จักบังคับตน?
15 การรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งจำเป็นแน่นอนภายในวงครอบครัว. เพื่อสามีจะรักภรรยาของตนเหมือนรักตัวเอง เขาจึงต้องควบคุมความคิด คำพูด และการกระทำของเขาอย่างจริงจัง. (เอเฟโซ 5:28, 29) ใช่แล้ว ฝ่ายสามีต้องรู้จักบังคับตนเพื่อที่จะปฏิบัติตามถ้อยคำของอัครสาวกเปโตรที่ 1 เปโตร 3:7: “ท่านทั้งหลายที่เป็นสามี จงอยู่กับเขาต่อไปในลักษณะเดียวกันตามความรู้.” โดยเฉพาะเมื่อภรรยาไม่มีความเชื่อในพระเจ้า สามีทีมีความเชื่อจะต้องสำแดงการรู้จักบังคับตน.
16 เพื่อให้ตัวอย่างประกอบ: ผู้ปกครองคนหนึ่งมีภรรยาซึ่งไม่เชื่อพระเจ้าแถมมีอารมณ์ร้ายด้วย. กระนั้น สามีได้สำแดงการรู้จักบังคับตน และข้อนี้เป็นประโยชน์แก่ตัวเขามากมายจนแพทย์ประจำตัวพูดกับเขาว่า “จอห์น ถ้าไม่ใช่เพราะคุณมีลักษณะนิสัยเยือกเย็นแต่กำเนิด คุณก็คงยึดถือศาสนาที่บังเกิดผลโน้มน้าวใจจริง ๆ.” ที่จริง เรามีศาสนาที่บังเกิดผลโน้มน้าวใจจริง ๆ เพราะ “พระเจ้าไม่ได้ทรงประทานน้ำใจขลาดกลัว แต่น้ำใจที่มีพลัง มีความรักและมีสติมั่นคงแก่เรา” ซึ่งช่วยเราสำแดงการรู้จักบังคับตน. (2 ติโมเธียว 1:7, ล.ม.) นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ฝ่ายภรรยาจำต้องมีการรู้จักบังคับตนเพื่อจะเป็นคนนอบน้อมเชื่อฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสามีไม่มีความเชื่อในพระเจ้า.—1 เปโตร 3:1-4.
17. ทำไมการรู้จักบังคับตนมีบทบาทสำคัญในสายสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับลูก?
17 อนึ่ง การรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับลูก. ที่จะมีบุตรที่รู้จักบังคับตน ก่อนอื่นบิดามารดาต้องวางตัวอย่างที่ดีเสียเอง. ครั้นบุตรจำต้องรับการว่ากล่าวตีสอนในทางใดทางหนึ่ง ก็ควรว่ากล่าวด้วยความเยือกเย็นสุขุมและด้วยความรัก ซึ่งต้องอาศัยการรู้จักบังคับตนโดยแท้. (เอเฟโซ 6:4; โกโลซาย 3:21) ทีนี้ เมื่อบุตรจะแสดงว่าเขารักบิดามารดาจริง ๆ เขาก็ต้องเชื่อฟัง และแน่นอน การเชื่อฟังก็ต้องรู้จักบังคับตน.—เอเฟโซ 6:1-3; เทียบกับ 1 โยฮัน 5:3.
การใช้เครื่องช่วยที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้
18-20. การจัดเตรียมฝ่ายวิญญาณสามอย่างอะไรบ้างซึ่งเราต้องฉวยเอาเป็นประโยชน์เพื่อปลูกฝังคุณลักษณะต่าง ๆ ซึ่งช่วยเราสำแดงการรู้จักบังคับตน?
18 ที่เราจะวัฒนาขึ้นในการเกรงกลัวพระเจ้า ในความรักแบบไม่เห็นแก่ตัว ในความเชื่อศรัทธา ในการเกลียดการชั่ว และรู้จักบังคับตน เราจะต้องฉวยประโยชน์จากการช่วยเหลือทุกอย่างที่พระเจ้ายะโฮวาได้ทรงจัดเตรียมไว้. ขอให้เราพิจารณาการจัดเตรียมทางด้านวิญญาณสามอย่างซึ่งสามารถช่วยเราเป็นคนรู้จักบังคับตน. ประการแรกได้แก่สิทธิพิเศษอันดีเลิศแห่งการอธิษฐาน. อย่าให้เรามัวแต่ยุ่งกับงานจนไม่ได้อธิษฐาน. ใช่แล้ว เราควรปรารถนาจะ “อธิษฐานอย่างไม่ละลด” “หมั่นอธิษฐานอยู่เสมอ.” (1 เธซะโลนิเก 5:17; โรม 12:12) ขอให้เราจัดเอาเรื่องการปลูกฝังการรู้จักบังคับตนไว้ในคำอธิษฐานของเรา. แต่คราวใดเราพลาดพลั้งไม่ได้สำแดงการรู้จักบังคับตนเอง ด้วยใจถ่อมให้เราทูลขอพระบิดาของเราในสวรรค์โปรดยกความผิดให้เรา.
19 การช่วยเหลือขอบเขตที่สองเพื่อสำแดงการรู้จักบังคับตนนั้นก็โดยรับเอาความช่วยเหลือที่ได้จากการเลี้ยงตัวด้วยพระวจนะของพระเจ้าและจากสรรพหนังสือที่ส่งเสริมให้เราเข้าใจพระคัมภีร์และปฏิบัติตามความรู้นั้น. นับว่าเป็นเรื่องง่ายจริง ๆ ที่เราจะละเลยส่วนนี้แห่งงานรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์! เราต้องสำแดงการรู้จักบังคับตนเองและย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าไม่มีหนังสือใดสำคัญกว่าคัมภีร์ไบเบิล และหนังสือซึ่งจัดเตรียมโดย “บ่าวสัตย์ซื่อและสุขุมรอบคอบ” และด้วยเหตุนี้เราจึงต้องถือว่าเป็นเรื่องที่เราจะอ่านเป็นอันดับแรก. (มัดธาย 24:45-47) เคยมีคำกล่าวอย่างถูกต้องว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน แต่เราต้องเลือกว่าเราจะใช้เวลาทำอะไร. เราเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริงไหม? ถ้าเราตระหนักถึงความต้องการฝ่ายวิญญาณ เราก็จะสำแดงการรู้จักบังคับตนที่จำเป็นเพื่อปิดโทรทัศน์ แล้วตระเตรียมการเพื่อเข้าร่วมประชุมหรืออ่านหอสังเกตการณ์ ซึ่งอาจเป็นฉบับล่าที่เราพึงได้รับ.
20 ขอบเขตที่สาม เป็นเรื่องการทำสิ่งที่เหมาะที่ควรต่อการประชุมของประชาคมและการประชุมใหญ่ เช่นการประชุมหมวดหรือการประชุมภาค. การประชุมเหล่านั้นทุกครั้งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเราไหม? เรามาร่วมประชุมเตรียมพร้อมเพื่อจะมีส่วนและครั้นโอกาสอำนวยเราก็เข้าส่วนเต็มที่ไหม? เราได้กระทำอย่างสมควรต่อการประชุมต่าง ๆ มากแค่ไหน เราก็จะได้รับการเสริมความตั้งใจมากขึ้นเท่านั้นที่จะสำแดงการรู้จักบังคับตนในทุกสถานการณ์.
21. เราจะได้บำเหน็จอะไรบ้างเนื่องจากการพัฒนาการรู้จักบังคับตนอันเป็นผลแห่งพระวิญญาณ?
21 เราสามารถคาดหมายรางวัลอะไรจากการพยายามจริงจังเพื่อเป็นคนรู้จักบังคับตนอยู่เสมอ? สิ่งหนึ่งคือ เราจะไม่ต้องเก็บเกี่ยวผลความขมขื่นเนื่องด้วยการเห็นแก่ตัว. เราจะนับถือตัวเองและมีสติรู้สึกผิดชอบที่ปราศจากมลทิน. เราจะรักษาตัวพ้นจากความยุ่งยากมากมายและยังคงเดินต่อไปในเส้นทางที่นำไปสู่ชีวิต. ยิ่งกว่านั้น เราจะสามารถทำการดีที่สุดที่เราจะทำได้. สำคัญที่สุด เราจะเป็นผู้ที่ใส่ใจต่อคำกล่าวที่สุภาษิต 27:11 ที่ว่า “บุตรชายของเราเอ๋ย จงฉลาด และกระทำใจของเราให้ยินดีเพื่อเราจะตอบบุคคลที่ตำหนิเราได้.” นี่แหละคือรางวัลอันใหญ่ที่สุดที่เราจะพึงได้—คือสิทธิพิเศษในการทำให้พระยะโฮวา พระบิดาของเราทางภาคสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยความรักทรงเบิกบานสำราญพระทัย!
คุณจำได้ไหม?
▫ ความเกรงกลัวพระเจ้าช่วยเราอย่างไรที่จะสำแดงการรู้จักบังคับตน?
▫ เหตุใดความรักช่วยให้เราสำแดงการรู้จักบังคับตน?
▫ การรู้จักบังคับตนส่งเสริมความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอย่างไร?
▫ เราต้องถือเอาเป็นประโยชน์จากการจัดเตรียมอะไร หากเราจะพัฒนาการรู้จักบังคับตน?
-