บท 9
เอกภพอันน่าเกรงขาม
1, 2. (ก) เราจะพรรณนาอย่างไรเกี่ยวกับท้องฟ้าที่ประกอบด้วยวัตถุต่าง ๆ? (ข) คนช่างคิดมักจะตั้งคำถามอะไร คำตอบที่ได้มาช่วยชี้ชัดในเรื่องใด?
เป็นเวลาหลายพันปีทีเดียวที่ผู้คนรู้สึกทึ่งเมื่อเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว. ในคืนที่แจ่มใส ดาวต่าง ๆ ที่สวยงามประดับฟ้าเหมือนเพชรที่ส่องประกายงามในความมืด. คืนเดือนหงายแสงจันทร์สาดส่องโลกดูสวยงามอีกแบบหนึ่ง.
2 เหล่าคนที่คิดถึงสิ่งที่เห็นนี้มักจะสงสัยว่า ‘มีอะไรอยู่ในอวกาศ? มันถูกจัดเป็นระบบอย่างไร? เราจะมีทางรู้ไหมว่ามันเริ่มต้นอย่างไร?’ คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้คงจะช่วยเราให้เข้าใจอย่างถูกต้องยิ่งขึ้นถึงเหตุผลความเป็นมาของแผ่นดินโลกพร้อมกับมนุษย์และชีวิตแบบอื่น ๆ และอนาคตจะเป็นอย่างไร.
3. ผลอย่างหนึ่งที่ได้จากความรู้ซึ่งทวีมากขึ้นในด้านเอกภพนั้นได้แก่อะไร?
3 หลายศตวรรษมาแล้ว เชื่อกันว่าเอกภพประกอบด้วยดวงดาวเพียงไม่กี่พันดวง ซึ่งมองเห็นด้วยตาเปล่า. แต่ปัจจุบันด้วยอุปกรณ์ที่มีกำลังสูงใช้ตรวจหาท้องฟ้า นักวิทยาศาสตร์ทราบว่ามีมากยิ่งกว่านั้นอีกมากนัก. ที่จริงแล้ว สิ่งที่ได้พบนั้นน่าเกรงขามยิ่งกว่าที่ใคร ๆ เคยคาดคิด. จิตมนุษย์รู้สึกตะลึงกับความมโหฬารและความซับซ้อนของมัน. เป็นอย่างที่วารสาร แนชันแนล จีออกราฟิค กล่าวไว้ว่าสิ่งซึ่งมนุษย์กำลังเรียนรู้ขณะนี้เรื่องเอกภพ “ทำให้เขางงงันไป.”1
ขนาดที่น่าทึ่ง
4. มีการค้นพบอะไรในปี 1920?
4 ในศตวรรษหลัง ๆ นักดาราศาสตร์ซึ่งสำรวจดูท้องฟ้าด้วยกล้องโทรทรรศน์รุ่นแรก ๆ ได้สังเกตเห็นการก่อตัวในลักษณะเป็นเมฆ. เขาคิดว่ามันเป็นกลุ่มของก๊าซที่อยู่ไม่ไกลนัก. แต่แล้วในปี 1920 เมื่อมีการใช้กล้องโทรทรรศน์ที่ใหญ่และมีกำลังสูงกว่า จึงพบว่า “กลุ่มก๊าซ” เหล่านี้เป็นสิ่งที่ใหญ่โตและสำคัญมากกว่า นั่นคือ กาแล็กซี.
5. (ก) กาแล็กซีคืออะไร? (ข) กาแล็กซีทางช้างเผือกของเราประกอบด้วยอะไร?
5 กาแล็กซีคือ กลุ่มดาวกว้างใหญ่ ก๊าซและวัตถุอื่น ซึ่งหมุนรอบนิวเคลียสที่เป็นจุดกลาง. กาแล็กซีเคยถูกเรียกว่าเป็นเอกภพย่อย ๆ เพราะแต่ละกาแล็กซีก็เป็นเหมือนเอกภพ. ตัวอย่างเช่น เราลองพิจารณากาแล็กซีที่เราอยู่นี้ซึ่งเรียกว่า ทางช้างเผือก. ระบบสุริยะของเราคือดวงอาทิตย์ โลกและดาวเคราะห์อื่น ๆ พร้อมด้วยดวงจันทร์ของมันเป็นส่วนหนึ่งของกาแล็กซีนี้. แต่เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ เพราะกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราประกอบด้วยดาวมากกว่าหนึ่งแสนล้านดวง! นักวิทยาศาสตร์บางคนประมาณว่ามีอย่างน้อยสองถึงสี่แสนล้านดวง. และบรรณาธิการทางวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งถึงกับพูดว่า “อาจมีดาวห้าถึงสิบล้านล้านดวงในกาแล็กซีทางช้างเผือก.”2
6. กาแล็กซีของเรามีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่โตขนาดไหน?
6 เส้นผ่าศูนย์กลางกาแล็กซีของเรากว้างมากถึงขนาดถ้าคุณเดินทางด้วยความเร็วของแสง (299,793 กิโลเมตรต่อวินาที) คุณต้องใช้เวลาถึง 100,000 ปี คุณจึงจะข้ามมันได้! คิดเป็นระยะทางกี่กิโลเมตร? ในขณะที่แสงเดินเป็นระยะทางประมาณ 10 ล้านล้านกิโลเมตรในเวลาหนึ่งปี คูณจำนวนนี้ด้วย 100,000 และคุณจะได้คำตอบ: กาแล็กซีทางช้างเผือกของเรามีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งล้านล้านล้าน (1,000,000,000,000,000,000) กิโลเมตร! พูดกันว่า ดาวต่าง ๆ ภายในกาแล็กซีนี้อยู่ในระยะห่างกันประมาณหกปีแสงหรือประมาณหกสิบล้านล้านกิโลเมตร.
7. เคยประมาณกันว่ากาแล็กซีในเอกภพมีจำนวนเท่าไร?
7 เป็นการยากยิ่งที่จิตมนุษย์จะหยั่งรู้ถึงขนาดและระยะทางเช่นนั้น. กระนั้น กาแล็กซีของเราเป็นเพียงส่วนต้น ของสิ่งซึ่งมีอยู่ในอวกาศชั้นนอก! มีสิ่งซึ่งน่าตื่นใจยิ่งกว่านั้น. นั่นก็คือ มีการตรวจพบกาแล็กซีมากถึงขนาด กล่าวกันว่า “มีมากมายเหมือนใบหญ้าในท้องทุ่ง.”3 มีประมาณหนึ่งหมื่นล้านกาแล็กซีที่เราตรวจพบได้ในเอกภพ! แต่ยังมีอีกมากที่อยู่ไกลเกินระยะของกล้องโทรทรรศน์ในปัจจุบัน. นักดาราศาสตร์บางคนประมาณว่ามีถึง 1,000,000 ล้านกาแล็กซีในเอกภพ! และแต่ละกาแล็กซีอาจมีดาวอยู่ถึงหลายแสนล้านดวง!
กลุ่มกาแล็กซี
8. กลุ่มกาแล็กซีต่าง ๆ นั้น ถูกจัดไว้อย่างไร?
8 ยังมีมากกว่านั้นอีก. กาแล็กซีที่น่าเกรงขามเหล่านี้ไม่ได้อยู่กระจัดกระจายอย่างไม่มีระเบียบในอวกาศ. ตามปกติ กาแล็กซีอยู่เป็นกลุ่มเป็นหมู่เฉพาะเหมือนองุ่นในพวง. มีการค้นพบและถ่ายรูป กลุ่มกาแล็กซีเหล่านี้ไว้แล้วหลายพันกลุ่ม.
9. มีอะไรนับรวมอยู่ในกลุ่มกาแล็กซีของเรา?
9 ในบางกลุ่มอาจมีกาแล็กซีเพียงไม่กี่กาแล็กซี. ตัวอย่างเช่น กาแล็กซีทางช้างเผือกของเราเป็นหนึ่งในกลุ่มกาแล็กซีที่มียี่สิบกาแล็กซีโดยประมาณ. ภายในกลุ่มนี้มีกาแล็กซี “เพื่อนบ้าน” ซึ่งอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าในคืนที่แจ่มใส. นั่นคือ กาแล็กซีแอนโดรมีดา ซึ่งเป็นรูปก้นหอยเหมือนกับกาแล็กซีของเรา.
10. (ก) อาจมีกาแล็กซีจำนวนเท่าใดในกลุ่มกาแล็กซี? (ข) ระยะทางระหว่างกาแล็กซีหนึ่ง ๆ ห่างกันเท่าไร และระยะทางระหว่างกลุ่มกาแล็กซีต่าง ๆ นั้นห่างกันเท่าไร?
10 กลุ่มกาแล็กซีอื่น ๆ ประกอบด้วยหลายสิบ หลายร้อยหรือแม้แต่หลายพันกาแล็กซี. มีกลุ่มหนึ่งที่เชื่อกันว่ามีถึง 10,000 กาแล็กซี! กาแล็กซีต่าง ๆ ภายใน กลุ่มเดียวกันอาจมีระยะห่างกันโดยเฉลี่ยแล้วราว ๆ หนึ่งล้านปีแสง. แต่ระหว่างกลุ่มกาแล็กซีหนึ่งกับอีกกลุ่มหนึ่งอาจมีระยะห่างกันถึงหนึ่งร้อยเท่าของระยะดังกล่าว. และมีหลักฐานว่ากลุ่มต่าง ๆ นั้นเรียงกันอยู่เป็น “หมวดหมู่” เหมือนกับพวงองุ่นหลาย ๆ พวงที่ติดอยู่กับเถาองุ่น. ช่างใหญ่โตมหึมาและเป็นการจัดระบบซึ่งแสดงถึงสติปัญญาอันสูงส่งอะไรเช่นนั้น!
การจัดระบบคล้ายคลึงกัน
11. เราพบว่าในระบบสุริยะของเรามีการจัดระบบที่คล้ายคลึงกันอย่างไร?
11 เมื่อพิจารณาระบบสุริยะของเรา เราเห็นว่าเป็นวิธีการจัดระบบที่ดีเยี่ยมเช่นกัน. ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นดาวขนาดกลางดวงหนึ่งเป็น “ศูนย์กลาง” ซึ่งโลกและดาวเคราะห์อื่น ๆ พร้อมกับดวงจันทร์ต่าง ๆ เคลื่อนไปโดยรอบตามวงโคจรที่แน่นอน. ปีแล้วปีเล่าที่ดวงดาวเหล่านี้โคจรอย่างแม่นยำตามหลักคณิตศาสตร์กระทั่งนักดาราศาสตร์สามารถคำนวณตำแหน่งใด ๆ ของมันได้ล่วงหน้า.
12. อะตอมถูกจัดระบบไว้อย่างไร?
12 ลองพิจารณาอะตอมซึ่งเป็นสิ่งที่เล็กสุดประมาณ เราพบความแน่นอนแม่นยำอย่างเดียวกัน. อะตอมเป็นระบบมหัศจรรย์คล้ายกับระบบสุริยะ. มันประกอบด้วยนิวเคลียสซึ่งมีประจุโปรตอนและนิวตรอน ล้อมรอบด้วยอีเล็คตรอนเล็ก ๆ ที่โคจรโดยรอบ. สสารทุกอย่างประกอบขึ้นด้วยโครงสร้างหลักเหล่านี้. สิ่งที่ทำให้สารชนิดหนึ่งต่างจากอีกชนิดหนึ่งก็คือจำนวนของโปรตอนและนิวตรอนในนิวเคลียส รวมทั้งจำนวนและการจัดเรียงของอีเล็คตรอนที่โคจรโดยรอบด้วย. ทั้งนี้เป็นระบบที่ละเอียดประณีตยิ่ง เนื่องจากธาตุต่าง ๆ ซึ่งประกอบขึ้นเป็นวัตถุอาจจัดเรียงเป็นลำดับได้อย่างแน่นอนโดยอาศัยจำนวนโครงสร้างหลักที่ปรากฏอยู่.
อะไรอยู่เบื้องหลังการจัดระบบนี้?
13. เราพบลักษณะอะไรตลอดทั่วเอกภพ?
13 อย่างที่พิจารณามาแล้ว ขนาดของเอกภพน่าเกรงขามจริง ๆ. การจัดระบบก็น่าเกรงขามเช่นกัน. จากสิ่งใหญ่โตสุดพรรณนาจนถึงสิ่งที่เล็กสุดประมาณ จากกลุ่มของกาแล็กซีจนถึงอะตอม เอกภพมีลักษณะการจัดระบบที่ยอดเยี่ยม. วารสารดิสคัฟเวอร์ กล่าวว่า “เราพบเห็นความมีระเบียบนี้ด้วยความประหลาดใจ และนักค้นคว้าจักรวาล และนักฟิสิกส์ยังคงค้นพบแง่มุมใหม่และน่าประหลาดใจเกี่ยวกับความเป็นระเบียบ. . . . เรามักจะพูดว่านี้คือสิ่งอัศจรรย์ และเรายังคงพูดว่าเอกภพทั้งสิ้นนั้นมหัศจรรย์.”4 โครงสร้างที่เป็นระเบียบนี้เป็นที่ยอมรับกระทั่งในคำ “คอสมอส” ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันในวิชาดาราศาสตร์เพื่อพรรณนาถึงเอกภพ. พจนานุกรมเล่มหนึ่งให้ความหมายของคำนี้ว่า “เอกภพที่เป็นระเบียบ มีระบบ.”5
14. อดีตนักอวกาศคนหนึ่งกล่าวอย่างไร?
14 เจ. เกล็นน์ อดีตนักบินอวกาศได้สังเกต “ความเป็นระเบียบ ของเอกภพ” และการที่กาแล็กซีต่าง ๆ “เคลื่อนตามวงโคจรที่สัมพันธ์กัน.” เขาจึงได้ถามว่า “มันเกิดขึ้นเองได้หรือ? การที่กลุ่มของสิ่งที่ล่องลอยเหล่านี้เริ่มมีวงโคจรของมันเอง เป็นเหตุบังเอิญหรือ?” เขาสรุปว่า “ผมเชื่ออย่างนั้นไม่ได้. . . . อำนาจบางอย่างจัดสิ่งเหล่านี้เข้าอยู่ในวงโคจรและให้คงอยู่อย่างนั้น.”6
15. การออกแบบและการจัดระบบอย่างถูกต้องแม่นยำในเอกภพนั้นบ่งชี้ถึงอะไร?
15 จริงทีเดียว เอกภพถูกจัดระบบไว้อย่างแม่นยำมากจนมนุษย์สามารถใช้เป็นมาตรฐานสำหรับกำหนดเวลา. แต่เครื่องกำหนดเวลาใด ๆ ที่มีการออกแบบอย่างดีย่อมเป็นผลงานที่ออกมาจากความคิดที่เป็นระเบียบซึ่งมีความสามารถในการออกแบบ. บุคคลที่มีเชาวน์ปัญญาเท่านั้นถึงจะมีความคิดที่เป็นระเบียบ. แล้วจะว่าอย่างไรกับแบบแผนและความแน่นอนเชื่อถือได้ที่ซับซ้อนยิ่งกว่า ซึ่งปรากฏทั่วเอกภพ? ทั้งหมดนี้ชี้ถึงผู้ออกแบบ ผู้สร้าง จิตใจ—เชาวน์ปัญญามิใช่หรือ? และคุณเชื่อว่าจะมีเชาวน์ปัญญาต่างหากจากบุคคลได้หรือ?
16. เราจำต้องสรุปอย่างไรเกี่ยวกับเอกภพ?
16 เราหนีเรื่องนี้ไม่พ้น: การจัดระบบที่ดีเยี่ยมต้องอาศัยผู้จัดระบบที่ดีเยี่ยม. เราไม่เคยประสบพบเห็นเลยว่า อะไรก็ตามที่มีการจัดระบบไว้อย่างดีจะเป็นขึ้นเองโดยอุบัติเหตุ. แต่ประสบการณ์ในชีวิตของเราชี้ว่าทุกอย่างที่มีการจัดระบบไว้ จะต้องมีผู้ที่จัดให้เป็นระบบ. เครื่องจักรทุกชนิด คอมพิวเตอร์ ตึก ถูกแล้ว แม้กระทั่งดินสอและกระดาษมีผู้คิดทำขึ้นมา มีผู้จัดระบบ. ด้วยเหตุผลดังกล่าวการจัดระบบที่ซับซ้อนมากกว่า และน่าทึ่งอย่างยิ่งในเอกภพจะต้องมีผู้จัดระบบเช่นกัน.
มีกฎหมายก็ต้องมีผู้ออกกฎหมาย
17. กฎเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไรในเอกภพ?
17 นอกจากนั้น เอกภพทั้งสิ้น ตั้งแต่อะตอมถึงกาแล็กซีย่อมควบคุมโดยกฎทางกายภาพที่แน่นอน. มีกฎควบคุมเรื่องต่าง ๆ เช่น ความร้อน แสง เสียงและความดึงดูด เป็นต้น. เอ็ส. ฮอว์คิง นักฟิสิกส์บอกว่า “ยิ่งเราตรวจสอบเอกภพมากขึ้น เราพบว่ามันไม่ได้เป็นแบบไร้กฎเกณฑ์ แต่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ชัดเจนซึ่งดำเนินงานในขอบเขตต่าง ๆ. ดังนั้นจึงมีเหตุผลอย่างยิ่งที่จะคาดว่ามีหลักการบางอย่างที่เป็นศูนย์รวม ซึ่งทำให้กฎต่าง ๆ เป็นส่วนของกฎที่ยิ่งใหญ่กว่า.”7
18. ผู้เชี่ยวชาญด้านจรวดคนหนึ่งลงความเห็นอย่างไร?
18 เวอร์เนอร์ ฟอน บราวน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจรวดกล่าวให้ชัดเจนขึ้นอีกว่า “กฎตามธรรมชาติต่าง ๆ ของเอกภพเป็นสิ่งที่แน่นอนมากจนไม่ยากนักที่เราจะสร้างยานอวกาศที่บินไปถึงดวงจันทร์ และสามารถกำหนดแผนการบินด้วยความแม่นยำถึงเสี้ยววินาทีทีเดียว. ต้องมีใครสักคนตั้งกฎเหล่านี้ขึ้น.”8 นักวิทยาศาสตร์ซึ่งต้องการให้จรวดโคจรรอบโลกหรือดวงจันทร์ได้สำเร็จ จะต้องปฏิบัติสอดคล้องกับกฎสากลดังกล่าว.
19. เมื่อมีตัวบทกฎหมายก็ต้องมีอะไรด้วย?
19 เมื่อเราคิดถึงกฎหมายต่าง ๆ เรายอมรับว่ากฎหมายต้องมาจากผู้ที่ออกกฎหมาย. ป้ายจราจรที่ให้สัญญาณว่า “หยุด” ต้องมาจากบุคคลบางคนหรือบางกลุ่มซึ่งออกกฎนั้น. เช่นนั้นจะว่าอย่างไรกับกฎต่าง ๆ ทั้งสิ้นที่ควบคุมวัตถุในเอกภพ? กฎต่าง ๆ ที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นคงจะเป็นข้อยืนยันถึงผู้ออกกฎที่มีเชาวน์ปัญญาสูงยิ่ง.
ผู้จัดระเบียบและผู้ออกกฎ
20. ไซเยนซ์ นิวส์ ตั้งข้อสังเกตอะไร?
20 หลังจากพูดถึงสภาวะพิเศษของระเบียบและกฎที่ปรากฏชัดในเอกภพ ไซเยนซ์ นิวส์ ตั้งข้อสังเกตว่า การไตร่ตรองถึงเรื่องเหล่านี้ทำให้พวกที่ศึกษาเอกภพไม่สบายใจ เพราะดูเหมือนว่าสภาพที่พิเศษและแน่นอนอย่างนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ. ทางหนึ่งที่จะตอบคำถามนี้ได้คือ ยอมรับว่าอำนาจศักดิ์สิทธิ์ได้สร้างเอกภพนี้ขึ้นมา.”9
21. หลายคนพอใจจะสรุปอย่างไร?
21 หลายคนรวมทั้งพวกนักวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับอย่างนั้น. แต่คนอื่น ๆ ยอมรับตามที่หลักฐานชี้ถึง นั่นคือเชาวน์ปัญญา. เขายอมรับว่า ความใหญ่โตมหึมา ความเที่ยงตรงแน่นอน และกฎเกณฑ์ดังที่ปรากฏตลอดทั่วเอกภพไม่มีทางจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ. ทั้งหมดนี้ต้องเป็นผลงานของสติปัญญาสูงส่ง.
22. ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งระบุผู้ให้กำเนิดเอกภพว่าเป็นใคร?
22 นี่เป็นข้อสรุปของผู้เขียนพระคัมภีร์ผู้หนึ่งซึ่งกล่าวเกี่ยวกับท้องฟ้าว่า “จงเงยหน้ามองขึ้นไปดูท้องฟ้า และพิจารณาดูว่าใครได้สร้างสิ่งเหล่านี้? พระองค์ผู้ทรงนำดาวออกมาเป็นหมวดหมู่ และทรงเรียกมันออกมาตามชื่อ.” พระคัมภีร์บอกให้ทราบว่า “พระองค์” นั้นเป็น “ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าและกางออกไว้นั้น.”—ยะซายา 40:26; 42:5.
แหล่งของพลังงาน
23, 24. จะทำให้เกิดสสารขึ้นได้อย่างไร?
23 กฎของเอกภพควบคุมสสารที่มีอยู่. แต่สสารเหล่านี้มาจากที่ไหน? คาร์ล เซกัน กล่าวในหนังสือคอสมอส ว่า “ในตอนเริ่มต้นของเอกภพไม่มีกาแล็กซี ดาวหรือดาวเคราะห์ ไม่มีชีวิตหรืออารยธรรมใด ๆ.” เขาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงจากสภาพดังกล่าวมาเป็นเอกภพในปัจจุบันว่าเป็น “การเปลี่ยนรูปที่น่าทึ่งที่สุดของสสารและพลังงานซึ่งเราได้มีโอกาสรู้ได้.”10
24 นั่นแหละคือกุญแจไขไปสู่ความเข้าใจถึงความเป็นมาของเอกภพ: การเปลี่ยนรูปของพลังงานและสสารต้องเกี่ยวข้องด้วย. ความสัมพันธ์นี้ได้ถูกยืนยันโดยสูตรอันลือชื่อของไอน์สไตน์ E=mc2 (พลังงานมีค่าเท่ากับมวลสารคูณด้วยกำลังสองของความเร็วแสง). ข้อสรุปอันหนึ่งที่ได้จากสูตรนี้คือ สสารอาจเกิดขึ้นได้จากพลังงานเช่นเดียวกับที่พลังงานมหาศาลอาจเกิดขึ้นได้จากสสาร. ระเบิดปรมาณูเป็นข้อพิสูจน์ของกรณีหลัง. ดังนั้น โจซิป เคลเซค นักฟิสิกส์สาขาอวกาศกล่าวว่า “อณูพื้นฐานส่วนใหญ่หรือบางทีทั้งหมดอาจสร้างขึ้นได้จากพลังงานที่เปลี่ยนเป็นวัตถุ.”11
25. นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยอมรับเรื่องอะไรในปัจจุบัน?
25 ดังนั้น มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า แหล่งของพลังงานที่ไม่มีขอบเขตจำกัดคงมีวัตถุดิบที่ใช้สร้างสิ่งในเอกภพ. ผู้เขียนพระคัมภีร์ที่อ้างถึงก่อนหน้านี้ได้สังเกตว่า แหล่งของพลังงานนี้เป็นบุคคลที่มีเชาวน์ฉลาดมากและดำรงชีวิตเป็นอยู่ โดยกล่าวว่า “ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่และฤทธิ์เดชอันแรงกล้า ของพระองค์ ไม่มีสักดวงเดียวที่ขาดไป.” ดังนั้น จากทัศนะของคัมภีร์ไบเบิล แหล่งพลังงานที่ไม่มีขอบเขตจำกัดนี้อยู่เบื้องหลังสิ่งที่เยเนซิศ 1:1 พรรณนาไว้ว่า “เมื่อเดิมนั้นพระเจ้าได้นฤมิตสร้างฟ้าและดิน.”
การเริ่มต้นที่ไม่ยุ่งเหยิง
26. นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยอมรับเรื่องอะไรในปัจจุบัน?
26 ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยอมรับกันว่า เอกภพมีต้นกำเนิด. ทฤษฎีหนึ่งที่เด่นพยายามอธิบายการกำเนิดนี้ว่าเป็นการระเบิดใหญ่. ฟรานซิส คริก สังเกตว่า “การอธิบายต้นกำเนิดของเอกภพเกือบทั้งหมดในระยะหลัง ๆ มักจะอาศัยทฤษฎีการระเบิดใหญ่เป็นหลัก.”12 จัสโทรพูดถึง “การระเบิด” ในอวกาศนี้ว่าเป็น “ชั่วขณะแห่งการสร้างจริง ๆ.”13 แต่จอห์น กริบบิน นักฟิสิกส์สาขาอวกาศยอมรับในนิวไซเยนติสต์ ว่า ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์ “อ้างว่าโดยส่วนใหญ่แล้วสามารถอธิบายได้อย่างละเอียด” ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจาก “ชั่วขณะ” นี้ แต่อะไรที่ทำให้เกิด “ชั่วขณะของการสร้าง นั้นยังคงเป็นเรื่องลึกลับ.” และเขากล่าวว่า “ที่จริงแล้วอาจเป็นพระเจ้าสร้างก็ได้.”14
27. เหตุใดทฤษฎีการระเบิดใหญ่จึงมีข้อจำกัด?
27 กระนั้น นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าก่อ “ชั่วขณะ” นี้. ดังนั้นมักจะกล่าวกันว่า การระเบิดนี้เป็นไปอย่างยุ่งเหยิงสับสนเหมือนการระเบิดของระเบิดปรมาณู. แต่การระเบิดแบบนี้ทำให้มีการจัดระเบียบดีขึ้นไหม? ระเบิดต่าง ๆ ที่ทิ้งลงในเมืองต่าง ๆ ระหว่างสงครามทำให้มีตึกซึ่งได้ออกแบบอย่างดี มีถนน และสัญญาณจราจรเกิดขึ้นได้ไหม? ในทางตรงข้าม การระเบิดแบบนั้นทำให้เกิดซากปรับหักพัง ไม่มีระเบียบ ยุ่งเหยิง กระจัดกระจาย. และถ้าระเบิดนั้นเป็นระเบิดปรมาณู ความไม่เป็นระเบียบจะเป็นแบบเบ็ดเสร็จอย่างที่เกิดกับเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่นในปี 1945.
28. จะต้องลงความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพลังงานที่มีกำลังสูงยิ่ง ซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสร้างเอกภพ?
28 หามิได้ เพียงแต่ “การระเบิด” ก็ไม่อาจก่อให้มีเอกภพที่น่าเกรงขามพร้อมกับระบบ การออกแบบและกฎเกณฑ์ที่น่าตื่นใจขึ้นมาได้. มีแต่ผู้จัดระเบียบและผู้ออกแบบที่ใหญ่ยิ่งเท่านั้นที่อาจควบคุมการทำงานของพลังต่าง ๆ ที่มีกำลังมากยิ่งเพื่อให้เกิดระบบและกฎต่าง ๆ ที่ดีเยี่ยมขึ้น. ดังนั้น หลักฐานและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์จึงสนับสนุนอย่างมั่นคงต่อคำแถลงของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “ฟ้าสวรรค์แสดงพระรัศมีของพระเจ้า และท้องฟ้าประกาศพระหัตถกิจ.”—บทเพลงสรรเสริญ 19:1.
29. สิ่งที่วิทยาศาสตร์ได้พบรวมทั้งสิ่งที่เราเองเห็นนั้นยืนยันอะไร?
29 ดังนั้น พระคัมภีร์ให้คำตอบซึ่งทฤษฎีวิวัฒนาการไม่อาจตอบได้อย่างชัดแจ้ง. แทนที่จะทำให้เราจมอยู่ในความมืดไม่รู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังการกำเนิดของทุกสิ่ง คัมภีร์ไบเบิลให้คำตอบที่เข้าใจได้ง่ายและไม่ซับซ้อน. พระคัมภีร์ยืนยันสิ่งที่วิทยาศาสตร์ได้พบรวมทั้งสิ่งที่เราเองได้เห็นว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเอง. ถึงแม้ตัวเราจะไม่ได้อยู่ตอนที่เอกภพถูกสร้างขึ้น แต่เห็นชัดว่าจะต้องมีผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่เหมือนอย่างที่คัมภีร์ไบเบิลให้เหตุผลว่า “ด้วยว่าตึกทุกหลังคงมีผู้สร้าง แต่ว่าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงก็คือพระเจ้า.”—เฮ็บราย 3:4.
[คำโปรยหน้า 115]
สิ่งซึ่งมนุษย์กำลังเรียนรู้ขณะนี้เรื่องเอกภพ “ทำให้เขางงงันไป”
[คำโปรยหน้า 117]
กาแล็กซีทางช้างเผือกของเราประกอบด้วยดาวมากกว่าหนึ่งแสนล้านดวง
[คำโปรยหน้า 118]
กาแล็กซีอยู่เป็นกลุ่มเป็นหมู่ เหมือนองุ่นในพวง
[คำโปรยหน้า 122]
นักวิทยาศาสตร์ “ยังคงค้นพบแง่มุมใหม่และน่าประหลาดใจเกี่ยวกับความเป็นระเบียบ”
[คำโปรยหน้า 123]
การจัดระบบที่ดีเยี่ยมต้องอาศัยผู้จัดระบบที่ดีเยี่ยม
[คำโปรยหน้า 123]
เอกภพ “อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ชัดเจน”
[คำโปรยหน้า 125]
“ดูเหมือนว่าสภาพที่พิเศษและแน่นอนอย่างนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ”
[ภาพเต็มหน้า 114]
[ภาพหน้า 116]
กาแล็กซีรูปก้นหอย
[ภาพหน้า 116, 117]
ระบบสุริยะของเราในขอบสี่เหลี่ยมเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา
[ภาพหน้า 119]
กาแล็กซีแอนโดรมีดา ซึ่งคล้าย ๆ กับทางช้างเผือกของเรา เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของเอกภพอันน่าเกรงขาม ซึ่งบางคนประมาณว่ามีถึง 100,000 ล้านกาแล็กซี
[ภาพหน้า 120, 121]
ดาวเคราะห์แห่งระบบสุริยะของเราโคจรรอบดวงอาทิตย์อย่างแม่นยำ
การจัดระบบในอะตอมมีความคล้ายคลึงกับระบบสุริยะ
[ภาพหน้า 122]
นาฬิกาที่เที่ยงตรงเป็นผลงานของผู้ออกแบบซึ่งมีเชาวน์ปัญญา. ความเที่ยงตรงแม่นยำยิ่งกว่าที่ปรากฏในเอกภพ น่าจะเป็นผลงานของผู้ออกแบบที่มีปัญญาใหญ่ยิ่งกว่ามิใช่หรือ?
[ภาพหน้า 124]
การเดินทางของจรวดเข้าสู่วงโคจรจะต้องเป็นไปตามกฎของการเคลื่อนไหวและแรงโน้มถ่วง. กฎควบคุมดังกล่าวต้องมาจากผู้ออกกฎ
[ภาพหน้า 125]
การจราจรต้องเป็นผลงานของสติปัญญา
[ภาพหน้า 126]
ระเบิดปรมาณูแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน
[ภาพหน้า 126]
การระเบิดทำให้ตึกมีการจัดระเบียบดีขึ้นไหม?
[ภาพหน้า 127]
“ตึกทุกหลังคงมีผู้สร้าง แต่ว่าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงก็คือพระเจ้า.”—เฮ็บราย 3:4