แหล่งอ้างอิงสำหรับชีวิตและงานรับใช้—คู่มือประชุม
© 2025 Watch Tower Bible and Tract Society of Pennsylvania
วันที่ 2-8 มีนาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 41-42
“ไม่ต้องกลัว”
พึ่งพระยะโฮวาเพื่อจะได้กำลังใจ
13 พระยะโฮวาให้ความหวังที่ดีมากกับเชลยชาวยิวที่อยู่ในบาบิโลน แต่พระองค์ก็รู้ว่าตอนที่พวกเขาใกล้จะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นเชลย ตอนนั้นจะเป็นช่วงที่ยากลำบากสำหรับพวกเขา พระองค์บอกล่วงหน้าว่าจะมีกษัตริย์องค์หนึ่งที่มีอำนาจมากมาโจมตีและยึดอำนาจชาติต่าง ๆ ที่อยู่รอบบาบิโลนและในที่สุดกษัตริย์องค์นี้ก็จะโจมตีบาบิโลนด้วย (อสย. 41:2-5) แต่ชาวยิวต้องกังวลอะไรไหม? พระยะโฮวาให้กำลังใจพวกเขาไว้นานมาแล้วโดยบอกว่า “ไม่ต้องกลัว เพราะเราอยู่กับเจ้า ไม่ต้องกังวล เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า” (อ่านอิสยาห์ 41:10-13) พระยะโฮวาหมายความว่ายังไงตอนที่พระองค์บอกว่า “เราเป็นพระเจ้าของเจ้า”? พระองค์ไม่ได้หมายความว่าจะให้ชาวยิวมานมัสการพระองค์เพราะนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขารู้อยู่แล้ว แต่พระยะโฮวากำลังให้คำรับรองกับพวกเขาว่าพระองค์อยู่ฝ่ายพวกเขาและจะคอยช่วยพวกเขาเสมอ—สด. 118:6
อิสยาห์ 41:10—“อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า”
“เราอยู่กับเจ้า” พระยะโฮวาบอกเหตุผลกับผู้นมัสการพระองค์ว่าทำไมพวกเขาไม่ต้องกลัว นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียว พระองค์เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา และพระองค์ฟังคำอธิษฐานของพวกเขา เหมือนกับว่าพระองค์อยู่ตรงนั้นกับพวกเขา—สดุดี 34:15; 1 เปโตร 3:12
“เราเป็นพระเจ้าของเจ้า” พระยะโฮวาทำให้ผู้นมัสการของพระองค์มีความสงบใจโดยเตือนพวกเขาว่าไม่ว่าสถานการณ์ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร พระองค์ยังคงเป็นพระเจ้าของพวกเขาและพระองค์ยอมรับพวกเขาว่าเป็นผู้นมัสการของพระองค์ พวกเขามั่นใจได้ว่าไม่มีสถานการณ์อะไรที่จะขัดขวางพระเจ้าไว้จากการทำบางสิ่งเพื่อช่วยเหลือพวกเขา—สดุดี 118:6; โรม 8:32; ฮีบรู 13:6
“เราจะทำให้พวกเจ้าเข้มแข็ง และเราจะช่วยพวกเจ้า เราจะใช้มือขวาซึ่งทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมยึดพวกเจ้าไว้แน่นอน” พระยะโฮวาใช้วลีทั้งสามนี้เพื่อถ่ายทอดความคิดเดียว นี่แสดงว่าพระองค์อยากเน้นให้เห็นว่าพระองค์จะช่วยพวกเขาแน่นอน พระองค์ใช้คำที่ทำให้เห็นภาพว่าพระองค์จะทำอย่างไรเมื่อประชาชนของพระองค์ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าบางคนหกล้ม พระเจ้าสามารถยื่นมือขวาของพระองค์เพื่อดึงเขาขึ้นมาได้—อิสยาห์ 41:13
วิธีหลักที่พระเจ้าทำให้ผู้นมัสการพระองค์เข้มแข็งขึ้นและช่วยเหลือพวกเขาคือโดยทางคัมภีร์ไบเบิล ถ้อยคำของพระองค์ (โยชูวา 1:8; ฮีบรู 4:12) เช่น ถ้อยคำของพระเจ้าให้คำแนะนำที่ใช้ได้จริงกับคนที่เจอการทดสอบ เช่น ความยากจน ความเจ็บป่วย หรือการสูญเสียคนที่รัก (สุภาษิต 2:6, 7) พระเจ้ายังสามารถใช้พลังบริสุทธิ์หรือพลังของพระองค์ เพื่อช่วยให้ผู้นมัสการพระองค์คิดอย่างรอบคอบและไม่ให้จมกับปัญหา—อิสยาห์ 40:29; ลูกา 11:13
“ไม่ต้องกลัว เราจะช่วยเจ้า”
คำพูดของพระยะโฮวาให้กำลังใจเรามาก แต่คุณนึกภาพออกไหมว่าพระยะโฮวาสัญญาอะไรกับเราจริง ๆ? ข้อคัมภีร์นี้ไม่ได้หมายความว่าพระยะโฮวาเดินอยู่ข้าง ๆ คุณและจูงมือคุณอยู่ เพราะถ้าพระองค์จูงมือคุณ มือขวาของพระองค์ต้องจับมือซ้ายของคุณ แต่พระยะโฮวาบอกว่า “เราจะใช้มือขวาซึ่งทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม . . . จับมือขวาของเจ้าไว้” นี่เหมือนกับว่าคุณกำลังตกอยู่ในปัญหา แล้วพระองค์ก็ดึงคุณขึ้นมาจากปัญหานั้น ตอนที่พระยะโฮวาจับมือขวาของคุณ พระองค์ก็ให้กำลังใจคุณว่า “ไม่ต้องกลัว เราจะช่วยเจ้า”
คุณมองพระยะโฮวาว่าเป็นพ่อและเพื่อนที่รักคุณไหม? คุณเชื่อไหมว่าพระองค์จะช่วยคุณเมื่อมีปัญหา? พระยะโฮวารักคุณมาก พระองค์เป็นห่วงและอยากช่วยคุณจริง ๆ พระองค์อยากให้คุณรู้สึกปลอดภัย พระคัมภีร์บอกว่า “พระองค์ช่วยเหลือพวกเราเสมอในเวลาทุกข์ลำบาก”—สด. 46:1
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
การเป็นคนภักดีหมายความเช่นไร?
พระยะโฮวาตรัสกับอับราฮาม ผู้เป็นมิตรของพระองค์ว่า “เราเป็นโล่ . . . ของเจ้า.” (เยเนซิศ 15:1; ยะซายา 41:8) นี่มิใช่เป็นแค่คำตรัสเฉย ๆ. พระยะโฮวาทรงปกป้องและช่วยอับราฮามกับครัวเรือนของท่านไว้จากฟาโรห์และอะบีเมเล็ค. พระองค์ได้ทรงช่วยเหลืออับราฮามในการช่วยชีวิตโลตไว้จากกษัตริย์สี่องค์ที่คบคิดกัน. พระยะโฮวาได้ทรงฟื้นความสามารถในการสืบพันธุ์ของอับราฮามวัย 100 ปีกับซาราวัย 90 ปี เพื่อว่าพงศ์พันธุ์ตามคำสัญญาจะมาทางคนทั้งสอง. พระยะโฮวาทรงติดต่อสื่อสารกับอับราฮามเป็นประจำโดยทางนิมิต, ความฝัน, และผู้ส่งข่าวที่เป็นทูตสวรรค์. ที่จริง พระยะโฮวาได้แสดงความภักดีต่ออับราฮามขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และหลังจากท่านเสียชีวิตไปนานแล้วด้วย. เป็นเวลาหลายร้อยปี พระยะโฮวาทรงรักษาคำสัญญาของพระองค์กับชาติยิศราเอลลูกหลานของอับราฮามทั้ง ๆ ที่พวกเขาดื้อรั้น. สัมพันธภาพของพระยะโฮวากับอับราฮามเป็นการแสดงให้เห็นว่าความภักดีแท้เป็นเช่นไร—ความรักที่เปลี่ยนเป็นการกระทำนั่นเอง.—เยเนซิศบท 12 ถึงบท 25.
วันที่ 9-15 มีนาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 43-44
คำพยากรณ์ที่เขียนไว้ล่วงหน้า 200 ปี
คัมภีร์ไบเบิลมีความจริงที่เชื่อถือได้
คำพยากรณ์ ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลที่ชื่ออิสยาห์เขียนคำพยากรณ์นี้ประมาณปี 732 ก่อน ค.ศ. เขาบอกว่าบาบิโลน ซึ่งต่อมากลายเป็นมหาอำนาจโลก จะถูกทำลายและจะไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่นอีกเลย (อิสยาห์ 13:17-20) อิสยาห์ถึงกับบอกชื่อของคนที่จะทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น คนนั้นคือไซรัส อิสยาห์ยังบอกถึงกลยุทธ์ที่ไซรัสจะใช้ด้วย นั่นคือจะทำให้แม่น้ำ “แห้งไป” และเขาบอกล่วงหน้าอีกว่าประตูเมืองของบาบิโลนจะถูกเปิดทิ้งไว้—อิสยาห์ 44:27-45:1
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ประมาณ 200 ปีหลังจากที่อิสยาห์เขียนคำพยากรณ์นี้ กษัตริย์องค์หนึ่งของเปอร์เซียได้มาโจมตีบาบิโลน เขาชื่ออะไร? ไซรัสนั่นเอง เนื่องจากบาบิโลนมีการป้องกันที่แน่นหนา ไซรัสเลยหันไปสนใจที่แม่น้ำยูเฟรติส ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองและไหลไปรอบเมือง ทหารของเขาขุดคลองที่ต้นน้ำเพื่อให้น้ำไหลไปที่หนองน้ำอีกที่หนึ่งทำให้น้ำลดลงถึงต้นขา กองทัพของไซรัสจึงเดินลุยน้ำข้ามไปได้ เนื่องจากแม่น้ำนี้อยู่ติดกับกำแพงเมือง และประตูเมืองที่ติดกับแม่น้ำก็ถูกเปิดทิ้งไว้! กองทัพของไซรัสจึงเข้าไปพิชิตบาบิโลนได้ทางประตูนั้น
it “ไซรัส” ว. 7-คมปอ
ไซรัส
การพิชิตบาบิโลน ตอนนี้ไซรัสพร้อมจะเผชิญหน้ากับบาบิโลนที่ยิ่งใหญ่ และจากนี้ไปเขาจะมีส่วนทำให้คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลเกิดขึ้นจริง ในคำพยากรณ์ของอิสยาห์เรื่องการฟื้นฟูเยรูซาเล็มและวิหารพูดถึงไซรัสว่าเป็นคนที่พระยะโฮวาแต่งตั้งให้โค่นล้มบาบิโลนและปลดปล่อยชาวยิวที่เป็นเชลย (อสย 44:26-45:7) คำพยากรณ์นี้ถูกบันทึกไว้มากกว่า 150 ปีก่อนที่ไซรัสจะขึ้นมามีอำนาจ และยูดาห์ก็ล่มสลายตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิดด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น พระยะโฮวาก็ยังบอกว่าไซรัสจะเป็น “ผู้เลี้ยงแกะ” ของพระองค์สำหรับชาวยิว (อสย 44:28; เทียบกับ รม 4:17) การแต่งตั้งล่วงหน้าแบบนี้จากพระยะโฮวาทำให้ไซรัสถูกเรียกว่า “ผู้ที่พระองค์แต่งตั้ง” (มาจากคำฮีบรู มาชีอัค หรือเมสสิยาห์ และคำกรีก ฆะริสท็อส หรือคริสต์) (อสย 45:1) การที่พระยะโฮวา “เรียกชื่อ” ไซรัสไม่ได้หมายความว่าพระองค์ตั้งชื่อให้เขาตอนที่เกิดมา แต่หมายความว่าพระยะโฮวารู้ล่วงหน้าว่าจะมีผู้ชายคนหนึ่งที่มีชื่อนี้ขึ้นมามีอำนาจ และพระองค์ก็เรียกชื่อเขาอย่างเจาะจงไม่ได้ปกปิดไว้—อสย 45:4
ตัวหนังสือบนผนัง
ภายใน 1 ปี ไซรัสประกาศว่า ‘พระยะโฮวาบอกให้เราสร้างวิหารของพระองค์ในเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ ประชาชนของพระเจ้าคนไหนอยากไปช่วยสร้างวิหารก็ไปได้เลย’ นี่ทำให้คำสัญญาของพระยะโฮวาเป็นจริง ชาวยิวได้กลับประเทศบ้านเกิดหลังจากกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายครบ 70 ปีพอดี ไซรัสสั่งให้เอาถ้วยทองคำ ถ้วยเงิน และเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เนบูคัดเนสซาร์ยึดมาจากวิหารของพระยะโฮวากลับไปด้วย คุณเห็นไหมว่าพระยะโฮวาใช้ไซรัสให้ช่วยประชาชนของพระองค์อย่างไร?
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
คำถามจากผู้อ่าน
ตัวอย่างที่ 2 คือคำพยากรณ์เกี่ยวกับผู้พิชิตที่ชื่อไซรัส เขาปลดปล่อยชาวยิวออกจากการเป็นเชลยที่บาบิโลนและสั่งให้ชาวยิวกลับไปสร้างวิหารของพระยะโฮวาขึ้นใหม่ (อสย. 44:26–45:4) กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียทำให้คำพยากรณ์นั้นเกิดขึ้นจริง (อสร. 1:1-4) แต่ถึงอย่างนั้นไซรัสก็ไม่ได้นมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์ใช้ไซรัสเพื่อทำให้คำพยากรณ์เป็นจริง แต่พระองค์ก็ให้เขาเลือกเองได้ว่าจะนมัสการใคร—สภษ. 21:1
วันที่ 16-22 มีนาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 45-47
“เราคือพระเจ้า และไม่มีใครเหมือนเรา”
“ขอให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถืออยู่เสมอ”
14 ซาตานพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้พระยะโฮวาทำให้ความประสงค์ของพระองค์สำเร็จ แต่มันก็ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าพระยะโฮวาทำอย่างไรบ้าง และนี่พิสูจน์ว่าไม่มีใครเหมือนพระองค์ พระองค์เป็นพ่อที่รักเราและเป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุดจริง ๆ การกบฏของซาตานและคนที่อยู่ฝ่ายมันทำให้พระยะโฮวารู้สึกเสียใจมาก (สด. 78:40) แต่พระองค์ก็จัดการเรื่องนี้อย่างฉลาด อดทน และยุติธรรม นอกจากนั้นพระองค์ยังแสดงพลังอำนาจสูงสุดของพระองค์ในหลาย ๆ วิธี และที่สำคัญที่สุดคือ พระองค์แสดงความรักในทุกอย่างที่พระองค์ทำ (1 ยน. 4:8) พระยะโฮวาไม่เคยหยุดทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถือ
“พระยะโฮวา . . . มีพลังอำนาจมาก”
14 เราจะได้เห็นว่าพระยะโฮวาใช้อำนาจของพระองค์เพื่อสร้าง ทำลาย ปกป้อง และฟื้นฟู นั่นหมายความว่า พระองค์ใช้อำนาจทำอะไรก็ตามที่ทำให้ความประสงค์ที่ยอดเยี่ยมของพระองค์สำเร็จเป็นจริง (อิสยาห์ 46:10) บางครั้งพระยะโฮวาใช้อำนาจของพระองค์เพื่อทำให้เรารู้เกี่ยวกับคุณลักษณะและมาตรฐานของพระองค์ แต่สำคัญที่สุด พระองค์ใช้อำนาจเพื่อทำให้ความประสงค์ของพระองค์สำเร็จ และทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถืออยู่เสมอโดยทางรัฐบาลเมสสิยาห์ และแสดงให้เห็นว่าการปกครองของพระองค์ดีที่สุด ดังนั้น ไม่มีอะไรจะขัดขวางความประสงค์ของพระองค์ได้เลย
it “เชลยชาวยิวที่กลับจากบาบิโลน” ว. 1-คมปอ
เชลยชาวยิวที่กลับจากบาบิโลน
ในปี 607 ก่อน ค.ศ. แผ่นดินยูดาห์ที่เคยอุดมสมบูรณ์กลายเป็น “เมืองร้างและไม่มีใครอยู่เลย” เพราะชาวยิวส่วนใหญ่ถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน และส่วนที่เหลือก็หนีไปอยู่อียิปต์ (ยรม 9:11) แต่พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่เมตตา พระองค์จะไม่ปล่อยให้คนของพระองค์ต้องเป็นเชลยตลอดไป พระองค์บอกล่วงหน้าว่าพวกเขา “จะต้องรับใช้กษัตริย์บาบิโลน 70 ปี” และหลังจากนั้นพระองค์ก็จะปลดปล่อยพวกเขา (ยรม 25:11, 12; 29:10-14) แม้แต่บาบิโลนที่เป็นมหาอำนาจโลกก็ไม่สามารถขัดขวางความต้องการของพระเจ้าได้ การที่เชลยชาวยิวกลับจากบาบิโลนทำให้เห็นว่าคำพยากรณ์ของพระยะโฮวาถูกต้องแม่นยำ
มีความสุขที่พระยะโฮวาทรงชี้ทางของพระองค์แก่เรา
18 ปัจจุบันก็เช่นเดียวกับในอดีต การดำเนินในทางของพระยะโฮวาจำต้องมีความภักดี ซึ่งก็คือความตั้งใจแน่วแน่จะรับใช้พระองค์เพียงผู้เดียว. การดำเนินในทางของพระยะโฮวาต้องมีความไว้วางใจ คือเชื่ออย่างเต็มที่ว่าคำสัญญาของพระยะโฮวานั้นไว้ใจได้และจะเป็นจริง. การดำเนินในทางของพระยะโฮวาเรียกร้องความเชื่อฟัง กล่าวคือการปฏิบัติตามกฎหมายของพระองค์โดยไม่หันเหและรักษามาตรฐานอันสูงส่งของพระองค์. “พระเจ้าทรงชอบธรรม จึงทรงรักกิจการที่ชอบธรรม.”—บทเพลงสรรเสริญ 11:7, ฉบับแปลใหม่.
19 อาฮาศหมายพึ่งพระของพวกซีเรียเพื่อความมั่นคง. พวกยิศราเอลในอียิปต์หวังให้ “ราชินีแห่งฟ้าสวรรค์” ซึ่งเป็นเทพธิดาที่มีผู้นมัสการกันอย่างกว้างขวางในแถบตะวันออกกลางสมัยโบราณ นำความรุ่งเรืองฝ่ายวัตถุมาให้พวกเขา. ปัจจุบัน มีพระมากมายที่ไม่ได้เป็นรูปเคารพตามตัวอักษร. พระเยซูทรงเตือนให้ระวังอย่าได้ปรนนิบัติ “เงินทอง” แทนที่จะรับใช้พระยะโฮวา. (มัดธาย 6:24) อัครสาวกเปาโลกล่าวถึง “ความโลภซึ่งเป็นการไหว้รูปเคารพ.” (โกโลซาย 3:5) ท่านยังกล่าวถึงคนเหล่านั้นด้วยที่ “พระของเขาก็คือกะเพาะของเขาเอง.” (ฟิลิปปอย 3:19) ถูกแล้ว เงินและทรัพย์สิ่งของอยู่ในกลุ่มพระหลัก ๆ ที่ผู้คนนมัสการกันในปัจจุบัน. อันที่จริง คนส่วนใหญ่ ซึ่งก็รวมถึงหลายคนที่ผูกพันใกล้ชิดกับศาสนา ‘ฝากความหวังของตนไว้กับทรัพย์ที่ไม่แน่นอน.’ (1 ติโมเธียว 6:17, ล.ม.) หลายคนทำงานหนักมากเพื่อรับใช้พระเหล่านี้ และบางคนได้รับผลตอบแทนอันได้แก่ความเป็นอยู่ในบ้านแบบที่ดีที่สุด, มีสิ่งของเครื่องใช้แพง ๆ, และรับประทานอาหารที่หรูหราฟุ่มเฟือย. อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนเพลิดเพลินกับความมั่งคั่งเช่นนั้น. และแม้แต่คนที่พอใจยินดีกับชีวิตเช่นนั้น ในที่สุดก็พบว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ให้ความยินดีอย่างแท้จริง. สิ่งเหล่านี้ไม่แน่นอน, ไม่ยั่งยืน, และไม่สนองความต้องการฝ่ายวิญญาณ.—มัดธาย 5:3.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
พระเจ้ารู้ไหมว่าอาดามกับฮาวาจะทำบาป?
พระคัมภีร์ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าพระยะโฮวา “ทรงรอบรู้ทุกอย่างแต่องค์เดียว.” (โรม 16:27) ทูตของพระเจ้าในสวรรค์ได้เห็นหลักฐานมากมายที่แสดงถึงพระสติปัญญาอันไร้ขีดจำกัดของพระเจ้า. พวกเขาพากัน “ส่งเสียงแสดงความยินดี” เมื่อพระยะโฮวาสร้างโลกและสิ่งต่าง ๆ บนโลก. (โยบ 38:4-7) ไม่ต้องสงสัยว่ากายวิญญาณที่มีเชาวน์ปัญญาเหล่านี้คงติดตามดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสวนเอเดนด้วยความสนใจอย่างยิ่ง. ก่อนหน้านั้นพระเจ้าได้สร้างเอกภพอันน่าเกรงขามรวมทั้งสิ่งต่าง ๆ อันน่าอัศจรรย์บนแผ่นดินโลกมาแล้วมากมาย. แล้วจะมีเหตุผลไหมถ้าตอนนี้พระเจ้าจะสร้างมนุษย์คู่หนึ่งขึ้นมาโดยรู้อยู่ว่าพวกเขาจะทำผิดพลาด และรู้ด้วยว่าบุตรกายวิญญาณในสวรรค์เฝ้าดูอยู่? คงเป็นเรื่องโง่เขลาถ้าพระเจ้าจะคิดและทำสิ่งซึ่งนำไปสู่ความหายนะเช่นนั้น.
แต่บางคนอาจค้านว่า ‘เป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งจะไม่รู้เรื่องนี้?’ จริงอยู่ พระยะโฮวาผู้มีปัญญาอันล้ำเลิศทรงมีความสามารถที่จะรู้ “ตั้งแต่ต้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตอนปลาย.” (ยะซายา 46:9, 10) แต่พระองค์ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถดังกล่าว เช่นเดียวกับที่พระองค์ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์อย่างเต็มที่ตลอดเวลา. พระยะโฮวาทรงเลือกอย่างฉลาดสุขุมว่าจะใช้ความสามารถในการรู้ล่วงหน้าเมื่อไร. พระองค์จะใช้ความสามารถนี้เมื่อเห็นว่าสมควรและในสภาพการณ์ที่เหมาะสม.
วันที่ 23-29 มีนาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 48-49
ประโยชน์จากการเชื่อฟังพระยะโฮวา
ทำยังไงถึงจะตัดสินใจได้ดี?
1. คัมภีร์ไบเบิลจะช่วยคุณยังไงให้ตัดสินใจได้ดี?
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเรื่องอะไรก็ตาม ให้คุณอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาและค้นดูจากคัมภีร์ไบเบิลว่า พระองค์คิดยังไงกับเรื่องนั้น (อ่านสุภาษิต 2:3-6) บางเรื่องพระยะโฮวาบอกตรง ๆ ว่าให้ทำอะไร ถ้าเป็นอย่างนั้น การทำตามสิ่งที่พระองค์บอกก็เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด
แล้วถ้าเรื่องไหนไม่ได้บอกตรง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลล่ะ? พระยะโฮวาก็จะยังช่วยคุณ “ให้เดินในทางที่ถูกต้อง” (อิสยาห์ 48:17) พระยะโฮวาจะช่วยคุณยังไง? พระองค์ให้มีหลักการหลายเรื่องในคัมภีร์ไบเบิลที่ช่วยคุณได้ หลักการคือคำสอนและเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่ช่วยให้รู้ว่าพระยะโฮวาคิดและรู้สึกยังไง หลายครั้งเราจะรู้จักความคิดของพระยะโฮวาตอนที่เราอ่านคัมภีร์ไบเบิล ถ้าเราเข้าใจว่าพระยะโฮวารู้สึกยังไง เราก็จะตัดสินใจในแบบที่พระองค์ชอบได้
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างไรเรื่องเจตจำนงเสรี? พระเจ้ากำหนดโชคชะตาของคุณไหม?
● พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามแบบพระองค์ (เยเนซิศ 1:26) ต่างจากสัตว์ที่ถูกควบคุมด้วยสัญชาตญาณ พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้สามารถแสดงคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น ความรัก ความยุติธรรม และที่สำคัญพระองค์ให้เรามีเจตจำนงเสรีแบบเดียวกับพระองค์
● ส่วนใหญ่แล้ว เราสามารถกำหนดหรือวางแผนอนาคตของเราได้ คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนเราให้ ‘เลือกเอาข้างชีวิต โดยฟังถ้อยคำของพระเจ้า’ คือเลือกที่จะเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ (พระบัญญัติ 30:19, 20) คำตรัสนี้คงไม่มีความหมายหรือโหดร้ายด้วยซ้ำถ้าเราไม่มีเจตจำนงเสรี พระเจ้าไม่ได้บังคับเราให้ทำตามพระองค์ แต่พระองค์ทรงวิงวอนว่า “โอ้ถ้าเจ้าได้เชื่อฟังคำสั่งของเราแล้ว, ความเจริญของเจ้าก็จะเป็นดังแม่น้ำไหล”—ยะซายา 48:18
“จงเสริมกำลังตัวเองด้วยความเชื่ออันบริสุทธิ์ยิ่ง”
8 ในที่นี้พระยะโฮวาทรงเตือนเราให้ระลึกว่าโดยการเชื่อฟังพระองค์ เราทำให้ตัวเองได้รับประโยชน์. พระองค์ทรงสัญญาจะให้ประโยชน์สองอย่างหากเราเชื่อฟัง. ประการแรก สันติสุขของเราจะเป็นดังแม่น้ำ—สงบเงียบ, มีอยู่อย่างเหลือล้น, ไม่ขาดสาย. ประการที่สอง ความชอบธรรมของเราจะเป็นเหมือนคลื่นในมหาสมุทร. หากคุณยืนอยู่ที่ชายหาดและสังเกตดูลูกคลื่นม้วนตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต้องสงสัย คุณคงสำนึกว่าคลื่นก็เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดมา โหมซัดหาดทรายอยู่ชั่วนาตาปี. พระยะโฮวาตรัสว่าความชอบธรรมของคุณก็จะมีอยู่ตลอดไปหากคุณเชื่อฟังพระองค์. ตราบใดที่คุณพยายามจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์ พระองค์จะไม่มีวันยอมให้คุณล้มเหลว! (บทเพลงสรรเสริญ 55:22) คำสัญญาที่ทำให้อุ่นใจเช่นนั้นทำให้คุณมีความเชื่อมากขึ้นในพระยะโฮวาและข้อเรียกร้องอันชอบธรรมของพระองค์มิใช่หรือ
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
it “เวลาที่พระเจ้าเมตตา” ว. 1-3-คมปอ
เวลาที่พระเจ้าเมตตา
ที่ 2 โครินธ์ 6:2 อัครสาวกเปาโลได้ยกคำพยากรณ์จากอิสยาห์ 49:8 ที่บอกว่า “พระยะโฮวาพูดว่า ‘ในเวลาที่เราเมตตาเจ้าเป็นพิเศษ เราฟังเจ้า และในวันแห่งความรอด เราช่วยเจ้าไว้ เราจะปกป้องเจ้าเพื่อให้เจ้าเป็นหลักประกันให้กับประชาชน เพื่อฟื้นฟูแผ่นดินให้ดีเหมือนเดิม และเพื่อคืนแผ่นดินร้างเปล่าที่เป็นมรดกนี้ให้ประชาชนของเรา’” ตามท้องเรื่องเดิมพระยะโฮวาพูดกับอิสยาห์และใช้ตัวเขาเป็นภาพเปรียบเทียบกับชาติอิสราเอล (อสย 49:3) เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับการฟื้นฟู และเกิดขึ้นจริงครั้งแรกตอนที่ชาวอิสราเอลถูกปล่อยจากบาบิโลน พวกเขาเป็นเหมือนคนที่ถูกคุมขังและมีคำสั่งว่า “ออกมาเถอะ” หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับไปที่บ้านเกิด และฟื้นฟูแผ่นดินที่ถูกทำให้รกร้างมานาน—อสย 49:9
แต่ถึงอย่างนั้น ในข้อ 8 บอกว่า “เราจะปกป้องเจ้าเพื่อให้เจ้าเป็นหลักประกันให้กับประชาชน” และในข้อ 6 ก็บอกว่า “ผู้รับใช้” ของพระยะโฮวาจะเป็น “แสงสว่างของชาติต่าง ๆ เพื่อที่การช่วยให้รอดของ [พระเจ้า] จะไปถึงสุดขอบโลก” ซึ่งคำพยากรณ์นี้พูดถึงเมสสิยาห์หรือพระเยซูคริสต์ที่เป็น “ผู้รับใช้” ของพระยะโฮวา (เทียบอสย 42:1-4, 6, 7 กับมธ 12:18-21) เนื่องจาก ‘ในเวลาที่พระเจ้าเมตตา’ หมายถึงช่วงเวลาที่พระยะโฮวา “ฟัง” และ “ช่วย” ผู้รับใช้ของพระองค์ นี่ต้องหมายถึงตอนที่พระเยซูมีชีวิตอยู่บนโลก และท่าน “อธิษฐานขอและอ้อนวอนเสียงดังทั้งน้ำตาต่อพระเจ้าผู้ที่ช่วยท่านให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้ารับฟังท่านเพราะท่านเกรงกลัวพระองค์” (ฮบ 5:7-9; เทียบกับ ยน 12:27, 28; 17:1-5; ลก 22:41-44; 23:46) นี่เป็น “วันแห่งความรอด” สำหรับพระเยซูเนื่องจากท่านรักษาความซื่อสัตย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ท่านเลย “ได้รับหน้าที่ให้ช่วยเหลือทุกคนที่เชื่อฟังท่านให้ได้รับความรอดตลอดไป”—ฮบ 5:9
นอกจากนั้น คำพยากรณ์ที่เปาโลยกขึ้นมายังใช้ได้กับคริสเตียนผู้ถูกเจิมด้วย เปาโลพูดกับพวกเขาว่า “อย่ารับความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แล้วไม่ทำตามจุดมุ่งหมายของความกรุณานั้น” และหลังจากยกข้อความในอิสยาห์ 49:8 ขึ้นมาเปาโลบอกพวกเขาว่า “ตอนนี้แหละเป็นเวลาที่พระเจ้าเมตตาเราเป็นพิเศษและเป็นวันแห่งความรอด” (2
คร 6:1, 2) คริสเตียนกลุ่มนี้ได้กลายมาเป็น “อิสราเอลของพระเจ้า” ตั้งแต่วันเพ็นเทคอสต์ปี ค.ศ. 33 (กท 6:16) แต่พวกเขาเองก็ต้องพิสูจน์ด้วยว่าคู่ควรกับความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเพื่อ “เวลาที่พระเจ้าเมตตา” จะเป็น “วันแห่งความรอด” สำหรับพวกเขา
วันที่ 6-12 เมษายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 50-51
ให้ฟังคนที่พระยะโฮวาสอน
ผู้รับใช้ได้รับการฝึกสอนจากราชอาณาจักร
5 เมื่อถึงเวลา พระยะโฮวาก็สอนลูกให้รู้ว่าจะต้องทำงานอะไรบ้างบนแผ่นดินโลก ขอให้คิดถึงคำพยากรณ์หนึ่งที่พูดถึงความรักความผูกพันระหว่างครูที่ยอดเยี่ยมที่สุดกับลูกชายคนแรกของท่าน (อ่านยะซายา 50:4, 5) คำพยากรณ์ข้อนั้นบอกว่าพระยะโฮวาปลุกลูกของพระองค์ “ทุก ๆ เช้า” คำพูดนี้ชวนให้นึกถึงครูที่ไปปลุกนักเรียนให้ตื่นขึ้นแต่เช้าเพื่อสอนเขา หนังสืออ้างอิงเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนึ่งบอกว่า คำพูดนี้ “เหมือนกับว่าพระยะโฮวา . . . พาลูกเข้าโรงเรียน . . . แล้วก็สอนลูกให้รู้ว่าจะประกาศเรื่องอะไรและประกาศอย่างไร” พระยะโฮวาสอนลูกของพระองค์ใน “โรงเรียน” บนสวรรค์ให้รู้ว่าจะ “พูดอะไรและพูดอย่างไร” (โย. 12:49, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) แล้วพ่อก็ยังสอนลูกให้รู้วิธีที่จะสอนคนอื่นด้วย ขณะที่อยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูไม่เพียงนำความรู้ที่ร่ำเรียนจากพ่อไปใช้ในงานประกาศของท่าน เท่านั้น แต่ยังฝึกสอนสาวกให้ทำงานรับใช้ของพวกเขา ได้อย่างเกิดผลด้วย
“เรารักพระบิดา”
13 ขณะอยู่ในสวรรค์ก่อนมาเป็นมนุษย์ พระบุตรได้ทรงเรียนรู้จากพระบิดาอย่างกระตือรือร้น. คำพยากรณ์ที่บันทึกในยะซายา 50:4-6 เปิดเผยว่าพระยะโฮวาทรงให้การศึกษาเป็นพิเศษแก่พระบุตรในเรื่องบทบาทของพระองค์ฐานะพระมาซีฮา. ถึงแม้การศึกษาดังกล่าวรวมไปถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับความยากลำบากบางอย่างซึ่งจะเกิดขึ้นกับพระองค์ฐานะผู้ถูกเจิมของพระยะโฮวา พระบุตรก็ได้เรียนรู้อย่างกระตือรือร้น. ต่อมา หลังจากพระเยซูเสด็จมายังแผ่นดินโลกและเจริญวัยเป็นผู้ใหญ่ พระองค์ก็ยังคงกระตือรือร้นที่จะไปราชสำนักของพระบิดาและเข้าร่วมในการนมัสการและการเรียนรู้ที่พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้มีขึ้นที่นั่น. ด้วยเหตุนี้ คัมภีร์ไบเบิลรายงานเรื่องที่พระเยซูเข้าร่วมเป็นประจำที่พระวิหารและธรรมศาลา. (ลูกา 4:16; 19:47) หากเราต้องการให้ความรักที่เรามีต่อพระยะโฮวาคงอยู่และเจริญงอกงาม เราต้องขยันขันแข็งในการเข้าร่วมการประชุมคริสเตียน สถานที่ซึ่งเรานมัสการพระยะโฮวาและทำให้ความรู้และความหยั่งรู้ค่าที่เรามีต่อพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
คุณพร้อมจะ “รับโลกเป็นรางวัล” ไหม?
ตอนที่พระยะโฮวาสั่งมนุษย์ให้ “มีอำนาจเหนือแผ่นดิน” พระองค์กำลังบอกว่าในที่สุดโลกทั้งโลกจะกลายเป็นสวนอุทยาน (ปฐก. 1:28) ทุกคนที่จะมีชีวิตตลอดไปต้องเชื่อฟังคำสั่งนี้ด้วย แต่ไม่เหมือนกับมนุษย์คู่แรกที่ได้อยู่ในสวนเอเดนอยู่แล้วและค่อย ๆ ขยายสวนอุทยานไปทั้งโลก หลังอาร์มาเกดโดน เราต้องเริ่มจากการเก็บกวาดซากปรักหักพังทั้งโลก มันต้องเป็นงานมหาศาลจริง ๆ!
นี่ทำให้เราคิดถึงชาวอิสราเอลตอนที่พวกเขากลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน บ้านเกิดของพวกเขาไม่มีคนอาศัยอยู่นานถึง 70 ปี แต่อิสยาห์ก็บอกล่วงหน้าว่าพระยะโฮวาจะอวยพรให้พวกเขาสามารถกลับมาฟื้นฟูแผ่นดินเกิดของตัวเองได้ อิสยาห์บอกว่า “พระองค์จะทำให้ที่กันดารของศิโยนเป็นเหมือนสวนเอเดนและทำให้ที่ราบกันดารเป็นเหมือนสวนของพระยะโฮวา” (อสย. 51:3) และเราก็เห็นว่าพระยะโฮวาช่วยให้ชาวอิสราเอลทำสำเร็จจริง ๆ นี่ทำให้เราแน่ใจว่าในอนาคตพระยะโฮวาจะอวยพรให้คนที่อยู่บนโลกตอนนั้นทำให้โลกเป็นสวนอุทยานได้สำเร็จเหมือนกัน แล้วมีอะไรที่คุณสามารถทำได้ตั้งแต่ตอนนี้เพื่อแสดงว่าคุณอยากมีส่วนร่วมในการทำให้โลกเป็นสวนอุทยาน?
วันที่ 13-19 เมษายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 52-53
พระเยซูแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่
เยาวชนทั้งหลาย—จงต้านทานแรงกดดันจากคนรุ่นเดียวกัน
2 คนรุ่นเดียวกันมีอิทธิพลอย่างมากต่อคุณไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุใด? อาจเป็นได้ไหมว่าคุณต้องการให้พวกเขายอมรับคุณ? ไม่ผิดที่จะมีความปรารถนาอย่างนั้น. ที่จริง ผู้ใหญ่ก็ต้องการได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างด้วย. ไม่มีใครชอบรสชาติอันขมขื่นของการถูกปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวหรือผู้สูงอายุ. แต่ตามความเป็นจริงแล้วการยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องจะไม่ทำให้เราได้รับการยกย่องจากคนอื่นเสมอไป. แม้แต่พระเยซูก็เคยมีประสบการณ์เช่นนั้น. ถึงกระนั้น พระเยซูทรงทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ. ในขณะที่บางคนติดตามและเป็นสาวกของพระองค์ คนอื่น ๆ ดูถูกพระบุตรของพระเจ้าและ ‘หาได้นับถือพระองค์ไม่.’—ยซา. 53:3
เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและทำให้พระยะโฮวาพอใจ
15 ช่วงเดือนท้าย ๆ ที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านเจอเรื่องที่เครียดมากหลายเรื่อง ท่านรู้ว่าจะต้องถูกประหารและตายอย่างทรมาน (ยน. 3:14, 15; กท. 3:13) ไม่นานก่อนที่ท่านจะตาย ท่านบอกว่าท่านทุกข์ใจจริง ๆ (ลก. 12:50) และไม่กี่วันก่อนที่ท่านจะตาย ท่านก็บอกว่า “ผมทุกข์ใจมาก” นอกจากนั้น คำอธิษฐานของท่านทำให้เรารู้เลยว่าท่านถ่อมและเชื่อฟังพระยะโฮวาขนาดไหน ท่านอธิษฐานระบายความรู้สึกว่า “พ่อครับ ขอช่วยผมให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ แต่ถึงยังไง ผมก็ต้องเจอกับความทุกข์ครั้งนี้ ที่ผมมาก็เพราะเหตุผลนี้ พ่อครับ ขอให้ชื่อของพระองค์ได้รับการยกย่อง” (ยน. 12:27, 28) เมื่อเวลานั้นมาถึง พระเยซูก็กล้าออกมาแสดงตัวกับศัตรูของพระเจ้าซึ่งจะประหารท่านในแบบที่เจ็บปวดและน่าอับอายที่สุด แม้พระเยซูจะเครียดและเป็นทุกข์มาก ท่านก็ทำตามความต้องการของพระเจ้าด้วยความถ่อม เราบอกได้เลยว่าพระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของคนที่แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อเจอความเครียด—อ่านอิสยาห์ 53:7, 10
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
พระยะโฮวาอยากให้ประชาชนของพระองค์เป็นคนสะอาด
9 การนมัสการที่บริสุทธิ์ เราต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับศาสนาเท็จอย่างเด็ดขาด ตอนที่ชาวอิสราเอลเป็นเชลยในบาบิโลน พวกเขาอยู่ท่ามกลางคนที่นับถือศาสนานอกรีตที่ทำผิดศีลธรรม ตอนอิสยาห์พยากรณ์ว่าชาวอิสราเอลจะได้ออกจากบาบิโลน และกลับไปบ้านเกิดเพื่อฟื้นฟูการนมัสการบริสุทธิ์ พระยะโฮวาสั่งพวกเขาว่า “ออกมาจากที่นั่น อย่าแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด . . . ออกมาจากที่นั่นและรักษาตัวให้สะอาด” การนมัสการของพวกเขาต้องไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคำสอน ธรรมเนียม และประเพณีของศาสนาเท็จในบาบิโลน—อิสยาห์ 52:11
10 ในทุกวันนี้ คริสเตียนแท้ก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับศาสนาเท็จ (อ่าน 1 โครินธ์ 10:21) คนทั่วไปในโลกมักจะทำตามธรรมเนียม ประเพณี และความเชื่อที่มาจากคำสอนของศาสนาเท็จ ตัวอย่างเช่น ผู้คนในหลายวัฒนธรรมเชื่อว่ามีบางอย่างที่อยู่ในตัวเรายังมีชีวิตอยู่หลังจากที่เราตายไปแล้ว และธรรมเนียมหลายอย่างก็มาจากความเชื่อนี้ (ปัญญาจารย์ 9:5, 6, 10) คริสเตียนแท้จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงธรรมเนียมแบบนี้ คนในครอบครัวอาจกดดันเราให้เข้าร่วม แต่เราจะไม่ยอมแพ้แรงกดดันจากพวกเขา เพราะเราอยากให้พระยะโฮวามองว่าเราเป็นคนสะอาด—กิจการ 5:29
วันที่ 20-26 เมษายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 54-55
คุณเต็มใจเสียสละอะไรบ้างเพื่อได้รับการสอนจากพระยะโฮวา?
คุณค่าอันล้ำเลิศของการศึกษาที่มาจากพระเจ้า
3 ด้วยความดีของพระองค์ พระยะโฮวาทรงยินดีสอนมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์. ยะซายา 54:13 (ล.ม.) พยากรณ์ถึงคริสเตียนผู้ถูกเจิมว่า “บุตรทั้งสิ้นของเจ้าจะเป็นบุคคลที่ได้รับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา และสันติสุขแห่งเหล่าบุตรของเจ้าจะมีบริบูรณ์.” หลักการในคำตรัสดังกล่าวใช้ได้กับ “แกะอื่น” ของพระคริสต์ด้วยเช่นกัน. (โย. 10:16) เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากคำพยากรณ์ที่กำลังสำเร็จเป็นจริงในสมัยของเรา. ยะซายาห์เห็นในนิมิตว่ามีผู้คนจากทุกชาติหลั่งไหลมายังการนมัสการแท้. ท่านพรรณนาถึงคนเหล่านั้นที่พูดชวนกันว่า “ให้เราขึ้นไปยังภูเขาของพระเจ้า ยังพระนิเวศแห่งพระเจ้าของยาโคบ เพื่อพระองค์จะทรงสอนวิถีของพระองค์แก่เรา และเพื่อเราจะเดินในมรรคาของพระองค์.” (ยซา. 2:1-3, ฉบับ R73) ช่างเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้รับการสอนจากพระเจ้า!
“ซื้อความจริงไว้และอย่าขายเลย”
6 อ่านอิสยาห์ 55:1-3 พระยะโฮวาช่วยให้เราเข้าใจว่าการ “ซื้อความจริง” หมายถึงอะไร ในอิสยาห์ที่เพิ่งอ่านไปเราเห็นว่า พระองค์เปรียบถ้อยคำของพระองค์ซึ่งก็คือความจริงเหมือนกับน้ำ นม และเหล้าองุ่น คนที่หิวน้ำพอได้ดื่มน้ำเย็น ๆ ก็ทำให้รู้สึกสดชื่น ความจริงก็ทำให้เราสดชื่นเหมือนกัน ส่วนนมช่วยให้เด็กเติบโตแข็งแรงขึ้น ความจริงก็ทำให้ความเชื่อเราเข้มแข็งขึ้นและสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น แล้วที่พระยะโฮวาเปรียบคำของพระองค์เป็นเหมือนเหล้าองุ่นล่ะ หมายถึงอะไร? เหล้าองุ่นทำให้ใจเบิกบาน (สดุดี 104:15) ดังนั้น ที่พระยะโฮวาบอกว่าให้เรา “มาเอาเหล้าองุ่น” พระองค์กำลังบอกว่าถ้าเราทำตามคำแนะนำของพระองค์ เราก็จะมีความสุข (สดุดี 19:8) พระยะโฮวาใช้การเปรียบเทียบนี้เพื่อช่วยเราให้เข้าใจว่าเราจะได้ประโยชน์อะไรถ้าเราเรียนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและเอาไปใช้ ตอนนี้ให้เรามาดู 5 อย่างที่เราต้องสละเพื่อซื้อความจริง
คุณได้สละอะไรบ้างเพื่อซื้อความจริง?
7 เวลา มันต้องใช้เวลาเพื่อฟังตอนที่มีคนมาบอกเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า อ่านคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือขององค์การ ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา เตรียมการประชุมและไปประชุม เพื่อจะทำทั้งหมดนี้ได้เราต้องสละเวลาที่เคยเอาไปทำอย่างอื่นที่สำคัญน้อยกว่า (อ่านเอเฟซัส 5:15, 16 และเชิงอรรถ) การเรียนความรู้พื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลต้องใช้เวลานานเท่าไร? คำตอบคือแต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน การเรียนเกี่ยวกับสติปัญญาของพระยะโฮวา แนวทางของพระองค์ และสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทำ เป็นสิ่งที่เราเรียนได้ไม่มีวันจบ (โรม 11:33) หอสังเกตการณ์ ฉบับแรกได้เปรียบเทียบความจริงกับ “ดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ดอกหนึ่ง” บทความนั้นบอกว่า “อย่าพอใจกับดอกไม้แห่งความจริงแค่ดอกเดียว ถ้าพอใจแค่นั้นก็จะมีอยู่แค่นั้น ดังนั้น ให้พยายามหามาเพิ่มเรื่อย ๆ” เราต้องถามตัวเองว่า ‘ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวามากแค่ไหนแล้ว?’ ถึงแม้ในอนาคตเราจะได้อยู่ตลอดไป แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับพระองค์ที่เราจะเรียนได้ไม่รู้จบ ถึงอย่างนั้น เป็นเรื่องสำคัญมากในตอนนี้ที่เราต้องใช้เวลาเรียนเรื่องพระองค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของบางคนที่ทำแบบนั้น
“จงเอาใจใส่ว่า ท่านทั้งหลายฟังอย่างไร”
มีอุปสรรคหลายอย่างขัดขวางไม่ให้เราตั้งใจฟัง. จิตใจของเราอาจเต็มไปด้วยความกังวล. เสียงรบกวนและการเคลื่อนไหวในหมู่ผู้ฟังหรือจากภายนอกห้องประชุมอาจทำให้จิตใจของเราวอกแวก. ร่างกายที่ไม่สบายอาจทำให้ยากที่เราจะเอาใจจดจ่อ. บ่อยครั้ง ผู้มีบุตรเล็ก ๆ พบว่าตนเองไม่อาจจดจ่ออยู่กับการประชุมได้. อะไรจะช่วยเราได้ให้จดจ่อกับระเบียบวาระอยู่เสมอ?
ดวงตามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อสิ่งที่เราจดจ่อ. เพื่อช่วยคุณให้มีใจจดจ่อ จงให้ดวงตาของคุณจับจ้องอยู่ที่ผู้บรรยาย. เมื่อผู้บรรยายอ้างถึงข้อคัมภีร์ แม้เป็นข้อที่คุ้นเคย ก็ควรเปิดและดูตามขณะที่เขาอ่าน. จงต้านทานความต้องการที่จะหันหน้าไปยังทิศทางที่มีเสียงรบกวนหรือการเคลื่อนไหวใด ๆ. หากตาของคุณทำให้จิตใจเต็มไปด้วยข้อมูลที่ทำให้วอกแวก คุณก็จะพลาดสิ่งที่มีการเสนอจากเวทีไปไม่น้อย.
หาก “ความสาละวนในใจ” ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ทำให้ยากที่คุณจะจดจ่อกับการประชุม จงอธิษฐานขอพระยะโฮวาเพื่อมีจิตใจและหัวใจสงบซึ่งจำเป็นต่อการเอาใจใส่การประชุม. (เพลง. 94:19; ฟิลิป. 4:6, 7) หากจำเป็น จงอธิษฐานขอซ้ำ ๆ. (มัด. 7:7, 8) การประชุมต่าง ๆ ในประชาคมเป็นการจัดเตรียมจากพระยะโฮวา. คุณจึงมั่นใจได้ว่าพระองค์ประสงค์ให้คุณได้รับประโยชน์จากการประชุมเหล่านั้น.—1 โย. 5:14, 15.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
“ไม่ต้องกังวล เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า”
14 ข้อเท็จจริงอย่างที่ 1 คือ ในฐานะที่เราเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ เราคาดหมายได้เลยว่าเราจะโดนเกลียด (มธ. 10:22) พระเยซูบอกล่วงหน้าว่าสาวกของท่านจะถูกข่มเหงอย่างหนักในสมัยสุดท้าย (มธ. 24:9; ยน. 15:20) ข้อเท็จจริงอย่างที่ 2 ก็คือคำพยากรณ์ของอิสยาห์เตือนเราล่วงหน้าว่า ศัตรูจะไม่ใช่แค่เกลียดเราเท่านั้น แต่พวกเขาจะใช้อาวุธหลายอย่างมาทำร้ายเรา อาวุธเหล่านั้นมีทั้งการโกหกแบบมีเล่ห์เลี่ยม การใส่ร้าย และการข่มเหงอย่างโหดเหี้ยม (มธ. 5:11) พระยะโฮวาจะไม่ขัดขวางศัตรูไม่ให้ใช้อาวุธเหล่านี้มาทำร้ายเรา (อฟ. 6:12; วว. 12:17) แต่เราไม่ต้องกลัว เพราะอะไร?
15 ข้อเท็จจริงอย่างที่ 3 ซึ่งเราต้องจำไว้ก็คือ พระยะโฮวาบอกว่า “ไม่มีอาวุธอะไรที่สร้างขึ้นมาต่อสู้เจ้าจะทำอะไรเจ้าได้” เหมือนกับกำแพงที่ป้องกันพายุฝนที่พัดกระหน่ำ พระยะโฮวาก็ปกป้องคุ้มครองเราให้พ้นจาก “ผู้กดขี่” (อ่านอิสยาห์ 25:4, 5) ศัตรูเหล่านั้นจะไม่มีทางทำให้เราได้รับผลเสียอย่างถาวร—อสย. 65:17
วันที่ 27 เมษายน–3 พฤษภาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 56-57
พวกเรามีความสุขที่มีพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของเรา
ip-2 น. 269 ว. 14-16-คมปอ
พระยะโฮวายกคนที่ต่ำต้อยขึ้น
14 แต่ถึงอย่างนั้น ช่วงเวลาที่พระเจ้าอดทนมาอย่างยาวนานก็จะจบลง พระยะโฮวาพูดถึงช่วงเวลานั้นว่า “เราจะทำให้ผู้คนรู้ถึงความดีจอมปลอมของเจ้า และทำให้รู้ว่าการงานของเจ้ามันไร้ประโยชน์ เมื่อเจ้าร้องขอความช่วยเหลือ รูปเคารพที่เจ้าสะสมไว้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ลมจะพัดเอาพวกมันไปหมด ขนาดลมหายใจก็พัดพวกมันไปได้” (อิสยาห์ 57:12, 13ก) พระยะโฮวาจะเปิดโปงที่ชาวยูดาห์เป็นคนเสแสร้ง สิ่งที่พวกเขาทำไม่มีประโยชน์อะไรเลย และ ‘รูปเคารพที่พวกเขาสะสมไว้’ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ตอนที่หายนะเกิดขึ้นแค่ลมหายใจก็พัดพระต่าง ๆ ที่พวกเขาวางใจไปหมด
15 คำพูดของพระยะโฮวาเกิดขึ้นจริงในปี 607 ก่อน ค.ศ. ตอนที่กษัตริย์เนบูคัสเนสซาร์ของบาบิโลนทำลายกรุงเยรูซาเล็ม เผาวิหาร และจับผู้คนส่วนใหญ่ไปเป็นเชลย “ชาวยูดาห์จึงถูกบังคับให้ออกไปจากแผ่นดินของตัวเอง”—2 พงศ์กษัตริย์ 25:1-21
16 คล้ายกัน รูปเคารพต่าง ๆ มากมายที่คริสตจักรสะสมไว้ก็ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้ในวันที่พระยะโฮวาโกรธ (อิสยาห์ 2:19-22; 2 เธสะโลนิกา 1:6-10) พวกเขากับศาสนาเท็จอื่น ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ “บาบิโลนใหญ่” จะถูกทำลาย สัตว์ร้ายสีแดงเข้มกับเขาสิบเขาของมันจะ “ทำลาย [บาบิโลนใหญ่] ทำให้เธอเปลือยกาย กัดกินเนื้อเธอ และเอาไฟเผาจนไม่เหลือซาก” (วิวรณ์ 17:3, 16, 17) เรามีความสุขมากที่เชื่อฟังคำสั่งว่า “ประชาชนของเรา พวกคุณต้องออกมาจากเมืองนี้ ถ้าไม่อยากมีส่วนร่วมในบาปของเมืองนี้และรับภัยพิบัติพร้อมกับเมืองนี้”! (วิวรณ์ 18:4, 5) ขอให้เราตั้งใจที่จะไม่กลับไปหาหรือมีส่วนร่วมกับบาบิโลนใหญ่
“รัฐบาลของผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้”
16 เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบนี้ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าผู้คนในโลกเป็นเหมือนกับทะเลคลั่งที่ไม่เคยสงบ (อิสยาห์ 17:12; 57:20, 21; วิวรณ์ 13:1) การเมืองทำให้ประชาชนวุ่นวาย แตกแยก และมีแต่ความรุนแรง แต่พวกเราอยู่อย่างสงบและเป็นหนึ่งเดียว เมื่อพระยะโฮวามองผู้คนในโลกที่แตกแยกนี้ พระองค์จะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ ที่เห็นคนของพระองค์ยังเป็นหนึ่งเดียวกันได้—อ่านเศฟันยาห์ 3:17
it “ความสงบสุข” ว. 3-คมปอ
ความสงบสุข
การมีความสงบสุข พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ให้สันติสุข (1คร 14:33; 2คร 13:11; 1ธส 5:23; ฮบ 13:20) และทำให้เกิดความสงบสุข (กดว 6:26; 1พศ 22:9; สด 4:8; 29:11; 147:14; อสย 45:7; รม 15:33; 16:20) คุณลักษณะนี้เป็นผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้า (กท 5:22) ดังนั้น คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าเท่านั้นถึงจะมีความสงบสุขที่แท้จริง คนที่ทำผิดร้ายแรงก็ทำให้ความสัมพันธ์กับพระเจ้าเสียหาย และเขาก็จะรู้สึกไม่สบายใจ ผู้เขียนสดุดีบอกว่า “ผมไม่มีความสงบสุขเลยเพราะบาปของผม” (สด 38:3) คนที่อยากมีความสงบสุขและพยายามตามหามันก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งที่บอกว่า “เลิกทำชั่วเถอะ และขอให้ทำดี” (สด 34:14) คนที่ไม่ทำดีก็จะไม่มีความสงบสุข (สด 72:3; 85:10; อสย 32:17) นี่เลยเป็นเหตุผลที่คนชั่วจะไม่มีความสงบสุข (อสย 48:22; 57:21; เทียบกับ อสย 59:2-8) ในอีกแง่หนึ่ง คนที่อุทิศชีวิตให้พระยะโฮวา รักกฎหมายของพระองค์ และทำตามที่พระองค์สั่งจะมีความสงบสุข—สด 119:165; อสย 48:18
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
จุดเด่นจากพระธรรมยะซายา—ตอนที่สอง
56:6—ใครคือ “คนต่างชาติ” และพวกเขา “ถือมั่นตามสันถวไมตรี [“สัญญา,” ล.ม.] ของ [พระยะโฮวา]” ในทางใด? “คนต่างชาติ” หมายถึง “แกะอื่น” ของพระเยซู. (โยฮัน 10:16) พวกเขายึดถือสัญญาใหม่ในแง่ที่ว่าพวกเขาเชื่อฟังกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสัญญานั้น, ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับการจัดเตรียมที่ผ่านทางสัญญานั้น, รับอาหารฝ่ายวิญญาณอย่างเดียวกับที่คริสเตียนผู้ถูกเจิมรับ, และสนับสนุนผู้ถูกเจิมในงานประกาศราชอาณาจักรและงานทำให้คนเป็นสาวก.
การแสดงความนับถือต่อการชุมนุมอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา
พระยะโฮวาได้รวบรวมประชาชนของพระองค์ คือคริสเตียนผู้ถูกเจิมและสหายของพวกเขา ให้มานมัสการพระองค์ที่ “ภูเขาบริสุทธิ์” ของพระองค์. พระองค์กำลังทำให้พวกเขาชื่นชมยินดีอยู่ใน “นิเวศอธิษฐาน” ของพระองค์ คือพระวิหารฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็น “นิเวศอธิษฐานสำหรับบรรดาชนชาติทั้งหลาย.” (ยะซายา 56:7, ฉบับแปลใหม่; มาระโก 11:17) เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงว่าการนมัสการของพระยะโฮวานั้นบริสุทธิ์, ปราศจากมลทิน, และสูงส่ง. โดยแสดงความนับถืออย่างเหมาะสมต่อการประชุมของเราเพื่อศึกษาและนมัสการ เราพิสูจน์ว่าเรามีทัศนะแบบเดียวกับพระยะโฮวาในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์.