ข่าวดีที่เรียบเรียงโดยมาระโก
1 นี่คือตอนเริ่มต้นแห่งข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์. 2 ตามที่เขียนไว้ในหนังสือของผู้พยากรณ์ยะซายาห์ว่า “(ดูเถิด! เราจะใช้ผู้ส่งข่าวของเราไปก่อนเจ้า ผู้นั้นจะเตรียมทางไว้ให้เจ้า)* 3 จงฟังเถิด! มีผู้หนึ่งร้องอยู่ในถิ่นทุรกันดารว่า ‘เจ้าทั้งหลายจงเตรียมทางไว้สำหรับพระยะโฮวา จงทำทางของพระองค์ให้ตรง’ ” 4 โยฮันผู้ให้บัพติสมาจึงปรากฏตัวในถิ่นทุรกันดารและประกาศว่าผู้คนต้องรับบัพติสมา*เพื่อแสดงการกลับใจจึงจะได้รับการอภัยบาป. 5 ดังนั้น ผู้คนทั่วแคว้นยูเดียและที่อาศัยในกรุงเยรูซาเลมจึงออกไปหาเขาและรับบัพติสมาจากเขาที่แม่น้ำจอร์แดน และสารภาพบาปของตนอย่างเปิดเผย. 6 โยฮันนุ่งห่มผ้าขนอูฐ คาดเอวด้วยหนังสัตว์ และกินตั๊กแตนกับน้ำผึ้งป่าเป็นอาหาร. 7 และเขาประกาศว่า “จะมีผู้หนึ่งซึ่งเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้าเสด็จมาภายหลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะก้มลงแก้สายฉลองพระบาทของพระองค์. 8 ข้าพเจ้าให้บัพติสมาแก่พวกท่านด้วยน้ำ แต่พระองค์จะให้บัพติสมาแก่พวกท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์.”
9 ในช่วงนั้นพระเยซูเสด็จมาจากเมืองนาซาเรทในแคว้นแกลิลีและทรงรับบัพติสมาจากโยฮันในแม่น้ำจอร์แดน. 10 ทันทีที่พระองค์เสด็จขึ้นจากน้ำก็ทรงเห็นท้องฟ้าแยกออก และทรงเห็นพระวิญญาณลงมาบนพระองค์ดุจนกพิราบ 11 และมีเสียงตรัสจากฟ้าว่า “เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจเจ้ามาก.”
12 ในทันทีนั้นเอง พระวิญญาณได้กระตุ้นพระองค์ให้เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร. 13 พระองค์ทรงอยู่ในถิ่นทุรกันดารนั้นสี่สิบวัน ถูกซาตานล่อใจ และทรงอยู่กับสัตว์ป่า แต่มีเหล่าทูตสวรรค์คอยรับใช้พระองค์.
14 หลังจากโยฮันถูกจับกุม พระเยซูเสด็จไปยังแคว้นแกลิลี ทรงประกาศข่าวดีของพระเจ้า 15 และตรัสว่า “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว และราชอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว. เจ้าทั้งหลายจงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด.”
16 ขณะที่ทรงดำเนินเลียบชายฝั่งทะเลแกลิลี* พระองค์ทรงเห็นซีโมนกับอันเดรอัสน้องชายกำลังตีอวนอยู่ในทะเล เพราะทั้งสองเป็นชาวประมง. 17 พระเยซูจึงตรัสกับเขาทั้งสองว่า “ตามเรามาเถิด แล้วเราจะให้เจ้าเป็นผู้จับคน.” 18 ทั้งสองจึงละอวนแล้วตามพระองค์ไปทันที. 19 และเมื่อทรงดำเนินต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง พระองค์ทรงเห็นยาโกโบบุตรเซเบเดอุสกับโยฮันน้องชายกำลังชุนอวนอยู่ในเรือ 20 พระองค์จึงทรงเรียกพวกเขาทันที. เขาทั้งสองจึงละเซเบเดอุสบิดาของตนไว้ในเรือกับพวกลูกจ้างแล้วตามพระองค์ไป. 21 แล้วพระองค์กับพวกเขาก็เข้าไปในเมืองคาเปอร์นาอุม.
พอถึงวันซะบาโต* พระเยซูทรงเข้าไปสอนในธรรมศาลา. 22 ผู้คนต่างอัศจรรย์ใจในวิธีสอนของพระองค์เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขาอย่างผู้ที่ได้รับอำนาจจากพระเจ้า ไม่เหมือนพวกอาลักษณ์. 23 ขณะนั้น ชายคนหนึ่งซึ่งถูกกายวิญญาณโสโครกสิงตะโกนขึ้นในธรรมศาลา 24 ว่า “เยซูชาวนาซาเรท ท่านมายุ่งกับพวกข้าทำไม? ท่านมาทำลายพวกข้าหรือ? ข้ารู้ดีว่าท่านเป็นใคร ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า.” 25 แต่พระเยซูทรงห้ามมันว่า “เงียบ! ออกมาจากเขาเสีย!” 26 กายวิญญาณโสโครกทำให้ชายคนนั้นชัก และมันร้องจนสุดเสียงแล้วออกมาจากเขา. 27 คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจยิ่งจนพูดกันว่า “อะไรกัน? การสอนแบบใหม่*หรือนี่! เขามีอำนาจสั่งได้แม้แต่กายวิญญาณโสโครก และพวกมันก็ฟังเขา.” 28 กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วแคว้นแกลิลีทันที.
29 และทันทีที่ออกจากธรรมศาลา พระเยซูกับสาวกก็ไปยังบ้านของซีโมนกับอันเดรอัส ยาโกโบและโยฮันก็ไปด้วย. 30 ขณะนั้นแม่ยายของซีโมนนอนป่วยเป็นไข้อยู่ พวกเขาจึงทูลเรื่องนางให้พระองค์ทราบทันที. 31 พระเยซูจึงทรงไปหานาง ทรงจับมือนางพยุงให้ลุกขึ้น นางก็หายไข้แล้วจึงปรนนิบัติพระองค์กับพวกเขา.
32 พอพลบค่ำ เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว ผู้คนก็พาบรรดาคนป่วยและคนถูกปิศาจสิงมาหาพระองค์ 33 และคนทั้งเมืองก็ออกันอยู่ที่ประตู. 34 พระองค์จึงทรงรักษาคนเป็นอันมากที่ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ และทรงขับปิศาจหลายตน แต่ทรงห้ามไม่ให้ปิศาจเหล่านั้นพูด เพราะพวกมันรู้ว่าพระองค์คือพระคริสต์.*
35 ในตอนเช้าตรู่ ขณะที่ยังมืดอยู่ พระองค์ทรงลุกขึ้นแล้วเสด็จออกไปยังที่ห่างไกลผู้คนและทรงอธิษฐานที่นั่น. 36 แต่ซีโมนกับคนอื่นที่อยู่ด้วยพากันตามหาพระองค์ 37 เมื่อพบแล้วพวกเขาทูลพระองค์ว่า “คนทั้งปวงตามหาพระองค์อยู่.” 38 แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเราไปที่อื่นกันเถิด เข้าไปตามเมืองใกล้ ๆ นี้ เพื่อเราจะประกาศที่นั่นด้วย เพราะที่เรามาก็ด้วยจุดประสงค์นี้.” 39 แล้วพระองค์ทรงไปประกาศในธรรมศาลาทั่วแคว้นแกลิลีและทรงขับปิศาจ.
40 มีคนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์ เขาถึงกับคุกเข่าลงทูลอ้อนวอนพระองค์ว่า “ขอเพียงพระองค์ต้องการ พระองค์จะทรงทำให้ข้าพเจ้าหายได้.” 41 พระองค์ทรงรู้สึกสงสารเขา จึงทรงยื่นพระหัตถ์ออกแตะตัวเขาและตรัสว่า “เราต้องการ. จงหายโรคเถิด.” 42 เขาก็หายจากโรคเรื้อนทันที. 43 แล้วพระองค์ทรงกำชับเขาและให้เขาไปทันที 44 โดยตรัสกับเขาว่า “อย่าบอกเรื่องนี้แก่ใคร แต่จงไปให้ปุโรหิตตรวจดูและถวายสิ่งของสำหรับการที่เจ้าหายจากโรคเรื้อนตามที่โมเซได้สั่งไว้เพื่อให้พวกเขาได้เห็นหลักฐาน.” 45 แต่เมื่อชายคนนั้นไปแล้ว เขาก็เริ่มป่าวประกาศและเล่าเรื่องนั้นไปทั่วจนพระเยซูไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองใด ๆ อย่างเปิดเผยได้อีก แต่พระองค์ทรงประทับอยู่นอกเมืองในที่ห่างไกลผู้คน. ถึงกระนั้น คนทั้งหลายก็ยังพากันมาหาพระองค์จากทุกสารทิศ.
2 ต่อมาอีกไม่กี่วัน พระองค์ทรงเข้าไปในเมืองคาเปอร์นาอุมอีกและข่าวแพร่ออกไปว่าพระองค์ทรงอยู่ที่บ้าน. 2 ผู้คนจึงมาชุมนุมกันมากมายจนไม่มีที่ว่างเลยแม้แต่ที่ประตู แล้วพระเยซูได้ตรัสพระคำของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง. 3 มีชายสี่คนหามคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์. 4 แต่เมื่อพาเขาเข้าไปหาพระเยซูไม่ได้เพราะมีคนมาก พวกเขาจึงรื้อหลังคาตรงที่พระองค์ประทับอยู่ เจาะเป็นช่อง แล้วหย่อนแคร่ที่คนเป็นอัมพาตนอนอยู่ลงมา. 5 เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของพวกเขาจึงตรัสกับคนที่เป็นอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว.” 6 ขณะนั้นมีอาลักษณ์บางคนนั่งอยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาคิดในใจว่า 7 “ทำไมคนนี้พูดอย่างนี้? เขากำลังหมิ่นประมาทพระเจ้า. ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าองค์เดียว?” 8 แต่พระเยซูทรงรู้ทันทีว่าเขาคิดเช่นนั้นจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกเจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า? 9 พูดกับคนเป็นอัมพาตอย่างไหนจะง่ายกว่า จะว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘ลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าเดินไปเถิด’? 10 แต่เพื่อให้พวกเจ้ารู้ว่าบุตรมนุษย์มีอำนาจให้อภัยบาปบนแผ่นดินโลก” พระองค์จึงตรัสกับคนเป็นอัมพาตว่า 11 “เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้ากลับไปบ้านเถิด.” 12 เขาก็ลุกขึ้นยกแคร่เดินออกไปต่อหน้าคนทั้งปวงทันที พวกเขาจึงอัศจรรย์ใจยิ่งนักและพากันสรรเสริญพระเจ้า และพูดว่า “พวกเราไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้เลย.”
13 พระองค์เสด็จออกไปริมทะเลอีก ฝูงชนก็มาหาพระองค์อยู่เรื่อย ๆ และพระองค์ทรงสอนพวกเขา. 14 ขณะที่พระองค์เสด็จจากที่นั่นมาก็ทรงเห็นเลวีบุตรอัลเฟอุสนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “จงมาเป็นผู้ติดตามเราเถิด.” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป. 15 ต่อมา พระเยซูทรงนั่งเอนกายอยู่ที่โต๊ะในบ้านของเลวีและมีคนเก็บภาษีกับคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และเหล่าสาวก พวกเขาหลายคนเริ่มติดตามพระองค์แล้ว. 16 แต่เมื่อพวกอาลักษณ์ที่เป็นฟาริซาย*เห็นพระเยซูทรงรับประทานอาหารร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงพูดกับสาวกของพระองค์ว่า “เขากินอาหารร่วมกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาปหรือ?” 17 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนั้นจึงตรัสกับพวกเขาว่า “คนแข็งแรงไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ. เราไม่ได้มาเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป.”
18 สาวกของโยฮันและพวกฟาริซายต่างก็ถือศีลอดอาหาร. พวกเขาจึงมาถามพระเยซูว่า “สาวกของโยฮันและสาวกของฟาริซายล้วนแต่ถือศีลอดอาหาร แต่ทำไมสาวกของพระองค์ไม่ถือ?” 19 พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่ด้วย เพื่อนเจ้าบ่าวจะอดอาหารได้หรือ? ตราบใดที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขา พวกเขาจะอดอาหารไม่ได้. 20 แต่จะมีเวลาที่เจ้าบ่าวถูกพรากไปจากพวกเขา แล้วในเวลานั้นพวกเขาจะอดอาหาร. 21 ไม่มีใครเอาผ้าใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะถ้าทำอย่างนั้น เมื่อผ้าใหม่หด มันจะดึงผ้าเก่าให้ขาด แล้วรอยขาดจะกว้างขึ้นอีก. 22 และไม่มีใครเอาเหล้าองุ่นใหม่ใส่ถุงหนังเก่า เพราะถ้าทำอย่างนั้น เหล้าองุ่นใหม่จะทำให้ถุงหนังแตก แล้วเขาจะเสียทั้งเหล้าองุ่นและถุงหนัง. แต่เขาจะเอาเหล้าองุ่นใหม่ใส่ถุงหนังใหม่.”
23 คราวหนึ่งพระองค์ทรงเดินผ่านนาข้าวในวันซะบาโต สาวกของพระองค์เด็ดรวงข้าว. 24 พวกฟาริซายจึงไปพูดกับพระองค์ว่า “ดูเถอะ! ทำไมพวกเขาทำสิ่งที่พระบัญญัติห้ามทำในวันซะบาโต?”* 25 แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าไม่เคยอ่านหรือว่าดาวิดได้ทำอะไรเมื่อท่านกับคนของท่านอดอยากและหิวโหย? 26 คือในเรื่องราวเกี่ยวกับอะบีอาทาร์ปุโรหิตใหญ่ คราวที่ดาวิดได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและกินขนมปังที่ตั้งถวาย ซึ่งพระบัญญัติห้ามไม่ให้ผู้ใดกินเว้นแต่พวกปุโรหิต และท่านยังเอาขนมปังนั้นให้คนของท่านด้วย.” 27 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาต่อไปว่า “วันซะบาโตมีขึ้นสำหรับมนุษย์ มิใช่มีมนุษย์สำหรับวันซะบาโต 28 ฉะนั้น บุตรมนุษย์จึงเป็นเจ้าแห่งวันซะบาโตด้วย.”
3 พระเยซูเสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอีก และมีชายที่มือลีบข้างหนึ่งอยู่ที่นั่น. 2 พวกฟาริซายจึงเฝ้าดูว่าพระองค์จะรักษาชายคนนั้นในวันซะบาโต*หรือไม่ เพื่อพวกเขาจะกล่าวหาพระองค์ได้. 3 พระองค์ตรัสกับชายมือลีบนั้นว่า “ลุกขึ้นมายืนตรงกลางนี่เถิด.” 4 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ในวันซะบาโตควรทำการดีหรือทำการชั่ว ควรช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต?” แต่พวกเขานิ่งอยู่. 5 พระองค์จึงทอดพระเนตรพวกเขาที่อยู่รอบ ๆ ด้วยความเคืองพระทัยและรู้สึกเศร้าพระทัยยิ่งนักเพราะหัวใจที่ด้านชาของพวกเขา แล้วพระองค์ก็ตรัสกับชายมือลีบว่า “จงเหยียดมือออก.” เขาจึงเหยียดมือออก แล้วมือของเขาก็หายเป็นปกติ. 6 เมื่อเห็นดังนั้น พวกฟาริซายจึงออกไปหารือเรื่องพระองค์กับกลุ่มคนที่สนับสนุนเฮโรดทันทีเพื่อจะฆ่าพระองค์เสีย.
7 แต่พระเยซูเสด็จจากที่นั่นไปที่ทะเลกับพวกสาวก มีคนมากมายจากแคว้นแกลิลีกับแคว้นยูเดียตามพระองค์ไป. 8 แล้วก็มีคนมากมายจากกรุงเยรูซาเลมและแคว้นอิดูเมีย จากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนและจากแถบเมืองไทระกับซีโดนมาหาพระองค์เพราะได้ยินถึงสิ่งต่าง ๆ มากมายที่พระองค์ทรงทำ. 9 และพระเยซูทรงบอกพวกสาวกให้จัดเรือเล็กไว้สำหรับพระองค์เสมอ เพื่อฝูงชนจะไม่เข้ามาเบียดพระองค์. 10 เนื่องจากพระองค์ทรงรักษาหลายคนให้หายโรค บรรดาคนที่มีโรคร้ายจึงพากันเข้ามารุมล้อมพระองค์เพื่อจะได้สัมผัสพระองค์. 11 และเมื่อใดก็ตามที่กายวิญญาณโสโครกเห็นพระองค์ พวกมันก็จะหมอบลงเบื้องหน้าพระองค์แล้วร้องว่า “ท่านคือบุตรของพระเจ้า.” 12 แต่พระองค์ทรงกำชับพวกมันหลายครั้งไม่ให้แพร่งพรายว่าพระองค์เป็นผู้ใด.
13 แล้วพระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและทรงเรียกคนที่พระองค์ทรงประสงค์ พวกเขาก็มาหาพระองค์. 14 พระองค์ทรงเลือกสาวกสิบสองคนแล้วทรงเรียกพวกเขาว่า “อัครสาวก”* เพื่อพวกเขาจะอยู่กับพระองค์เสมอและเพื่อพระองค์จะส่งพวกเขาออกไปประกาศ 15 และให้มีอำนาจขับปิศาจ.
16 สิบสองคนที่พระองค์ทรงเลือกคือ ซีโมน ซึ่งพระองค์ทรงประทานอีกชื่อหนึ่งว่าเปโตร 17 ยาโกโบบุตรเซเบเดอุสกับโยฮันน้องชายของยาโกโบ (พระองค์ทรงประทานอีกชื่อหนึ่งแก่สองคนนี้ด้วยว่า โบอาเนอร์เยส ซึ่งแปลว่าลูกฟ้าร้อง) 18 อันเดรอัส ฟิลิป บาร์โทโลมาย มัดธาย โทมัส ยาโกโบบุตรอัลเฟอุส ทัดเดอุส ซีโมนคานาไนโอส* 19 และยูดาอิสการิโอตซึ่งต่อมาได้ทรยศพระองค์.
แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง. 20 ฝูงชนก็พากันมาอีก จนพระองค์กับสาวกไม่มีเวลาแม้แต่จะรับประทานอาหาร. 21 แต่เมื่อญาติ ๆ ของพระองค์ได้ยินเรื่องนี้ ก็พากันมาเพื่อจะเอาตัวพระองค์ไป เพราะพวกเขาพูดว่า “เขาเสียสติไปแล้ว.” 22 ฝ่ายพวกอาลักษณ์ที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเลมก็พูดว่า “เขามีเบเอลเซบูล*สิงอยู่ และเขาขับปิศาจโดยอาศัยเจ้าแห่งปิศาจ.” 23 พระองค์จึงทรงเรียกคนเหล่านั้นมา แล้วตรัสกับพวกเขาโดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบว่า “ซาตานจะขับซาตานได้อย่างไร? 24 ถ้าอาณาจักรใดแตกแยก อาณาจักรนั้นจะตั้งอยู่ไม่ได้. 25 และถ้าบ้านใดแตกแยก บ้านนั้นจะตั้งอยู่ไม่ได้. 26 เช่นกัน ถ้าซาตานลุกขึ้นต่อสู้ตัวมันเองแล้วแตกแยก มันจะอยู่ไม่ได้ แต่จะถึงจุดจบ. 27 ที่จริง ไม่มีใครจะเข้าไปในบ้านของคนแข็งแรงแล้วปล้นทรัพย์ไปได้ ถ้าไม่จับคนนั้นมัดไว้ก่อน เมื่อทำอย่างนั้นแล้วเขาจึงจะปล้นบ้านคนนั้นได้. 28 เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า บาปหรือการหมิ่นประมาทใด ๆ ที่มนุษย์ทำนั้นทรงอภัยให้ได้. 29 แต่ใครก็ตามที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้รับการอภัยเป็นนิตย์ แต่บาปของเขาจะคงอยู่ตลอดกาล.” 30 ที่ตรัสเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาพูดว่า “เขามีกายวิญญาณโสโครกสิง.”
31 ในเวลานั้น มารดากับน้องชายของพระเยซูมาหาพระองค์ พวกเขายืนคอยอยู่ข้างนอกและให้คนเข้าไปเรียกพระองค์. 32 แต่มีฝูงชนนั่งอยู่รอบพระองค์ พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “มารดากับน้องชายของท่านมาหาท่าน พวกเขาอยู่ข้างนอก.” 33 แต่พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ใครเป็นมารดาและน้องชายของเรา?” 34 แล้วพระองค์ทรงมองดูคนที่นั่งอยู่รอบ ๆ และตรัสว่า “นี่แหละ มารดาและพี่น้องของเรา! 35 ผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นก็เป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา.”
4 พระองค์ทรงสอนที่ริมทะเลอีก. และคนมากมายชุมนุมกันอยู่ใกล้พระองค์ พระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือซึ่งอยู่ห่างจากฝั่ง ส่วนคนทั้งปวงอยู่บนฝั่ง. 2 แล้วพระเยซูทรงสอนพวกเขาหลายสิ่งโดยใช้อุปมาโวหาร และขณะที่ทรงสอนนั้นพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า 3 “จงฟังเถิด มีคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช. 4 ขณะที่เขาหว่าน เมล็ดพืชบางส่วนตกตามริมทางและนกมาจิกกินหมด. 5 บางส่วนตกในที่ที่เป็นพื้นหินมีดินอยู่ไม่มากจึงงอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก. 6 แต่พอดวงอาทิตย์ขึ้นก็ถูกแดดเผา และเพราะไม่มีรากจึงเหี่ยวแห้งตายไป. 7 บางส่วนตกกลางต้นไม้มีหนาม และต้นไม้มีหนามขึ้นเบียดจนไม่เติบโต จึงไม่เกิดผล. 8 บางส่วนตกบนดินดี จึงงอกและเติบโตขึ้น แล้วเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และร้อยเท่าบ้าง.” 9 แล้วพระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่มีหูฟังได้ จงฟังเถิด.”
10 เมื่อพระองค์ทรงอยู่ตามลำพัง คนที่อยู่กับพระองค์พร้อมกับสาวกสิบสองคนจึงทูลถามพระองค์เรื่องอุปมาโวหารนั้น. 11 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ความลับอันศักดิ์สิทธิ์เรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้านั้นทรงโปรดให้เจ้าทั้งหลายเข้าใจ แต่ทุกสิ่งที่คนภายนอกได้ยินนั้นเป็นเพียงอุปมาโวหารสำหรับพวกเขา. 12 เพื่อว่าแม้พวกเขาจะมองดูก็ไม่เห็น แม้พวกเขาจะได้ยินก็ไม่เข้าใจ ทั้งจะไม่หันกลับมาหาพระเจ้าและได้รับการอภัย.” 13 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาต่อไปว่า “เจ้าทั้งหลายไม่เข้าใจอุปมาโวหารนี้ แล้วเจ้าจะเข้าใจอุปมาโวหารอื่น ๆ ได้อย่างไร?
14 “ผู้หว่านนั้นหว่านพระคำ. 15 เมล็ดพืชที่ตกตามริมทางคือพระคำที่ถูกหว่านในตัวผู้คน แต่ทันทีที่พวกเขาได้ยินพระคำนั้น ซาตานก็มาเอาพระคำที่หว่านไว้ในตัวพวกเขาไป. 16 และเมล็ดพืชที่หว่านลงบนที่ที่เป็นพื้นหินคือพระคำที่ผู้คนรับไว้ด้วยความยินดีในทันทีที่ได้ยิน. 17 แต่พวกเขาไม่มีรากในตัว จึงอยู่ได้ระยะหนึ่ง และพอมีความทุกข์ลำบากหรือการข่มเหงเกิดขึ้นเพราะพระคำนั้น พวกเขาก็เลิกเชื่อทันที. 18 ส่วนเมล็ดพืชที่หว่านลงกลางต้นไม้มีหนามคือพระคำที่คนได้ยิน 19 แต่ความวิตกกังวลกับชีวิตในยุค*นี้และอำนาจล่อลวงของทรัพย์สมบัติกับความปรารถนาสิ่งอื่น ๆ ต่างประดังเข้ามาบดบังพระคำนั้น จึงไม่เกิดผล. 20 สุดท้าย เมล็ดพืชที่หว่านลงบนดินดีคือพระคำที่ผู้คนได้ฟังและยินดีรับไว้ แล้วเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และร้อยเท่าบ้าง.”
21 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาต่อไปว่า “มีใครหรือจะเอาตะเกียงมาวางแล้วเอาถังครอบหรือวางไว้ใต้เตียง? เขาจะเอามาตั้งบนเชิงตะเกียงมิใช่หรือ? 22 ด้วยว่าทุกสิ่งที่ซ่อนไว้จะต้องถูกเปิดเผย และทุกสิ่งที่ปกปิดไว้อย่างมิดชิดจะต้องถูกเปิดโปง. 23 ใครมีหูฟังได้ ให้เขาฟังเถิด.”
24 พระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นต่อไปว่า “จงเอาใจใส่สิ่งที่พวกเจ้าได้ยิน. เจ้าตวงให้เขาอย่างไร เขาจะตวงให้เจ้าอย่างนั้น และเจ้าจะได้รับมากยิ่งกว่านั้นอีก. 25 เพราะคนที่มีแล้วจะได้รับมากขึ้น แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขามีอยู่ก็จะถูกเอาไปจากเขา.”
26 แล้วพระองค์ตรัสต่อไปว่า “ราชอาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเหมือนคนที่หว่านเมล็ดพืชลงบนดิน 27 กลางคืนเขานอนหลับพอสว่างเขาก็ตื่น เมล็ดนั้นงอกและเติบโตขึ้นอย่างไรเขาไม่รู้. 28 ดินเป็นตัวทำให้พืชนั้นค่อย ๆ เติบโตขึ้น โดยเป็นต้นอ่อนก่อน แล้วก็ออกรวง ในที่สุดก็มีเมล็ดเต็มรวง. 29 แต่ทันทีที่ข้าวสุก เขาก็เอาเคียวเกี่ยว เพราะถึงฤดูเกี่ยวแล้ว.”
30 แล้วพระองค์ตรัสต่อไปว่า “เราจะเปรียบราชอาณาจักรของพระเจ้ากับอะไร หรือเราจะอธิบายเรื่องราชอาณาจักรโดยเปรียบเหมือนอะไร? 31 ก็เหมือนเมล็ดมัสตาร์ด*เมล็ดหนึ่งซึ่งตอนที่เพาะในดินนั้นเป็นเมล็ดพืชที่เล็กที่สุดในบรรดาเมล็ดพืชบนแผ่นดินโลก 32 แต่เมื่อเพาะแล้ว มันก็งอกขึ้นและกลายเป็นต้นใหญ่กว่าผักอื่น ๆ ทั้งหมด และแตกกิ่งก้านขนาดใหญ่จนนกในท้องฟ้ามาอาศัยอยู่ใต้ร่มมันได้.”
33 พระองค์ได้ตรัสพระคำของพระเจ้าให้พวกเขาฟังโดยใช้อุปมาโวหารเช่นนี้หลายเรื่องเท่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้. 34 ที่จริง พระองค์จะไม่ตรัสกับพวกเขาโดยไม่ใช้อุปมาโวหาร แต่ทรงอธิบายทุกสิ่งแก่สาวกของพระองค์เมื่ออยู่กันตามลำพัง.
35 ในวันนั้น พอตกเย็นพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ให้พวกเราข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งกันเถิด.” 36 ดังนั้น เมื่อพวกเขาบอกให้ฝูงชนไปแล้วก็พาพระองค์ซึ่งประทับในเรืออยู่แล้วออกเรือไป มีเรือลำอื่น ๆ ตามไปด้วย. 37 ครั้นแล้วเกิดลมพายุกล้าและคลื่นซัดเข้าเรือจนเรือจวนจะจม. 38 แต่พระเยซูทรงหนุนหมอนบรรทมหลับอยู่ท้ายเรือ. พวกเขาจึงปลุกพระองค์แล้วทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า พวกเราจวนจะตายอยู่แล้ว พระองค์ไม่ทรงเป็นห่วงหรือ?” 39 พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นมาห้ามลมและตรัสกับทะเลว่า “จงสงบเงียบเถิด!” แล้วลมก็หยุดพัดและทุกสิ่งก็สงบเงียบ. 40 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “กลัวทำไมเล่า? พวกเจ้ายังไม่มีความเชื่ออีกหรือ?” 41 แต่พวกเขารู้สึกกลัวยิ่งนักและพูดกันว่า “พระองค์เป็นใครกันแน่ แม้แต่ลมและทะเลยังเชื่อฟังพระองค์?”
5 พระเยซูกับเหล่าสาวกมาถึงอีกฝั่งหนึ่งของทะเลซึ่งเป็นเขตแดนของชาวเกราซา. 2 ทันทีที่พระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือ ชายถูกกายวิญญาณโสโครกสิงคนหนึ่งซึ่งออกมาจากสุสานก็ได้พบพระองค์. 3 เขาอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ และไม่ว่าใครก็มัดเขาไม่อยู่แม้จะใช้โซ่ก็ตาม 4 เพราะหลายครั้งเขาถูกล่ามด้วยตรวนและโซ่ แต่เขาก็ดึงโซ่ขาดและฟาดตรวนจนหัก ไม่มีใครมีแรงพอจะกำราบเขาได้. 5 เขาร้องอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพและบนภูเขาทั้งกลางวันกลางคืนและเอาหินเชือดตัวเอง. 6 แต่เมื่อเขามองเห็นพระเยซูแต่ไกลก็วิ่งเข้ามาหมอบตรงหน้าพระองค์ 7 เขาร้องเสียงดังแล้วพูดว่า “เยซู บุตรของพระเจ้าองค์สูงสุด ท่านมายุ่งกับข้าทำไม? ข้าขอให้ท่านสาบานในนามของพระเจ้าว่าจะไม่ทรมานข้า.” 8 เพราะพระองค์ทรงบอกมันว่า “เจ้ากายวิญญาณโสโครก จงออกมาจากชายคนนี้.” 9 แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร?” เขาตอบพระองค์ว่า “ข้าชื่อกอง เพราะพวกข้ามีกันหลายตน.” 10 และเขาขอร้องพระองค์หลายครั้งไม่ให้ส่งพวกกายวิญญาณไปนอกเขตแดนนั้น.
11 ขณะนั้นมีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ที่ภูเขา. 12 กายวิญญาณเหล่านั้นจึงขอร้องพระองค์ว่า “ส่งพวกข้าเข้าไปสิงในฝูงสุกรนั้นเถิด.” 13 พระองค์ทรงอนุญาต. พวกกายวิญญาณโสโครกก็ออกมาแล้วไปสิงในสุกร ฝูงสุกรประมาณสองพันตัวก็กระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเล และต่างก็จมน้ำตาย. 14 แต่พวกคนเลี้ยงสุกรได้หนีไปและเล่าเรื่องนั้นทั้งในเมืองและชนบท ผู้คนจึงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น. 15 พวกเขามาหาพระเยซูและเห็นชายที่เคยมีปิศาจทั้งกองสิงนั้นสวมเสื้อผ้านั่งอยู่และมีสติดี พวกเขาก็กลัว. 16 และคนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ถูกปิศาจสิงและฝูงสุกร. 17 แล้วพวกเขาจึงขอร้องพระองค์ให้ออกไปจากเขตของตน.
18 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จลงเรือ ชายที่เคยมีปิศาจสิงก็ขอไปกับพระองค์. 19 พระองค์ไม่ทรงอนุญาต แต่ตรัสกับเขาว่า “กลับไปหาญาติของเจ้าที่บ้านเถิด และบอกให้พวกเขารู้ว่าพระยะโฮวาทรงทำอะไรเพื่อเจ้าและทรงเมตตาเจ้ามากเพียงไร.” 20 เขาจึงไปและเริ่มประกาศในเขตเดคาโปลิส*เกี่ยวกับสิ่งสารพัดที่พระเยซูทรงทำเพื่อเขา และคนทั้งปวงก็ประหลาดใจ.
21 เมื่อพระเยซูทรงนั่งเรือกลับมาถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้ว คนมากมายพากันมาหาพระองค์ ขณะนั้น พระองค์ประทับอยู่ริมทะเล. 22 ครั้นแล้วมีนายธรรมศาลาคนหนึ่งมาที่นั่น เขาชื่อไยรอส พอเขาเห็นพระเยซูก็ซบลงแทบพระบาท 23 แล้วทูลวิงวอนพระองค์ว่า “ลูกสาวของข้าพเจ้ากำลังป่วยหนัก. ขอท่านโปรดมาวางมือบนเธอ เพื่อเธอจะหายดีและมีชีวิตอยู่.” 24 พระเยซูจึงเสด็จไปกับเขา. มีคนมากมายตามพระองค์ไปด้วยและคนเหล่านั้นเบียดอยู่รอบข้างพระองค์.
25 ผู้หญิงคนหนึ่งมีอาการตกเลือดมาสิบสองปีแล้ว 26 นางรักษากับหมอมาแล้วหลายคนและได้รับความเจ็บปวดมามาก อีกทั้งเสียทรัพย์สินที่มีจนหมดตัวแต่ก็ยังไม่หาย ซ้ำยังเป็นหนักกว่าเดิม. 27 เมื่อนางได้ยินเรื่องพระเยซู นางจึงเดินปะปนกับฝูงชนเข้ามาข้างหลังพระเยซูแล้วแตะที่ฉลองพระองค์ 28 เพราะนางคิดในใจว่า “ถ้าเพียงฉันได้แตะฉลองพระองค์ ฉันก็จะหาย.” 29 ทันใดนั้น เลือดที่ตกก็หยุดและนางรู้สึกว่าตนหายจากอาการป่วยที่ทำให้เป็นทุกข์แล้ว.
30 พระเยซูเองก็ทรงรู้สึกในทันทีเช่นกันว่าฤทธิ์ได้ออกจากกาย จึงทรงเหลียวดูฝูงชนแล้วตรัสว่า “ใครแตะเสื้อเรา?” 31 แต่พวกสาวกทูลพระองค์ว่า “พระองค์ก็ทรงเห็นอยู่แล้วว่ามีคนมากมายเบียดพระองค์อยู่ แล้วพระองค์ยังทรงถามอีกหรือว่า ‘ใครมาถูกตัวเรา?’ ” 32 แต่พระองค์ทรงมองไปรอบ ๆ เพื่อหาผู้หญิงที่แตะฉลองพระองค์. 33 ผู้หญิงคนนั้นซึ่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางก็กลัวจนตัวสั่น จึงเข้ามาหมอบลงเบื้องหน้าพระองค์แล้วทูลความจริงทั้งหมด. 34 พระองค์ตรัสกับนางว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายโรค. จงไปอย่างมีความสุขและหายจากอาการป่วยที่ทำให้เจ้าเป็นทุกข์เถิด.”
35 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำก็มีคนจากบ้านนายธรรมศาลามาบอกว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว! จะรบกวนอาจารย์อีกทำไม?” 36 แต่เมื่อพระเยซูได้ยินที่เขาพูดก็ตรัสกับนายธรรมศาลาว่า “อย่ากลัวเลย ขอเพียงเจ้ามีความเชื่อ.” 37 และพระองค์ไม่ทรงให้ใครตามไปด้วย เว้นแต่เปโตรและยาโกโบกับโยฮันน้องชายของยาโกโบ.
38 พระองค์กับสาวกจึงมาที่บ้านของนายธรรมศาลา และพระองค์ทรงเห็นคนเอะอะวุ่นวายและร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง 39 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปแล้วจึงตรัสกับคนเหล่านั้นว่า “พวกเจ้าเอะอะวุ่นวายและร้องไห้กันทำไม? เด็กนั้นยังไม่ตาย แต่นอนหลับอยู่.” 40 พวกเขาจึงหัวเราะเยาะพระองค์. แต่เมื่อทรงให้คนทั้งปวงออกไปแล้ว พระองค์ทรงพาบิดามารดาของเด็กและสาวกที่มากับพระองค์เข้าไปยังที่ที่เด็กนั้นนอนอยู่. 41 พระองค์ทรงจับมือเด็กนั้นและตรัสกับเธอว่า “ทาลีทา คูมิ” ซึ่งแปลว่า “เด็กหญิงเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า ลุกขึ้นเถอะ!” 42 เด็กหญิงซึ่งอายุสิบสองปีแล้วก็ลุกขึ้นเดินทันที พวกเขาก็ตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก. 43 แต่พระองค์ทรงกำชับพวกเขาไม่ให้บอกเรื่องนี้แก่ใคร และทรงบอกให้เอาอาหารมาให้เธอกิน.
6 พระเยซูเสด็จจากที่นั่นไปยังถิ่นเดิมของพระองค์ พวกสาวกก็ติดตามพระองค์ไป. 2 เมื่อถึงวันซะบาโต* พระองค์ทรงเริ่มสอนในธรรมศาลา คนส่วนใหญ่ที่ได้ฟังพระองค์ก็ประหลาดใจและพูดกันว่า “คนนี้ได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? ทำไมเขามีสติปัญญาและทำการอิทธิฤทธิ์อย่างนี้ได้? 3 คนนี้เป็นช่างไม้บุตรนางมาเรียและเป็นพี่ชายของยาโกโบ โยเซฟ ยูดา กับซีโมนไม่ใช่หรือ? พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราที่นี่ไม่ใช่หรือ?” ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ยอมเชื่อถือพระองค์. 4 พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาต่อไปว่า “ผู้พยากรณ์ไม่ขาดคนนับถือเว้นแต่ในถิ่นของตน ในหมู่ญาติ และในบ้านของตนเอง.” 5 ดังนั้น พระองค์จึงไม่ทรงทำการอิทธิฤทธิ์ใด ๆ ที่นั่น นอกจากวางพระหัตถ์รักษาคนป่วยไม่กี่คนให้หาย. 6 พระองค์ประหลาดพระทัยที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ. แล้วพระองค์จึงเสด็จไปสอนตามหมู่บ้านทั่วบริเวณนั้น.
7 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา แล้วเริ่มส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ ๆ และทรงให้พวกเขามีอำนาจเหนือกายวิญญาณโสโครก. 8 พระองค์ทรงสั่งพวกเขาไม่ให้เอาสิ่งใดไปเมื่อเดินทางนอกจากไม้เท้า ไม่ให้เอาขนมปังหรือถุงใส่อาหารไปด้วย ไม่ให้เอาเงินใส่ถุงคาดเอวไป 9 แต่ให้สวมรองเท้า และไม่ให้เอาเสื้อไปอีกตัวหนึ่ง.* 10 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาอีกว่า “เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในบ้านใดแล้ว จงอยู่ที่นั่นจนกว่าจะไปจากเมืองนั้น. 11 และที่ใดไม่ต้อนรับหรือไม่ฟังพวกเจ้า เมื่อจะออกจากที่นั่น จงสะบัดฝุ่นใต้เท้าของพวกเจ้าออกเพื่อยืนยันความผิดของพวกเขา.” 12 พวกเขาจึงออกไปประกาศให้ผู้คนกลับใจ 13 ทั้งยังขับปิศาจหลายตน เอาน้ำมันทาคนที่เจ็บป่วยและรักษาพวกเขา.
14 เรื่องนี้รู้ถึงหูกษัตริย์เฮโรด* เนื่องจากพระนามของพระเยซูเป็นที่เลื่องลือ และผู้คนพูดกันว่า “โยฮันผู้ให้บัพติสมาถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตายแล้วจึงทำการอิทธิฤทธิ์ได้.” 15 บางคนพูดว่า “เขาคือเอลียาห์.” แต่บางคนพูดว่า “เขาเหมือนผู้พยากรณ์คนหนึ่ง.” 16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินเรื่องนั้นก็ตรัสว่า “โยฮันที่เราได้สั่งตัดหัวฟื้นขึ้นมาแล้ว.” 17 ด้วยว่าเฮโรดเองเป็นผู้ส่งคนไปจับตัวโยฮันมาจองจำไว้ในคุกเพราะเรื่องที่ท่านได้แต่งงานกับเฮโรดิอัสภรรยาฟิลิปพี่ชายของท่าน. 18 โยฮันเคยบอกเฮโรดหลายครั้งว่า “ท่านไม่มีสิทธิ์เอาภรรยาพี่ชายมาเป็นภรรยาท่าน.” 19 นางเฮโรดิอัสจึงผูกพยาบาทโยฮันและต้องการจะฆ่าเสีย แต่ทำไม่ได้. 20 เพราะเฮโรดยำเกรงโยฮันด้วยรู้ว่าเขาเป็นคนชอบธรรมและบริสุทธิ์ จึงคอยปกป้องเขา และเมื่อใดที่ได้ฟังโยฮันพูดก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเขา แต่ยังพอใจจะฟังเขาอยู่.
21 แล้วโอกาสก็มาถึงในวันเกิดของเฮโรด เมื่อท่านจัดเลี้ยงอาหารมื้อเย็นแก่เหล่าขุนนางและนายทหารชั้นผู้ใหญ่รวมทั้งคนสำคัญ ๆ ในแคว้นแกลิลี. 22 บุตรสาวของนางเฮโรดิอัสก็เข้ามาเต้นรำ ทำให้เฮโรดและคนทั้งหลายที่นั่งเอนกายอยู่ด้วยกันชอบอกชอบใจ. กษัตริย์จึงตรัสกับนางว่า “เจ้าอยากได้อะไรก็ขอมาเถิด เราจะให้.” 23 กษัตริย์ทรงให้คำมั่นกับนางว่า “ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เจ้าขอ เราจะให้เจ้าจนถึงครึ่งอาณาจักรของเรา.” 24 นางจึงออกไปถามมารดาว่า “ฉันจะขออะไรดี?” มารดาบอกว่า “จงขอหัวของโยฮันผู้ให้บัพติสมา.” 25 นางรีบออกไปทูลขอกษัตริย์ทันทีว่า “ข้าพเจ้าขอศีรษะของโยฮันผู้ให้บัพติสมาใส่ถาดมาเดี๋ยวนี้เถิด.” 26 แม้กษัตริย์จะทรงเป็นทุกข์ยิ่งนักแต่ก็ไม่อยากปฏิเสธนางเนื่องจากคำมั่นที่ตนให้ไว้ และเนื่องจากคนทั้งหลายที่นั่งเอนกายอยู่ที่โต๊ะนั้น. 27 ดังนั้น กษัตริย์จึงสั่งราชองครักษ์ให้ไปนำศีรษะของโยฮันมาทันที. เขาจึงไปตัดศีรษะโยฮันในคุก 28 แล้วใส่ถาดนำมาให้นาง นางก็นำไปให้มารดา. 29 เมื่อพวกสาวกของโยฮันทราบเรื่องจึงมารับศพเขาไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพ.
30 เหล่าอัครสาวกพากันมาเฝ้าพระเยซูและทูลรายงานทุกสิ่งที่พวกเขาได้ทำและสอน. 31 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ไปในที่ห่างไกลผู้คนกันเถิด จะได้พักสักหน่อย.” ด้วยว่ามีคนมากมายไป ๆ มา ๆ จนพระองค์กับสาวกไม่มีเวลาว่างแม้แต่จะรับประทานอาหาร. 32 พระเยซูกับสาวกจึงลงเรือไปยังที่ห่างไกลผู้คนเพื่ออยู่กันตามลำพัง. 33 แต่ผู้คนเห็นพระองค์กับสาวกออกไปและมีหลายคนรู้ว่าจะไปไหน ผู้คนจากทุกเมืองจึงพากันรีบไปที่นั่นก่อน. 34 เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือก็ทรงเห็นผู้คนมากมาย แต่พระองค์ทรงรู้สึกสงสารพวกเขาเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงสอนพวกเขาหลายเรื่อง.
35 พอใกล้จะถึงตอนเย็น เหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่ห่างไกลผู้คนและนี่ก็ใกล้จะเย็นแล้ว. 36 ขอทรงบอกให้พวกเขาไปเถิด พวกเขาจะได้ไปยังบ้านผู้คนและหมู่บ้านในบริเวณนี้เพื่อซื้ออาหารกินกัน.” 37 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้าทั้งหลายจงเอาอาหารให้พวกเขากินเถิด.” สาวกจึงทูลพระองค์ว่า “จะให้พวกข้าพเจ้าไปซื้อขนมปังมาสักสองร้อยเดนาริอน*ให้คนเหล่านี้กินหรือ?” 38 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ามีขนมปังกี่อัน? ไปดูซิ!” เมื่อดูแล้วพวกเขาก็ทูลว่า “มีห้าอันกับปลาสองตัว.” 39 พระองค์ทรงบอกให้คนทั้งปวงนั่งลงเป็นกลุ่ม ๆ บนพื้นหญ้าเขียวสด. 40 พวกเขาก็นั่งลงเป็นกลุ่ม กลุ่มละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง. 41 แล้วพระองค์ทรงหยิบขนมปังห้าอันกับปลาสองตัวมาและทรงเงยพระพักตร์มองท้องฟ้าทูลขอบพระคุณแล้วบิขนมปังส่งให้สาวกแจกแก่คนทั้งปวง และทรงแบ่งปลาสองตัวนั้นให้แก่ทุกคน. 42 ทุกคนจึงกินจนอิ่ม 43 และพวกเขาเก็บเศษอาหารได้สิบสองตะกร้าเต็มโดยไม่รวมปลา. 44 คนที่กินขนมปังนั้นเป็นผู้ชายห้าพันคน.
45 หลังจากนั้น พระเยซูทรงสั่งเหล่าสาวกให้ลงเรือทันทีและข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งก่อนโดยให้แล่นไปทางเมืองเบทซายะดา ขณะที่พระองค์ทรงรอส่งฝูงชนกลับบ้าน. 46 เมื่อพระองค์ลาพวกเขาแล้วก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน. 47 พอถึงตอนค่ำ เรือของสาวกอยู่กลางทะเลแต่พระเยซูทรงอยู่บนฝั่งผู้เดียว. 48 และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพวกเขากำลังตีกรรเชียงด้วยความยากลำบากเนื่องจากแล่นทวนลมอยู่ ประมาณยามสี่*ของคืนนั้นพระองค์จึงทรงดำเนินบนทะเลมาหาพวกเขา แต่ทรงดำเนินเหมือนจะผ่านพวกเขาไป. 49 เมื่อพวกเขาเห็นพระเยซูทรงดำเนินบนทะเล พวกเขาก็คิดว่า “นี่เราตาฝาดไปหรือเปล่า!” แล้วก็ร้องเสียงดัง. 50 เพราะพวกเขาทุกคนเห็นพระองค์และต่างก็กลัว. แต่ทันใดนั้นพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “อย่ากลัว เราเอง อย่ากลัวเลย.” 51 แล้วพระองค์จึงเสด็จลงเรือไปกับพวกเขา และลมก็สงบ. เมื่อพวกเขาเห็นเช่นนั้นจึงอัศจรรย์ใจยิ่งนัก 52 เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องขนมปังนั้น และพวกเขาก็ยังไม่อาจเข้าใจได้.
53 เมื่อพระเยซูกับสาวกข้ามมาถึงฝั่งในแขวงเกนเนซาเรตแล้วก็จอดเรือไว้บริเวณนั้น 54 แต่ทันทีที่ขึ้นจากเรือ ผู้คนก็จำพระเยซูได้ 55 พวกเขาจึงรีบไปทั่วเขตนั้นแล้วพาบรรดาคนที่เจ็บป่วยใส่แคร่หามมายังที่ที่เขาได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่. 56 และไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปหมู่บ้านใด เมืองใด หรือตามชนบท พวกเขาก็จะวางคนป่วยไว้ตามตลาด*และทูลขอให้ได้แตะแค่ชายครุยฉลองพระองค์ก็พอ. และคนทั้งหลายที่ได้แตะก็หายป่วย.
7 ครั้งหนึ่ง พวกฟาริซายและอาลักษณ์บางคนซึ่งมาจากกรุงเยรูซาเลมพากันมาหาพระองค์. 2 และเมื่อพวกเขาเห็นสาวกบางคนของพระเยซูกินอาหารด้วยมือที่มีมลทิน คือ ยังไม่ได้ล้าง 3 เพราะชาวยิวทุกคนซึ่งรวมทั้งพวกฟาริซายด้วยจะไม่กินอาหารถ้าไม่ได้ล้างมือให้ถึงข้อศอกเสียก่อน ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามธรรมเนียมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ 4 และเมื่อกลับจากตลาดพวกเขาจะไม่กินอาหารถ้าไม่ได้ชำระตัวด้วยการพรมน้ำเสียก่อน และยังมีธรรมเนียมอื่น ๆ อีกมากที่พวกเขาปฏิบัติสืบต่อกันมา เช่น การจุ่มถ้วยและเหยือกและภาชนะทองแดงลงในน้ำ. 5 พวกฟาริซายกับอาลักษณ์เหล่านั้นจึงถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมของบรรพบุรุษ แต่กินอาหารด้วยมือที่มีมลทิน?” 6 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ยะซายาห์พยากรณ์ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดไว้ถูกต้องแล้ว ดังมีคำเขียนไว้ว่า ‘ชนชาตินี้ดีแต่พูดว่านับถือเรา แต่หัวใจพวกเขาห่างไกลจากเรา. 7 ที่พวกเขานมัสการเราอยู่นั้นเป็นการไร้ประโยชน์ เพราะบัญญัติที่พวกเขาสอนเป็นเพียงบัญญัติของมนุษย์.’ 8 พวกเจ้าทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้าไปยึดถือธรรมเนียมของมนุษย์.”
9 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาอีกว่า “พวกเจ้าหาทางเลี่ยงพระบัญญัติของพระเจ้าไปถือตามธรรมเนียมของพวกเจ้าเองได้เก่งนัก. 10 ตัวอย่างเช่น โมเซกล่าวว่า ‘จงนับถือบิดามารดาของเจ้า’ และ ‘ผู้ที่ด่าว่าบิดามารดาต้องตาย.’ 11 แต่พวกเจ้ากล่าวว่า ‘ถ้าคนใดพูดกับบิดามารดาว่า “สิ่งใดที่ข้าพเจ้ามีซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่าน สิ่งนั้นเป็นคอร์บัน (คือของที่อุทิศแด่พระเจ้าแล้ว)”’ 12 โดยวิธีนี้ พวกเจ้าจึงไม่ให้คนนั้นทำอะไรให้บิดามารดาของเขาอีกต่อไป 13 และด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าจึงทำให้พระคำของพระเจ้าเป็นโมฆะด้วยธรรมเนียมที่พวกเจ้าถือสืบต่อกันมา และพวกเจ้ายังทำหลายสิ่งคล้าย ๆ กันนี้อีกด้วย.” 14 พระองค์จึงทรงเรียกฝูงชนเข้ามาอีกและตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าทุกคนจงฟังเราและเข้าใจเถิด. 15 ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในตัวมนุษย์จะทำให้เขามีมลทินได้ แต่สิ่งทั้งหลายที่ออกมาจากตัวมนุษย์ต่างหากที่ทำให้มนุษย์มีมลทิน.” 16 * ——
17 เมื่อพระเยซูเสด็จจากฝูงชนแล้วเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง เหล่าสาวกก็ทูลถามพระองค์เรื่องอุปมาโวหารนั้น. 18 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าก็ไม่เข้าใจเหมือนพวกเขาด้วยหรือ? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในตัวมนุษย์จะทำให้เขามีมลทินได้ 19 เพราะว่าสิ่งนั้นมิได้เข้าไปในใจเขา แต่เข้าไปในลำไส้ แล้วถ่ายลงส้วมไป?” ที่พระองค์ตรัสเช่นนี้เป็นการประกาศว่าอาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน. 20 พระองค์ตรัสต่อไปว่า “สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีมลทิน 21 เพราะความคิดชั่วร้ายออกมาจากภายใน คือ ออกจากหัวใจมนุษย์ ได้แก่ การผิดประเวณี การขโมย การฆ่าคน 22 การเล่นชู้ ความโลภ การกระทำที่ชั่วช้า การล่อลวง ความประพฤติที่ไร้ยางอาย ความอิจฉา การหมิ่นประมาท ความเย่อหยิ่ง ความไร้เหตุผล. 23 สิ่งชั่วทั้งหมดนี้ออกมาจากภายในและทำให้มนุษย์มีมลทิน.”
24 พระองค์ทรงลุกขึ้นจากที่นั่นแล้วเสด็จเข้าไปในเขตเมืองไทระและซีโดน. พระองค์ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งและไม่ทรงประสงค์ให้ใครรู้ แต่ก็ยังมีคนสังเกตเห็นพระองค์. 25 หญิงคนหนึ่งซึ่งบุตรสาวตัวน้อยของนางถูกกายวิญญาณโสโครกสิงได้ยินเรื่องพระองค์จึงมาหาทันทีและหมอบลงแทบพระบาท. 26 หญิงคนนี้เป็นชาวกรีกเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซีย นางวิงวอนพระองค์ให้ขับปิศาจตนนั้นออกจากบุตรสาวของนาง. 27 พระองค์ตรัสกับนางว่า “ให้ลูก ๆ กินอิ่มเสียก่อน เพราะถ้าจะเอาขนมปังของลูกโยนให้ลูกสุนัขก็ไม่ถูก.” 28 นางทูลตอบพระองค์ว่า “จริงอยู่ นายท่าน แต่ลูกสุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะย่อมกินเศษขนมปังของลูก ๆ.” 29 เมื่อได้ยินดังนั้นพระองค์จึงตรัสกับนางว่า “เพราะเจ้าพูดเช่นนี้ จงไปเถิด ปิศาจได้ออกจากบุตรสาวของเจ้าแล้ว.” 30 นางจึงกลับไปที่บ้านและพบบุตรน้อยนอนอยู่บนเตียงและปิศาจก็ออกไปแล้ว.
31 เมื่อกลับออกมาจากเขตเมืองไทระแล้ว พระองค์จึงเสด็จผ่านซีโดนไปยังทะเลแกลิลีและเสด็จผ่านเขตเดคาโปลิส.* 32 ที่นั่นพวกเขาพาชายคนหนึ่งที่หูหนวกและพูดแทบไม่ได้มาหาพระองค์ และขอร้องพระองค์ให้วางมือบนเขา. 33 พระองค์จึงทรงพาเขาแยกออกมาจากฝูงชนแล้วแหย่นิ้วพระหัตถ์เข้าไปในหูของชายคนนั้น และทรงบ้วนน้ำลายแล้วแตะลิ้นของเขา. 34 พระองค์ทรงเงยพระพักตร์มองท้องฟ้าพร้อมกับถอนพระทัยยาวและตรัสกับเขาว่า “เอฟฟาทา” แปลว่า “จงเปิดออก.” 35 หูเขาก็หายหนวก ลิ้นเขาก็หายติดขัด และเขาเริ่มพูดได้เป็นปกติ. 36 แล้วพระเยซูทรงสั่งพวกเขาไม่ให้บอกใคร แต่ยิ่งพระองค์ทรงห้าม พวกเขาก็ยิ่งป่าวประกาศเรื่องนั้น. 37 พวกเขาต่างอัศจรรย์ใจยิ่งนักและพูดว่า “คนนี้ทำแต่สิ่งดี ๆ. เขาถึงกับทำให้คนหูหนวกได้ยินและคนใบ้พูดได้.”
8 คราวนั้น เมื่อคนมากมายมากันอีกและพวกเขาไม่มีอะไรรับประทาน พระเยซูทรงเรียกพวกสาวกมาและตรัสกับพวกเขาว่า 2 “เราสงสารคนเหล่านี้ เพราะพวกเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้วและตอนนี้พวกเขาไม่มีอะไรจะกิน 3 ถ้าเราจะให้พวกเขากลับไปบ้านโดยไม่ได้กินอะไร พวกเขาคงจะหมดแรงกลางทางเพราะบางคนมาจากที่ไกล.” 4 แต่สาวกของพระองค์ทูลว่า “ในที่ห่างไกลผู้คนอย่างนี้จะไปหาขนมปังจากไหนมาให้คนเหล่านี้กินอิ่มได้?” 5 แต่พระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “พวกเจ้ามีขนมปังกี่อัน?” พวกเขาทูลว่า “มีเจ็ดอัน.” 6 แล้วพระองค์ทรงบอกให้ฝูงชนนั่งลงบนพื้น ทรงเอาขนมปังเจ็ดอันนั้นมาและทูลขอบพระคุณ ทรงบิขนมปังส่งให้สาวกนำไปแจก สาวกก็แจกจ่ายขนมปังแก่ฝูงชน. 7 พวกเขามีปลาตัวเล็ก ๆ สองสามตัวด้วย และเมื่อทูลขอพรแล้ว พระองค์ทรงบอกให้พวกเขาแจกจ่ายปลาเหล่านั้นด้วย. 8 คนทั้งหลายจึงกินจนอิ่ม แล้วพวกเขาเก็บเศษอาหารที่เหลือได้เจ็ดกระบุงเต็ม. 9 คนที่อยู่ที่นั่นมีผู้ชายประมาณสี่พันคน. แล้วพระองค์ทรงให้พวกเขากลับไป.
10 ทันทีหลังจากนั้น พระองค์ก็เสด็จลงเรือกับเหล่าสาวกมายังเขตดัลมานูทา. 11 พวกฟาริซายก็มาถกเถียงกับพระองค์ และทดสอบพระองค์โดยขอให้แสดงข้อพิสูจน์*จากสวรรค์. 12 พระองค์จึงทรงถอนพระทัยใหญ่และตรัสว่า “เหตุใดคนในยุคนี้จึงต้องการแต่ข้อพิสูจน์? เราบอกตามจริงว่า จะไม่ให้ข้อพิสูจน์ใด ๆ แก่คนในยุคนี้.” 13 แล้วพระองค์จึงไปจากพวกเขาและเสด็จลงเรือข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง.
14 ครั้งนั้นพวกสาวกลืมเอาขนมปังไปด้วย และพวกเขาไม่มีอะไรในเรือเลยนอกจากขนมปังอันเดียว. 15 และพระองค์ทรงกำชับพวกเขาว่า “จงตื่นตัวอยู่เสมอ ระวังเชื้อของพวกฟาริซายและเชื้อของเฮโรดให้ดี.” 16 ดังนั้น พวกเขาจึงพูดกันเรื่องที่ไม่มีขนมปัง. 17 เมื่อพระองค์ทรงเห็นเช่นนั้นจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงพูดกันเรื่องที่เจ้าไม่มีขนมปัง? พวกเจ้ายังไม่รู้และยังไม่เข้าใจความหมายอีกหรือ? ใจพวกเจ้ายังไม่เปิดรับความรู้ความเข้าใจอีกหรือ? 18 ‘พวกเจ้ามีตาแต่มองไม่เห็นหรือ มีหูแต่ไม่ได้ยินหรือ?’ และพวกเจ้าจำไม่ได้หรือว่า 19 เมื่อเราบิขนมปังห้าอันให้แก่ชายห้าพันคนนั้น พวกเจ้าเก็บเศษอาหารที่เหลือได้กี่ตะกร้า?” พวกเขาทูลตอบว่า “สิบสอง.” 20 “เมื่อเราบิขนมปังเจ็ดอันให้แก่ชายสี่พันคนนั้น พวกเจ้าเก็บเศษอาหารที่เหลือได้กี่กระบุงเต็ม?” พวกเขาทูลพระองค์ว่า “เจ็ด.” 21 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
22 เมื่อพระองค์กับสาวกมาถึงเมืองเบทซายะดา ผู้คนก็พาชายตาบอดคนหนึ่งมาหาพระองค์และขอร้องให้ทรงแตะต้องตัวเขา. 23 พระองค์จึงทรงจูงชายตาบอดออกไปนอกหมู่บ้าน และเมื่อทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาของเขาแล้ว ทรงวางพระหัตถ์บนเขาแล้วตรัสถามเขาว่า “เจ้าเห็นอะไรบ้างไหม?” 24 เขาเงยหน้าขึ้นมองและพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นคน ข้าพเจ้าเห็นพวกเขาเป็นเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา.” 25 แล้วพระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนตาเขาอีก เขาก็มองเห็นชัดและหายเป็นปกติและมองเห็นทุกสิ่งชัดเจน. 26 พระเยซูจึงทรงบอกให้เขากลับบ้านและสั่งว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้านนั้น.”
27 จากที่นั่น พระเยซูกับสาวกเดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ในเมืองซีซาเรียฟิลิปปี และระหว่างเดินทางพระองค์ทรงถามพวกสาวกว่า “ผู้คนพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด?” 28 พวกเขาทูลพระองค์ว่า “บางคนว่าเป็นโยฮันผู้ให้บัพติสมา* บางคนว่าเป็นเอลียาห์ แต่บางคนก็ว่าเป็นผู้พยากรณ์คนหนึ่ง.” 29 แล้วพระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าว่าเราเป็นผู้ใด?” เปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์.” 30 เมื่อได้ยินเช่นนั้น พระองค์ทรงกำชับพวกเขาไม่ให้บอกเรื่องพระองค์แก่ใคร. 31 พระองค์ทรงสอนพวกเขาด้วยว่าบุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่าง แล้วจะถูกพวกผู้เฒ่าผู้แก่ พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกอาลักษณ์ปฏิเสธ และจะถูกฆ่า แล้วอีกสามวันจะเป็นขึ้นจากตาย. 32 พระองค์ตรัสเช่นนี้อย่างตรงไปตรงมา. แต่เปโตรดึงพระองค์ออกมาและทัดทานพระองค์. 33 พระองค์ทรงหันไปมองพวกสาวกแล้วทรงตำหนิเปโตรว่า “ไปให้พ้น ซาตาน เพราะที่เจ้าคิดไม่ใช่ความคิดของพระเจ้า แต่เป็นความคิดของมนุษย์.”
34 แล้วพระองค์ทรงเรียกฝูงชนกับเหล่าสาวกเข้ามาหาและตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าผู้ใดต้องการติดตามเรา ให้เขาปฏิเสธตัวเองและแบกเสาทรมาน*ของตนแล้วตามเราเรื่อยไป. 35 ด้วยว่าผู้ใดพยายามเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดยอมเสียชีวิตเพื่อเห็นแก่เราและข่าวดี ผู้นั้นจะได้ชีวิต. 36 ที่จริง จะเป็นประโยชน์อะไรแก่มนุษย์เล่าถ้าเขาได้โลกทั้งโลกแต่เสียชีวิต? 37 มนุษย์จะเอาอะไรมาแลกกับชีวิตของเขา? 38 ด้วยว่าผู้ใดอายที่เป็นสาวกของเราและเชื่อคำของเราในยุคของคนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า*และชั่วช้านี้ บุตรมนุษย์ก็จะอายถ้าจะยอมรับว่าเขาเป็นสาวกเมื่อท่านมาในฐานะที่มีเกียรติอันรุ่งโรจน์อย่างที่พระบิดามี และมาพร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์.”
9 พระองค์ตรัสกับพวกเขาต่อไปอีกว่า “เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า บางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่ตายจนกว่าพวกเขาจะเห็นราชอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยอำนาจเสียก่อน.” 2 หกวันต่อมาพระเยซูทรงพาเปโตรและยาโกโบกับโยฮันขึ้นไปบนภูเขาสูงแต่ลำพัง. และรูปกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา 3 ฉลองพระองค์ก็เป็นประกายแวววาว ขาวกว่าที่ช่างฟอกผ้าบนโลกจะทำให้ขาวได้มากนัก. 4 เอลียาห์กับโมเซก็ปรากฏแก่พวกเขาด้วย และทั้งสองสนทนากับพระเยซู. 5 เปโตรจึงทูลพระเยซูว่า “อาจารย์* ดีที่พวกเราอยู่ที่นี่ ให้พวกข้าพเจ้าตั้งพลับพลาขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเซ อีกหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์.” 6 ที่จริงแล้วเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะพวกเขารู้สึกกลัวมาก. 7 แล้วมีเมฆก้อนหนึ่งมาปกคลุมพวกเขาไว้ และมีเสียงตรัสออกมาจากเมฆนั้นว่า “นี่คือบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด.” 8 แต่ทันทีที่พวกเขาหันมองรอบ ๆ ก็ไม่เห็นใครอยู่ที่นั่นกับพวกเขานอกจากพระเยซูองค์เดียว.
9 ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระเยซูทรงกำชับพวกเขาไม่ให้เล่าสิ่งที่พวกเขาเห็นให้ใครฟังจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นจากตายแล้ว. 10 พวกเขาก็จำคำพระองค์ไว้ แต่ถกกันว่าการเป็นขึ้นมาจากตายที่ว่านั้นหมายความว่าอย่างไร. 11 แล้วพวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกอาลักษณ์บอกว่าเอลียาห์ต้องมาก่อน?” 12 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จริงอยู่ เอลียาห์จะมาก่อนและจะฟื้นฟูทุกสิ่ง แต่เหตุใดจึงมีคำเขียนไว้เกี่ยวกับบุตรมนุษย์ว่าท่านจะต้องทนทุกข์หลายอย่างและจะถูกปฏิบัติอย่างเหยียดหยาม? 13 แต่เราบอกเจ้าทั้งหลายว่า ที่จริง เอลียาห์มาแล้ว และพวกนั้นได้ทำกับเขาสารพัดอย่างตามที่ต้องการ ดังที่มีเขียนไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับเขา.”
14 เมื่อพระเยซูกับพวกเขากลับมาหาสาวกคนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นคนมากมายอยู่กับสาวกเหล่านั้นและพวกอาลักษณ์กำลังถกเถียงกับพวกเขา. 15 แต่ทันทีที่คนทั้งปวงเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจนัก แล้ววิ่งเข้ามาทักทายพระองค์. 16 และพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าถกเถียงกับพวกเขาด้วยเรื่องอะไร?” 17 คนหนึ่งในฝูงชนทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าพาบุตรชายมาหาท่านเพราะเขาโดนกายวิญญาณที่ทำให้เป็นใบ้สิง 18 พอมันอาละวาด มันจะเหวี่ยงเขาลงกับพื้น แล้วเขาก็มีน้ำลายฟูมปาก กัดฟันและหมดเรี่ยวหมดแรง. ข้าพเจ้าขอสาวกของท่านให้ขับมันออก แต่พวกเขาทำไม่ได้.” 19 พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้าอีกนานเท่าใด? เราจะต้องทนพวกเจ้านานเท่าใด? พาเขามาหาเราเถิด.” 20 พวกเขาจึงพาเด็กคนนั้นมาหาพระองค์. แต่พอเห็นพระองค์ กายวิญญาณตนนั้นก็ทำให้เด็กนั้นชักทันที และพอล้มลงที่พื้นก็กลิ้งไปมา มีน้ำลายฟูมปาก. 21 แล้วพระองค์ทรงถามบิดาของเด็กว่า “บุตรของเจ้าเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว?” เขาตอบว่า “ตั้งแต่ยังเล็ก 22 มันทำให้เขาตกไฟตกน้ำบ่อย ๆ เพื่อจะฆ่าเสีย. ถ้าท่านทำอะไรได้ โปรดสงสารและช่วยพวกเราด้วยเถิด.” 23 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เจ้าพูดว่า ‘ถ้าทำได้’ หรือ? ทุกสิ่งเป็นไปได้ถ้าคนเรามีความเชื่อ.” 24 บิดาของเด็กคนนั้นจึงร้องออกมาทันทีว่า “ข้าพเจ้ามีความเชื่อ! แต่ในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้น ขอโปรดช่วยเสริมให้มีมากขึ้นด้วยเถิด!”
25 เมื่อพระเยซูทรงเห็นคนมากมายพากันวิ่งเข้ามา พระองค์จึงห้ามกายวิญญาณโสโครกนั้นและตรัสกับมันว่า “เจ้ากายวิญญาณที่ทำให้หูหนวกและเป็นใบ้ เราสั่งเจ้าให้ออกมาและอย่าเข้าสิงเขาอีก.” 26 มันส่งเสียงร้องและทำให้เด็กชักดิ้นชักงอหลายหนแล้วก็ออกมา และเด็กนั้นแน่นิ่งเหมือนคนตาย คนส่วนใหญ่จึงพูดว่า “เขาตายแล้ว!” 27 แต่พระเยซูทรงจับมือเขาพยุงให้ลุกขึ้น เขาก็ลุกขึ้น. 28 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านแล้ว เหล่าสาวกจึงมาถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ทำไมพวกข้าพเจ้าจึงขับกายวิญญาณตนนั้นไม่ได้?” 29 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “กายวิญญาณชนิดนี้ขับออกได้ด้วยการอธิษฐานเท่านั้น.”
30 เมื่อพระเยซูกับสาวกออกจากที่นั่นแล้วจึงเดินทางไปทั่วแคว้นแกลิลี แต่พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครรู้. 31 เพราะพระองค์กำลังสอนสาวกของพระองค์ว่า “บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือมนุษย์และพวกนั้นจะฆ่าท่าน แต่แม้จะถูกฆ่า อีกสามวันให้หลังท่านก็จะเป็นขึ้นจากตาย.” 32 พวกเขาไม่เข้าใจคำตรัสนั้น แต่ก็ไม่กล้าถามพระองค์.
33 แล้วพระเยซูกับสาวกก็มาถึงเมืองคาเปอร์นาอุม. เมื่อพระเยซูประทับอยู่ในบ้าน พระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “ระหว่างทางพวกเจ้าเถียงกันเรื่องอะไร?” 34 พวกเขาก็นิ่งอยู่ เพราะระหว่างทางพวกเขาเถียงกันว่าใครจะเป็นใหญ่กว่าใคร. 35 ดังนั้น พระองค์จึงทรงนั่งลงและเรียกสาวกสิบสองคนนั้นมาแล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าผู้ใดต้องการเป็นคนแรก ผู้นั้นต้องเป็นคนสุดท้ายและเป็นผู้รับใช้ทุกคน.” 36 แล้วพระองค์ทรงให้เด็กเล็กคนหนึ่งมายืนอยู่กลางพวกเขาและทรงโอบเด็กไว้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า 37 “ผู้ใดรับคนที่เป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ในนามของเราก็รับเรา และผู้ใดที่รับเราก็รับไม่เพียงเราเท่านั้น แต่รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาด้วย.”
38 โยฮันทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ พวกข้าพเจ้าเห็นชายคนหนึ่งขับปิศาจออกโดยใช้พระนามพระองค์ และได้พยายามห้ามเขาแล้วเพราะเขาไม่ได้มากับพวกเรา.” 39 แต่พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะไม่มีใครที่ทำการอิทธิฤทธิ์ในนามของเราแล้วอีกประเดี๋ยวก็พูดหยาบช้าต่อเรา 40 เพราะผู้ที่ไม่ต่อต้านพวกเราก็อยู่ฝ่ายพวกเรา. 41 ด้วยว่าผู้ใดให้น้ำพวกเจ้าดื่มถ้วยหนึ่งเพราะเหตุที่พวกเจ้าเป็นคนของพระคริสต์ เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า เขาจะไม่ขาดบำเหน็จแน่นอน. 42 แต่ผู้ใดทำให้คนหนึ่งในผู้เล็กน้อยเหล่านี้ที่เชื่อในเราหลงผิด* ถ้าจะเอาหินโม่อย่างที่ใช้ลาหมุนมาผูกคอผู้นั้นแล้วโยนลงทะเลก็คงดีกว่า.
43 “และถ้ามือของเจ้าทำให้เจ้าหลงผิด* จงตัดทิ้งเสีย ซึ่งเจ้าจะได้รับชีวิตทั้ง ๆ ที่มือด้วนก็ดีกว่ามีสองมือแต่ต้องไปยังเกเฮนนา* คือเข้าไปในไฟที่ไม่อาจดับได้. 44 * —— 45 และถ้าเท้าของเจ้าทำให้เจ้าหลงผิด* จงตัดทิ้งเสีย ซึ่งเจ้าจะได้รับชีวิตทั้ง ๆ ที่ขาพิการก็ดีกว่ามีสองเท้าแต่ต้องถูกโยนลงในเกเฮนนา. 46 * —— 47 และถ้าตาของเจ้าทำให้เจ้าหลงผิด* จงควักทิ้งเสีย ซึ่งเจ้าจะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้าโดยมีตาข้างเดียวก็ดีกว่ามีตาสองข้างแต่ต้องถูกโยนลงในเกเฮนนา 48 ที่ซึ่งตัวหนอนจะไม่ตายและไฟจะไม่ดับ.
49 “ด้วยว่าจะต้องมีการเทไฟลงบนทุกคนเหมือนเทเกลือ. 50 เกลือเป็นของดี แต่ถ้าเกลือหมดรสเค็ม พวกเจ้าจะใช้อะไรทำให้เกลือมีรสเค็ม? จงมีเกลือในตัวเองและรักษาสันติสุขระหว่างพวกเจ้าไว้.”
10 แล้วพระเยซูทรงลุกขึ้นและเสด็จจากที่นั่นข้ามแม่น้ำจอร์แดนมายังเขตแดนแคว้นยูเดีย คนมากมายก็พากันมาหาพระองค์อีก และพระเยซูทรงสอนพวกเขาอย่างที่ทรงทำเป็นประจำ. 2 พวกฟาริซายก็มาทดสอบพระองค์โดยถามว่า ตามพระบัญญัติ ผู้ชายจะหย่าภรรยาได้หรือไม่. 3 พระเยซูตรัสถามพวกเขาว่า “โมเซสั่งพวกเจ้าไว้อย่างไร?” 4 พวกเขาบอกว่า “โมเซอนุญาตให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยาแล้วก็หย่าได้.” 5 แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “โมเซเขียนบัญญัติข้อนี้ให้พวกเจ้าก็เพราะใจพวกเจ้าแข็งกระด้าง. 6 อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่แรกที่ทรงสร้างมนุษย์ ‘พระองค์ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง. 7 ด้วยเหตุนี้ผู้ชายจะไปจากบิดามารดาของตน 8 และทั้งสองจะเป็นเนื้อหนังเดียวกัน’* พวกเขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อหนังเดียวกัน. 9 ฉะนั้น ที่พระเจ้าทรงผูกมัดไว้ด้วยกันแล้วนั้นอย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย.” 10 เมื่ออยู่ด้วยกันในบ้านอีก พวกสาวกก็ทูลถามพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้. 11 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้ใดที่หย่าภรรยาแล้วแต่งงานใหม่ก็เป็นคนเล่นชู้และทำผิดต่อนาง 12 และถ้าผู้หญิงหย่าจากสามีแล้วไปแต่งงานกับคนอื่น นางก็มีชู้.”
13 มีผู้คนพาเด็กเล็ก ๆ มาให้พระองค์จับต้อง แต่พวกสาวกปรามพวกเขาไว้. 14 เมื่อพระเยซูทรงเห็นเช่นนั้นก็ไม่พอพระทัยและตรัสกับพวกเขาว่า “ให้เด็กเล็ก ๆ เข้ามาหาเราเถิด อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนอย่างนี้. 15 เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า ผู้ใดไม่ยอมรับราชอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง ผู้นั้นจะไม่ได้เข้าราชอาณาจักรเลย.” 16 แล้วพระองค์ทรงโอบเด็ก ๆ ไว้ แล้วทรงวางพระหัตถ์บนพวกเด็ก ๆ และอวยพรพวกเขา.
17 ขณะที่พระองค์ทรงเดินทางต่อไป ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระองค์และทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าต้องทำอะไรจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?” 18 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ทำไมเจ้าเรียกเราว่าผู้ประเสริฐ? ไม่มีใครเป็นผู้ประเสริฐนอกจากพระเจ้าองค์เดียว. 19 เจ้าก็รู้จักบัญญัติที่ว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่าเล่นชู้ อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าโกง จงนับถือบิดามารดาของเจ้า.’ ” 20 ชายคนนั้นทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าปฏิบัติตามข้อเหล่านั้นทั้งหมดตั้งแต่เด็กมา.” 21 พระเยซูทรงมองดูเขาและทรงรู้สึกรัก จึงตรัสกับเขาว่า “มีอย่างหนึ่งที่เจ้าขาดอยู่ จงไปขายสิ่งต่าง ๆ ที่เจ้ามีและเอาเงินแจกให้คนจนแล้วเจ้าจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงมาเป็นผู้ติดตามเราเถิด.” 22 แต่เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นก็เศร้าใจและออกไปด้วยความทุกข์ใจเพราะเขามีทรัพย์สมบัติมาก.
23 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรไปรอบ ๆ แล้วจึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า “คนมีเงินจะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากนัก!” 24 แต่พวกสาวกต่างประหลาดใจในคำตรัสของพระองค์. พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาอีกว่า “ลูกเอ๋ย ที่จะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากนัก! 25 อูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้า.” 26 พวกเขาก็ยิ่งประหลาดใจและทูลพระองค์ว่า “ถ้าอย่างนั้น ใครจะรอดได้?” 27 พระเยซูทรงมองดูพวกเขาและตรัสว่า “สำหรับมนุษย์ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ใช่สำหรับพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้.” 28 เปโตรจึงทูลพระองค์ว่า “พวกข้าพเจ้าได้สละทุกสิ่งและติดตามพระองค์เรื่อยมา.” 29 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า ไม่มีใครที่ได้สละบ้านหรือพี่น้องชายหญิงหรือมารดาหรือบิดาหรือลูก ๆ หรือไร่นาเพื่อเห็นแก่เราและเพื่อเห็นแก่ข่าวดี 30 แล้วจะไม่ได้คืนร้อยเท่าในช่วงชีวิตนี้ คือบ้านเรือนและพี่น้องชายหญิงและมารดาและลูก ๆ และไร่นา พร้อมกับการข่มเหง แล้วในยุค*หน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์. 31 แต่หลายคนที่เป็นคนแรกจะเป็นคนสุดท้ายและคนสุดท้ายจะได้เป็นคนแรก.”
32 ขณะเดินทางขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเลม พระเยซูทรงดำเนินอยู่ข้างหน้า และพวกสาวกรู้สึกประหลาดใจ แต่คนอื่น ๆ ที่ตามมารู้สึกกลัว. อีกครั้งหนึ่งพระองค์ทรงพาสาวกสิบสองคนแยกออกไปและทรงบอกพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับพระองค์ โดยตรัสว่า 33 “พวกเราจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเลม และบุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือพวกปุโรหิตใหญ่กับพวกอาลักษณ์ พวกเขาจะตัดสินลงโทษท่านถึงตาย และจะส่งท่านให้ชนต่างชาติ 34 คนเหล่านั้นจะเยาะเย้ยท่าน ถ่มน้ำลายใส่ท่าน เฆี่ยนตีท่าน และฆ่าท่าน แต่สามวันให้หลังท่านจะเป็นขึ้นจากตาย.”
35 ยาโกโบกับโยฮันบุตรสองคนของเซเบเดอุสเดินเข้าไปหาพระองค์และทูลว่า “ท่านอาจารย์ พวกข้าพเจ้าอยากให้พระองค์ทำตามที่พวกข้าพเจ้าจะขอ.” 36 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าอยากให้เราทำอะไรให้หรือ?” 37 พวกเขาทูลพระองค์ว่า “เมื่อพระองค์ดำรงฐานะอันรุ่งโรจน์แล้ว ขอทรงโปรดให้พวกข้าพเจ้าได้นั่งด้านขวาพระหัตถ์ของพระองค์คนหนึ่งและด้านซ้ายคนหนึ่ง.” 38 แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าไม่รู้ว่ากำลังขออะไร. พวกเจ้าจะดื่มจากถ้วยที่เราดื่มอยู่ หรือจะรับบัพติสมาอย่างที่เรารับอยู่ได้หรือ?” 39 พวกเขาทูลพระองค์ว่า “พวกข้าพเจ้าทำได้.” พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้วยที่เราดื่มอยู่นั้น พวกเจ้าจะได้ดื่ม และบัพติสมาที่เรารับอยู่นั้น พวกเจ้าจะได้รับ. 40 แต่ใครจะได้นั่งด้านขวาหรือด้านซ้ายของเรานั้น เราไม่ใช่ผู้กำหนด แต่ที่นั่งเหล่านั้นจะเป็นของผู้ที่พระบิดาของเราเตรียมไว้ให้.”
41 เมื่อสาวกอีกสิบคนได้ยินเรื่องนั้นก็ไม่พอใจยาโกโบกับโยฮัน. 42 พระเยซูจึงทรงเรียกพวกเขามาเฝ้าและตรัสว่า “พวกเจ้ารู้ว่าคนทั้งหลายที่ผู้คนถือกันว่าเป็นผู้ปกครองชนต่างชาติต่างทำตัวเป็นนายเหนือพวกเขาและพวกคนใหญ่คนโตก็ใช้อำนาจกดขี่. 43 แต่พวกเจ้าไม่เป็นเช่นนั้น ผู้ใดต้องการเป็นใหญ่ในหมู่พวกเจ้าต้องเป็นผู้รับใช้พวกเจ้า 44 และผู้ใดต้องการเป็นเอกเป็นใหญ่ในหมู่พวกเจ้าต้องเป็นทาสของทุกคน. 45 เพราะแม้แต่บุตรมนุษย์ก็ไม่ได้มาให้คนอื่นรับใช้ แต่มารับใช้คนอื่น และสละชีวิตเป็นค่าไถ่เพื่อคนเป็นอันมาก.”
46 แล้วพระเยซูกับสาวกได้เข้าไปในเมืองเยริโค. ตอนที่พระองค์กำลังออกจากเมืองเยริโคพร้อมกับสาวกและคนจำนวนมาก มีขอทานตาบอดคนหนึ่งชื่อบาร์ทิเมอุส (บุตรทิเมอุส) นั่งอยู่ริมทาง. 47 เมื่อเขาได้ยินว่าเป็นพระเยซูชาวนาซาเรทก็ร้องเสียงดังว่า “พระเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด!” 48 หลายคนจึงดุเขาให้เงียบ ๆ แต่เขายิ่งร้องดังขึ้นอีกว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด!” 49 พระเยซูจึงทรงหยุดเดินและตรัสว่า “เรียกเขามานี่เถิด.” พวกเขาจึงเรียกชายตาบอดและบอกเขาว่า “ลุกขึ้นไปเถอะ ท่านเรียกเจ้าแล้ว.” 50 เขาจึงสลัดผ้าคลุมออกและรีบลุกไปหาพระเยซู. 51 พระองค์ทรงถามเขาว่า “เจ้าอยากให้เราทำอะไรให้?” ชายตาบอดนั้นทูลพระองค์ว่า “อาจารย์*เจ้าข้า ขอให้ข้าพเจ้ามองเห็นเถิด.” 52 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ไปเถิด ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายเป็นปกติแล้ว.” เขาก็มองเห็นทันทีและตามพระองค์ไป.
11 เมื่อมาใกล้กรุงเยรูซาเลม และใกล้หมู่บ้านเบทฟาเกกับหมู่บ้านเบทาเนียซึ่งอยู่ที่ภูเขามะกอก พระเยซูทรงใช้สาวกสองคนไป 2 และตรัสกับพวกเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่เห็นอยู่ข้างหน้านี้ และทันทีที่เข้าไปพวกเจ้าจะพบลูกลาถูกล่ามไว้ เป็นลาที่ยังไม่เคยมีใครนั่ง จงแก้เชือกและจูงมันมา. 3 แล้วถ้ามีใครพูดว่า ‘พวกเจ้าทำอย่างนี้ทำไม?’ จงบอกว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ลาตัวนี้ แล้วจะส่งกลับมาให้ทันที.’ ” 4 สาวกสองคนนั้นก็ไปและพบลูกลาถูกล่ามไว้หน้าประตูริมถนนจึงแก้เชือกล่ามลูกลานั้น. 5 แต่บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นพูดกับทั้งสองว่า “พวกเจ้าแก้เชือกล่ามลูกลาทำไม?” 6 พวกเขาจึงตอบตามที่พระเยซูบอก คนเหล่านั้นจึงให้พวกเขาเอาลูกลาไป.
7 ทั้งสองได้จูงลูกลานั้นมาให้พระเยซู แล้วเอาเสื้อคลุมปูบนหลังลาให้พระองค์นั่ง. 8 หลายคนก็เอาเสื้อคลุมของตนปูตามทาง แต่คนอื่น ๆ ตัดกิ่งไม้จากทุ่งมา. 9 คนที่เดินอยู่ข้างหน้าและคนที่เดินตามหลังต่างก็ร้องว่า “ขอทรงพระเจริญ! ขอพระพรจงมีแด่พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามพระยะโฮวา! 10 พระพรจงมีแก่ราชอาณาจักรที่จะมาซึ่งเป็นของดาวิดบิดาของพวกเรา! ข้าแต่พระผู้สถิตในที่สูงเบื้องบน ขอทรงโปรดช่วยให้พระองค์ทรงพระเจริญเถิด!” 11 พระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงเยรูซาเลมแล้วเข้าไปในพระวิหารและทอดพระเนตรทุกสิ่งที่อยู่รอบ ๆ และเมื่อเย็นมากแล้ว พระองค์จึงเสด็จออกไปยังหมู่บ้านเบทาเนียพร้อมกับสาวกสิบสองคน.
12 ในวันรุ่งขึ้น เมื่อพระเยซูกับพวกสาวกออกจากหมู่บ้านเบทาเนียมาแล้ว พระองค์ทรงรู้สึกหิว. 13 และพระองค์ทรงเห็นต้นมะเดื่อที่มีใบแล้วต้นหนึ่งอยู่แต่ไกล จึงเสด็จเข้าไปเพื่อจะดูว่ามีผลหรือไม่. แต่พอไปถึงก็พบว่ามีแต่ใบ เพราะตอนนั้นไม่ใช่ฤดูมะเดื่อ. 14 ดังนั้น พระองค์จึงตรัสกับต้นมะเดื่อนั้นว่า “เจ้าจะไม่เกิดผลให้ผู้ใดได้กินอีกต่อไป.” และพวกสาวกของพระองค์ก็ฟังอยู่.
15 เมื่อพระเยซูกับสาวกมาถึงกรุงเยรูซาเลม พระองค์เสด็จเข้าไปในพระวิหารแล้วขับไล่คนที่กำลังซื้อขายอยู่ในพระวิหาร และคว่ำโต๊ะคนรับแลกเงินกับม้านั่งของคนขายนกเขา 16 และพระองค์ไม่ทรงยอมให้ใครนำสิ่งของเครื่องใช้ผ่านพระวิหาร 17 พระองค์ทรงสอนด้วยว่า “มีคำเขียนไว้มิใช่หรือว่า ‘นิเวศของเราจะถูกเรียกว่านิเวศสำหรับการอธิษฐานของชนทุกชาติ’? แต่พวกเจ้ามาทำให้เป็นถ้ำโจร.” 18 พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกอาลักษณ์ได้ยินที่พระองค์ตรัสจึงหาทางฆ่าพระองค์เพราะพวกเขากลัวพระองค์ ด้วยว่าคนทั้งปวงยังอัศจรรย์ใจในคำสอนของพระองค์อยู่.
19 พอค่ำลงพระเยซูกับสาวกก็ออกไปนอกเมืองเช่นเคย. 20 และเมื่อผ่านมาในตอนเช้าตรู่ก็เห็นต้นมะเดื่อนั้นเหี่ยวแห้งจนถึงราก. 21 เปโตรจำได้จึงทูลพระเยซูว่า “อาจารย์* ดูสิ! ต้นมะเดื่อที่ทรงสาปนั้นเหี่ยวแห้งไปแล้ว.” 22 พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “จงมีความเชื่อในพระเจ้า. 23 เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า ผู้ใดที่บอกภูเขานี้ว่า ‘จงลอยไปหล่นลงในทะเลเถิด’ และไม่มีใจสงสัย แต่มีความเชื่อว่าสิ่งที่ตนพูดจะเกิดขึ้น มันก็จะเป็นไปตามนั้น. 24 เพราะเหตุนี้เราจึงบอกพวกเจ้าว่า ทุกสิ่งที่พวกเจ้าอธิษฐานขอ จงมีความเชื่อว่าจะได้รับ แล้วพวกเจ้าจะได้รับเป็นแน่. 25 และเมื่อพวกเจ้ายืนอธิษฐานอยู่ ไม่ว่าเจ้าจะมีเรื่องขุ่นเคืองผู้ใด จงให้อภัยเขา เพื่อว่าพระบิดาของพวกเจ้าผู้สถิตในสวรรค์จะทรงให้อภัยการล่วงละเมิดของพวกเจ้าด้วย.” 26 * ——
27 พระเยซูกับสาวกมายังกรุงเยรูซาเลมอีก. ขณะที่พระองค์ทรงดำเนินอยู่ในพระวิหาร พวกปุโรหิตใหญ่ พวกอาลักษณ์ และพวกผู้เฒ่าผู้แก่ก็เข้ามาหา 28 และพูดกับพระองค์ว่า “เจ้าทำสิ่งเหล่านั้นด้วยอำนาจอะไร? หรือใครให้อำนาจเจ้าทำสิ่งเหล่านั้น?” 29 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราจะถามพวกเจ้าข้อหนึ่ง. จงตอบเราแล้วเราจะบอกพวกเจ้าว่าเราทำสิ่งเหล่านั้นด้วยอำนาจอะไร. 30 บัพติสมา*โดยโยฮันนั้นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์? ตอบเราเถิด.” 31 ดังนั้น พวกเขาจึงปรึกษากันว่า “ถ้าพวกเราบอกว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกเจ้าจึงไม่เชื่อโยฮันเล่า?’ 32 แต่พวกเราจะกล้าบอกหรือว่า ‘มาจากมนุษย์’?” ที่พวกเขาพูดอย่างนั้นเนื่องจากกลัวประชาชน เพราะคนทั้งปวงถือว่าโยฮันเป็นผู้พยากรณ์จริง ๆ. 33 พวกเขาจึงตอบพระเยซูว่า “พวกเราไม่รู้.” พระเยซูจึงตรัสว่า “เราก็จะไม่บอกพวกเจ้าเช่นกันว่าเราทำสิ่งเหล่านั้นด้วยอำนาจอะไร.”
12 แล้วพระองค์จึงตรัสกับพวกเขาเป็นอุปมาโวหารว่า “ชายคนหนึ่งทำสวนองุ่น เขาล้อมรั้วและขุดบ่อย่ำองุ่นอีกทั้งสร้างหอคอยไว้ และให้ชาวสวนเช่าแล้วเดินทางไปต่างแดน. 2 เมื่อถึงฤดูเก็บผล เขาก็ส่งทาสคนหนึ่งไปหาผู้เช่าสวนเพื่อจะรับผลองุ่นในสวนนั้นจากพวกเขาบ้าง. 3 แต่ผู้เช่าสวนจับทาสคนนั้นเฆี่ยนตีแล้วไล่กลับไปมือเปล่า. 4 เขาจึงส่งทาสอีกคนไปหาผู้เช่าสวนเหล่านั้นอีก ผู้เช่าสวนก็ตีหัวทาสคนนี้และทำให้เขาอับอาย. 5 แล้วเมื่อเขาส่งทาสไปอีกคนหนึ่ง พวกเขาก็ฆ่าเสีย และทาสอีกหลายคนที่เขาส่งไป บ้างก็ถูกตี บ้างก็ถูกฆ่า. 6 เขายังเหลือคนอีกคนหนึ่ง คือบุตรชายที่รัก. เขาส่งบุตรไปหาพวกนั้นเป็นคนสุดท้ายและพูดว่า ‘พวกเขาคงจะนับถือบุตรของเรา.’ 7 แต่ผู้เช่าสวนเหล่านั้นพูดกันว่า ‘คนนี้เป็นผู้รับมรดก. ฆ่าเขาเสีย มรดกจะได้เป็นของเรา.’ 8 พวกเขาจึงจับบุตรเจ้าของสวนฆ่าเสียแล้วโยนออกไปนอกสวนองุ่น. 9 เจ้าของสวนองุ่นจะทำอย่างไร? เขาก็จะมาฆ่าผู้เช่าสวนเสีย แล้วเอาสวนองุ่นนั้นให้คนอื่นเช่า. 10 เจ้าทั้งหลายไม่เคยอ่านข้อความนี้ในพระคัมภีร์หรือว่า ‘หินที่ช่างก่อสร้างปฏิเสธนั้นได้กลายเป็นหินหัวมุมหลัก. 11 เรื่องนี้เป็นมาแต่พระยะโฮวาและเป็นสิ่งอัศจรรย์ในสายตาพวกเรา’?”
12 เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาจึงหาทางจะจับพระองค์เพราะรู้ว่าอุปมาโวหารที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึงพวกเขา. แต่เพราะกลัวฝูงชน พวกเขาจึงละพระองค์ไป.
13 ต่อมา พวกเขาส่งพวกฟาริซายบางคนกับคนที่สนับสนุนเฮโรดบางคนไปหาพระเยซูเพื่อจะจับผิดคำพูดของพระองค์. 14 เมื่อคนเหล่านี้มาถึงก็พูดกับพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านพูดแต่ความจริงและไม่เห็นแก่ใครเพราะท่านไม่มองคนที่ภายนอก แต่สอนทางของพระเจ้าตามความจริง ฉะนั้น จะเสียภาษีแก่ซีซาร์*ได้หรือไม่? 15 เราควรเสียหรือไม่ควรเสีย?” พระองค์ทรงมองเห็นความหน้าซื่อใจคดของพวกเขาจึงตรัสว่า “พวกเจ้าหาทางจับผิดเราทำไม? จงเอาเหรียญเดนาริอน*มาให้เราเหรียญหนึ่ง.” 16 พวกเขาก็เอาให้พระองค์. แล้วพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “รูปและชื่อที่จารึกไว้นี้เป็นของใคร?” พวกเขาบอกว่า “ของซีซาร์.” 17 พระเยซูจึงตรัสว่า “ของของซีซาร์จงคืนให้ซีซาร์ แต่ของของพระเจ้าจงคืนให้พระเจ้า.” พวกเขาก็อัศจรรย์ใจในพระองค์.
18 แล้วพวกซาดูกาย*ซึ่งบอกว่าไม่มีการกลับเป็นขึ้นจากตายก็มาถามพระองค์ว่า 19 “ท่านอาจารย์ โมเซได้เขียนบอกพวกเราว่าถ้าผู้ใดตายและทิ้งภรรยาไว้แต่ไม่มีบุตร พี่ชายหรือน้องชายของเขาควรรับภรรยาของเขาเป็นภรรยาตนและมีบุตรกับนางเพื่อสืบตระกูลให้เขา. 20 แล้วถ้ามีพี่น้องอยู่เจ็ดคน คนโตมีภรรยา แต่ตอนที่เขาตาย เขายังไม่มีบุตร. 21 คนที่สองจึงรับนางเป็นภรรยา แต่ก็ตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่สามก็เหมือนกัน 22 และทั้งเจ็ดคนต่างตายไปโดยไม่มีบุตร. สุดท้าย หญิงคนนั้นก็ตายด้วย. 23 เมื่อถึงเวลาที่คนตายกลับเป็นขึ้นมา นางจะเป็นภรรยาของคนไหน? เพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา.” 24 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว เพราะพวกเจ้าไม่รู้จักทั้งพระคัมภีร์และฤทธิ์ของพระเจ้า. 25 ด้วยว่าเมื่อมนุษย์เป็นขึ้นจากตาย พวกเขาจะไม่แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน แต่ต่างก็จะเป็นอย่างทูตสวรรค์. 26 ส่วนในเรื่องที่คนตายจะถูกปลุกให้เป็นขึ้นมานั้น พวกเจ้าไม่ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับพุ่มหนามในหนังสือของโมเซหรือ ที่พระเจ้าตรัสกับท่านว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮาม พระเจ้าของยิศฮาค และพระเจ้าของยาโคบ’? 27 พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น. พวกเจ้าเข้าใจผิดไปมาก.”
28 มีอาลักษณ์คนหนึ่งมาได้ยินการถกเถียงนั้น เมื่อเห็นว่าพระองค์ตอบพวกเขาได้ดีจึงถามพระองค์ว่า “บัญญัติข้อใดสำคัญที่สุดในบัญญัติทั้งปวง?” 29 พระเยซูตรัสตอบว่า “บัญญัติข้อสำคัญที่สุดคือ ‘ชนอิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเราเป็นพระยะโฮวาแต่องค์เดียว. 30 จงรักพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดหัวใจของเจ้า ด้วยสุดชีวิตของเจ้า ด้วยสุดความคิดของเจ้า และด้วยสุดกำลังของเจ้า.’ 31 บัญญัติข้อที่สอง คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง.’ ไม่มีบัญญัติข้อใดสำคัญกว่าสองข้อนี้.” 32 อาลักษณ์คนนั้นทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ที่ท่านพูดว่า ‘พระองค์มีแต่ผู้เดียว และไม่มีผู้อื่นนอกจากพระองค์’ นั้นเป็นความจริง 33 และการรักพระองค์ด้วยสุดหัวใจ ด้วยสุดความคิด และด้วยสุดกำลัง และการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองนั้นก็มีค่ากว่าเครื่องบูชาเผาและเครื่องบูชาทั้งหลายมากนัก.” 34 พระเยซูทรงเห็นว่าเขาตอบด้วยความเข้าใจจึงตรัสกับเขาว่า “เจ้าอยู่ไม่ไกลจากราชอาณาจักรของพระเจ้า” จึงไม่มีผู้ใดกล้าถามพระองค์อีก.
35 อย่างไรก็ตาม ขณะที่พระเยซูทรงสอนอยู่ในพระวิหาร พระองค์ตรัสถึงเรื่องนั้นต่อไปว่า “เหตุใดพวกอาลักษณ์จึงพูดว่าพระคริสต์เป็นบุตรของดาวิด? 36 ในเมื่อดาวิดเองได้กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า ‘พระยะโฮวาตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า “จงนั่งด้านขวามือของเราจนกว่าเราจะทำให้เหล่าศัตรูของเจ้าอยู่ใต้เท้าเจ้า.”’ 37 ดาวิดเองเรียกท่านว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แล้วท่านจะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร?”
ฝูงชนจำนวนมากที่ฟังพระองค์อยู่ก็รู้สึกชอบใจ. 38 และขณะที่สอนนั้นพระองค์ตรัสต่อไปว่า “จงระวังพวกอาลักษณ์ที่ชอบสวมเสื้อคลุมยาวเดินไปมา ชอบให้คนคำนับในตลาด 39 ชอบนั่งที่เด่น ๆ ในธรรมศาลา และชอบนั่งในที่อันทรงเกียรติในงานเลี้ยง. 40 พวกเขาโกงเอาเรือนของหญิงม่ายและแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว คนเหล่านี้จะได้รับโทษหนักกว่า.”
41 แล้วพระองค์ทรงนั่งลงในที่ซึ่งมองเห็นที่ใส่เงินถวายและทรงสังเกตดูผู้คนที่กำลังใส่เงินลงในที่ใส่เงินถวาย คนมั่งมีหลายคนใส่เงินเหรียญลงไปเป็นจำนวนมาก. 42 แล้วมีหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งมาใส่เงินเหรียญเล็ก ๆ สองเหรียญ*ลงไปซึ่งมีค่าน้อยมาก. 43 พระองค์จึงทรงเรียกพวกสาวกมาและตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ได้ใส่เงินลงไปในที่ใส่เงินถวายมากกว่าทุกคน 44 เพราะคนทั้งปวงเอาเงินเหลือใช้ของตนใส่ลงไป แต่หญิงคนนี้แม้จะขัดสนก็เอาเงินทั้งหมดที่นางมีสำหรับเลี้ยงชีวิตใส่ลงไป.”
13 ขณะที่พระองค์เสด็จออกจากพระวิหาร สาวกคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ทอดพระเนตรศิลาและอาคารเหล่านี้สิ!” 2 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เจ้าเห็นอาคารใหญ่โตงดงามเหล่านี้ไหม? จะไม่มีศิลาที่ซ้อนทับกันเหลืออยู่ที่นี่เลย มันจะถูกทลายลงหมด.”
3 และเมื่อพระองค์ทรงนั่งอยู่บนภูเขามะกอกซึ่งมองเห็นพระวิหารได้ เปโตร ยาโกโบ โยฮัน และอันเดรอัสได้ทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า 4 “ขอทรงบอกพวกข้าพเจ้าเถิดว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และอะไรจะเป็นสัญญาณบอกว่าเป็นช่วงสุดท้ายแล้วที่สิ่งทั้งปวงนี้จะต้องถึงกาลอวสาน?” 5 พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “จงระวัง อย่าให้ใครชักนำเจ้าทั้งหลายให้หลง. 6 หลายคนจะมาอ้างนามของเราและบอกว่า ‘เราคือผู้นั้น’ และจะชักนำคนจำนวนมากให้หลงไป. 7 นอกจากนั้น เมื่อเจ้าทั้งหลายได้ยินเสียงการสู้รบและข่าวสงคราม อย่าตกใจกลัว สิ่งเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้น แต่ยังไม่ถึงอวสาน.
8 “ด้วยว่าชาติจะต่อสู้ชาติและอาณาจักรต่อสู้อาณาจักร จะเกิดแผ่นดินไหวแห่งแล้วแห่งเล่าและจะเกิดการขาดแคลนอาหาร. สิ่งเหล่านี้เป็นการเริ่มต้นของความทุกข์ปวดร้าวเหมือนตอนเจ็บท้องคลอด.
9 “ส่วนพวกเจ้าจงระวังให้ดี จะมีคนส่งพวกเจ้าไปขึ้นศาล และพวกเจ้าจะถูกเฆี่ยนในธรรมศาลาและจะต้องยืนต่อหน้าเจ้าเมืองและกษัตริย์เพื่อเห็นแก่เราและเพื่อประกาศให้พวกเขารู้ความจริง. 10 และจะต้องมีการประกาศข่าวดีแก่ทุกชาติก่อน. 11 แต่เมื่อพวกเขาพาพวกเจ้าไปขึ้นศาล อย่าคิดกังวลไปก่อนว่าจะพูดอะไร แต่จงพูดตามที่ทรงโปรดให้พวกเจ้าพูดในเวลานั้น ด้วยว่าพวกเจ้าไม่ได้พูดเอง แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ต่างหากที่พูด. 12 นอกจากนั้น พี่จะเป็นเหตุให้น้องถึงตาย น้องจะเป็นเหตุให้พี่ถึงตาย พ่อจะเป็นเหตุให้ลูกถึงตาย และลูกจะต่อสู้พ่อแม่และจะเป็นเหตุให้พ่อแม่ถึงตาย 13 และเจ้าทั้งหลายจะตกเป็นเป้าแห่งความเกลียดชังจากคนทั้งปวงเพราะนามของเรา. แต่ผู้ที่เพียรอดทนจนถึงที่สุดจะได้รับการช่วยให้รอด.
14 “อย่างไรก็ดี เมื่อเจ้าทั้งหลายเห็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนซึ่งทำให้เกิดความร้างเปล่าตั้งอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่ (ให้ผู้อ่านสังเกตให้เข้าใจ) เวลานั้นให้คนที่อยู่ในแคว้นยูเดียเริ่มหนีไปยังภูเขา. 15 คนที่อยู่บนดาดฟ้าอย่าลงมาและอย่าเข้าไปเอาอะไรในบ้าน 16 คนที่อยู่ในไร่นาอย่ากลับไปเอาเสื้อคลุมของตน. 17 วิบัติแก่หญิงมีครรภ์และหญิงที่มีลูกอ่อนในเวลานั้น! 18 จงเฝ้าอธิษฐานเสมอเพื่อสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว 19 เพราะเวลานั้นจะเป็นเวลาแห่งความทุกข์ลำบากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยนับตั้งแต่พระเจ้าเริ่มสร้างโลกจนถึงเวลานั้น และจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย. 20 ที่จริง ถ้าพระยะโฮวาไม่ทรงทำให้ช่วงเวลานั้นสั้นลง จะไม่มีใคร*รอดเลย. แต่เพราะทรงเห็นแก่เหล่าผู้ถูกเลือก พระองค์จึงทรงทำให้ช่วงเวลานั้นสั้นลง.
21 “และถ้ามีผู้ใดบอกเจ้าทั้งหลายว่า ‘ดูเถิด! พระคริสต์อยู่นี่’ ‘ดูสิ! พระองค์อยู่นั่น’ อย่าเชื่อเลย. 22 เพราะพระคริสต์ปลอมและผู้พยากรณ์เท็จจะปรากฏตัวขึ้น แล้วจะให้ข้อพิสูจน์และทำการอัศจรรย์เพื่อชักนำแม้กระทั่งผู้ถูกเลือกให้หลง ถ้าเป็นได้. 23 ดังนั้น พวกเจ้าจงระวังระไว เราบอกพวกเจ้าไว้ก่อนแล้วทุกสิ่ง.
24 “แต่ในเวลานั้น หลังจากความทุกข์ลำบากนั้นแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง 25 ดวงดาวจะตกจากฟ้า และสิ่งที่มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะสั่นสะเทือน. 26 แล้วพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์มาในเมฆด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่และฐานะที่มีเกียรติอันรุ่งโรจน์. 27 และท่านจะส่งเหล่าทูตสวรรค์ออกไปรวบรวมเหล่าผู้ถูกเลือกของท่านจากทั้งสี่ทิศ จากสุดแผ่นดินโลกจนถึงสุดฟ้าสวรรค์.
28 “จงดูต้นมะเดื่อเป็นตัวอย่าง เมื่อกิ่งอ่อนของมันผลิใบ เจ้าทั้งหลายก็รู้ว่าใกล้จะถึงฤดูร้อนแล้ว. 29 ทำนองเดียวกัน เมื่อเจ้าทั้งหลายเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น จงรู้ว่าบุตรมนุษย์มาใกล้แล้ว ท่านอยู่ที่ประตู. 30 เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า คนในยุคนี้จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงนี้จะเกิดขึ้น. 31 ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะสูญไป แต่ถ้อยคำของเราจะไม่สูญไป.
32 “วันเวลานั้นไม่มีใครรู้ แม้ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงรู้. 33 จงคอยดูและตื่นตัวเสมอ เพราะพวกเจ้าไม่รู้ว่าเวลาที่กำหนดไว้คือเมื่อไร 34 เหมือนชายคนหนึ่งเดินทางไปต่างแดนและฝากบ้านให้พวกทาสดูแลโดยมอบหมายงานให้แต่ละคน และสั่งคนเฝ้าประตูให้เฝ้าระวังอยู่เสมอ. 35 ฉะนั้น จงเฝ้าระวังอยู่เสมอ เพราะเจ้าทั้งหลายไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร จะมาตอนค่ำ หรือตอนเที่ยงคืน หรือตอนไก่ขัน หรือตอนเช้าตรู่ 36 เพื่อว่าถ้าท่านมาถึงอย่างกะทันหัน ท่านจะไม่พบเจ้าทั้งหลายหลับอยู่. 37 เราบอกเจ้าทั้งหลายเหมือนที่บอกทุกคน คือ จงเฝ้าระวังอยู่เสมอ.”
14 อีกสองวันจะถึงวันปัศคาและเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ. พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกอาลักษณ์กำลังหาอุบายจับพระเยซูฆ่าเสีย 2 แต่พวกเขาพูดกันว่า “อย่าทำในช่วงเทศกาล เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายในหมู่ประชาชน.”
3 เมื่อพระองค์ทรงอยู่ที่หมู่บ้านเบทาเนียในบ้านของซีโมนคนโรคเรื้อน ขณะที่พระองค์ทรงนั่งเอนกายรับประทานอาหารอยู่ หญิงคนหนึ่งถือขวด*ใส่น้ำมันหอมนาร์ด*บริสุทธิ์ราคาแพงมากเข้ามา. นางเปิดขวดแล้วเทน้ำมันลงบนพระเศียรของพระองค์. 4 เมื่อเห็นเช่นนั้นมีบางคนพูดกันอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมทำให้น้ำมันหอมเสียเปล่าอย่างนี้? 5 เพราะน้ำมันหอมขวดนี้ถ้าขายก็คงได้เงินมากกว่าสามร้อยเดนาริอน*แล้วเอาแจกให้คนจนได้!” พวกเขาจึงรู้สึกไม่พอใจนางมาก. 6 แต่พระเยซูตรัสว่า “ปล่อยให้นางทำเถิด. พวกเจ้าทำให้นางไม่สบายใจทำไม? นางได้ทำดีต่อเรา. 7 เพราะคนจนจะอยู่กับพวกเจ้าเสมอ และเมื่อใดที่พวกเจ้าอยากทำดีต่อพวกเขาก็ทำได้ทุกเมื่อ แต่เราไม่อยู่กับพวกเจ้าเสมอไป. 8 นางทำสิ่งที่นางทำได้ นางเทน้ำมันหอมชโลมกายเราเพื่อเตรียมการฝังศพเรา. 9 เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า ไม่ว่าจะมีการประกาศข่าวดีที่ไหนในโลก ก็จะมีการกล่าวขวัญถึงสิ่งที่หญิงผู้นี้ได้ทำเพื่อเป็นการระลึกถึงนาง.”
10 แล้วยูดาอิสการิโอตซึ่งเป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนจึงได้ไปหาพวกปุโรหิตใหญ่เพื่อจะมอบพระองค์แก่พวกเขา. 11 เมื่อพวกปุโรหิตใหญ่ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจและสัญญาจะให้เงินเขา. ดังนั้น ยูดาจึงเริ่มหาทางมอบพระองค์แก่พวกเขา.
12 ในวันแรกของเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อซึ่งพวกเขาถวายสัตว์สำหรับปัศคาตามธรรมเนียม พวกสาวกทูลพระองค์ว่า “พระองค์ทรงประสงค์จะให้พวกข้าพเจ้าไปเตรียมอาหารสำหรับปัศคาให้พระองค์เสวยที่ไหน?” 13 พระองค์จึงทรงใช้สาวกสองคนไปและตรัสกับพวกเขาว่า “จงเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งซึ่งแบกหม้อดินใส่น้ำมาพบพวกเจ้า. จงตามเขาไป 14 และเขาเข้าไปในบ้านใด จงบอกกับเจ้าของบ้านนั้นว่า ‘ท่านอาจารย์ถามว่า “ห้องรับแขกที่เราจะกินอาหารสำหรับปัศคากับสาวกของเราอยู่ที่ไหน?”’ 15 และเขาจะให้เจ้าดูห้องใหญ่ชั้นบนซึ่งเตรียมไว้แล้ว จงเตรียมการทุกอย่างไว้ให้พวกเราที่นั่น.” 16 สาวกสองคนนั้นจึงเข้าไปในเมืองและพบอย่างที่พระองค์ทรงบอกไว้ พวกเขาจึงเตรียมการสำหรับฉลองปัศคาไว้ที่นั่น.
17 เมื่อตกเย็น พระองค์เสด็จมากับสาวกสิบสองคน. 18 และขณะที่นั่งเอนกายรับประทานอาหารกันอยู่ที่โต๊ะ พระเยซูตรัสว่า “เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า พวกเจ้าคนหนึ่งที่กำลังกินกับเราจะทรยศเรา.” 19 พวกเขาก็เป็นทุกข์และทูลถามพระองค์ทีละคนว่า “คือข้าพเจ้าหรือ?” 20 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้นั้นคือคนหนึ่งในสิบสองคนที่กำลังจิ้มในชามเดียวกับเรา. 21 จริงอยู่ บุตรมนุษย์จะจากไปอย่างที่มีคำเขียนถึงท่านไว้แล้ว แต่วิบัติจงมีแก่คนที่ทรยศบุตรมนุษย์! ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาก็ดีกว่า.”
22 ขณะที่รับประทานกันอยู่นั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมาแผ่นหนึ่งแล้วทูลขอพรและทรงหักส่งให้พวกเขาแล้วตรัสว่า “รับไปเถิด นี่หมายถึงกายของเรา.” 23 แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วยขึ้นมาทูลขอบพระคุณและส่งให้พวกเขา พวกเขาทุกคนก็ดื่มจากถ้วยนั้น 24 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่หมายถึงโลหิตของเราซึ่งเป็น ‘โลหิตแห่งสัญญา’ ซึ่งจะต้องไหลออกเพื่อคนเป็นอันมาก. 25 เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า เราจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นอีกเลยจนกระทั่งวันนั้นที่เราจะดื่มเหล้าองุ่นใหม่ในราชอาณาจักรของพระเจ้า.” 26 และเมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พระองค์กับเหล่าสาวกจึงออกไปยังภูเขามะกอก.
27 และพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้าทุกคนจะทิ้งเราไป* เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘เราจะตีผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะจะกระจัดกระจายไป.’ 28 แต่เมื่อเราถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตายแล้ว เราจะไปรอพวกเจ้าที่แคว้นแกลิลี.” 29 แต่เปโตรทูลพระองค์ว่า “แม้ทุกคนจะทิ้งพระองค์ไป* แต่ข้าพเจ้าจะไม่ทิ้งพระองค์ไปเลย.” 30 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกเจ้าตามจริงว่า วันนี้ คือคืนนี้แหละ ก่อนไก่ขันสองครั้ง เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง.” 31 แต่เขาทูลพระองค์ด้วยความมั่นใจว่า “แม้ข้าพเจ้าจะต้องตายกับพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย.” สาวกทั้งหมดต่างก็พูดเหมือนกัน.
32 แล้วพระเยซูกับเหล่าสาวกก็มาถึงที่แห่งหนึ่งชื่อเกทเซมาเน และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงนั่งอยู่ตรงนี้ขณะที่เราอธิษฐาน.” 33 แล้วพระองค์ทรงพาเปโตร ยาโกโบ และโยฮันไปด้วย พระองค์เริ่มวิตกและเป็นทุกข์ยิ่ง. 34 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นทุกข์หนักเจียนตาย. จงอยู่ที่นี่และเฝ้าระวัง.” 35 เมื่อทรงดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง พระองค์ทรงทรุดกายลงที่พื้นและอธิษฐานว่า ถ้าเป็นได้ ขอให้พระองค์พ้นจากช่วงเวลาเช่นนั้น. 36 แล้วพระองค์ทูลต่อไปว่า “อับบา* พระบิดา ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระองค์ ขอทรงเอาถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้า. แต่อย่าให้เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าต้องการ ขอให้เป็นไปตามที่พระองค์ต้องการเถิด.” 37 แล้วพระองค์ทรงกลับมาและพบพวกเขาหลับอยู่ พระองค์จึงตรัสกับเปโตรว่า “ซีโมน เจ้าหลับอยู่หรือ? เจ้าไม่มีเรี่ยวแรงจะเฝ้าระวังอยู่สักชั่วโมงหรือ? 38 จงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่เสมอเพื่อเจ้าทั้งหลายจะไม่พ่ายแพ้การล่อใจ. ใจกระตือรือร้นก็จริง แต่กายนั้นอ่อนแอ.” 39 พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐานอีก โดยทูลเหมือนคราวก่อน. 40 แล้วพระองค์ทรงกลับมาอีกและพบพวกสาวกหลับอยู่เพราะง่วงมาก และพวกเขาไม่รู้ว่าจะตอบพระองค์อย่างไร. 41 แล้วพระองค์ทรงกลับมาเป็นครั้งที่สามและตรัสกับพวกเขาว่า “ในเวลาอย่างนี้พวกเจ้ายังหลับพักผ่อนอยู่อีก! พอเถิด! เวลานั้นมาถึงแล้ว! บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือคนบาปแล้ว. 42 ลุกขึ้นไปกันเถิด. ผู้ทรยศเรามาใกล้แล้ว.”
43 ทันใดนั้น ขณะที่พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ยูดาซึ่งเป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนก็มาพร้อมกับคนมากมายที่ถือดาบถือตะบอง ซึ่งเป็นคนของพวกปุโรหิตใหญ่ พวกอาลักษณ์ และพวกผู้เฒ่าผู้แก่. 44 ผู้ทรยศพระองค์กำหนดสัญญาณกับคนเหล่านั้นไว้ว่า “ข้าพเจ้าจูบผู้ใดก็คือคนนั้นแหละ จงจับกุมเขาแล้วควบคุมตัวไป.” 45 แล้วเขาก็ตรงเข้ามาหาพระองค์และพูดว่า “อาจารย์!”* และจูบพระองค์อย่างนุ่มนวล. 46 คนเหล่านั้นจึงเข้ามาจับกุมพระองค์. 47 แต่มีคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ชักดาบออกฟันทาสของมหาปุโรหิตโดนหูเขาขาด. 48 พระเยซูจึงตรัสกับคนเหล่านั้นว่า “พวกเจ้าถือดาบถือตะบองมาจับเราเหมือนจับโจรหรือ? 49 เราสอนในพระวิหารทุกวัน และพวกเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่พวกเจ้าก็ไม่ได้จับเรา. แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จ.”
50 แล้วสาวกทั้งหมดก็ทิ้งพระองค์แล้วหนีไป. 51 แต่ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีผ้าลินินเนื้อดีคลุมทับเสื้อ*ไว้ได้ตามพระองค์ไปไม่ห่างนัก และคนเหล่านั้นพยายามจะจับเขา. 52 แต่เขาทิ้งผ้าลินินไว้แล้วหนีไปโดยไม่มีผ้าคลุม.*
53 พวกเขาจึงพาพระเยซูไปพบมหาปุโรหิต และพวกปุโรหิตใหญ่ พวกผู้เฒ่าผู้แก่ และพวกอาลักษณ์ก็มาประชุมกันที่นั่นทุกคน. 54 ส่วนเปโตรตามพระองค์ไปห่าง ๆ จนถึงลานบ้านมหาปุโรหิต แล้วนั่งผิงไฟอยู่กับพวกคนรับใช้. 55 ระหว่างนั้น พวกปุโรหิตใหญ่กับสมาชิกทุกคนของสภาซันเฮดริน*ก็หาพยานมาปรักปรำพระเยซูเพื่อจะได้ประหารพระองค์ แต่หาไม่ได้. 56 ถึงจะมีหลายคนให้การเท็จเพื่อใส่ร้ายพระองค์ แต่คำให้การของพวกเขาขัดแย้งกัน. 57 มีคนลุกขึ้นให้การเท็จเพื่อใส่ร้ายพระองค์อีกว่า 58 “พวกเราได้ยินเขาพูดว่า ‘เราจะทลายวิหารหลังนี้ที่สร้างโดยมนุษย์และในสามวันเราจะสร้างอีกหลังหนึ่งที่ไม่ได้สร้างโดยมนุษย์.’ ” 59 แต่คำให้การของพวกเขาในเรื่องนี้ก็ขัดแย้งกัน.
60 ในที่สุด มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นยืนท่ามกลางพวกเขาและถามพระเยซูว่า “เจ้าไม่โต้ตอบอะไรหรือ? เจ้าจะว่าอย่างไรที่คนเหล่านี้ให้การปรักปรำเจ้า?” 61 แต่พระองค์ยังคงนิ่งอยู่ ไม่ทรงตอบอะไรเลย. มหาปุโรหิตจึงถามพระองค์อีกว่า “เจ้าเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้สมควรได้รับการสรรเสริญใช่หรือไม่?” 62 พระเยซูจึงตรัสว่า “เราคือผู้นั้น และพวกเจ้าจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งด้านขวาพระหัตถ์ของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์และจะเห็นท่านมาในเมฆบนท้องฟ้า.” 63 มหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนแล้วพูดว่า “เรายังจะต้องการพยานอีกหรือ? 64 ท่านทั้งหลายได้ยินแล้วว่าเขาหมิ่นประมาทพระเจ้า. พวกท่านคิดเห็นอย่างไร?” พวกเขาทั้งหมดตัดสินให้พระองค์รับโทษถึงตาย. 65 แล้วบางคนได้ถ่มน้ำลายรดพระองค์ พวกเขาปิดพระพักตร์พระองค์และต่อยพระองค์แล้วพูดว่า “พิสูจน์ให้พวกเราเห็นสิว่าเจ้าเป็นผู้พยากรณ์” พวกเจ้าพนักงานศาลก็ตบพระพักตร์พระองค์แล้วเอาตัวพระองค์ไป.
66 ขณะที่เปโตรอยู่ข้างล่างที่ลานบ้าน สาวใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตเดินเข้ามา 67 พอเห็นเปโตรผิงไฟอยู่ นางก็จ้องเขาและพูดว่า “เจ้าเคยอยู่กับเยซูชาวนาซาเรทคนนั้นด้วยนี่.” 68 แต่เขาปฏิเสธว่า “ข้าไม่รู้จักเขา ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูด” แล้วเขาก็เดินออกไปที่โถงทางเข้า. 69 พอสาวใช้ที่อยู่ที่นั่นเห็นเปโตรก็พูดกับคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อีกว่า “คนนี้เป็นคนหนึ่งในพวกนั้น.” 70 เขาปฏิเสธอีก. สักครู่หนึ่ง คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็พูดกับเปโตรอีกว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่ ๆ เพราะเจ้าเป็นชาวแกลิลี.” 71 เขาจึงสบถสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนที่พวกเจ้าพูดถึง.” 72 ทันใดนั้นไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง เปโตรจึงนึกถึงคำที่พระเยซูตรัสกับตนว่า “ก่อนไก่ขันสองครั้ง เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง.” เขาจึงเสียใจมากจนร้องไห้ออกมา.
15 พอรุ่งเช้าพวกปุโรหิตใหญ่กับพวกผู้เฒ่าผู้แก่และพวกอาลักษณ์ คือทุกคนในสภาซันเฮดริน*ก็ปรึกษากัน แล้วพวกเขาก็มัดพระเยซูและนำตัวไปมอบให้ปีลาต. 2 ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “เจ้าเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านพูดถูกแล้ว.” 3 พวกปุโรหิตใหญ่ก็กล่าวหาพระองค์หลายประการ. 4 แล้วปีลาตถามพระองค์อีกว่า “เจ้าไม่โต้ตอบอะไรหรือ? ดูสิ พวกเขากล่าวหาเจ้าตั้งหลายประการ.” 5 แต่พระเยซูไม่ทรงตอบอะไรอีกเลย ปีลาตก็ประหลาดใจ.
6 ในช่วงเทศกาลนี้ ปีลาตจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งตามที่ประชาชนร้องขอ. 7 ตอนนั้นมีคนหนึ่งที่เรียกกันว่าบารับบัสถูกจองจำอยู่กับพวกนักปลุกระดมที่ได้ฆ่าคนในตอนที่พวกเขาก่อจลาจล. 8 ฝูงชนจึงมาร้องขอปีลาตให้ปล่อยนักโทษให้อย่างที่เคยทำ. 9 ปีลาตจึงถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าต้องการให้เราปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวไหม?” 10 เพราะปีลาตรู้ว่าพวกปุโรหิตใหญ่ส่งตัวพระองค์มาเพราะความริษยา. 11 แต่พวกปุโรหิตใหญ่ยุฝูงชนให้ขอปีลาตให้ปล่อยบารับบัสแทน. 12 ปีลาตจึงถามอีกว่า “แล้วจะให้เราทำอย่างไรกับผู้ที่พวกเจ้าเรียกว่ากษัตริย์ของชาวยิว?” 13 พวกเขาร้องอีกว่า “ตรึงเขาเสีย!” 14 แต่ปีลาตพูดกับพวกเขาว่า “ตรึงเขาทำไม? เขาทำชั่วอะไร?” แต่พวกเขายิ่งร้องว่า “ตรึงเขาเสีย!” 15 ปีลาตต้องการจะเอาใจฝูงชนจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา และเมื่อให้เฆี่ยนพระเยซูแล้วก็ส่งพระองค์ให้พวกเขาเอาไปตรึงบนเสา.
16 พวกทหารจึงพาพระองค์ไปที่ลานในจวนผู้ว่าราชการแล้วเรียกทหารทั้งกองมา 17 แล้วพวกเขาเอาผ้าสีม่วงมาคลุมให้พระองค์ และเอาหนามสานเป็นมงกุฎแล้วสวมให้พระองค์. 18 พวกเขาพากันพูดกับพระองค์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอทรงพระเจริญ!” 19 แล้วพวกเขาเอาไม้อ้อตีพระเศียรพระองค์ ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และคุกเข่าแสดงความเคารพพระองค์. 20 เมื่อพวกเขาเยาะเย้ยพระองค์แล้วก็เอาผ้าสีม่วงออกและเอาฉลองพระองค์ตัวนอกมาสวมให้ แล้วจึงนำตัวพระองค์ออกไปตรึงบนเสา. 21 มีคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีนีซึ่งมาจากนอกเมืองเดินผ่านมา เขาเป็นบิดาของอะเล็กซานเดอร์และรูโฟส พวกเขาจึงเกณฑ์ซีโมนให้แบกเสาทรมาน*ของพระองค์.
22 พวกเขาพาพระองค์มายังที่แห่งหนึ่งคือ โกลโกทา ซึ่งแปลว่ากะโหลก. 23 พวกเขาเอาเหล้าองุ่นผสมมดยอบซึ่งทำให้ง่วงซึมให้พระองค์เสวย แต่พระองค์ไม่เสวย. 24 พวกเขาจึงตรึงพระองค์บนเสาแล้วเอาฉลองพระองค์ตัวนอกมาจับฉลากแบ่งกัน. 25 ตอนที่พวกเขาตรึงพระองค์นั้นเป็นเวลาเก้าโมง. 26 และมีข้อความกล่าวหาพระองค์เขียนไว้เหนือพระเศียรพระองค์ว่า “กษัตริย์ของชาวยิว.” 27 นอกจากนั้น พวกเขายังตรึงโจรสองคนไว้บนเสาพร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งและข้างซ้ายคนหนึ่ง. 28 * —— 29 และคนที่เดินผ่านไปมาก็พูดสบประมาทพระองค์ พวกเขาส่ายหน้าและพูดว่า “เฮ้! เจ้าผู้ที่จะทลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวัน 30 ช่วยตัวเองลงมาจากเสาทรมานให้ได้สิ.” 31 พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกอาลักษณ์ก็เยาะเย้ยพระองค์เหมือนกันว่า “เขาช่วยคนอื่นได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้! 32 ให้พระคริสต์กษัตริย์ของอิสราเอลลงมาจากเสาทรมานให้พวกเราเห็นเดี๋ยวนี้สิ พวกเราถึงจะเชื่อ.” แม้แต่โจรสองคนที่ถูกตรึงบนเสาพร้อมกับพระองค์ก็หยาบหยามพระองค์.
33 พอถึงเวลาเที่ยงวันก็เกิดความมืดทั่วแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง. 34 ตอนบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาซาบัคทานี?” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า เหตุใดพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า?” 35 เมื่อบางคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินก็พูดว่า “ดูสิ! เขาเรียกเอลียาห์.” 36 แต่มีคนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบกับไม้อ้อแล้วยื่นให้พระองค์เสวยและพูดว่า “อย่ายุ่งกับเขา! มาดูกันว่าเอลียาห์จะมาเอาเขาลงมาหรือไม่.” 37 แต่พระเยซูทรงร้องเสียงดังแล้วสิ้นพระชนม์. 38 ม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่บนจดล่าง. 39 เมื่อนายร้อยที่ยืนมองอยู่ใกล้ ๆ เห็นพระองค์สิ้นพระชนม์ในสภาพการณ์เช่นนั้นจึงพูดว่า “คนนี้เป็นบุตรของพระเจ้าแน่แล้ว.”
40 มีพวกผู้หญิงมองดูอยู่ห่าง ๆ ด้วย ซึ่งในผู้หญิงเหล่านั้นก็มีมาเรียมักดาลา มาเรียมารดาของยาโกโบน้อยกับโยเสส และนางซาโลเมอยู่ด้วย 41 พวกนางเคยติดตามรับใช้พระองค์เมื่อทรงอยู่ในแคว้นแกลิลี และยังมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ได้ขึ้นมายังกรุงเยรูซาเลมพร้อมกับพระองค์.
42 ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว และเนื่องจากวันนั้นเป็นวันเตรียม* คือเป็นวันก่อนซะบาโต* 43 โยเซฟแห่งอะริมาเทียที่เป็นสมาชิกสภา*ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งซึ่งคอยท่าราชอาณาจักรของพระเจ้าอยู่เช่นกันได้รวบรวมความกล้าแล้วเข้าไปขอพระศพพระเยซูจากปีลาต. 44 แต่ปีลาตสงสัยว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วหรือไม่ จึงเรียกนายร้อยมาถามว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วหรือยัง. 45 เมื่อทราบแน่ชัดจากนายร้อยว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ปีลาตจึงให้โยเซฟนำพระศพไป. 46 โยเซฟจึงซื้อผ้าลินินเนื้อดีและนำพระศพลงมา เอาผ้าลินินนั้นพันพระศพแล้ววางไว้ในอุโมงค์ที่เจาะไว้ในศิลา แล้วกลิ้งหินก้อนหนึ่งปิดปากอุโมงค์ไว้. 47 แต่มาเรียมักดาลากับมาเรียมารดาของโยเสสยังคงมองดูที่ที่เขาวางพระศพไว้.
16 เมื่อวันซะบาโตผ่านไปแล้ว มาเรียมักดาลา มาเรียมารดาของยาโกโบ และซาโลเมจึงซื้อเครื่องหอมเพื่อมาชโลมพระศพ. 2 ในตอนเช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พวกนางก็มาที่อุโมงค์ฝังศพ. 3 พวกนางพูดกันว่า “ใครจะกลิ้งหินออกจากปากอุโมงค์ให้พวกเรา?” 4 แต่เมื่อพวกนางมองดูก็เห็นว่าหินถูกกลิ้งออกไปแล้วทั้ง ๆ ที่หินก้อนนั้นใหญ่มาก. 5 เมื่อพวกนางเข้าไปในอุโมงค์ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ด้านขวา พวกนางก็ตกตะลึง. 6 คนนั้นพูดกับพวกนางว่า “อย่าตกตะลึงอยู่เลย. พวกเจ้ากำลังมองหาพระเยซูชาวนาซาเรทผู้ถูกตรึงบนเสาอยู่หรือ? พระองค์ถูกปลุกให้เป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ไม่อยู่ที่นี่. ดูสิ! นี่เป็นที่ซึ่งเขาเคยวางพระศพพระองค์ไว้. 7 แต่จงไปบอกเหล่าสาวกกับเปโตรว่า ‘พระองค์จะไปรอเจ้าทั้งหลายที่แคว้นแกลิลี เจ้าทั้งหลายจะพบพระองค์ที่นั่นตามที่ทรงบอกพวกเจ้าไว้.’ ” 8 เมื่อพวกนางออกมาแล้วก็หนีไปจากอุโมงค์ฝังศพเพราะทั้งกลัวทั้งประหลาดใจ และพวกนางไม่ได้บอกอะไรใครเพราะความกลัว.*
คำลงท้ายแบบสั้น
แต่ทุกสิ่งที่ทรงสั่งไว้นั้น พวกเขาได้เล่าให้คนที่อยู่กับเปโตรฟังอย่างย่อ ๆ. หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ พระเยซูทรงส่งพวกเขาไปประกาศข่าวอันศักดิ์สิทธิ์และไม่มีวันเสื่อมสูญเรื่องความรอดนิรันดร์ตั้งแต่ทิศตะวันออกจนถึงทิศตะวันตก.
คำลงท้ายแบบยาว
9 หลังจากพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากตายในตอนเช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์แล้ว พระองค์ทรงปรากฏแก่มาเรียมักดาลาเป็นคนแรก คือคนที่พระองค์เคยขับปิศาจออกเจ็ดตน. 10 นางจึงไปบอกเรื่องนี้แก่คนที่เคยอยู่กับพระองค์ซึ่งกำลังโศกเศร้าและร้องไห้อยู่. 11 แต่พวกเขาไม่เชื่อเมื่อได้ยินว่าพระองค์คืนพระชนม์แล้วและนางได้เห็นพระองค์. 12 นอกจากนั้น หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ พระองค์ทรงปรากฏกายอีกแบบหนึ่งแก่สาวกสองคนขณะที่พวกเขากำลังเดินทางไปนอกเมือง 13 และสองคนนั้นได้กลับมาบอกคนอื่น ๆ. คนเหล่านั้นก็ไม่เชื่อสองคนนี้เช่นกัน. 14 แต่ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่สาวกสิบเอ็ดคนขณะที่พวกเขากำลังนั่งเอนกายอยู่ที่โต๊ะ และพระองค์ทรงตำหนิที่พวกเขาขาดความเชื่อและมีหัวใจแข็งกระด้าง เพราะพวกเขาไม่เชื่อคนที่ได้เห็นพระองค์ซึ่งถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตายแล้ว. 15 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงไปทั่วโลกและประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทั้งปวง. 16 คนที่เชื่อและรับบัพติสมาจะได้รับการช่วยให้รอด แต่คนที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ. 17 นอกจากนั้น ผู้ที่เชื่อจะทำการอัศจรรย์เหล่านี้ด้วย คือ พวกเขาจะขับปิศาจโดยใช้นามของเรา จะพูดภาษาต่าง ๆ 18 จะจับงูพิษด้วยมือเปล่า และถ้าพวกเขาดื่มอะไรที่มีพิษถึงตาย พวกเขาจะไม่เป็นอันตรายเลย. พวกเขาจะวางมือบนคนป่วยและคนเหล่านั้นจะหายดี.”
19 เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเขาแล้ว พระองค์ก็ถูกรับไปสวรรค์และทรงนั่งด้านขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า. 20 ดังนั้น พวกเขาจึงออกไปประกาศทุกแห่งหน ขณะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานร่วมกับพวกเขาและทรงสนับสนุนข่าวสารนั้นด้วยการอัศจรรย์ต่าง ๆ.
ข้อความในวงเล็บยกมาจาก มลคี 3:1.
ดูเชิงอรรถของ มัด 3:1.
ดูเชิงอรรถของ มัด 4:18.
ดูเชิงอรรถของ มัด 12:1.
หรือ “คำสอนใหม่.”
หรือ “ผู้ถูกเจิม.” ดูเชิงอรรถของ มัด 2:4.
ดูเชิงอรรถของคำ “ฟาริซาย” ที่ มัด 3:7.
ดูเชิงอรรถของ มัด 12:1.
ดูเชิงอรรถของ มัด 12:1.
คำแปลตรงตัวคือ “ผู้ถูกส่งออกไป.”
หมายความว่า “ซีโมนผู้มีใจแรงกล้า.”
ชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกซาตาน.
หรือ “ระบบ.”
ดูเชิงอรรถของ มัด 13:31.
เขตที่ประกอบด้วยสิบเมือง ส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน.
ดูเชิงอรรถของ มัด 12:1.
คำแปลตรงตัวคือ “สวมเสื้อสองตัว.”
ดูเชิงอรรถของคำ “เฮโรด” ที่ ลูกา 3:1.
ดูเชิงอรรถของ มัด 18:28.
เวลาตีสามถึงหกโมงเช้า.
ลานสำหรับค้าขายและชุมนุมชน.
ดูเชิงอรรถของ มัด 17:21.
เขตที่ประกอบด้วยสิบเมือง ส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน.
คำแปลตรงตัวคือ “สัญญาณ.”
ดูเชิงอรรถของ มัด 3:1.
ดูภาคผนวก 6.
คำแปลตรงตัวคือ “ชอบเล่นชู้.”
ดูเชิงอรรถของ มัด 23:7.
คำแปลตรงตัวคือ “สะดุด.”
คำแปลตรงตัวคือ “สะดุด.”
ที่เผาขยะนอกกรุงเยรูซาเลม. ดูภาคผนวก 9.
ดูเชิงอรรถของ มัด 17:21.
คำแปลตรงตัวคือ “สะดุด.”
ดูเชิงอรรถของ มัด 17:21.
คำแปลตรงตัวคือ “สะดุด.”
หรือ “คนเดียวกัน.”
หรือ “ระบบ.”
แปลจากคำว่า “รับโบนี” ในภาษาเดิม.
ดูเชิงอรรถของ มัด 23:7.
ดูเชิงอรรถของ มัด 17:21.
ดูเชิงอรรถของ มัด 3:1.
หรือ “จักรพรรดิ.”
ดูเชิงอรรถของ มัด 18:28.
ดูเชิงอรรถของคำ “ซาดูกาย” ที่ มัด 3:7.
คำแปลตรงตัวคือ “สองเลปตัน” ซึ่งเท่ากับหนึ่งส่วนหกสิบสี่ของค่าแรงหนึ่งวัน.
คำแปลตรงตัวคือ “เนื้อหนัง.”
ดูเชิงอรรถของ มัด 26:7.
นาร์ดเป็นน้ำมันหอมที่เชื่อกันว่าทำจากต้นและรากของพืชล้มลุกแถบภูเขาหิมาลัย.
ดูเชิงอรรถของ มัด 18:28.
คำแปลตรงตัวคือ “สะดุด.”
คำแปลตรงตัวคือ “สะดุด.”
คำที่บุตรเรียกบิดาอย่างสนิทสนมและแสดงความนับถือ.
ดูเชิงอรรถของ มัด 23:7.
หรือ “คลุมกายที่เปลือยเปล่า.” คำภาษากรีก กูมนอส ที่แปลว่า “เปลือย” ยังหมายความว่า “สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น สวมแต่เสื้อตัวใน” อีกด้วย.
หรือ “เปลือยกายหนีไป.” ดูเชิงอรรถของ มโก 14:51.
ซันเฮดริน คือศาลสูงของชาวยิว.
ซันเฮดริน คือศาลสูงของชาวยิว.
ดูภาคผนวก 6.
ดูเชิงอรรถของ มัด 17:21.
ดูเชิงอรรถของ มัด 27:62.
ดูเชิงอรรถของ มัด 12:1.
หรือ “สภาซันเฮดริน” ศาลสูงของชาวยิว.
เจโรมและยูเซบิอุส ผู้คงแก่เรียนในศตวรรษที่สี่เห็นพ้องกันว่าข้อความในมาระโกบท 16 ลงท้ายด้วยวลี “เพราะความกลัว.” สำเนาบางฉบับเพิ่มคำลงท้ายแบบยาวและแบบสั้นดังต่อไปนี้ไว้หลังข้อ 8 ด้วย แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่าคำลงท้ายทั้งสองแบบไม่ใช่ข้อความในพระคัมภีร์ที่มีขึ้นโดยการดลใจ.