1 การใช้พระนามพระเจ้าที่เป็นอักษรฮีบรู (יהוה) ในพระคัมภีร์ภาคภาษากรีก
(พร้อมกับมีชิ้นส่วนสิบสองชิ้นจากสำเนาฉบับหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องนี้)
ข้อเท็จจริงที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสำเนาฉบับต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันของต้นฉบับภาษากรีก รวมทั้งฉบับแปลหลายฉบับทั้งเก่าและใหม่ คือ ไม่มีพระนามพระเจ้า. ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูสมัยโบราณมีพระนามนี้เกือบ 7,000 ครั้งที่เขียนด้วยอักษรสี่ตัว יהוה ที่เรียกกันว่าเททรากรัมมาทอนซึ่งเขียนเป็นอักษรภาษาไทยได้ว่า ยฮวฮ หรือ จฮวฮ (YHWH หรือ JHVH). ปัจจุบัน ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าพระนามนี้ออกเสียงอย่างไร แต่วิธีออกเสียงพระนามนี้ที่นิยมกันมากที่สุดคือ “ยะโฮวา” (Jehovah). คำย่อของพระนามนี้คือ “ยาห์” (Jah หรือ Yah) และคำนี้ปรากฏอยู่ในชื่อหลายชื่อในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก รวมทั้งในคำร้อง “อาเลลูยา!” หรือ “ฮาเลลูยาห์!” ซึ่งหมายความว่า “ท่านทั้งหลายจงสรรเสริญยาห์!”—วิวรณ์ 19:1, 3, 4, 6.
เนื่องจากพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกเป็นข้อความที่มีขึ้นโดยการดลใจซึ่งเพิ่มเติมหรือเสริมเข้ากับพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ภาคภาษาฮีบรู การที่พระนามพระเจ้าหายไปจากข้อความภาษากรีกอย่างกะทันหันจึงดูเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากยาโกโบพูดกับพวกอัครสาวกและเหล่าสาวกที่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ในกรุงเยรูซาเลมเมื่อราว ๆ กลางศตวรรษแรกแห่งสากลศักราชว่า “ซีเมโอนได้เล่าอย่างละเอียดแล้วว่าพระเจ้าทรงหันไปใฝ่พระทัยชนต่างชาติเป็นครั้งแรกอย่างไรเพื่อนำคนกลุ่มหนึ่งออกมาเป็นประชาชนสำหรับพระนามพระองค์.” (กิจการ 15:14) แล้วยาโกโบก็ยกข้อความจากอาโมศ 9:11, 12 ซึ่งมีการใช้พระนามพระเจ้ามาสนับสนุน. ถ้าคริสเตียนทั้งหลายเป็นประชาชนที่ถูกนำออกมาสำหรับพระนามพระเจ้า ทำไมพระนามของพระองค์ซึ่งเขียนด้วยเททรากรัมมาทอนจึงถูกลบออกจากพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก? คำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ฟังไม่ขึ้นอีกต่อไป. เคยคิดกันว่าที่ไม่มีพระนามพระเจ้าในสำเนาต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เพราะไม่มีพระนามนี้อยู่ในฉบับแปลเซปตัวจินต์ (LXX) ฉบับแปลฉบับแรกของพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู ซึ่งแปลเป็นภาษากรีกและเริ่มแปลในศตวรรษที่สามก่อน ส.ศ. ที่คิดกันเช่นนี้ก็เพราะไม่มีพระนามนี้ในสำเนาของฉบับเซปตัวจินต์ ที่รวมอยู่ในสำเนาฉบับสำคัญ ๆ ในศตวรรษที่สี่และห้าแห่งสากลศักราช เช่น ฉบับวาติกัน 1209 โคเดกซ์ไซนายติคุส และโคเดกซ์อะเล็กซานดรินุส. สำเนาเหล่านี้ใช้คำภาษากรีก Κύριος (คีริโอส) และ θεός (เทโอส) แทนพระนามอันโดดเด่นของพระเจ้า. เคยเชื่อกันว่าการไม่ใช้พระนามนี้จะช่วยให้สอนเรื่องพระเจ้าองค์เดียวง่ายขึ้น.
ทฤษฎีนี้ถูกหักล้างอย่างสิ้นเชิงเมื่อมีการค้นพบพาไพรัสม้วนหนึ่งของฉบับเซปตัวจินต์ ซึ่งมีหนังสือพระบัญญัติครึ่งเล่มหลังอยู่ด้วย. ชิ้นส่วนเหล่านี้ไม่มีสักชิ้นเดียวที่มีตัวอย่างการใช้คำคีริโอสหรือเทโอสแทนพระนามพระเจ้า แต่ทุกแห่งเขียนเป็นเททรากรัมมาทอนด้วยพยัญชนะภาษาฮีบรูแบบเหลี่ยม.
ในปี 1944 ดับเบิลยู. จี. วัดเดลล์ได้ตีพิมพ์ภาพชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งจากพาไพรัสม้วนนี้ในวารสารเทววิทยาศึกษา (Journal of Theological Studies) เล่ม 45 หน้า 158-161. ในปี 1948 ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ มิชชันนารีสองคนซึ่งได้รับการอบรมจากโรงเรียนกิเลียดของสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ได้รับภาพถ่ายชิ้นส่วนพาไพรัสนี้ 18 ชิ้นและได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์ภาพชิ้นส่วนเหล่านี้ด้วย. ต่อมา ชิ้นส่วนเหล่านี้ 12 ชิ้นจึงปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกฉบับแปลโลกใหม่ (ภาษาอังกฤษ) ปี 1950 หน้า 13, 14. งานวิจัยสามชิ้นต่อไปนี้อาศัยภาพถ่ายเหล่านั้นที่ลงพิมพ์ในพระคัมภีร์ฉบับนั้น คือ (1) เอ. วักการี งานวิจัยชื่อ “พาพีโร ฟูอัด หมายเลข 266. การวิเคราะห์ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ตีพิมพ์ใน ‘พระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกฉบับแปลโลกใหม่.’ บรุกลิน (นครนิวยอร์ก) ปี 1950 หน้า 13, 14.” (Papiro Fuad, Inv. 266. Analisi critica dei Frammenti pubblicati in: ‘New World Translation of the Christian Greek Scriptures.’ Brooklyn (N.Y.) 1950 page 13s.) ลงพิมพ์ในหนังสือการค้นคว้าเรื่องนักเขียนคริสเตียนตั้งแต่ศตวรรษที่สอง (Studia Patristica) เล่ม 1 ตอน 1 เรียบเรียงโดยคูร์ท อาลันด์และ เอฟ. แอล. ครอสส์ กรุงเบอร์ลิน ปี 1957 หน้า 339-342. (2) ดับเบิลยู. บาร์ส งานวิจัยชื่อ “พาไพรัส ฟูอัด หมายเลข 266” (Papyrus Fouad Inv. No. 266) ลงพิมพ์ในวารสารเทววิทยาแห่งเนเธอร์แลนด์ (Nederlands Theologisch Tijdschrift) เล่ม 13 เมืองวาเคินนิงเงิน ปี 1959 หน้า 442-446. (3) จอร์จ โฮเวิร์ด งานวิจัยชื่อ “ข้อความภาษากรีกที่เก่าแก่ที่สุดของหนังสือพระบัญญัติ” (The Oldest Greek Text of Deuteronomy) ลงพิมพ์ในหนังสือประจำปีของวิทยาลัยฮีบรูยูเนียน (Hebrew Union College Annual) เล่ม 42 เมืองซินซินเนติ ปี 1971 หน้า 125-131.a
พอล คาห์เลให้ความเห็นเกี่ยวกับพาไพรัสม้วนนี้ในหนังสือการค้นคว้าเรื่องกิตติคุณ (Studia Evangelica) เรียบเรียงโดยคูร์ท อาลันด์, เอฟ. แอล. ครอสส์, ชอง ดาเนียลู, ฮารัลด์ รีเซนเฟลด์ และ ดับเบิลยู. ซี. ฟาน อึนนิก กรุงเบอร์ลิน ปี 1959 หน้า 614 โดยเขียนว่า “ชิ้นส่วนอื่น ๆ ของพาไพรัสม้วนเดียวกันนี้ สมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ ได้ตีพิมพ์จากภาพถ่ายพาไพรัสลงในคำนำของคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ฉบับแปลภาษาอังกฤษ บรุกลิน นครนิวยอร์ก ปี 1950. ลักษณะเด่นของพาไพรัสม้วนนี้คือมีการเขียนพระนามพระเจ้าเป็นเททรากรัมมาทอนด้วยอักษรฮีบรูแบบเหลี่ยม. เมื่อข้าพเจ้าขอให้บาทหลวงวักการีตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของพาไพรัสม้วนนี้ซึ่งถูกตีพิมพ์ออกมา เขาลงความเห็นว่า พาไพรัสม้วนนี้ซึ่งคงต้องเขียนประมาณ 400 ปีก่อนโคเดกซ์ B อาจเป็นข้อความของหนังสือพระบัญญัติในฉบับเซปตัวจินต์ที่สมบูรณ์ที่สุดที่ตกทอดมาถึงพวกเรา.”
ชิ้นส่วนทั้งหมด 117 ชิ้นของฉบับเซปตัวจินต์ P. Fouad Inv. 266 ถูกตีพิมพ์ในหนังสือการศึกษาค้นคว้าเรื่องพาไพรัส (Études de Papyrologie) เล่ม 9 กรุงไคโร ปี 1971 หน้า 81-150, 227, 228. ภาพชิ้นส่วนทั้งหมดของพาไพรัสม้วนนี้ถูกตีพิมพ์โดยซากี อาลี และลุดวิก เคอเนิน ในหนังสือภาพชื่อเซปตัวจินต์รุ่นแรกสามม้วน: เยเนซิศและพระบัญญัติ ซึ่งเป็นเล่มหนึ่งในชุดหนังสือ “ข้อความและวิทยานิพนธ์เรื่องพาไพรัส” (Papyrologische Texte und Abhandlungen) เล่ม 27 กรุงบอนน์ ปี 1980.
จากภาพชิ้นส่วน 12 ชิ้นของพาไพรัสม้วนนี้ ผู้อ่านจะเห็นเททรากรัมมาทอนปรากฏอยู่ในสำเนาฉบับต้น ๆ ฉบับหนึ่งของเซปตัวจินต์. ผู้เชี่ยวชาญกำหนดอายุของพาไพรัสม้วนนี้ว่าเขียนในศตวรรษที่หนึ่งก่อนสากลศักราช คือประมาณสองศตวรรษหลังจากเริ่มแปลฉบับเซปตัวจินต์. นี่แสดงว่าเซปตัวจินต์ ฉบับแรกเดิมมีพระนามพระเจ้าทุกแห่งตามที่มีในต้นฉบับภาษาฮีบรู. สำเนาภาษากรีกอีกเก้าฉบับก็มีพระนามพระเจ้าอยู่ด้วย.—ดู ล.ม. อ้างอิง หน้า 1562-1564.
พระเยซูคริสต์กับสาวกของพระองค์ซึ่งเขียนพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกมีสำเนาของฉบับเซปตัวจินต์ ภาษากรีกซึ่งมีพระนามพระเจ้าปรากฏในรูปของเททรากรัมมาทอนไหม? มีแน่นอน! เททรากรัมมาทอนยังมีอยู่ในสำเนาของฉบับเซปตัวจินต์ ที่ทำขึ้นในช่วงหลายศตวรรษหลังจากสมัยของพระคริสต์และเหล่าอัครสาวก. ในช่วงห้าสิบปีแรกของศตวรรษที่สองแห่งสากลศักราช มีการทำฉบับแปลภาษากรีกของอะคีลาซึ่งมีเททรากรัมมาทอนเป็นอักษรฮีบรูโบราณอยู่ด้วย.
เจโรมซึ่งอยู่ในศตวรรษที่สี่และห้าแห่งสากลศักราชได้กล่าวในคำนำถึงหนังสือซามูเอลและพงศาวดารกษัตริย์ว่า “เราพบพระนามพระเจ้า ซึ่งเป็นเททรากรัมมาทอน [יהוה] เขียนเป็นอักษรโบราณในฉบับแปลภาษากรีกบางฉบับจนถึงทุกวันนี้.” ดังนั้น จึงมีสำเนาของพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูที่แปลเป็นภาษากรีกซึ่งยังคงมีพระนามพระเจ้าเป็นอักษรฮีบรูสี่ตัวนั้นมาจนถึงสมัยของเจโรม ผู้แปลคนสำคัญที่ทำให้มีฉบับแปลวัลเกตภาษาลาติน.
ถ้าพระเยซูกับสาวกของพระองค์อ่านพระคัมภีร์ที่เขียนด้วยภาษาฮีบรูหรือฉบับเซปตัวจินต์ ที่เป็นภาษากรีก พระองค์กับสาวกจะพบพระนามพระเจ้าในรูปเททรากรัมมาทอน แล้วพระองค์จะทำตามธรรมเนียมของชาวยิวในสมัยนั้นไหม โดยออกเสียงเททรากรัมมาทอนว่าอะโดนายแทนเพราะกลัวว่าจะดูหมิ่นพระนามและละเมิดพระบัญญัติข้อที่สาม? (เอ็กโซโด 20:7) ในธรรมศาลาเมืองนาซาเรท เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นรับหนังสือยะซายาห์แล้วอ่านข้อคัมภีร์ที่ยะซายาห์ (61:1, 2) ซึ่งมีเททรากรัมมาทอนอยู่ พระองค์ได้ปฏิเสธการออกพระนามพระเจ้าไหม? พระองค์ไม่ทำเช่นนั้นแน่ เพราะพระองค์ไม่เคยทำตามธรรมเนียมของพวกอาลักษณ์ชาวยิวซึ่งขัดกับหลักพระคัมภีร์. มัดธาย 7:29 บอกเราว่า “พระองค์สอนพวกเขาอย่างผู้ที่ได้รับอำนาจจากพระเจ้า ไม่เหมือนพวกอาลักษณ์ของเขา.” พระเยซูทรงอธิษฐานถึงพระยะโฮวาพระเจ้าให้พวกอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ได้ยินดังนี้ “ข้าพเจ้าได้ทำให้พระนามของพระองค์ปรากฏแจ้งแก่คนเหล่านั้นที่พระองค์ทรงนำออกมาจากโลกแล้วประทานแก่ข้าพเจ้า. . . . ข้าพเจ้าได้ทำให้พวกเขารู้จักพระนามของพระองค์แล้วและจะทำให้พวกเขารู้อีก.”—โยฮัน 17:6, 26.
ปัญหาอีกข้อหนึ่งคือว่า สาวกของพระเยซูใช้พระนามพระเจ้าไหมในพระคัมภีร์ส่วนที่เขาได้รับการดลใจให้เขียน? พูดอีกอย่างหนึ่งคือ พระนามพระเจ้าปรากฏในข้อความต้นฉบับของพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกไหม? เรามีเหตุผลที่จะตอบว่าใช่! ทีแรก บันทึกข่าวดีที่มัดธายเรียบเรียงเขียนเป็นภาษาฮีบรูไม่ใช่ภาษากรีก ดังที่เจโรมซึ่งอยู่ในศตวรรษที่สี่และห้าแห่งสากลศักราชได้กล่าวไว้ว่า
“มัดธาย หรือเลวี ซึ่งเคยเป็นคนเก็บภาษีก่อนมาเป็นอัครสาวก ได้เขียนกิตติคุณของพระคริสต์ในแคว้นยูเดียเป็นภาษาฮีบรูก่อนและเขียนเพื่อประโยชน์ของคนที่ได้รับสุหนัตซึ่งเข้ามาเชื่อ. หลังจากนั้นใครแปลกิตติคุณนั้นเป็นภาษากรีกไม่เป็นที่รู้แน่ชัด. ส่วนกิตติคุณที่เขียนเป็นภาษาฮีบรูซึ่งปัมฟิลุสผู้พลีชีพเพื่อความเชื่อได้เพียรพยายามเก็บรวบรวมไว้ในห้องสมุดที่เมืองซีซาเรียนั้นถูกเก็บรักษาไว้จนถึงทุกวันนี้. พวกนาซารีนซึ่งใช้ฉบับนี้ในเมืองเบโรยาของซีเรียได้อนุญาตให้ข้าพเจ้าทำสำเนาจากฉบับนี้.”—ว่าด้วยบุรุษผู้เรืองนาม (De viris inlustribus) บท 3. (แปลจากภาษาลาติน เรียบเรียงโดย อี. ซี. ริชาร์ดสัน และลงพิมพ์ในชุดหนังสือชื่อ “ข้อความและการตรวจสอบความเป็นมาของหนังสือคริสเตียนเก่าแก่” [Texte und Untersuchungen zur Geschichte der altchristlichen Literatur] เล่ม 14 เมืองไลพ์ซิก ปี 1896 หน้า 8, 9.)
มัดธายยกข้อความจากพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูที่ได้รับการดลใจมามากกว่าหนึ่งร้อยแห่ง. ดังนั้น ถ้าข้อความเหล่านั้นมีพระนามพระเจ้าอยู่ มัดธายคงต้องใส่เททรากรัมมาทอนในบันทึกข่าวดีที่เขาเรียบเรียงเป็นภาษาฮีบรูให้ตรงตามนั้น. บันทึกที่มัดธายเขียนเป็นภาษาฮีบรูคงคล้ายกันมากกับฉบับแปลภาษาฮีบรูโดย เอฟ. เดลิทช์ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งในหนังสือมัดธายมีพระนามพระเจ้า 18 ครั้ง. แม้ว่ามัดธายมักยกข้อความจากพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูโดยตรงแทนที่จะยกจากฉบับเซปตัวจินต์ แต่เขาคงใช้แนวเดียวกับฉบับเซปตัวจินต์ และใส่พระนามพระเจ้าที่ตำแหน่งเดิม. ผู้เขียนพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกคนอื่น ๆ ก็ยกข้อความจากพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูหรือจากฉบับเซปตัวจินต์ ที่มีพระนามพระเจ้า.
สำหรับการใช้เททรากรัมมาทอนในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก จอร์จ โฮเวิร์ดจากมหาวิทยาลัยจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เขียนในวารสารหนังสือเกี่ยวกับพระคัมภีร์ (Journal of Biblical Literature) เล่ม 96 ปี 1977 หน้า 63 ว่า “สิ่งที่ค้นพบในอียิปต์และถิ่นทุรกันดารยูเดียเมื่อเร็ว ๆ นี้ทำให้เราเห็นกับตาว่ามีการใช้พระนามพระเจ้าในสมัยก่อนยุคคริสเตียน. สิ่งที่ค้นพบเหล่านี้สำคัญต่อการศึกษาคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เพราะสิ่งเหล่านี้จะใช้เปรียบเทียบกับเอกสารของคริสเตียนในยุคเริ่มแรกได้ และอาจแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ใช้พระนามพระเจ้าอย่างไร. ต่อจากนี้ เราจะเสนอทฤษฎีที่ว่า ข้อความในพันธสัญญาใหม่ซึ่งยกมาจากพันธสัญญาเดิมหรือข้อความที่อ้างถึงพันธสัญญาเดิมมีพระนามพระเจ้า יהוה (และอาจรวมชื่อย่อของพระนามนี้ด้วย) เขียนไว้ตั้งแต่แรก และเมื่อเวลาผ่านไปก็มีการใช้ κς [รูปย่อของ Kyʹri·os “องค์พระผู้เป็นเจ้า”] แทนพระนามพระเจ้า. ตามความเห็นของเราแล้ว การตัดเททรากรัมมาทอนออกเช่นนี้ก่อความสับสนแก่คริสเตียนต่างชาติในยุคแรก ๆ ในเรื่องที่ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระเจ้า’ กับ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระคริสต์’ เป็นใครและเกี่ยวข้องกันอย่างไร ซึ่งความสับสนเช่นนี้เห็นได้ในสำเนาต่าง ๆ ของพันธสัญญาใหม่ด้วย.”
เราเห็นด้วยกับข้อความข้างต้น แต่ไม่ถือว่าความเห็นนี้เป็นแค่ “ทฤษฎี” แต่เป็นการเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการคัดสำเนาคัมภีร์ไบเบิล.
a ดูภาพถ่ายชิ้นส่วนต่าง ๆ ของพาไพรัส ฟูอัด หมายเลข 266 ของฉบับเซปตัวจินต์ ในส่วนที่เป็นหนังสือพระบัญญัติได้ที่หน้า 588, 589 ซึ่งมีหมายเลขกำกับไว้ทั้ง 12 ชิ้น. บางชิ้นมีเททรากรัมมาทอนมากกว่าหนึ่งแห่งดังที่วงไว้. หมายเลข 1 คือพระบัญญัติ 31:28 ถึง 32:7 มีเททรากรัมมาทอนในบรรทัดที่ 7 และ 15. หมายเลข 2 (บัญ 31:29, 30) บรรทัดที่ 6. หมายเลข 3 (บัญ 20:12-14, 17-19) บรรทัดที่ 3 และ 7. หมายเลข 4 (บัญ 31:26) บรรทัดที่ 1. หมายเลข 5 (บัญ 31:27, 28) บรรทัดที่ 5. หมายเลข 6 (บัญ 27:1-3) บรรทัดที่ 5. หมายเลข 7 (บัญ 25:15-17) บรรทัดที่ 3. หมายเลข 8 (บัญ 24:4) บรรทัดที่ 5. หมายเลข 9 (บัญ 24:8-10) บรรทัดที่ 3. หมายเลข 10 (บัญ 26:2, 3) บรรทัดที่ 1. หมายเลข 11 มีสองส่วน (บัญ 18:4-6) คือในบรรทัดที่ 5 และ 6. หมายเลข 12 (บัญ 18:15, 16) บรรทัดที่ 3.
[ภาพหน้า 588, 589]
[ดูภาพถ่ายชิ้นส่วนต่าง ๆ ของพาไพรัส ฟูอัด หมายเลข 266 ของฉบับเซปตัวจินต์ ในส่วนที่เป็นหนังสือพระบัญญัติได้ที่หน้า 588, 589]