วันที่อาคารแฝดถล่ม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ในนครนิวยอร์ก, กรุงวอชิงตัน ดี. ซี., และเพนซิลเวเนีย คงจะอยู่ในความทรงจำของชาวโลกหลายล้านหรือไม่ก็หลายพันล้านคนอย่างไม่มีวันลบเลือน. คุณอยู่ที่ไหนตอนที่เห็นหรือได้ยินข่าวเรื่องการโจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์กและเพนทากอนในกรุงวอชิงตัน?
การทำลายล้างที่รวดเร็วจนเหลือเชื่อทั้งทรัพย์สินมากมายและที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการทำลายชีวิตคนจำนวนมากทำให้มนุษยชาติมีเหตุผลที่จะหยุดและคิดใคร่ครวญ.
เราได้เรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับสิ่งที่เราถือว่าสำคัญเป็นอันดับแรกและทางเลือกในชีวิตของเรา? โศกนาฏกรรมครั้งนี้ทำให้คุณลักษณะที่ดีบางอย่างของมนุษยชาติ เช่น ความเสียสละ, ความเมตตาสงสาร, ความอดทน, และความไม่เห็นแก่ตัว เด่นชัดขึ้นมาอย่างไร? บทความนี้และบทความถัดไปจะพยายามตอบคำถามข้อหลัง.
ผู้รอดชีวิตเล่าเหตุการณ์
ทันทีหลังจากเกิดความหายนะในนครนิวยอร์ก มีการปิดระบบรถไฟใต้ดิน คนจำนวนมากจึงต้องออกจากย่านแมนฮัตตันทางใต้โดยการเดินเท้า หลายคนเดินข้ามสะพานบรุกลินและสะพานแมนฮัตตัน. พวกเขาเห็นสำนักงานและโรงงานของสำนักงานใหญ่แห่งพยานพระยะโฮวาได้อย่างชัดเจน. ไม่นานนัก ผู้ที่หนีจากภัยพิบัตินั้นบางคนก็ไปที่อาคารเหล่านี้.
อาลีชา (ขวา) ซึ่งเป็นลูกสาวของพยานฯ คนหนึ่ง อยู่ในกลุ่มแรก ๆ ที่มาถึง. ตัวเธอเต็มไปด้วยฝุ่นและขี้เถ้า.a เธอเล่าว่า “ตอนที่ฉันอยู่บนรถไฟกำลังไปทำงาน ฉันเห็นควันไฟพุ่งออกจากตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์. พอฉันมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ มีเศษกระจกกลาดเกลื่อนเต็มพื้น และฉันรู้สึกได้ถึงไอร้อน. ผู้คนแตกตื่นวิ่งกันไปคนละทาง พวกตำรวจก็พยายามอพยพผู้คนออกจากบริเวณนั้น. ที่นั่นดูเหมือนเขตสงคราม.
“ฉันวิ่งไปหลบที่ตึกข้าง ๆ. จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงระเบิดเมื่อเครื่องบินลำที่สองชนตึกใต้. เหตุการณ์ตอนนั้นไม่อาจจะบรรยายได้ มีควันดำเต็มไปหมด. มีคนบอกให้เราออกไปจากเขตอันตราย. ฉันได้ลงเรือข้ามแม่น้ำอีสต์มาที่บรุกลิน. พอฉันมาถึงอีกฝั่งหนึ่ง ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วก็เห็นป้ายใหญ่เขียนว่า ‘ว็อชเทาเวอร์.’ สำนักงานใหญ่ของศาสนาแม่ฉันเอง! ฉันรีบเดินไปที่อาคารสำนักงานทันที. ฉันรู้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด. ฉันล้างเนื้อล้างตัวแล้วก็โทรศัพท์หาพ่อแม่ของฉัน.”
เวนเดลล์ (ขวา) เป็นพนักงานเฝ้าประตูที่โรงแรมแมริออทซึ่งอยู่ระหว่างอาคารทั้งสอง. เขาเล่าว่า “ตอนที่เกิดระเบิดครั้งแรกผมทำงานอยู่ในห้องโถงรับรองแขก. ผมเห็นเศษวัสดุต่าง ๆ ร่วงหล่นลงมารอบตึก. ผมมองไปอีกฝั่งหนึ่งของถนนเห็นผู้ชายคนหนึ่งมีไฟลุกท่วมตัวกำลังนอนอยู่ที่พื้น. ผมถอดเสื้อแจ็กเกตกับเสื้อเชิ้ตแล้ววิ่งเข้าไปพยายามดับไฟ. คนที่เดินผ่านมาอีกคนหนึ่งก็เข้ามาช่วยด้วย. เสื้อผ้าของผู้ชายคนนั้นถูกไฟไหม้หมดเหลือแต่ถุงเท้ากับรองเท้า. จากนั้นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็นำเขาไปส่งโรงพยาบาล.
“จากนั้นไม่นาน ไบรอันต์ กัมเบล จากรายการข่าวสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสก็โทรศัพท์มาให้ผมเล่าเรื่องที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น. ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวของผมที่หมู่เกาะเวอร์จินจึงรู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่เพราะเห็นผมในทีวี.”
โดนัลด์ ชายร่างใหญ่สูง 195 เซนติเมตรซึ่งเป็นพนักงานที่เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ อยู่บนชั้นที่ 31 ในตึกของเขาและกำลังมองมาที่อาคารแฝดและโรงแรมแมริออท. เขาบอกว่า “ผมตะลึงและกลัวมากกับสิ่งที่ได้เห็น. มีคนตกลงมาและมีคนกระโดดลงมาจากหน้าต่างของตึกเหนือ. ผมตกใจมากและวิ่งออกมาจากตึกที่ผมอยู่อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้.”
ประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่งเป็นของมารดาวัย 60 เศษ ๆ และบุตรสาวสองคนในวัย 40 เศษ ๆ. รูทกับน้องสาวของเธอชื่อโจนีพักอยู่กับแจนิซ มารดาของพวกเธอ ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้กับอาคารแฝด. รูท ซึ่งเป็นพยาบาลวิชาชีพ เล่าเหตุการณ์ว่า “ตอนนั้นฉันกำลังอาบน้ำ. จู่ ๆ แม่กับน้องสาวก็ตะโกนให้ฉันออกมา. เราอยู่บนชั้นที่ 16 และแม่กับน้องเห็นเศษวัสดุต่าง ๆ หล่นผ่านหน้าต่างลงไป. ที่จริง แม่เห็นร่างของชายคนหนึ่งกระเด็นข้ามหลังคาตึกใกล้เคียงเหมือนกับว่าเขาถูกดีดออกมาจากที่ไหนสักแห่ง.
“ฉันรีบแต่งตัวและเราเริ่มเดินลงบันได. มีหลายคนกรีดร้อง. เราออกไปที่ถนน. เราได้ยินเสียงระเบิดและเห็นประกายไฟ. เราได้รับคำสั่งให้วิ่งไปทางใต้ไปที่แบตเตอรี่ปาร์ก ซึ่งมีเรือข้ามฟากไปเกาะสแตเทน. ระหว่างทาง เราพลัดหลงกับแม่ ซึ่งเป็นโรคหืดเรื้อรัง. แม่จะรอดจากควัน, ขี้เถ้า, และฝุ่นเหล่านั้นได้อย่างไร? เราตามหาแม่อยู่ครึ่งชั่วโมงแต่ไม่มีวี่แวว. อย่างไรก็ดี ตอนแรกเราไม่เป็นห่วงมากนักเพราะแม่เป็นคนเก่งและควบคุมสติได้ดี.
“ในที่สุด มีคนบอกให้เราเดินไปที่สะพานบรุกลินและข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง. คิดดูสิว่าเราโล่งใจสักเพียงไรเมื่อไปถึงฝั่งบรุกลินแล้วเห็นป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ‘ว็อชเทาเวอร์’! เรารู้ว่าปลอดภัยแล้ว.
“เราได้รับการต้อนรับและได้ที่พัก. เรายังได้รับเสื้อผ้าด้วย เพราะเราเหลือแต่เสื้อผ้าที่ใส่ติดตัวอยู่. แต่แม่อยู่ไหน? เราพยายามตามหาแม่ทั้งคืนที่โรงพยาบาลหลายแห่งแต่ไม่พบ. วันรุ่งขึ้นประมาณ 11:30 น. เราก็ได้ข่าว. แม่อยู่ข้างล่างที่ห้องรับแขก! เกิดอะไรขึ้นกับแม่?”
แจนิซ ผู้เป็นแม่ เล่าต่อว่า “ตอนที่เรารีบออกมาจากโรงแรมนั้น ฉันเป็นห่วงเพื่อนที่สูงอายุคนหนึ่งซึ่งหนีออกมากับเราไม่ได้. ฉันอยากจะกลับไปอุ้มเธอออกมาเอง. แต่มันอันตรายเกินไป. ตอนที่โกลาหลกันอยู่นั้น ฉันก็พลัดกับลูกสาว. อย่างไรก็ดี ฉันไม่เป็นห่วงมากนัก เพราะเธอสองคนเป็นคนสุขุมและรูทก็เป็นพยาบาลที่มีความสามารถ.
“ฉันมองไปที่ไหนก็เห็นแต่คนที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเด็ก ๆ และทารก. ฉันช่วยหลายคนเท่าที่จะทำได้. ฉันไปที่บริเวณคัดแยกผู้บาดเจ็บ ซึ่งมีการคัดผู้ประสบภัยและรักษาตามความหนักเบา. ฉันช่วยล้างมือและล้างหน้าให้ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ซึ่งมีเขม่าและฝุ่นเกาะอยู่เต็มไปหมด. ฉันอยู่ที่นั่นจนถึงตี 3. จากนั้นฉันก็ขึ้นเรือข้ามฟากเที่ยวสุดท้ายไปเกาะสแตเทน. ตอนนั้นฉันคิดว่าลูกสาวของฉันหลบภัยอยู่ที่นั่น. แต่ฉันไม่พบลูกสาว.
“ตอนเช้าฉันพยายามขึ้นเรือข้ามฟากเที่ยวแรกกลับไปที่แมนฮัตตัน แต่ฉันไปไม่ได้เพราะฉันไม่ใช่เจ้าหน้าที่กู้ภัย. จากนั้น ฉันเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ฉันเคยช่วย. ฉันร้องว่า ‘จอห์น! ฉันต้องกลับไปที่แมนฮัตตัน.’ เขาตอบว่า ‘ตามผมมาเลยครับ.’
“เมื่อฉันไปถึงแมนฮัตตัน ฉันกลับไปที่โรงแรมแมริออท. บางทีอาจยังมีโอกาสช่วยเพื่อนผู้สูงอายุ. แต่ไม่มีทาง! โรงแรมนั้นเหลือแต่ซาก. ย่านใจกลางเมืองทั้งหมดเป็นอัมพาต ไม่มีกิจกรรมใด ๆ เลย. มีแต่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงซึ่งมีหน้าตาเศร้าหมอง.
“ฉันเดินไปที่สะพานบรุกลิน. ขณะที่ฉันใกล้จะถึงอีกฝั่งหนึ่ง ฉันเห็นป้ายที่คุ้นตา ‘ว็อชเทาเวอร์.’ บางทีฉันอาจพบลูกสาวของฉันที่นี่ก็ได้. แน่ล่ะ พวกเธอลงมาหาฉันที่ห้องรับแขก. เรากอดกันและร้องไห้!
“น่าทึ่งที่โรคหืดของฉันไม่กำเริบเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้ง ๆ ที่มีควัน, ฝุ่น, และขี้เถ้ามากมาย. ฉันอธิษฐานตลอด เพราะฉันต้องการทำตัวให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นภาระ.”
“ไม่มีที่ที่จะร่อนลงจอดได้!”
เรเชล หญิงสาววัย 20 เศษ ๆ บอกผู้เขียนตื่นเถิด! คนหนึ่งว่า “ตอนนั้นฉันเดินอยู่บนถนนในย่านแมนฮัตตันทางใต้แล้วก็ได้ยินเสียงเครื่องบินอยู่ข้างบน. เสียงเครื่องบินนั้นดังมากจนฉันต้องแหงนหน้าขึ้นไปดู. ฉันไม่ยากเชื่อ มีเครื่องบินไอพ่นลำใหญ่กำลังบินต่ำลงมาอย่างเห็นได้ชัด. ฉันสงสัยว่าทำไมมันถึงบินต่ำและเร็วขนาดนั้น. ไม่มีที่ที่จะร่อนลงจอดได้! นักบินอาจจะควบคุมเครื่องไม่ได้. จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งกรีดร้อง ‘เครื่องบินลำนั้นเพิ่งจะชนตึก!’ ลูกไฟขนาดมหึมาพุ่งออกมาจากตึกเหนือ. ฉันเห็นช่องโหว่สีดำขนาดใหญ่ที่ตึกนั้น.
“มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นในชีวิต. มันดูเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง. ฉันได้แต่ยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น. ภายในชั่วเวลาสั้น ๆ เครื่องบินอีกลำหนึ่งก็พุ่งชนตึกหลังที่สอง และในที่สุดตึกทั้งสองก็ถล่มลงมา. ฉันกลัวมาก. มันเกินกว่าที่ฉันจะรับได้!”
“ถ้าฉันต้องว่ายน้ำ ฉันก็จะว่ายไป”
เดนิส วัย 16 ปี เพิ่งมาถึงโรงเรียนของเธอซึ่งอยู่ติดกับตลาดหลักทรัพย์แห่งอเมริกาและอยู่ถัดจากเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ลงไปทางใต้สามช่วงตึก. “ตอนนั้นเพิ่งจะ 9:00 น. หนูรู้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แต่หนูไม่รู้ว่าอะไร. หนูอยู่บนชั้นที่ 11 ของโรงเรียน กำลังเรียนวิชาประวัติศาสตร์. นักเรียนทุกคนดูหวาดกลัว. คุณครูก็ยังคงต้องการให้เราทำข้อสอบ. เราต้องการจะออกจากโรงเรียนและกลับบ้าน.
“แล้วตึกก็สั่นสะเทือนเมื่อเครื่องบินลำที่สองพุ่งชนตึกใต้. แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น. ทันใดนั้น หนูได้ยินเสียงจากวิทยุสื่อสารของคุณครูว่า ‘มีเครื่องบินสองลำพุ่งชนอาคารแฝด!’ หนูคิดในใจว่า ‘ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ในโรงเรียน. นี่เป็นการก่อการร้าย และตลาดหลักทรัพย์ก็จะเป็นเป้าหมายต่อไป.’ เราจึงออกมาข้างนอก.
“เราวิ่งไปที่แบตเตอรี่ปาร์ก. หนูเหลียวไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น. หนูรู้เลยว่าตึกใต้กำลังจะถล่ม. จากนั้นหนูก็คิดว่าจะมีปรากฏการณ์โดมิโน คือตึกสูง ๆ ทุกหลังจะถล่มตามไปด้วย. หนูหายใจไม่ออก เพราะมีขี้เถ้าและฝุ่นอัดอยู่เต็มจมูกและคอของหนู. หนูวิ่งไปทางแม่น้ำอีสต์ โดยคิดว่า ‘ถ้าฉันต้องว่ายน้ำ ฉันก็จะว่ายน้ำไป.’ ขณะที่หนูหนีอยู่นั้น หนูอธิษฐานต่อพระยะโฮวาขอทรงช่วยหนูให้รอด.
“ในที่สุด หนูก็ได้ลงเรือข้ามฟากไปนิวเจอร์ซีย์. มากกว่าห้าชั่วโมงต่อมาคุณแม่ถึงจะหาตัวหนูพบ แต่อย่างน้อยหนูก็ปลอดภัย!”
“นี่เป็นวันสุดท้าย ในชีวิตของผมหรือ?”
โจชัว วัย 28 ปี จากเมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ กำลังสอนในชั้นเรียนบนชั้นที่ 40 ของตึกเหนือ. เขาเล่าว่า “จู่ ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีการระเบิดเกิดขึ้น. มีการสั่นสะเทือน แล้วผมก็คิดว่า ‘ไม่ใช่หรอก เป็นแผ่นดินไหว.’ ผมมองออกไปข้างนอก และมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ มีควันและเศษวัสดุต่าง ๆ กระจายอยู่รอบตึก. ผมบอกนักเรียนในชั้นว่า ‘ทุกคน ทิ้งของไว้. หนีกันเถอะ!’
“เราลงมาทางบันได ซึ่งเต็มไปด้วยควัน และที่ฉีดน้ำก็ฉีดน้ำออกมา. แต่ไม่มีความโกลาหล. ผมอธิษฐานอยู่ตลอดขอให้เราเลือกบันไดถูกเพื่อจะไม่เจอกับไฟ.
“ขณะที่ผมวิ่งลงบันไดมานั้น ผมคิดว่า ‘นี่เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของผมหรือ?’ ผมอธิษฐานถึงพระยะโฮวาตลอด และผมรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด. ผมไม่เคยรู้สึกสงบใจแบบนั้นมาก่อน. ผมจะไม่มีวันลืมชั่วขณะนั้นเลย.
“ในที่สุด เมื่อเราออกมาจากตึกนั้นได้ ตำรวจกำลังพาทุกคนออกไป. ผมมองขึ้นไปบนตึกและเห็นตึกทั้งสองมีช่องโหว่ขนาดใหญ่. มันเหมือนไม่ใช่ความจริง.
“จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ความเงียบอย่างประหลาดเหมือนกับว่าคนนับพัน ๆ คนกำลังกลั้นหายใจ. ดูเหมือนว่านิวยอร์กหยุดนิ่งอยู่กับที่. แล้วก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง. ตึกใต้ถล่มลงมา! คลื่นของควัน, ขี้เถ้า, และฝุ่นพุ่งมาหาเรา. มันเหมือนเทคนิคพิเศษในภาพยนตร์. แต่มันเป็นเรื่องจริง. พอกลุ่มควันลอยมาถึงเรา เราก็แทบหายใจไม่ออก.
“ผมวิ่งไปถึงสะพานแมนฮัตตัน แล้วก็หันหลังกลับไปดูเห็นตึกเหนือและเสาทีวีขนาดยักษ์ถล่มลงมา. ขณะที่ผมข้ามสะพาน ผมก็ได้แต่อธิษฐานตลอดขอให้ผมไปถึงเบเธล สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวา. ตลอดชีวิตของผม ไม่มีครั้งใดที่ผมมีความสุขที่ได้เห็นสถานที่แห่งนั้นเท่ากับครั้งนี้เลย. และที่นั่นเอง บนผนังของโรงงานมีป้ายใหญ่ซึ่งหลายพันคนมองเห็นทุกวันที่ว่า ‘จงอ่านคัมภีร์ไบเบิลบริสุทธิ์พระคำของพระเจ้าทุกวัน’! ผมคิดในใจว่า ‘ผมเกือบจะถึงอยู่แล้ว. เดินต่อไปเรื่อย ๆ.’
“ขณะที่ผมคิดทบทวนเหตุการณ์เหล่านี้ มันทำให้ผมตระหนักว่าผมจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญให้ถูก สิ่งที่เป็นอันดับแรกในชีวิตควรอยู่ในอันดับแรกจริง ๆ.”
“ฉันเห็นคนกระโดดออกมาจากตึก”
เจสซิกา วัย 22 ปี เห็นเหตุการณ์ขณะที่เธอออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดินย่านแมนฮัตตันทางใต้. “ฉันมองขึ้นไปเห็นขี้เถ้า, เศษวัสดุต่าง ๆ, และชิ้นส่วนโลหะทุกชนิดตกลงมา. ผู้คนรอจะใช้โทรศัพท์สาธารณะ และหวาดกลัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความล่าช้า. ฉันอธิษฐานขอให้ตั้งสติได้. จากนั้นก็มีการระเบิดอีกครั้ง. เหล็กและกระจกหล่นลงมาจากฟ้า. ฉันได้ยินเสียงตะโกนว่า ‘นั่นมันเครื่องบินอีกลำ!’
“ฉันแหงนหน้ามองและมันดูน่ากลัวมาก มีคนกระโดดลงมาจากชั้นสูง ๆ ซึ่งมีควันไฟและเปลวไฟพุ่งออกมา. ภาพนั้นยังติดตาฉันอยู่ ผู้ชายกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง. ทั้งสองเกาะอยู่ที่หน้าต่างชั่วขณะหนึ่ง. จากนั้นทั้งสองก็ต้องปล่อยมือ แล้วเขาก็ร่วงหล่นลงมา. ฉันแทบจะทนดูไม่ได้.
“ในที่สุด ฉันก็ไปถึงสะพานบรุกลิน แล้วก็ถอดรองเท้าออกเพราะใส่ไม่สบายและวิ่งไปที่ฝั่งบรุกลิน. ฉันเดินเข้าไปในอาคารสำนักงานของว็อชเทาเวอร์ แล้วก็มีคนมาช่วยปลอบฉันทันที.
“ที่บ้านคืนนั้น ฉันอ่านตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 22 สิงหาคม 2001 บทความ ‘การรับมือกับความเครียดหลังเหตุสะเทือนขวัญ.’ ฉันต้องการความรู้นั้นมากสักเพียงใด!”
ความร้ายกาจของภัยพิบัติครั้งนี้กระตุ้นผู้คนที่จะให้ความช่วยเหลือในทุกวิถีทางที่ทำได้. บทความถัดไปจะอธิบายเรื่องราวส่วนนี้.
[เชิงอรรถ]
a ตื่นเถิด! ได้สัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตอีกหลายคนซึ่งไม่สามารถนำมาลงไว้ในบทความสั้น ๆ นี้ได้. ความร่วมมือของพวกเขาช่วยให้เรื่องนี้ครบถ้วนและช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือ.
[แผนภูมิ/ภาพหน้า 8, 9]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
พังทลาย
1 ตึกเหนือ 1 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
2 ตึกใต้ 2 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
3 โรงแรมแมริออท 3 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
7 7 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
เสียหายอย่างหนัก
4 4 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
5 5 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
L 1 ลิเบอร์ตีพลาซา
D ธนาคารดอยท์เช 130 ถนนลิเบอร์ตี
6 อาคารศุลกากรสหรัฐ 6 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
N เหนือและใต้ สะพานคนเดินข้าม
เสียหายบางส่วน
2F 2 เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์
3F 3 เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์
W วินเทอร์การ์เดน
[ที่มาของภาพ]
As of October 4, 2001 3D Map of Lower Manhattan by Urban Data Solutions, Inc.
[ภาพหน้า 8]
บนสุด: ตึกใต้ถล่มลงมาก่อน
บน: บางคนวิ่งไปหลบภัยที่อาคารของว็อชเทาเวอร์
ขวา: เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและหน่วยกู้ภัยหลายร้อยคนทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยที่กราวนด์ซีโร
[ที่มาของภาพหน้า 8]
AP Photo/Jerry Torrens
Andrea Booher/FEMA News Photo
[ที่มาของภาพหน้า 3]
AP Photo/Marty Lederhandler
[ที่มาของภาพหน้า 4]
AP Photo/Suzanne Plunkett