บท 4
การเรียนรู้ถึงสิ่งที่คุณไม่สามารถจะมองเห็นได้
มีหลายสิ่งที่งดงามอย่างยิ่งซึ่งเราไม่สามารถจะมองเห็นได้. ตัวอย่างเช่น เนื่องจากการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ซึ่ง “น่าพิศวง” ยิ่งนักมองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามาเป็นเวลานาน รูปถ่ายแรกของทารกในครรภ์จึงเป็นสิ่งน่าทึ่งที่สุด.
2 มีสิ่งสำคัญอื่น ๆ ที่เราไม่สามารถแลเห็นได้ เช่น สภาวะแม่เหล็กและความถ่วง. กระนั้น แรงทั้งสองนี้มีอยู่จริง. เราสามารถเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับสองสิ่งนี้ด้วยการสังเกตผลกระทบของมัน. เรื่องพระเจ้าก็เป็นในทำนองเดียวกัน. แต่ถ้าเราสนใจจะเรียนรู้เรื่องพระผู้สร้างของเรา—ซึ่งก็เป็นสิ่งพึงกระทำ—เราจะต้องเอาใจใส่จริง ๆ.—เปรียบเทียบโยฮัน 3:12.
3 ประการแรก ที่จะเรียนเรื่องพระเจ้าผู้ซึ่งเราแลไม่เห็นนั้นมีอยู่สองวิธี. เปาโล อัครสาวกคนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ กล่าวถึงวิธีหนึ่งโดยเขียนว่า “คุณลักษณะของพระเจ้าอันไม่ประจักษ์แก่ตาก็เห็นได้ชัดตั้งแต่การสร้างโลกเป็นต้นมา เพราะว่าคุณลักษณะเหล่านั้นเป็นที่เข้าใจได้โดยสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น กระทั่งฤทธานุภาพอันถาวรและความเป็นพระเจ้าของพระองค์.” (โรม 1:20, ล.ม.) ถูกแล้ว สรรพสิ่งที่ถูกสร้างให้หลักฐานแสดงความเป็นอยู่ของพระผู้สูงสุด. นอกจากนี้ สรรพสิ่งที่ถูกสร้างยังชี้ชัดถึงคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์. วิธีที่สองยิ่งสำคัญกว่ามาก เพราะวิธีนี้ให้ความรู้ที่ถูกต้องแน่นอนยิ่งขึ้นในเรื่องพระเจ้า. นั้นคือการเปิดเผยอันเป็นลายลักษณ์อักษร ในคัมภีร์ไบเบิล.
พระองค์ทรงมีคุณลักษณะเช่นไร?
4 ดังที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูตรัสว่า “พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ.” (โยฮัน 4:24) นั่นหมายความว่า พระผู้สร้างมิได้มีร่างกายเนื้อหนังเหมือนพวกเรา. เรื่องนี้ไม่น่าจะยากที่จะยอมรับสำหรับคนที่เคยชินอยู่กับสภาพความเป็นจริงของสิ่งที่แลไม่เห็น เช่น ความถ่วง สภาวะแม่เหล็ก และคลื่นวิทยุ. อย่างไรก็ดี ข้อแตกต่างที่สำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าก็คือ พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่ทรงพระชนม์อยู่ ทรงมีเชาวน์ปัญญาพร้อมด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ ที่เราสามารถสังเกตเข้าใจได้. คุณลักษณะเหล่านี้ได้แก่อะไรบ้าง?
5 คุณเคยเฝ้าดูคลื่นใหญ่ซัดกระทบชายฝั่งที่เป็นโขดหินไหม? หรือว่าคุณเคยเห็นพลังอันมหาศาลของภูเขาไฟไหม? เหล่านี้เป็นแต่เพียงข้อบ่งชี้ในขอบเขตเล็กน้อยแห่งอำนาจ ที่พระผู้สร้างทรงมีอยู่ เพราะพระองค์ได้สร้างแผ่นดินโลกขึ้นมาพร้อมด้วยแรงต่าง ๆ ของมัน.
6 อาศัยสมการ E=mc2 อันมีชื่อของไอน์สไตน์ พวกนักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า สสารทั้งมวลไม่เป็นอะไรเลยนอกจากพลังงานที่ขังอยู่ในอะตอมพื้นฐาน. มนุษย์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เรื่องนี้เป็นความจริงด้วยการระเบิดของลูกระเบิดปรมาณูของเขา. กระนั้น คุณทราบไหมว่า การระเบิดที่น่าสยดสยองเช่นนั้น ปล่อยพลังที่มีอยู่ในอะตอมไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์? ขอให้ลองนึกภาพอำนาจอันน่าเกรงขามของพระผู้สร้าง ผู้ทรงสร้างอะตอมทั้งสิ้น ในเอกภพนี้. หลายพันปีก่อนไอน์สไตน์เกิด พระคัมภีร์ยอมรับว่า พระผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอกภพเป็นบ่อเกิดของพลังงานอันน่าเกรงขาม. (ยะซายา 40:29) ด้วยเหตุผลที่ดีที่พระคัมภีร์ให้ฉายาพระองค์หลายครั้งหลายหนว่า “พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ.”—เยเนซิศ 17:1; วิวรณ์ 11:17.
7 บ่อยครั้งพระเจ้าทรงใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในวิธีที่กระทบกระเทือนมนุษย์โดยตรง. ตัวอย่างหนึ่งปรากฏที่พระธรรมเอ็กโซโด เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยโมเซและชาติยิศราเอลออกจากอียิปต์. คุณคงอยากจะอ่านเรื่องสั้น ๆ ในพระธรรมเอ็กโซโด 13:21–14:31 ด้วยเสียงดัง. นึกภาพตัวคุณเองอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นที่รับการคุ้มครองโดยเสาเมฆที่น่าเกรงขามในตอนกลางวันและเสาไฟสว่างโชติช่วงในตอนกลางคืน. คุณคงได้รู้สึกเช่นไร เมื่อกองทัพที่ไล่ตามมานั้นดูเหมือนทำให้คุณติดกับที่ทะเลแดง? อย่างไรก็ดี นึกภาพว่า คุณเฝ้าดูขณะที่พระเจ้า ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ บันดาลให้น้ำแยกออกเป็นกำแพงสูงสองข้างเพื่อคุณจะหนีไปได้. พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงอำนาจอะไรเช่นนี้!—เอ็กโซโด 15:1, 2, 11; ดานิเอล 4:35.
8 อนึ่ง พระธรรมเอ็กโซโดแสดงให้เห็นพระปรีชาญาณของพระเจ้าในการที่จะสัมฤทธิ์ผลได้แม้จากระยะไกล. เพื่อกระทำเช่นนี้พระองค์ทรงใช้พลังปฏิบัติการอันไม่ประจักษ์แก่ตาของพระองค์คือ พระวิญญาณของพระองค์ หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์. ถึงแม้พลังปฏิบัติการนี้ไม่เป็นบุคคลก็ตาม เช่นเดียวกับการหายใจอย่างมีพลัง พลังนี้สามารถสำแดงฤทธิ์ได้. พระเจ้าได้ทรงใช้พระวิญญาณของพระองค์สร้างสรรค์เอกภพอันเป็นวัตถุ. (บทเพลงสรรเสริญ 33:6; เยเนซิศ 1:2) แต่นอกจากนั้น พระองค์สามารถใช้พระวิญญาณของพระองค์ชูกำลังและอนุเคราะห์มนุษย์ได้.—ผู้วินิจฉัย 14:5, 6; บทเพลงสรรเสริญ 143:10.
9 ผู้ที่ออกแบบเครื่องจักรครั้นแล้วสร้างเครื่องจักรนั้นขึ้นมาย่อมมีความรู้ เกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของเครื่องจักรชิ้นนั้น. ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เราแลเห็นบนแผ่นดินโลกและในท้องฟ้าย่อมทำให้เราแน่ใจมิใช่หรือว่า พระเจ้าทรงมีความรู้อย่างกว้างขวาง? นักเคมีใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อจะเข้าใจถึงส่วนประกอบของสารต่าง ๆ ในธรรมชาติ. ผู้ซึ่งได้ทรงสร้างสารเหล่านี้ย่อมทรงไว้ซึ่งความรู้มากมายเพียงไร! นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ศึกษาค้นคว้าเรื่องเซลล์และรูปแบบชีวิตที่ละเอียดประณีต. พระผู้สร้างจะต้องเชี่ยวชาญในสาขาวิชาเหล่านี้อย่างละเอียดเพื่อจะให้กำเนิดชีวิตตั้งแต่แรก!
10 ความรู้ของพระเจ้าแผ่กว้างไกลทั่วเอกภพทั้งสิ้น. พระองค์สามารถเรียกชื่อดวงดาวทุกดวงจำนวนหลายพันล้านดวงที่พระองค์ได้สร้างขึ้นมา. (ยะซายา 40:26) หลังจากพรรณนาถึงความรู้อันกว้างขวางของพระเจ้าแล้ว บุรุษที่ชื่อโยบจึงยอมรับอย่างถ่อมใจว่า “ข้าพเจ้าได้ทราบแล้วว่า พระองค์ทรงกระทำอะไรได้สารพัดและไม่มีอะไรจะมาขัดขวางพระดำริของพระองค์นั้นได้เลย.” (โยบ 42:2) เรามีเหตุผลเพียงพอที่จะรู้สึกเช่นเดียวกันมิใช่หรือ?
11 นอกจากนั้น พระเจ้าทรงเปี่ยมล้นด้วยสติปัญญา เนื่องจากพระองค์ทรงใช้ความรู้ของพระองค์ในทางที่เป็นประโยชน์ได้สำเร็จลุล่วง. ตัวอย่างเช่น พระองค์ได้ทรงออกแบบพฤกษชาติเพื่อให้พืชเอาน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศมาประกอบกันเป็นน้ำตาลและแป้งซึ่งเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับมนุษย์และสัตว์. พืชสามารถสร้างไขมัน โปรตีนและวิตามินอันซับซ้อนซึ่งเราใช้เพื่อบำรุงรักษาสุขภาพให้แข็งแรง. อาหารทุกอย่างที่เรากินเข้าไปล้วนอาศัยวัฏจักรอันน่าพิศวงซึ่งเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ ฝน ฟ้าแลบ และแบคทีเรียในดิน. (ยิระมะยา 10:12; ยะซายา 40:12-15) ขณะที่คนเราเรียนเกี่ยวกับการดำเนินงานต่าง ๆ ของพระเจ้า เขาย่อมเกิดความหยั่งรู้ในหัวใจเกี่ยวกับเหตุผลที่ผู้เขียนพระคัมภีร์คนหนึ่งอุทานว่า “โอ พระปัญญาและความรู้ของพระเจ้ามีอเนกอนันต์มากเท่าใด!” (โรม 11:33) คุณคงจะต้องการรู้สึกเช่นนั้นต่อพระเจ้าผู้ซึ่งคุณนมัสการมิใช่หรือ?
บุคลิกภาพที่ดึงดูดใจ
12 เป็นการง่ายที่จะเข้าใจว่า พระผู้สร้างทรงเป็นผู้จัดเตรียมที่ทรงใฝ่พระทัยและโปรดให้มีอย่างอุดมสมบูรณ์. เราได้กล่าวมาแล้วถึงวิธีการที่พระองค์ทรงจัดเตรียมในด้านอาหาร. แต่ผู้ประพันธ์พระธรรมบทเพลงสรรเสริญกล่าวว่า:
“พระองค์ทรงกระทำให้น้ำพุพลุ่งขึ้นมาในหุบเขา น้ำนั้นก็ไหลไประหว่างเขา ให้บรรดาสัตว์ป่าได้ดื่ม . . . พระองค์ทรงให้หญ้างอกมาเพื่อสัตว์เลี้ยง และผักให้มนุษย์ได้ดูแล เพื่อเขาจะทำให้เกิดอาหารจากแผ่นดิน และเหล้าองุ่นซึ่งให้ใจมนุษย์ยินดี น้ำมันทำให้หน้าของเขาทอแสง และขนมปังซึ่งเสริมกำลังใจมนุษย์.”—บทเพลงสรรเสริญ 104:10-15, ฉบับแปลใหม่.
พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมแผ่นดินโลกในแบบที่เอื้อต่อการผลิตอาหารได้มากเหลือเฟือสำหรับมนุษยชาติทั้งสิ้น. การอดอยากขาดแคลนอาหารอันร้ายกาจซึ่งก่อความทุกข์ทรมานมากจริง ๆ นั้น มักจะสืบเนื่องมาจากความละโมบหรือจากการดำเนินงานอย่างผิด ๆ ของมนุษย์.
13 พระผู้สร้างของเราไม่เพียงแต่จัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นไว้อย่างอุดมสมบูรณ์เพื่อค้ำจุนชีวิตเท่านั้น. พระองค์ยังได้ทำให้ชีวิตเป็นที่น่าเพลิดเพลินอีกด้วย. พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมอาหารที่บำรุงกำลังซึ่งไม่มีรสชาติก็ได้. แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เรามีอาหารหลายหลากรสชาติซึ่งทำให้เกิดความยินดีและมีสุขภาพดี. อนึ่ง ขออย่ามองข้ามข้อที่ว่า พระเจ้าทรงสร้างพวกเราอย่างที่เราจะสามารถชื่นชมกับความงดงามของสีต่าง ๆ เช่น สีของดอกไม้และผลไม้. และพระองค์ทรงโปรดให้เรามีความสามารถเพลิดเพลินกับเสียงดนตรี. สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทำให้คุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับพระเจ้า?
14 การไตร่ตรองเรื่องนี้ทำให้หลายคนลงความเห็นว่า พระเจ้าต้องเป็นองค์ที่เปี่ยมด้วยความรักอย่างแน่แท้. พวกเขามั่นใจว่าต้องเป็นเช่นนั้น. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะอัครสาวกโยฮันได้เขียนว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก.” (1 โยฮัน 4:8) พระผู้สร้างเป็นแบบฉบับแห่งความรักทีเดียว ความรักเป็นคุณลักษณะเด่นของพระองค์. หากมีใครสักคนถามคุณว่า พระเจ้าทรงมีคุณลักษณะเช่นไร ถ้อยคำข้างบนนี้น่าจะเป็นคำตอบแรกของคุณ. พระองค์ทรงแสดงความรักใคร่อันอบอุ่นต่อมนุษย์. พระเจ้าหาใช่เป็นความคิดทางนามธรรมไม่ และก็ไม่ใช่พระเจ้าที่ทรงอยู่โดดเดี่ยวห่างไกล. พระองค์ทรงมีไมตรีอบอุ่นซึ่งเราจะมีความสัมพันธ์อันประกอบด้วยความรักได้. พระเยซูตรัสว่า เหล่าสาวกของพระองค์สามารถอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ในฐานะเป็นพระบิดาของเขา ผู้ซึ่งใกล้ชิดกับเขาและทรงใฝ่พระทัยในตัวเขา.”—มัดธาย 6:9.
15 หากคุณรักใครสักคนอย่างแท้จริง คุณก็คงอยากให้คนนั้นได้รับสิ่งที่ดี. พระเจ้าทรงรู้สึกเช่นนั้นต่อมนุษย์. เนื่องด้วยความรัก พระองค์ทรงเตือนเราให้ระวังสิ่งต่าง ๆ อันจะยังความเสียหาย. คำเตือนเหล่านี้เป็นการป้องกัน. นอกจากนั้น คำเตือนเหล่านี้ย่อมช่วยเราให้เข้าใจมาตรฐานของพระเจ้า และวิธีที่พระองค์จะปฏิบัติหรือตอบสนอง. ตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์บอกไว้ว่า พระองค์ทรงเกลียดการโกหก. (สุภาษิต 6:16-19; 8:13; ซะคาระยา 8:17) ข้อนี้ทำให้เราแน่ใจว่า พระเจ้าเองจะตรัสมุสาไม่ได้ เราจึงเชื่อคำตรัสทุกข้อของพระองค์ได้อย่างเต็มที่. (ติโต 1:2; เฮ็บราย 6:18) ดังนั้น เมื่อเราพบถ้อยแถลงในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งคนเราอาจจะถือว่าเป็นการจำกัดสิทธิ เราควรเข้าใจว่า ถ้อยแถลงเหล่านั้นสะท้อนบุคลิกภาพของพระเจ้าที่ทรงมีความรัก ความชอบธรรม และความใฝ่พระทัยของพระองค์ต่อพวกเรา.
16 พระคัมภีร์ยังช่วยเราให้มีทัศนะต่อพระเจ้าในฐานะเป็นบุคคลซึ่งเราจะมีสายสัมพันธ์กับพระองค์ได้โดยที่พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่า นอกจากพระองค์มีความรักแล้ว พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรู้สึกอีกด้วย. อาทิ พระองค์ทรง “เศร้าพระทัย” เมื่อมนุษย์กบฏต่อแนวทางอันชอบธรรมของพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 78:8-12, 32, 41, ฉบับแปลใหม่) พระองค์ ‘มีความยินดี’ เมื่อมนุษย์สนับสนุนสิ่งที่ถูกต้อง. (สุภาษิต 27:11; ลูกา 15:10) เมื่อเราทำผิด พระองค์ทรงเห็นใจ แสดงความเมตตาและความเข้าใจ. คุณจะพบว่า เป็นการหนุนใจที่จะอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ในบทเพลงสรรเสริญ 103:8-14. และพระผู้สร้างไม่ลำเอียง พระองค์ให้แดดและฝนแก่ทุกคน และทรงรับเอาการนมัสการจากบุคคลต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์.—กิจการ 14:16, 17; 10:34, 35.
17 ความสุขเป็นสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่ต้องการ. ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีเหตุผลที่จะเข้ามารู้จักพระผู้สูงสุด. พระคัมภีร์พรรณนาพระองค์ในฐานะเป็น “พระเจ้าผู้ประกอบด้วยความสุข” และแสดงว่า พระองค์ทรงประสงค์ จะให้เรามีความสุข. (1 ติโมเธียว 1:11; พระบัญญัติ 12:7) พระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จเสมอแก่คนเหล่านั้นที่แสดงความเชื่อในพระองค์. (เฮ็บราย 11:6; 13:5) และพระเจ้าทรงเตรียมทางไว้เพื่อมนุษย์จะมีสุขภาพสมบูรณ์และมีความสุขไม่รู้สิ้นสุด ดังที่เราจะพิจารณาในตอนหลัง.
“พระเจ้า”
18 สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่พระคัมภีร์เปิดเผยเรื่องพระผู้สร้างคือข้อที่ว่า พระองค์ทรงมีพระนามเฉพาะ. พระนามนี้เขียนด้วยพยัญชนะฮีบรูสี่ตัวดังนี้: יהוה. ภาษาในปัจจุบันส่วนใหญ่มีคำทับศัพท์ที่ใช้กันทั่วไปเมื่อแปลพระนามเฉพาะนี้. ในภาษาไทยคำทับศัพท์นั้นคือยะโฮวา. บทเพลงสรรเสริญ 83:18 บอกเราว่า ประชาชนควร “รู้ว่า พระองค์ผู้เดียว ผู้ทรงพระนามว่าพระยะโฮวา เป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่งทรงครอบครองทั่วแผ่นดินโลก.” (เปรียบเทียบโยฮัน 17:6.) จงสังเกตว่า พระองค์แต่ผู้เดียว ทรงเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง. ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอกภพมีแต่องค์เดียว. ชาวยิศราเอลสมัยโบราณเคยพูดเนือง ๆ ว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของเราเป็นเอก พระยะโฮวา. และเจ้าต้องรักพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจ สุดจิตของเจ้าและด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า.”—พระบัญญัติ 6:4, 5; เปรียบเทียบโยฮัน 17:3.
19 พระยะโฮวา พระเจ้าของเราทรงสภาพอยู่ตลอดกาล ดังที่เหตุผลจะชี้ให้เห็น. พวกนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เอกภพมีอายุหลายพันล้านปี. ดังนั้น พระผู้สร้างเอกภพก็ย่อมต้องดำรงอยู่ก่อนเกิดเอกภพขึ้นมา. ข้อนี้สอดคล้องกับคำแถลงในพระคัมภีร์กล่าวถึงพระองค์ว่า “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญนิรันดร์” คือไม่มีการเริ่มต้นหรือสิ้นสุด. (1 ติโมเธียว 1:17; วิวรณ์ 4:11; 10:6) กาลเวลาของมนุษย์บนแผ่นดินโลกไม่กี่พันปีเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เมื่อเทียบกับเวลาของพระยะโฮวาซึ่งไม่มีขอบเขตจำกัด.—บทเพลงสรรเสริญ 90:2, 4.
สิ่งอื่น ๆ ที่ดำรงชีวิตอยู่ซึ่งเรามองไม่เห็น
20 คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยว่า ยังมีสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเป็นวิญญาณเหมือนกัน. หลังจากที่พระผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการได้ทรงดำรงอยู่เพียงลำพังเป็นเวลานาน พระองค์จึงได้ตัดสินพระทัยสร้างบุคคลอื่น ๆ ที่เป็นกายวิญญาณ. ตอนแรก พระองค์ได้ทรงสร้าง “บุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง” และ “[ผู้เป็น] เบื้องต้นแห่งการทรงสร้างโดยพระเจ้า.” (โกโลซาย 1:15, ฉบับแปลใหม่; วิวรณ์ 3:14, ล.ม.) บุตรหัวปีผู้นี้ได้อยู่กับพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการในตอนเริ่มต้นของการสร้างสิ่งสารพัด. ในเวลาต่อมาพระยะโฮวาทรงใช้พระองค์เป็นโฆษก หรือเป็นพระวาทะในการติดต่อกับคนอื่น ๆ. (โยฮัน 1:1-3; โกโลซาย 1:16, 17) ในที่สุด บุตรหัวปีผู้นี้ถูกส่งลงมายังแผ่นดินโลกให้บังเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าพระเยซูคริสต์.—ฆะลาเตีย 4:4; ลูกา 1:30-35.
21 โดยทางพระบุตรซึ่งถูกสร้างขึ้นเป็นองค์แรกนี้ พระเจ้าได้ทรงสร้างวิญญาณอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าทูตสวรรค์. พวกทูตสวรรค์ปฏิบัติหน้าที่รับใช้พระเจ้าในฐานะผู้ส่งข่าว และปฏิบัติงานในหน้าที่ต่าง ๆ ทั่วเอกภพ รวมทั้งการปรนนิบัติในทางที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ด้วย.—2 เปโตร 2:11; เฮ็บราย 2:6, 7; บทเพลงสรรเสริญ 34:7; 103:20.
22 ทั้งหลักเหตุผลและคัมภีร์ไบเบิลเองแสดงว่า บุตรหัวปีผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างและได้ส่งมายังแผ่นดินโลกนั้นย่อมไม่เท่าเทียมกับพระบิดาของเขา. บางคนซึ่งอ้างว่าตนเชื่อหลักคำสอนของพระคัมภีร์สอนว่า พระเยซูกับพระบิดาของพระองค์ประกอบกันอย่างเสมอภาคร่วมกันเป็นพระเจ้า. ความคิดเช่นนี้ไม่ใช่ของใหม่ เพราะศาสนาเก่าแก่เป็นอันมากเคยสักการะพระเจ้าหลายองค์เป็นชุด ๆ. แต่ตรงกันข้ามกับเรื่องนี้ พระคัมภีร์กล่าวอย่างชัดเจนว่า พระเยซูในฐานะเป็นอีกบุคคลหนึ่งต่างหาก ได้รับอำนาจจากพระบิดาผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. พระคัมภีร์ทำให้เราแน่ใจว่า พระผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการทราบเรื่องต่าง ๆ ซึ่งพระเยซูไม่ทราบ และไม่ว่าเมื่ออยู่บนแผ่นดินโลกหรือหลังจากนั้น พระเยซูคริสต์หาได้เท่าเทียมกับพระบิดาไม่.—โยฮัน 5:30; 8:28; 14:10, 28; มาระโก 13:32.
23 พระบุตรทรงมีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการนานหลายพันปีในสวรรค์ พระบุตรจึงสามารถเรียนรู้จากพระเจ้า และเลียนแบบแนวทางของพระองค์ได้. ฉะนั้น เมื่อสาวกคนหนึ่งทูลว่า “ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็น” พระเยซูได้ตรัสตอบว่า “ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา.” (โยฮัน 14:8, 9; 1:18) โดยการที่เราศึกษาบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูทางแผ่นดินโลก เราจึงได้เรียนเรื่องเกี่ยวกับพระบิดามากมาย เช่น ทำไมพระเจ้าทรงกระทำสิ่งต่าง ๆ และพระองค์ทรงคาดหมายให้เราเป็นคนชนิดใด. ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต.” (โยฮัน 14:6) เป็นสิ่งสำคัญที่เราพึงทำความรู้จักกับพระเยซูให้มากขึ้น เพื่อว่าเราจะรู้จักพระบิดาด้วย. การอ่านกิตติคุณที่เขียนโดยโยฮันจะช่วยเรามาก. เมื่อคุณอ่านก็อย่าเพ่งเล็งแต่ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดเท่านั้น แต่จงพยายามซับเอาน้ำใจของพระเยซูด้วย. พระองค์ทรงเป็นมนุษย์คนสำคัญที่สุดที่คุณสามารถเรียนรู้ได้.
เราจำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้า
24 ขณะที่เราได้มารู้จักพระเจ้าองค์สูงสุดโดยการสังเกตสารพัดสิ่งในธรรมชาติและการอ่านพระคัมภีร์ จึงแลเห็นได้ชัดว่ามนุษย์มิได้ถูกสร้างให้ดำรงชีวิตโดยไม่หมายพึ่งพระองค์. เราถูกสร้างเพื่อที่จะมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า ผู้ซึ่งประทานชีวิตแก่เราและผู้ซึ่งค้ำจุนชีวิตของเราแต่ละวันและทุก ๆ วัน. การพยายามที่จะไม่พึ่งพาพระองค์และพระคัมภีร์พระวจนะของพระองค์ อาจเปรียบได้กับการที่คนเราพยายามจะเดินทางผ่านที่ทุรกันดารซึ่งตนไม่รู้จักทางโดยไม่มีแผนที่ที่ดี. เมื่อทำเช่นนั้น ไม่นานเขาอาจหลงทางเดินวกวนและตายเพราะขาดอาหารขาดน้ำอันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต. เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อมนุษย์ละเลยพระเจ้าและไม่รับเอาการนำทางของพระองค์สำหรับชีวิตของเขา. คัมภีร์ไบเบิลและประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นแน่ชัดว่า การที่จะชื่นชมกับชีวิตให้มากที่สุดนั้น หาใช่ว่าเราจะต้องมีเพียงแต่อาหาร เครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัยเท่านั้น. ที่เราจะมีความสุขอย่างแท้จริง เราจำเป็นต้องมีเครื่องนำทางและความช่วยเหลือจากพระผู้สร้างของเรา.—มัดธาย 4:4; โยฮัน 4:34.
25 ยังมีผู้คนอีกมากมายซึ่งไม่ค่อยจะรู้จักพระผู้สร้าง. ขณะที่คุณได้พบปะกับคนเหล่านั้นและเมื่อโอกาสอำนวย คุณก็น่าจะถ่ายทอดให้เขาได้รู้ถึงสิ่งดีบางอย่างที่เราได้พิจารณากันมาแล้ว. เป็นการดีทีเดียวเมื่อคนเราเต็มใจจะบอกเล่าคนอื่นเรื่องความจริงอันสำคัญที่เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ซึ่งทรงเปี่ยมด้วยความรักนั้น.—บทเพลงสรรเสริญ 40:5.
[คำถามศึกษา]
เป็นไปได้อย่างไรที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าที่แลไม่เห็น? (1-3)
เหตุใดคุณจะแน่ใจได้เกี่ยวกับอำนาจอันน่าเกรงขามของพระเจ้าและพระปรีชาสามารถของพระองค์ที่จะใช้อำนาจนั้น? (4-8)
เราควรจะรู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้าในเรื่องความรู้? และสติปัญญา? (9-11)
พระเจ้าทรงสำแดงความใฝ่พระทัยอันเพียบพร้อมด้วยความรักต่อคุณอย่างไร? คุณรู้สึกอย่างไรต่อเรื่องนี้? (บทเพลงสรรเสริญ 30:4, 5) (15-17)
คุณได้รับประโยชน์อย่างไรจากการสำแดงบุคลิกภาพของพระเจ้า? (12-14)
เรารู้อะไรเกี่ยวด้วยพระนามของพระเจ้าและการดำรงคงอยู่ของพระองค์? (18, 19)
เหตุใดพระเจ้ามิได้สถิตในสวรรค์ลำพังพระองค์ผู้เดียว? (20, 21)
ความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับพระบุตรเป็นเช่นไร? (22, 23)
ทำไมพระเจ้าควรมีความสำคัญในชีวิตของคุณ? (24, 25)
[รูปภาพหน้า 33]
ฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้แยกน้ำในทะเลแดง
[รูปภาพหน้า 36]
แดด ฝน และแผ่นดินที่อุดมแสดงให้เห็นอะไรเกี่ยวกับพระเจ้า?
พระองค์เป็นผู้จัดเตรียมที่มีความรักและให้อย่างบริบูรณ์มิใช่หรือ?