บท 14
ความมหัศจรรย์ในตัวมนุษย์
1. ข้อเท็จจริงอะไรเกี่ยวกับสมองที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่?
ในท่ามกลางสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายบนโลก ไม่มีอะไรล้ำหน้าสมองของมนุษย์. เช่น มีข้อมูลจำนวน 100 ล้านข้อเข้าสู่สมองจากประสาทสัมผัสต่าง ๆ ในทุก ๆ วินาที. แต่สมองจัดการกับข้อมูลที่ประดังเข้ามาได้อย่างไร? ในเมื่อเราสามารถคิดถึงเพียงเรื่องเดียวในเวลาหนึ่งเท่านั้น แล้วสมองจัดการกับข่าวสารนับล้าน ๆ ข้อที่เข้ามาพร้อม ๆ กันนี้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่า สมองไม่เพียงแต่คงอยู่ได้หลังจากมีข้อมูลระดมเข้ามามากมายเท่านั้น แต่ยังจัดการกับมันได้อย่างสบาย.
2, 3. สมองจัดการกับปัญหานี้โดยสองวิธีอะไรบ้าง?
2 วิธีที่สมองทำได้เช่นนี้เป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างหนึ่งในหลายอย่างเกี่ยวกับสมองของมนุษย์. มีปัจจัยสองอย่างที่เกี่ยวข้อง. ประการแรกที่ก้านสมองมีข่ายใยประสาทขนาดเท่ากับนิ้วก้อยของเราที่เรียกว่า เรติคิวลาร์ ฟอร์เมชัน. มันทำหน้าที่เหมือนกับศูนย์ควบคุมจราจรคอยควบคุมข่าวสารนับล้านข้อที่แล่นเข้าสู่สมอง คัดข้อมูลที่ไม่สำคัญออกและเลือกข้อมูลสำคัญที่ เซริบราล คอร์เท็กซ์ต้องจัดการ. ทุก ๆ วินาทีกลุ่มประสาทเล็ก ๆ เหล่านี้จะปล่อยข้อมูลผ่านเข้าสู่จิตสำนึกของเราไม่กี่ร้อยข้อเป็นอย่างมาก.
3 ประการที่สอง ขั้นตอนต่อไปที่ทำให้เราต้องสนใจข้อมูลใดโดยเฉพาะนั้นอาศัยคลื่นกวาดผ่านสมองเรา 8 ถึง 12 ครั้งต่อวินาที. คลื่นเหล่านี้จะทำให้เกิดช่วงของความไวสูง ซึ่งสมองจะเพ่งเล็งเฉพาะสัญญาณที่แรงแล้วตอบสนอง. เชื่อกันว่าโดยคลื่นเหล่านี้สมองจะตรวจสอบตัวเอง เลือกเอาเฉพาะข้อมูลที่จำเป็น. ดังนั้น ในสมองของเรามีปฏิบัติการซับซ้อนดำเนินการอย่างน่าอัศจรรย์ทุกวินาที!
สิ่งที่ “น่าพิศวง”
4. แม้จะมีการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง เพื่อเรียนรู้เรื่องสมอง แต่ข้อเท็จจริงยังคงเป็นเช่นไร?
4 ในระยะหลัง ๆ นี้นักวิทยาศาสตร์ได้ก้าวหน้าไปมากในด้านการศึกษาเรื่องสมอง. ถึงกระนั้นสิ่งที่เรียนรู้แล้วก็ยังเทียบกันไม่ได้กับสิ่งที่ยังเป็นเรื่องลึกลับอยู่. นักค้นคว้าคนหนึ่งบอกว่า หลังจากการคาดคะเนมานานหลายพันปีและสองสามทศวรรษที่มีการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจังปรากฏว่าสมองของเรารวมทั้งเอกภพก็ยังคงเป็นเรื่อง “ลึกลับโดยส่วนใหญ่.”1 จริงทีเดียว สมองของมนุษย์เป็นสิ่งลึกลับที่สุดในบรรดาความมหัศจรรย์เกี่ยวกับมนุษย์—“มหัศจรรย์” หมายถึงสิ่ง “น่าพิศวง.”
5. ข้อเท็จจริงอะไรเกี่ยวกับการเจริญของสมองมนุษย์ในทารกที่กำลังเติบโตแสดงถึงช่องว่างระหว่างสมองมนุษย์กับสมองสัตว์?
5 ความน่าพิศวงนี้เริ่มในมดลูก. สามสัปดาห์หลังการปฏิสนธิเซลล์สมองเริ่มก่อตัวขึ้น. มันเจริญอย่างรวดเร็ว บางขณะเพิ่มขึ้นถึง 250,000 เซลล์ต่อนาที. ภายหลังคลอด สมองยังคงเติบโตและก่อขุมข่ายของการเชื่อมต่อต่าง ๆ. ช่องว่างที่แยกสมองมนุษย์ว่าแตกต่างไปจากสมองของสัตว์ใด ๆ เริ่มสำแดงตัวอย่างรวดเร็ว. หนังสือเอกภพภายใน กล่าวว่า “ต่างกันกับสมองของสัตว์อื่น สมองของเด็กทารกจะโตขึ้นสามเท่าในปีแรก.”2 ในที่สุด เซลล์ประสาทที่เรียกว่า นิวรอนรวมทั้งเซลล์ชนิดอื่น ๆ จำนวนประมาณแสนล้านเซลล์จะถูกบรรจุไว้ในสมองของมนุษย์ ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว.
6. สัญญาณประสาทถูกส่งจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งอย่างไร?
6 เซลล์หลักของสมองคือ นิวรอน โดยแท้แล้วไม่สัมผัสกันเลย. มีซินเนปส์ ซึ่งเป็นช่องว่างไม่ถึงหนึ่งในสี่หมื่นมิลลิเมตรแยกเซลล์เหล่านี้จากกัน. ช่องว่างเหล่านี้จะถูกเชื่อมไว้ด้วยสารเคมีต่าง ๆ ที่เรียกว่า นิวโรทรานส์มิตเตอร์เท่าที่รู้ประมาณ 30 อย่างแต่อาจมีมากกว่านี้. ใยเล็ก ๆ ที่เรียกว่า เด็นไดรท์จะรับสัญญาณเคมีเหล่านี้เข้าที่ปลายด้านหนึ่งของนิวรอน แล้วใยประสาทแอ็กซอนจะส่งสัญญาณต่อไปที่ปลายอีกข้างหนึ่งของนิวรอน. ในนิวรอนสัญญาณจะเป็นไฟฟ้า แต่การส่งต่อในช่องว่างเป็นแบบเคมี. ดังนั้น การส่งสัญญาณของเซลล์ประสาทจึงเป็นแบบเคมีไฟฟ้า. แต่ละสัญญาณมีกำลังเท่ากัน แต่ความเข้มขึ้นอยู่กับความถี่ของสัญญาณซึ่งอาจมากถึงหนึ่งพันครั้งต่อวินาที.
7. คุณสมบัติอะไรของสมองที่คัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวถึง และนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบอะไรที่ลงรอยกับเรื่องนี้?
7 เรายังไม่ทราบแน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาอะไรที่เกิดขึ้นในสมองขณะที่เราเรียน. แต่หลักฐานจากการทดลองแสดงว่าขณะที่เราเรียนรู้ โดยเฉพาะในชีวิตช่วงต้น ๆ จะมีการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น และมีการปล่อยสารเคมีออกมาเชื่อมระหว่างช่องว่างมากขึ้น. การใช้งานอย่างต่อเนื่องทำให้จุดเชื่อมต่อเหล่านี้แข็งแรงขึ้น ดังนั้น จึงเป็นการเสริมความสามารถในการเรียนรู้. ไซเยนติฟิคอเมริกัน รายงานว่า “เส้นทางที่ถูกกระตุ้นด้วยกันบ่อย ๆ ย่อมแข็งแรงขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง.”3 เกี่ยวกับเรื่องนี้น่าสนใจที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วมักจะเข้าใจเรื่องที่ลึกซึ้งได้ง่ายกว่า เพราะเขา “ได้เคยฝึกหัด ความคิดของเขา.” (เฮ็บราย 5:14) การค้นคว้าเผยให้เห็นว่าความสามารถในการคิดจะเสื่อมถอยไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ใช้ความคิด. ดังนั้น สมองเป็นเหมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งใช้มากก็แข็งแรงมาก.
8. อะไรคือปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งที่ยังไขไม่ได้เกี่ยวกับสมอง?
8 ใยประสาทที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นจำนวนมากซึ่งทำการเชื่อมต่อกันในสมอง บ่อยครั้งจะถูกเรียกว่าเป็น “วงจร.” มันถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งอย่างถูกต้องท่ามกลางความคดเคี้ยวที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง. แต่ทว่ามันถูกจัดไว้ในตำแหน่งถูกต้องอย่างไรตาม “ผังวงจร” นั้นยังคงเป็นเรื่องลึกลับ. นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งกล่าวว่า “ไม่ต้องสงสัยปริศนาที่ยังไขไม่ได้ที่สำคัญที่สุดในเรื่องการพัฒนาของสมองได้แก่คำถามที่ว่าเซลล์ประสาทเชื่อมต่อกันในรูปแบบเฉพาะได้อย่างไร. . . . การเชื่อมต่อส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าถูกจัดไว้อย่างถูกต้องตั้งแต่ตอนต้น ๆ ของการเจริญเติบโต.”4 นักค้นคว้าอีกผู้หนึ่งกล่าวเพิ่มเติมว่า “วงจรที่กำหนดไว้อย่างถูกต้องเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่สุดซึ่งหาคำตอบไม่ได้.”5
9. มีการเชื่อมต่อกันจำนวนมากเท่าใดในสมอง ตามการประเมินของนักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งพูดอย่างไรถึงความสามารถของสมอง?
9 จุดการเชื่อมต่อเหล่านี้มีอยู่มากมหาศาล! เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์อาจมีการเชื่อมต่อกับเซลล์ประสาทอื่น ๆ นับพัน ๆ จุด. ไม่เพียงแต่มีการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทเท่านั้น แต่ยังมีวงจรขนาดจิ๋วเชื่อมเด็นไดรท์ด้วยกันเองด้วย. ประสาทแพทย์ผู้หนึ่งกล่าวว่า “‘วงจรจิ๋ว’ เหล่านี้เพิ่มมิติใหม่ในด้านความเข้าใจของเราเกี่ยวด้วยเรื่องการทำงานของสมองซึ่งทำให้ตกตะลึงอยู่แล้ว.”6 นักค้นคว้าบางคนเชื่อว่า “เซลล์ประสาทนับพัน ๆ ล้านในสมองมนุษย์ทำการเชื่อมต่อกัน อาจมีมากถึงหนึ่งพันล้านล้านจุด.”7 ขีดความสามารถของมันมากแค่ไหน? คาร์ล เซกัน กล่าวว่าสมองสามารถเก็บข้อมูลซึ่ง “จะบรรจุหนังสือยี่สิบล้านเล่ม มากเท่าที่มีในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก.”8
10. (ก) เซริบราล คอร์เท็กซ์ของมนุษย์ต่างจากของสัตว์อย่างไร และของมนุษย์ดีกว่าในด้านใด? (ข) นักค้นคว้าคนหนึ่งพูดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?
10 สมองส่วนเซริบรัล คอร์เท็กซ์ทำให้มนุษย์ต่างไปจากสัตว์ทุกชนิด. ส่วนนี้มีความหนาประมาณครึ่งเซนติเมตร และก่อขึ้นเป็นแบบที่แยกเป็นร่อง ๆ ติดกับกะโหลก. ถ้าเอาคอร์เท็กซ์นี้แผ่เป็นแผ่นจะมีเนื้อที่ประมาณ 2,300 ตารางเซนติเมตร ใยที่เชื่อมต่อจะมีระยะทางประมาณพันกิโลเมตรต่อหนึ่งลูกบาศก์เซนติเมตร. สมองส่วนนี้ของมนุษย์ไม่เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าของสัตว์ทุกชนิดเท่านั้น แต่ก็ยังมีบริเวณที่ใหญ่กว่าซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่ใด ๆ เฉพาะ. นั้นหมายถึงบริเวณที่ไม่ได้ใช้ทำหน้าที่เฉพาะในส่วนการเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่มีไว้สำหรับขบวนความคิดในระดับที่สูงกว่า ซึ่งทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์. นักค้นคว้าคนหนึ่งบอกว่า “เราไม่ใช่ประเภทลิงที่ฉลาดกว่า.” จิตใจของเรา “ทำให้เรามีคุณภาพแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตแบบอื่นทั้งหมด.”9
ความสามารถของเราที่เหนือกว่า
11. สมองมนุษย์ทำให้มนุษย์มีความสามารถปรับตัวได้ในการเรียนรู้อย่างไรซึ่งสัตว์ไม่มี?
11 นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้สมองมนุษย์เด่นก็คือกิจกรรมพิเศษหลายชนิดซึ่งสมองมนุษย์สามารถเรียนรู้ได้.”10 วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ใช้คำว่า “วงจรถาวร” หมายถึงคุณสมบัติที่บรรจุไว้ภายในอาศัยวงจรตายตัว ซึ่งต่างจากโปรแกรมใช้งานที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จะป้อนเข้าไป. อีกคนหนึ่งเขียนว่า “ถ้าเปรียบกับมนุษย์แล้ว วงจรถาวรหมายถึงความสามารถหรือแนวโน้มที่มีมาแต่กำเนิด.”11 ในตัวมนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ตัวความรู้เอง. ตรงข้าม สัตว์มีปัญญาโดยสัญชาตญาณที่เป็นเสมือนวงจรถาวร แต่มันมีความสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในขอบเขตจำกัด.
12. ต่างจากสัตว์ทั้งหลาย สมองมนุษย์ได้รับการวางโปรแกรมล่วงหน้าให้มีความสามารถอะไร และมนุษย์จึงมีอิสระที่จะทำอะไร?
12 หนังสือเอกภพภายใน สังเกตว่าสัตว์ที่ฉลาดที่สุด “ไม่เคยพัฒนาจิตใจแบบมนุษย์เลย. สัตว์ขาดสิ่งที่เรามี เช่น การจัดโปรแกรมล่วงหน้าของอุปกรณ์ระบบประสาทซึ่งทำให้เราสร้างมโนคติจากสิ่งที่เราเห็น ภาษาจากสิ่งที่เราได้ยิน และข้อคิดต่าง ๆ จากประสบการณ์ของเรา.” แต่เราต้องจัดโปรแกรมสมองของเราโดยอาศัยข้อมูลจากสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา มิฉะนั้น “จะไม่มีอะไรที่เหมือนความคิดของมนุษย์พัฒนาขึ้นมา . . . ถ้าไม่มีการป้อนประสบการณ์เข้าไปมากก็จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ปัญญาปรากฏออกมา.”12 ดังนั้น ความสามารถซึ่งได้สร้างไว้ในสมองของมนุษย์ทำให้เราสามารถสร้างเชาวน์ปัญญาแบบมนุษย์ขึ้น. และไม่เหมือนสัตว์ เรามีอิสระที่จะเลือกวิธีจัดโปรแกรมของเราได้โดยอาศัยความรู้ ค่านิยม โอกาสและเป้าหมายของเราเอง.
เฉพาะมนุษย์มีภาษา
13, 14. (ก) ตัวอย่างอะไรของการวางโปรแกรมล่วงหน้าซึ่งทำให้มนุษย์สามารถจะสร้างสมความรู้ใด ๆ ตามใจชอบได้? (ข) เมื่อคำนึงถึงความสามารถนี้ นักภาษาศาสตร์มีชื่อคนหนึ่งกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับสัตว์และภาษา?
13 ตัวอย่างเด่นเรื่องความสามารถแบบ วงจรถาวรซึ่งเราอาจจัดโปรแกรมได้อย่างอิสระนั้นคือภาษา. ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่า “สมองมนุษย์ถูกจัดไว้ทางพันธุกรรมเพื่อการพัฒนาภาษา”13 และการพูด “จะต้องเป็นผลของความสามารถของสมองที่ติดตัวเรามาแต่กำเนิดในการแยกข้อมูลเกี่ยวกับภาษา.”14 ต่างกับข้อจำกัดซึ่งพบได้ในพฤติกรรมตามสัญชาตญาณของสัตว์ มนุษย์มีความเป็นอิสระอย่างมากมายที่จะใช้ความสามารถแบบวงจรถาวรด้านการใช้ภาษา.
14 ไม่มีภาษาใดโดยเฉพาะในวงจรถาวรภายในสมองของเรา แต่เราถูกโปรแกรมไว้ล่วงหน้าด้วยความสามารถที่จะเรียนภาษา. ถ้ามีการใช้สองภาษาในบ้าน เด็กจะเรียนรู้ทั้งสองภาษา. ถ้าเด็กได้ยินภาษาที่สาม เด็กจะเรียนได้เช่นกัน. เด็กหญิงคนหนึ่งมีโอกาสได้ยินหลายภาษาตั้งแต่ยังเป็นทารก. เมื่อเธออายุ 5 ปีเธอพูดได้แปดภาษาอย่างคล่องแคล่ว. เมื่อพิจารณาถึงความสามารถที่มีมาแต่กำเนิดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักภาษาศาสตร์กล่าวว่า การทดลองให้ลิงชิมแปนซีใช้ภาษาใบ้ “เป็นการพิสูจน์ว่าลิงชิมแปนซีไม่มีความสามารถจะเรียนรู้แม้กระทั่งภาษามนุษย์ขั้นต่ำสุด.”15
15. วิทยาศาสตร์ค้นพบอะไรเกี่ยวกับภาษาที่เก่าแก่ที่สุด?
15 ความสามารถที่น่าทึ่งอย่างนี้จะวิวัฒนาการมาจากเสียงคำรามและเสียงหอนของสัตว์ได้หรือ? การศึกษาค้นคว้าภาษาเก่าแก่ที่สุดแสดงว่าเป็นไปไม่ได้. ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งบอกว่า “ไม่มีภาษาด้อยพัฒนา.”16 แอชลีย์ มองตากู นักมานุษยวิทยายอมรับว่า ภาษาที่ว่ากันว่าด้อยพัฒนา “มักจะซับซ้อนมากกว่าและใช้การได้ดีกว่าภาษาของพวกที่ถือกันว่าเจริญแล้ว.”17
16. นักค้นคว้าบางคนกล่าวเกี่ยวกับต้นกำเนิดของภาษาอย่างไร กระนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องลึกลับสำหรับใคร?
16 ประสาทแพทย์ผู้หนึ่งสรุปว่า “ยิ่งเราพยายามตรวจสอบกลไกของภาษามากเท่าใด เรายิ่งพบความลึกลับมากเท่านั้น.”18 นักค้นคว้าอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ ต้นตอของการพูดเป็นประโยคยังคงเป็นเรื่องลึกลับ.”19 และคนที่สามกล่าวว่า “พลังของภาษาพูดซึ่งโน้มน้าวผู้คนและชาติต่าง ๆ อย่างไม่มีอะไรเหมือน ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์อย่างเด่นชัด. กระนั้นที่มาของภาษายังคงเป็นปริศนาที่ใหญ่ยิ่งที่สุดของสมอง.”20 อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่เป็นปริศนาสำหรับคนที่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นผลงานของพระผู้สร้างที่ทรง “สร้างวงจรถาวร” ในบริเวณต่าง ๆ ของสมองสำหรับความสามารถทางภาษา.
สิ่งซึ่งการสร้างเท่านั้นจะอธิบายได้
17. (ก) ข้อเท็จจริงอะไรเกี่ยวกับสมองซึ่งทฤษฎีวิวัฒนาการไม่อาจอธิบายได้? (ข) อะไรน่าจะเป็นเหตุผลที่มนุษย์มีสมอง ซึ่งบรรจุความสามารถไว้มากเช่นนั้น?
17 เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าวว่า สมองมนุษย์ “มีศักยภาพเกินกว่าที่เราใช้กันตลอดชั่วชีวิตของเรา.”21 นอกจากนี้ยังบอกว่าสมองมนุษย์สามารถจะเรียนรู้และจดจำทุกอย่างที่ใส่เข้าไปในเวลานี้และยังจะรับได้อีกพันล้านเท่า! แต่ทำไมวิวัฒนาการทำให้มีมากเกินอย่างนั้น? นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งรับว่า “นี้เป็นตัวอย่างเดียวที่มีอยู่ซึ่งพันธุ์หนึ่งมีอวัยวะที่ตัวเองยังไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร.” แล้วเขาถามว่า “เรื่องนี้จะเข้ากันกับหลักการพื้นฐานของวิวัฒนาการได้อย่างไร นั่นคือ การคัดเลือกโดยธรรมชาติเป็นไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งแต่ละขั้นจะต้องดีขึ้นเพียงเล็กน้อย?” เขาเพิ่มเติมว่า การพัฒนาของสมองมนุษย์ “ยังคงเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้ทางวิวัฒนาการ.”22 เนื่องจากขบวนการทางวิวัฒนาการจะไม่ทำให้เกิดแล้วถ่ายทอดความสามารถที่มีอย่างเหลือเฟือของสมองที่ไม่เคยได้ใช้เลย คงมีเหตุผลมากกว่ามิใช่หรือที่จะลงความเห็นว่ามนุษย์พร้อมด้วยความสามารถที่จะเรียนรู้อย่างไม่จบสิ้นนั้นได้รับการออกแบบเพื่อให้มีชีวิตตลอดไป?
18. นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งสรุปว่าสมองเป็นอย่างไร และอะไรแสดงให้เห็นถึงความสามารถนั้น?
18 คาร์ล เซกัน ทึ่งในสมองของมนุษย์ซึ่งอาจเก็บข้อมูล “หนังสือยี่สิบล้านเล่ม” เขาจึงกล่าวว่า “สมองเป็นห้องมหึมาในเนื้อที่เล็กนิดเดียว.”23 และสิ่งที่เกิดขึ้นในเนื้อที่เล็ก ๆ นี้เกินความเข้าใจของมนุษย์. ตัวอย่างเช่น ลองนึกภาพสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในสมองของนักเปียโนที่บรรเลงเพลงยาก ๆ โดยที่นิ้วทุกนิ้วพลิ้วอยู่บนคีย์ต่าง ๆ. สมองต้องมีประสาทควบคุมที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนั้น เพื่อสั่งให้นิ้วต่าง ๆ ดีดคีย์ที่ถูกต้องตามจังหวะ และหนักเบาเหมาะตามโน้ตเพลงในความจำของเขา! และถ้าเขาดีดผิดสมองจะบอกให้รู้ทันที! ปฏิบัติการที่ซับซ้อนอย่างยิ่งนี้ได้รับการป้อนเข้าไว้ในสมองของเขาโดยการฝึกฝนหลาย ๆ ปี. แต่ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ก็เพราะความสามารถทางด้านดนตรีได้ถูกโปรแกรมไว้แล้วในสมองมนุษย์ตั้งแต่เกิด.
19. อะไรที่อธิบายถึงคุณสมบัติทางปัญญา และความสามารถอันวิเศษอื่น ๆ ที่มีอยู่ในสมองมนุษย์?
19 สมองสัตว์ไม่เคยคิดในสิ่งดังกล่าว ทั้งไม่สามารถจะทำได้ด้วย. ทฤษฎีวิวัฒนาการใด ๆ ก็ไม่อาจให้คำอธิบายได้. เห็นชัดมิใช่หรือว่าคุณลักษณะทางสติปัญญาของมนุษย์สะท้อนคุณลักษณะของผู้ทรงปัญญาองค์ใหญ่ยิ่ง? เรื่องนี้สอดคล้องกับพระธรรมเยเนซิศ 1:27 ที่ว่า “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบฉายาของพระองค์.” สัตว์ต่าง ๆ ไม่ได้ถูกสร้างตามแบบฉายาของพระเจ้า. ดังนั้น พวกสัตว์เดียรัจฉานจึงไม่มีความสามารถอย่างที่มนุษย์มี. ถึงแม้สัตว์ทำสิ่งน่าทึ่งได้หลายอย่างโดยสัญชาตญาณแบบตายตัวตามที่กำหนดไว้แล้ว แต่มันไม่อาจจะเทียบได้กับมนุษย์ซึ่งมีความสามารถจะปรับความคิดและการกระทำ และรับความรู้ใหม่เพิ่มเข้ากับความรู้ที่มีอยู่แล้วได้เรื่อยไป.
20. การที่มนุษย์มีความไม่เห็นแก่ตัวขัดแย้งกับวิวัฒนาการในทางใด?
20 ความสามารถของมนุษย์ในด้านการให้อย่างไม่เห็นแก่ตัวเองเป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งสำหรับวิวัฒนาการ. ดังที่นักวิวัฒนาการคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า “อะไรก็ตามที่วิวัฒนาการมาจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติน่าจะเห็นแก่ตัวทั้งนั้น.” จริงอยู่ มนุษย์จำนวนมากเห็นแก่ตัว. แต่อย่างที่เขายอมรับต่อมาว่า “เป็นไปได้ที่คุณลักษณะเฉพาะอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือความสามารถที่จะมีความไม่เห็นแก่ตัว อย่างแท้จริง.”24 นักวิทยาศาสตร์อีกผู้หนึ่งบอกว่า “ความไม่เห็นแก่ตัวมีอยู่ประจำตัวเราตั้งแต่กำเนิด.”25 เฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่จะปฏิบัติได้ด้วยความสำนึกในความเสียสละซึ่งอาจเกี่ยวข้องอยู่.
หยั่งรู้ค่าในความมหัศจรรย์ของมนุษย์
21. ความสามารถและคุณสมบัติอะไรที่ทำให้มนุษย์ห่างไกลจากสัตว์?
21 ลองคิดดู: มนุษย์คิดแบบนามธรรม ตั้งเป้าหมาย เตรียมแผนการเพื่อบรรลุเป้าหมาย เริ่มสร้างงานแล้วทำจนบรรลุเป้า และมีความพอใจเมื่อบรรลุเป้า. มนุษย์ถูกสร้างให้มีตาหยั่งรู้สิ่งสวยงาม มีหูหยั่งรู้ดนตรี มีดุลยพินิจต่อศิลปะ กระหายที่จะเรียนรู้ มีความอยากรู้ไม่สิ้นสุด คิดประดิษฐ์และสร้างสิ่งต่าง ๆ —เขาชื่นชมและอิ่มใจเมื่อเขาใช้ของประทานเหล่านี้. มนุษย์เผชิญกับปัญหาและยินดีใช้ความคิดและกำลังกายแก้ไขปัญหาเหล่านั้น. มนุษย์มีความสำนึกในจริยธรรมที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด และมีสติรู้สึกผิดชอบที่จะคอยสะกิดใจเมื่อเขาพลั้งพลาด. เขามีความสุขในการให้และรู้สึกยินดีเมื่อเขาแสดงความรักและเป็นที่รักของผู้อื่น. ทั้งหมดนี้เพิ่มความเพลิดเพลินแก่ชีวิตและทำให้ชีวิตของเขามีเป้าหมายและมีความหมาย.
22. ความคิดรำพึงอะไรที่ทำให้มนุษย์รู้สึกตัวว่าด้อย และทำให้เขาพยายามหาความเข้าใจ?
22 มนุษย์อาจไตร่ตรองเรื่องพืชและสัตว์ ความสง่างามของขุนเขาและของทะเลรอบตัวเขา และท้องฟ้ากว้างเกลื่อนกลาดด้วยหมู่ดาวเบื้องบน แล้วเขาสำนึกว่าตัวเองด้อยเหลือประมาณ. เขารู้สำนึกถึงกาลเวลาและความไม่สิ้นสุด เขาแปลกใจว่าเขาเข้ามาอยู่ในโลกนี้อย่างไร และเขาจะไปถึงไหน และพยายามจะเข้าใจสาเหตุเบื้องหลังของสิ่งต่าง ๆ. สัตว์ไม่คิดอย่างนี้. แต่มนุษย์ค้นหาสาเหตุและที่มาของสิ่งต่าง ๆ. ทั้งหมดนี้สืบเนื่องจากมนุษย์ถูกสร้างให้มีสมองที่น่าทึ่งและเขาเป็น “แบบฉายา” ของพระเจ้าผู้ได้ทรงสร้างตัวเขา.
23. ดาวิดยกย่องผู้ใดในเรื่องกำเนิดของท่าน และท่านกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับการก่อตัวในมดลูก?
23 ด้วยความเข้าใจลึกซึ้ง กษัตริย์ดาวิดได้ยกย่องผู้ออกแบบสมอง ผู้ซึ่งท่านถือว่าเป็นต้นเหตุแห่งการกำเนิดที่มหัศจรรย์ของมนุษย์. ดาวิดกล่าวดังนี้ “ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ เพราะข้าพเจ้าถูกสร้างขึ้นอย่างน่าครั่นคร้ามและน่าประหลาด. พระราชกิจของพระองค์เป็นที่น่าประหลาด จิตวิญญาณของข้าพเจ้าทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี. กระดูกของข้าพเจ้ามิได้ถูกซ่อนไว้พ้นพระองค์ เมื่อข้าพเจ้าถูกสร้างขึ้นในที่เร้นลับ. . . . พระเนตรของพระองค์ได้ทรงเห็นแม้กระทั่งเมื่อข้าพเจ้าเริ่มก่อตัวขึ้นในครรภ์ และทุกส่วนแห่งร่างกายได้จดไว้แล้วในสมุดของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 139:14-16, ล.ม.
24. การค้นพบอะไรทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้คำกล่าวของดาวิดน่าทึ่งยิ่งนัก?
24 จริงทีเดียว เราอาจบอกได้ว่าส่วนต่าง ๆ ของมนุษย์ที่จะเกิดมา “ได้จดไว้แล้ว” ในไข่ที่รับการผสมแล้วในมดลูกของมารดา. หัวใจ ปอด ไต ตาและหู แขนและขา และสมองที่มหัศจรรย์—ทั้งหมดนี้รวมทั้งส่วนอื่น ๆ ของร่างกายถูก “จดไว้” ในรหัสพันธุกรรมของไข่ที่ผสมแล้วในมดลูกของมารดา. รหัสนี้จะมีตารางเวลาของมันเองเพื่อที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะเกิดขึ้นมาตามลำดับอย่างถูกต้อง ๆ. ข้อเท็จจริงนี้ได้รับการบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลเกือบสามพันปีก่อนที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เรียนรู้เรื่องรหัสพันธุกรรม!
25. ทั้งหมดนี้นำไปถึงข้อสรุปอะไร?
25 สมองไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์หรอกหรือ? เห็นชัดแล้วมิใช่หรือว่า สิ่งมหัศจรรย์ดังกล่าวต้องเป็นมาโดยการสร้างไม่ใช่โดยวิวัฒนาการ?
[คำโปรยหน้า 168]
สมองจัดการกับข้อมูลนับร้อยล้านที่หลั่งไหลเข้ามาทุกวินาทีได้อย่างไร?
[คำโปรยหน้า 169]
สมองตรวจสอบตัวเองทุกหนึ่งในสิบของวินาทีเพื่อมุ่งเฉพาะสิ่งสำคัญ
[คำโปรยหน้า 169]
สมองของเรายังคงเป็น “เรื่องลึกลับโดยส่วนใหญ่”
[คำโปรยหน้า 173]
“เราไม่ใช่ประเภทลิงที่ฉลาดกว่า.” จิตใจของเรา “ทำให้เรามีคุณภาพแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตแบบอื่นทั้งหมด”
[คำโปรยหน้า 175]
“ที่มาของภาษายังคงเป็นปริศนาที่ใหญ่ยิ่งที่สุดของสมอง”
[คำโปรยหน้า 175]
การพัฒนาของสมองมนุษย์ “ยังคงเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้ทางวิวัฒนาการ”
[คำโปรยหน้า 177]
สมองมนุษย์ที่น่าทึ่งเป็น “แบบฉายา” ของผู้ทรงสร้างมนุษย์
[กรอบ/ภาพหน้า 171]
สมองของมนุษย์—เรื่อง ‘ลึกลับที่ยังไขไม่ได้’?
“สมองของมนุษย์เป็นสิ่งอัศจรรย์และลึกลับที่สุดในเอกภพ”—เฮ็นรี เอ็ฟ. ออสบอร์น นักมานุษยวิทยา.a
“สมองทำให้เกิดความคิดอย่างไร? ข้อนี้เป็นคำถามหลัก และเราก็ยังไม่รู้คำตอบ.”—ชาร์ลส เชอร์ริงตัน นักสรีระวิทยา.b
“แม้จะมีการรวบรวมรายละเอียดของความรู้ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่สมองมนุษย์ทำงานอย่างไรนั้นยังเป็นเรื่องลึกลับอยู่.”—ฟรานซิส คริก นักชีววิทยา.c
“ใครก็ตามที่พูดว่าคอมพิวเตอร์เป็น ‘สมองอิเลคโทรนิค’ แสดงว่ายังไม่เคยเห็นสมอง.”—ดร. เออร์วิง เบงเกลส์ดอร์ฟ.d
“ความจำที่ใช้งานได้ของเราสามารถเก็บข้อมูลได้หลายพันล้าน เท่าของคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ ๆ ในปัจจุบันที่ใช้ในการวิจัย.”—มอร์ตัน ฮันท์ นักเขียนวิทยาศาสตร์.e
“เนื่องจากสมองซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ที่รู้จักกันในเอกภพ เราอาจต้องเปลี่ยนความคิดที่เราเคยยึดไว้อย่างเหนียวแน่น.”—ริชาร์ด เอ็ม. เรสแทค ประสาทแพทย์.f
แอลเฟร็ด อาร์. วอลเลส ‘ผู้ร่วมคิดค้นทฤษฎีวิวัฒนาการ’ เขียนถึงดาร์วินเกี่ยวกับช่องว่างที่กว้างใหญ่ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ว่า “การคัดเลือกโดยธรรมชาติคงจะทำให้คนป่ามีสมองดีกว่าพวกลิงหน่อยเดียว แต่ที่จริงแล้วสมองของคนป่าด้อยกว่าสมองของคนทั่วไปในสังคมของเราที่มีการศึกษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น.” ดาร์วินไม่พอใจกับข้อยอมรับนี้ จึงตอบว่า “ผมหวังว่า คุณคงไม่ได้ทำลายทฤษฎีของเรา.”g
การยืนยันว่าสมองมนุษย์วิวัฒนาการมาจากสมองสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งนั้นก็เท่ากับค้านเหตุผลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ. มีข้อสรุปที่สมเหตุผลกว่าดังนี้ “ผมไม่มีทางเลือกนอกจากจะยอมรับว่าต้องมีผู้ทรงปัญญาสูงสุด ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ออกแบบและพัฒนาความสัมพันธ์อันน่าพิศวงระหว่างสมองกับความคิดนึก . . . ต้องมีผู้บันดาลให้เกิดขึ้น.”—ดร. โรเบิร์ต เจ. ไวท์ ประสาทศัลยแพทย์.h
[แผนภาพหน้า 170]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
สมองเป็นเหมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งใช้มากก็แข็งแรงมาก และถ้าไม่ใช้ก็อ่อนแอลง
เดนไดรท์
นิวรอน
แอคชอน
ซินเนปส์
นิวรอน
แอคซอน
[ภาพหน้า 172]
สมองสามารถเก็บข้อมูลที่ “บรรจุในหนังสือยี่สิบล้านเล่ม”
[ภาพหน้า 174]
สมองของเด็กได้รับการวางโปรแกรมไว้ล่วงหน้าให้เรียนภาษาซับซ้อนได้ แต่ “ลิงชิมแปนซีไม่มีความสามารถจะเรียนรู้แม้กระทั่งภาษามนุษย์ขั้นต่ำสุด”
[ภาพหน้า 176]
มนุษย์มีความสามารถล้ำหน้าไกลกว่าสัตว์ทุกชนิด
[ภาพหน้า 178]
“ทุกส่วนแห่งร่างกายได้จดไว้แล้วในสมุดของพระองค์”