บท 16
ผู้ขี่ม้าสี่คนกำลังควบม้า!
นิมิต 3—วิวรณ์ 6:1-17
เรื่อง: การควบม้าของผู้ขี่ม้าทั้งสี่, เหล่าพยานซึ่งถูกฆ่าที่อยู่ใต้แท่นบูชา, และวันสำคัญแห่งพระพิโรธ
เวลาแห่งการสำเร็จเป็นจริง: ตั้งแต่ปี 1914 ไปจนถึงการทำลายล้างระบบนี้
1. พระยะโฮวาทรงเปิดเผยแก่โยฮันถึงสิ่งที่มีบรรจุไว้ในม้วนหนังสือที่น่าสนใจยิ่งซึ่งพระเยซูทรงคลี่ออกนั้นโดยวิธีใด?
ในสมัยแห่งวิกฤตการณ์นี้ เราจะไม่สนใจอย่างจริงจังใน “สิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นในไม่ช้า” นี้ทีเดียวหรือ? เราสนใจแน่ เพราะเราเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย! ดังนั้น ให้เราติดตามโยฮันไปในตอนนี้ ขณะพระเยซูกำลังจะคลี่ม้วนหนังสือที่น่าสนใจนั้นอยู่แล้ว. เป็นที่น่าสังเกตว่า โยฮันไม่ต้องอ่านม้วนหนังสือนั้น. เพราะเหตุใด? ก็เพราะว่า ข้อความนั้นจะสำแดงแก่ท่าน “ด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ” โดยชุดฉากเหตุการณ์ซึ่งเต็มไปด้วยปฏิบัติการที่มีชีวิตชีวา.—วิวรณ์ 1:1, 10, ล.ม.
2. (ก) โยฮันได้เห็นและได้ยินอะไร และการปรากฏของคะรูบนั้นทำให้นึกถึงสิ่งใด? (ข) คะรูบองค์แรกแถลงคำบัญชาแก่ใคร และเพราะเหตุใดคุณจึงตอบเช่นนั้น?
2 จงฟังสิ่งที่โยฮันกล่าวขณะพระเยซูทรงแกะดวงตราดวงแรกของม้วนหนังสือนั้น: “ข้าพเจ้าเห็นพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงหนึ่งในเจ็ดดวงนั้น แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินสิ่งมีชีวิตองค์หนึ่งในสี่องค์นั้นพูดด้วยเสียงดังดุจฟ้าร้องว่า ‘มาเถิด!’” (วิวรณ์ 6:1, ล.ม.) นี่คือเสียงของคะรูบองค์แรก. รูปลักษณ์คล้ายสิงโตของคะรูบองค์นี้คงบอกให้โยฮันทราบว่า องค์การของพระยะโฮวาจะปฏิบัติด้วยความกล้าหาญในการดำเนินการพิพากษาอันชอบธรรมของพระองค์. และคำสั่งนั้นมีมายังผู้ใด? คงไม่ใช่โยฮัน เนื่องจากโยฮันได้รับเชิญให้มีส่วนในฉากเหตุการณ์เชิงพยากรณ์เหล่านี้อยู่แล้ว. (วิวรณ์ 4:1) “เสียงดังดุจฟ้าร้อง” นั้นกำลังเรียกผู้มีส่วนร่วมคนอื่น ๆ ในฉากแรกของชุดฉากเหตุการณ์อันเร้าใจซึ่งมีสี่ฉากออกมา.
ม้าขาวและผู้ขี่ที่เรืองนาม
3. (ก) ตอนนี้โยฮันพรรณนาถึงอะไร? (ข) สอดคล้องกับการใช้สัญลักษณ์ในคัมภีร์ไบเบิล ม้าขาวนั้นต้องเป็นภาพเล็งถึงอะไร?
3 โยฮัน และพร้อมกับท่านชนจำพวกโยฮันที่กระตือรือร้นอย่างแรงกล้าและเพื่อนร่วมงานในทุกวันนี้ ได้รับสิทธิพิเศษจะเห็นฉากเหตุการณ์ที่ดำเนินอย่างรวดเร็ว! โยฮันบอกว่า “ข้าพเจ้าจึงเห็นม้าขาวตัวหนึ่ง ผู้ที่ทรงม้านั้นมีธนูและได้รับมงกุฎ และพระองค์ทรงออกไปอย่างผู้มีชัยเพื่อทำให้ชัยชนะของพระองค์ครบถ้วน.” (วิวรณ์ 6:2, ล.ม.) ใช่แล้ว ในการตอบรับต่อเสียงดังดุจฟ้าร้องที่ว่า “มาเถิด!” ม้าขาวตัวหนึ่งได้วิ่งออกมา. ในคัมภีร์ไบเบิล ม้ามักเป็นสัญลักษณ์ถึงการสงคราม. (บทเพลงสรรเสริญ 20:7; สุภาษิต 21:31; ยะซายา 31:1) ม้าตัวนี้ คงจะเป็นม้าตัวผู้ที่สง่างาม เปล่งประกายสีขาวซึ่งบ่งชี้ถึงความบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน. (เทียบกับวิวรณ์ 1:14; 4:4; 7:9; 20:11.) ช่างเหมาะสมอะไรเช่นนี้ เนื่องจากม้าขาวแสดงภาพถึงการสงครามที่ถูกต้องและชอบธรรมในสายพระเนตรอันบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา!—ดูวิวรณ์ 19:11, 14 ด้วย.
4. ใครคือผู้ขี่ม้าขาวนั้น? จงอธิบาย.
4 ใครคือผู้ขี่ม้าตัวนี้? ผู้นั้นมีธนู ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้ในสงคราม แต่ผู้นั้นได้รับมงกุฎด้วย. ผู้ชอบธรรมเพียงพวกเดียวซึ่งเห็นว่าสวมมงกุฎในระหว่างวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นก็คือพระเยซูและชนจำพวกที่ผู้ปกครอง 24 คนเป็นภาพเล็งถึง. (ดานิเอล 7:13, 14, 27; ลูกา 1:31-33; วิวรณ์ 4:4, 10; 14:14)a ไม่น่าเป็นไปได้ว่า สมาชิกคนหนึ่งคนใดในผู้ปกครอง 24 คนนั้นจะเป็นผู้ที่รับมงกุฎเนื่องจากคุณความดีของผู้นั้นเอง. ดังนั้น ผู้ที่ขี่ม้าแต่ผู้เดียวนี้จึงต้องเป็นพระเยซูคริสต์ และจะไม่ใช่ใครอื่น. โยฮันเห็นพระองค์ในสวรรค์ในช่วงสำคัญทางประวัติศาสตร์ในปี 1914 เมื่อพระยะโฮวาทรงแถลงว่า “ฝ่ายเราได้ตั้งกษัตริย์ของเรา” และตรัสกับพระเยซูว่า ทั้งนี้ก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่ว่า “เราจะมอบชนต่างประเทศให้เป็นมฤดก . . . ของท่าน.” (บทเพลงสรรเสริญ 2:6-8)b ฉะนั้น ในการแกะดวงตราที่หนึ่ง พระเยซูทรงเผยวิธีที่พระองค์เอง ในฐานะกษัตริย์ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์นั้น เสด็จออกสู่สงครามในเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นั้น.
5. ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญพรรณนาถึงผู้ขี่ม้านั้นในแนวที่สอดคล้องกับวิวรณ์ 6:2 นั้นอย่างไร?
5 ฉากนี้ประสานกับบทเพลงสรรเสริญ 45:4-7 (ล.ม.) เป็นอย่างดีซึ่งกล่าวถึงกษัตริย์ที่พระยะโฮวาทรงแต่งตั้งดังนี้: “และด้วยความรุ่งโรจน์ของพระองค์จงบรรลุความสำเร็จ; จงทรงม้าห้อไปเพื่อเห็นแก่ความจริงและความถ่อมใจและความชอบธรรม และพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์จะทรงสอนพระองค์ถึงการอันน่าเกรงขาม. ลูกธนูของพระองค์แหลมคม—ชนชาติทั้งหลายล้มลงใต้พระองค์—เสียบหัวใจพวกศัตรูของกษัตริย์. พระเจ้าเป็นราชบัลลังก์ของพระองค์ถึงเวลาไม่กำหนด กระทั่งตลอดไปเป็นนิตย์; ธารพระกรแห่งฐานะกษัตริย์ของพระองค์เป็นธารพระกรแห่งความเที่ยงตรง. พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและทรงเกลียดความชั่ว. เหตุฉะนั้นพระเจ้า พระเจ้าของพระองค์ จึงทรงเจิมพระองค์ด้วยน้ำมันแห่งความยินดียิ่งกว่าเหล่าพระสหายของพระองค์.” เนื่องจากโยฮันคุ้นเคยกับคำพรรณนาเชิงพยากรณ์นั้น ท่านคงเข้าใจว่า คำพรรณนานั้นเกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระเยซูในฐานะกษัตริย์.—เทียบกับเฮ็บราย 1:1, 2, 8, 9.
ออกไปอย่างมีชัย
6. (ก) เพราะเหตุใดผู้ขี่ม้านั้นจึงต้องออกไปเพื่อมีชัย? (ข) การขี่ม้าอย่างมีชัยนั้นดำเนินมาตลอดช่วงเวลาไหน?
6 แต่เพราะเหตุใดกษัตริย์ซึ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์องค์นี้จึงต้องทรงม้าออกไปรบ? ทั้งนี้ก็เพราะฐานะกษัตริย์ของพระองค์ได้รับการแต่งตั้งขึ้นท่ามกลางการขัดขวางสุดกำลังจากซาตานพญามาร ศัตรูตัวเอ้ของพระยะโฮวา และจากคนเหล่านั้นบนแผ่นดินโลกที่ทำตามความมุ่งหมายของซาตาน โดยที่รู้หรือไม่รู้ตัว. การกำเนิดของราชอาณาจักรทำให้มีสงครามใหญ่ในสวรรค์. โดยที่พระเยซูทรงสู้รบโดยใช้นามมิคาเอล (ซึ่งแปลว่า “ใครเป็นเหมือนพระเจ้า?”) พระองค์จึงทรงมีชัยเหนือซาตานและผีปิศาจบริวารของมัน แล้วทรงเหวี่ยงพวกมันลงที่แผ่นดินโลก. (วิวรณ์ 12:7-12) การขี่ม้าอย่างมีชัยของพระเยซูยังคงดำเนินเรื่อยมาผ่านทศวรรษต้น ๆ แห่งวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าขณะผู้คนที่มีนิสัยเยี่ยงแกะกำลังถูกรวบรวมเข้ามา. แม้ว่าโลกทั้งสิ้นยัง “ทอดตัวจมอยู่ในมารร้าย” ก็ตาม พระเยซูก็ยังคงบำรุงเลี้ยงพี่น้องผู้ถูกเจิมของพระองค์และเพื่อนร่วมงานของพวกเขาด้วยความรัก ทรงช่วยเหลือพวกเขาให้บรรลุชัยชนะแห่งความเชื่อ.—1 โยฮัน 5:19.
7. พระเยซูทรงมีชัยอย่างไรบนแผ่นดินโลกในช่วงหลายสิบปีแรกแห่งวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอะไรควรเป็นความตั้งใจแน่วแน่ของเรา?
7 พระเยซูทรงได้ชัยชนะอะไรอื่นอีกในระหว่าง 90 กว่าปีที่ผ่านไปในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า? ตลอดทั่วโลก ไม่ว่าเป็นรายบุคคลหรือในฐานะประชาคม ประชาชนของพระยะโฮวาได้ประสบความยากลำบาก, ความกดดัน, และการกดขี่ข่มเหงนานัปการ คล้ายคลึงกับที่อัครสาวกเปาโลได้พรรณนาไว้ในการให้ข้อพิสูจน์เกี่ยวกับงานรับใช้ที่ท่านทำ. (2 โกรินโธ 11:23-28) พยานพระยะโฮวาจำเป็นต้องได้ “กำลังที่มากกว่าปกติ” เพื่อจะอดทนได้ โดยเฉพาะในดินแดนต่าง ๆ ที่มีสงครามและความรุนแรง. (2 โกรินโธ 4:7, ล.ม.) แต่แม้กระทั่งในสภาพการณ์ที่ถูกทดลองอย่างหนักหน่วงที่สุด พยานฯผู้ซื่อสัตย์ก็สามารถกล่าวได้อย่างที่เปาโลกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนอยู่ใกล้ข้าพเจ้าและทรงเติมกำลังแก่ข้าพเจ้า เพื่อการประกาศจะสำเร็จครบถ้วนโดยทางข้าพเจ้า.” (2 ติโมเธียว 4:17, ล.ม.) ใช่แล้ว พระเยซูทรงมีชัยชนะเพื่อประโยชน์ของพวกเขาและพระองค์จะทรงออกไปอย่างมีชัยต่อไปเพื่อประโยชน์ของเรา ตราบใดที่เรามุ่งมั่นจะทำให้ชัยชนะแห่งความเชื่อของเรา ครบถ้วน.—1 โยฮัน 5:4.
8, 9. (ก) ประชาคมแห่งพยานพระยะโฮวาทั่วโลกมีส่วนร่วมในชัยชนะอะไร? (ข) การเจริญเติบโตของพยานพระยะโฮวาเป็นที่เห็นเด่นชัดอย่างแท้จริงในที่ใดบ้าง?
8 ประชาคมแห่งพยานพระยะโฮวาทั่วโลกมีส่วนร่วมในชัยชนะมากมายภายใต้การทรงนำแห่งกษัตริย์ผู้มีชัยของพวกเขา. ที่เห็นเด่นชัดก็คือ พระองค์ทรงปกป้องนักศึกษาพระคัมภีร์เหล่านี้จากการถูกทำลายล้างในปี 1918 เมื่อองค์การทางการเมืองของซาตาน “ชนะ” พวกเขาอยู่ชั่วระยะหนึ่ง. อย่างไรก็ตาม ในปี 1919 พระองค์ทรงทลายซี่กรงคุกเพื่อช่วยพวกเขาออกมา แล้วทรงชุบชีวิตพวกเขาเพื่อจะได้ประกาศข่าวดีไป “จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก.”—วิวรณ์ 13:7; กิจการ 1:8.
9 ในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศเผด็จการฝ่ายอักษะพยายามกวาดล้างพยานพระยะโฮวาในหลายดินแดน ซึ่งพวกผู้นำทางศาสนา โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในนิกายโรมันคาทอลิก ให้การสนับสนุนแก่เหล่าผู้เผด็จการที่กดขี่อย่างเปิดเผยหรืออย่างลับ ๆ. แต่พยานฯ 71,509 คนซึ่งทำการประกาศเมื่อสงครามเริ่มต้นในปี 1939 นั้นได้เพิ่มขึ้นเป็น 141,606 คนเมื่อสิ้นปี 1945 แม้ว่าจำนวนกว่า 10,000 คนต้องอยู่ในเรือนจำและค่ายกักกันเป็นเวลานานหลายปีและอีกหลายพันคนถูกสังหาร. ปัจจุบันจำนวนพยานฯที่มีส่วนในการประกาศเพิ่มขึ้นเป็นหกล้านกว่าคนทั่วโลก. การเพิ่มจำนวนมีมากเป็นพิเศษในดินแดนที่เป็นคาทอลิกและในประเทศที่มีการกดขี่ข่มเหงรุนแรงที่สุด เช่น เยอรมนี, อิตาลี, และญี่ปุ่น ที่ซึ่งปัจจุบันมีรายงานว่าทั้งสามประเทศมีพยานฯซึ่งเป็นผู้ประกาศที่ขยันขันแข็งรวมกันแล้วมากกว่า 600,000 คน.—ยะซายา 54:17; ยิระมะยา 1:17-19.
10. พระมหากษัตริย์ผู้มีชัยได้อวยพรประชาชนของพระองค์โดยชัยชนะอะไรบ้างในการ “ปกป้องและทำให้ข่าวดีได้รับการรับรองตามกฎหมาย”?
10 กษัตริย์ผู้มีชัยของเรายังทรงอวยพรแก่ประชาชนที่กระตือรือร้นอย่างแรงกล้าของพระองค์โดยทรงนำพวกเขาไปสู่ชัยชนะต่าง ๆ มากมายในการ “ปกป้องและทำให้ข่าวดีได้รับการรับรองตามกฎหมาย” ในศาลและต่อหน้าผู้ปกครอง. (ฟิลิปปอย 1:7, ล.ม.; มัดธาย 10:18; 24:9) ซึ่งเป็นเช่นนี้ในระดับนานาชาติ เช่น ในประเทศออสเตรเลีย, อาร์เจนตินา, แคนาดา, กรีซ, อินเดีย, สวาซิแลนด์, สวิตเซอร์แลนด์, ตุรกี, และประเทศอื่น ๆ. ในชัยชนะทางกฎหมาย 50 ครั้งที่พยานพระยะโฮวาได้รับจากศาลสูงสุดในประเทศสหรัฐนั้น ก็มีชัยชนะที่รับรองสิทธิในการประกาศข่าวดี “ในที่สาธารณะและตามบ้านเรือน” และสิทธิที่จะไม่เข้าส่วนในพิธีแสดงความรักชาติซึ่งเป็นการไหว้รูปเคารพอย่างหนึ่ง. (กิจการ 5:42; 20:20; 1 โกรินโธ 10:14) ฉะนั้น หนทางยังคงเปิดอยู่สำหรับการแผ่ขยายการให้คำพยานทั่วโลก.
11. (ก) ผู้ขี่ม้านั้น ‘ทำให้ชัยชนะของตนครบถ้วน’ อย่างไร? (ข) การแกะดวงตราที่สอง, ที่สาม, และที่สี่ควรมีผลกระทบเราอย่างไร?
11 พระเยซูทรง “ทำให้ชัยชนะของพระองค์ครบถ้วน” อย่างไร?c ดังที่เราจะได้เห็น พระองค์ทรงทำโดยกำจัดศาสนาเท็จและครั้นแล้วโยนส่วนที่เหลืออยู่ทุกส่วนแห่งองค์การที่เห็นได้ของซาตานลงไปใน “บึงไฟ” โดยนัยแห่งการทำลายล้าง อันเป็นการพิสูจน์ความถูกต้องแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา. ด้วยความมั่นใจ เราจึงรอคอยวันนั้นเมื่อ “กษัตริย์แห่งกษัตริย์ทั้งหลาย” ของเราจะได้ชัยชนะขั้นสุดท้ายเหนือองค์การทางการเมืองอันกดขี่ของซาตาน ณ สงครามอาร์มาเก็ดดอน! (วิวรณ์ 16:16; 17:14; 19:2, 14-21; ยะเอศเคล 25:17) ในระหว่างนั้น พระองค์ผู้มีชัยที่ไม่มีผู้ใดอาจพิชิตได้ซึ่งทรงม้าขาวนั้นจะยังขี่ม้าต่อไปในขณะที่พระยะโฮวาทรงเพิ่มจำนวนผู้มีหัวใจสัตย์ซื่อแก่ชาติอันชอบธรรมของพระองค์บนแผ่นดินโลกอยู่เรื่อย ๆ. (ยะซายา 26:2; 60:22) คุณกำลังร่วมกับชนจำพวกโยฮันผู้ถูกเจิมในการแผ่ขยายที่น่ายินดีแห่งราชอาณาจักรไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่อัครสาวกโยฮันเห็นเมื่อดวงตราสามดวงถัดไปถูกแกะออกนั้นจะกระตุ้นให้คุณมีส่วนร่วมมากขึ้นในราชกิจของพระยะโฮวาสำหรับสมัยนี้อย่างแน่นอน.
ดูสิ ม้าสีแดงเพลิง!
12. พระเยซูตรัสถึงอะไรซึ่งจะเป็นเครื่องหมายบ่งการประทับของพระองค์ในฐานะกษัตริย์อย่างที่ไม่ประจักษ์แก่ตา?
12 ในช่วงสุดท้ายแห่งงานรับใช้ของพระเยซูบนแผ่นดินโลก พวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า “อะไรจะเป็นหมายสำคัญแห่งการประทับของพระองค์และช่วงอวสานของระบบนี้?” ในการตรัสตอบ พระองค์ทรงบอกล่วงหน้าถึงความหายนะอย่างใหญ่หลวงซึ่งจะเป็น “การเริ่มต้นของความปวดร้าวแห่งความทุกข์.” พระเยซูตรัสว่า “ชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ชาติ และอาณาจักรต่ออาณาจักร; และจะมีแผ่นดินไหวใหญ่ และโรคระบาดและการกันดารอาหารแห่งแล้วแห่งเล่า; และจะมีภาพที่น่ากลัวและหมายสำคัญใหญ่จากฟ้าสวรรค์.” (มัดธาย 24:3, 7, 8, ล.ม.; ลูกา 21:10, 11, ล.ม.) สิ่งที่โยฮันเห็นเมื่อดวงตราที่เหลือของม้วนหนังสือนั้นถูกแกะออกมีความคล้ายคลึงกับคำพยากรณ์นั้นอย่างน่าสังเกต. มองดูสิขณะที่พระเยซูผู้ทรงสง่าราศีทรงแกะดวงตราที่สอง!
13. สิ่งตรงกันข้ามอะไรซึ่งจะมาปรากฏแก่โยฮัน?
13 “เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สอง ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตองค์ที่สองพูดว่า ‘มาเถิด!’” (วิวรณ์ 6:3, ล.ม.) คะรูบองค์ที่สองซึ่งมีหน้าเหมือนวัวตัวผู้นั่นเองที่ออกคำสั่งนี้. ฤทธิ์อำนาจคือคุณลักษณะที่วัวตัวผู้เป็นสัญลักษณ์ถึงในที่นี้ แต่เป็นฤทธิ์อำนาจที่ใช้ด้วยความชอบธรรม. กระนั้น ในทางกลับกัน สิ่งที่โยฮันจะได้เห็นในตอนนี้เป็นการแสดงถึงอำนาจที่น่าเกลียดซึ่งก่อความตาย.
14. ม้าและผู้ที่ขี่ม้าแบบใดที่โยฮันเห็นต่อไป และนิมิตนี้เป็นภาพเล็งถึงอะไร?
14 ถ้าเช่นนั้น มีการตอบรับต่อการเรียกครั้งที่สองที่ให้ “มาเถิด!” นี้อย่างไร? คืออย่างนี้: “ม้าอีกตัวหนึ่งจึงออกมา เป็นม้าสีแดงเพลิง ผู้ที่ขี่ม้านั้นได้รับอนุญาตให้เอาสันติสุขไปจากแผ่นดินโลกเพื่อให้ผู้คนฆ่าฟันกัน และท่านได้รับดาบเล่มใหญ่เล่มหนึ่ง.” (วิวรณ์ 6:4, ล.ม.) เป็นนิมิตที่น่ากลัวจริง ๆ! และไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่นิมิตนี้เป็นภาพแสดงถึง นั่นคือสงคราม! ไม่ใช่สงครามอันชอบธรรมที่กษัตริย์ผู้มีชัยของพระยะโฮวาได้ชัยชนะ แต่เป็นสงครามนานาชาติอันโหดร้ายที่มนุษย์ก่อขึ้น ซึ่งทำให้โลหิตตกและเกิดความปวดร้าวโดยใช่เหตุ. ช่างเหมาะเพียงไรที่ผู้นี้ขี่ม้าสีแดงเพลิง!
15. ทำไมเราจึงไม่ควรต้องการจะมีส่วนด้วยกับการควบม้าของผู้ขี่ม้าตัวที่สอง?
15 แน่นอน โยฮันคงไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับผู้ขี่ม้าคนนี้และการควบม้าอย่างบ้าบิ่นของเขา เนื่องจากมีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับประชาชนของพระเจ้าว่า “เขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป.” (ยะซายา 2:4) แม้ว่าจะยังอยู่ “ในโลก” โยฮันและรวมไปถึงชนจำพวกโยฮันพร้อมด้วยชนฝูงใหญ่ในทุกวันนี้ “ไม่เป็นส่วน” ของระบบที่เปรอะเปื้อนด้วยโลหิตเช่นนี้. อาวุธของเราเป็นฝ่ายวิญญาณและ “มีพลังมากเนื่องจากพระเจ้า” เพื่อประกาศความจริงอย่างกระตือรือร้น ไม่เกี่ยวกับการสู้รบฝ่ายเนื้อหนัง.—โยฮัน 17:11, 14, ล.ม.; 2 โกรินโธ 10:3, 4, ล.ม.
16. ผู้ขี่ม้าสีแดงเพลิง “ได้รับดาบเล่มใหญ่” เมื่อไรและโดยวิธีใด?
16 เคยมีสงครามมาแล้วมากมายก่อนปี 1914 อันเป็นปีที่ผู้ขี่ม้าสีขาวได้รับมงกุฎ. แต่ตอนนี้ผู้ขี่ม้าสีแดงได้รับ “ดาบเล่มใหญ่.” สิ่งนี้หมายถึงอะไร? พร้อมด้วยการระเบิดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามของมนุษย์ยิ่งนองเลือดและก่อความพินาศยิ่งกว่าแต่ก่อน. ในช่วงที่มีการสู้รบกันอย่างนองเลือดในระหว่างปี 1914-1918 นั้น มีการใช้รถถัง, แก๊สพิษ, เครื่องบิน, เรือดำน้ำ, ปืนใหญ่ขนาดมหึมา, และอาวุธอัตโนมัติต่าง ๆ เป็นครั้งแรก หรือไม่ก็มีการใช้ในขอบข่ายที่ครอบคลุมไปไกลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน. ในประมาณ 28 ประเทศ ไม่เฉพาะแต่ทหารอาชีพเท่านั้น แต่ประชากรทั้งประเทศถูกบังคับให้เข้าร่วมในการสงคราม. ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตมีจำนวนมากจนน่ากลัว. ทหารมากกว่าเก้าล้านคนถูกสังหาร ส่วนพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตมีจำนวนมากมาย. แม้สงครามสิ้นสุด สันติภาพแท้บนแผ่นดินโลกก็มิได้กลับมา. กว่า 50 ปีภายหลังสงครามครั้งนั้น คอนราด อะเดเนาเออร์ รัฐบุรุษชาวเยอรมัน แสดงความคิดเห็นว่า “ความมั่นคงและความสงบสุขได้หายไปจากชีวิตของมนุษย์นับแต่ปี 1914 เป็นต้นมา.” จริงทีเดียว ผู้ที่ขี่ม้าสีแดงเพลิงได้รับอนุญาตให้พรากสันติสุขไปจากแผ่นดินโลก!
17. ภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การใช้ “ดาบเล่มใหญ่” นั้นดำเนินต่อไปอย่างไร?
17 ครั้นแล้ว ด้วยความกระหายเลือดถูกกระตุ้น ผู้ขี่ม้าสีแดงกระโจนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง. เครื่องมือสังหารยิ่งเหี้ยมโหดขึ้น และจำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตพุ่งพรวดขึ้นเป็นสี่เท่าของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง. ในปี 1945 ระเบิดปรมาณูสองลูกถูกทิ้งลงเหนือประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละลูกได้ผลาญชีวิตของเหยื่อนับหมื่น ๆ คนในเวลาเพียงชั่วพริบตา. ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ขี่ม้าสีแดงเก็บเกี่ยวชีวิตได้จำนวนมากมายถึงประมาณ 55 ล้านชีวิตด้วยกัน กระนั้น เขาก็ยังไม่หนำใจ. มีรายงานที่เชื่อถือได้บอกว่า มากกว่า 20 ล้านชีวิตได้ล้มตายภายใต้เงื้อม “ดาบเล่มใหญ่” นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง.
18, 19. (ก) แทนที่จะเป็นผลสำเร็จของเทคโนโลยีทางการทหาร การเข่นฆ่าสังหารนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นพยานหลักฐานชี้ถึงสิ่งใด? (ข) มหันตภัยอะไรซึ่งอยู่เบื้องหน้ามนุษยชาติ แต่พระองค์ผู้ประทับบนม้าสีขาวจะทรงทำอะไรเพื่อป้องกันสิ่งนั้น?
18 เราจะเรียกสิ่งนี้ว่า ชัยชนะของเทคโนโลยีทางการทหารกระนั้นไหม? แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งนี้กลับเป็นหลักฐานว่า ม้าสีแดงที่ไร้ความเมตตากำลังควบอยู่. แล้วการควบม้านั้นจะสิ้นสุดลงที่ใด? นักวิทยาศาสตร์บางคนพูดถึงความเป็นไปได้ของสงครามนิวเคลียร์โดยบังเอิญ—อย่าว่าแต่การใช้ระเบิดนิวเคลียร์โดยเจตนาเลย! แต่น่ายินดีที่ผู้ขี่ม้าสีขาวผู้มีชัยมีความคิดอย่างอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้.
19 ตราบใดที่สังคมยังมีความหยิ่งทะนงและความเกลียดชังในเรื่องชาติเป็นพื้นฐาน มนุษยชาติก็ยังต้องเผชิญกับอันตรายเสมือนนั่งอยู่บนลูกระเบิดนิวเคลียร์. ถึงแม้ว่าชาติต่าง ๆ จะขจัดระเบิดนิวเคลียร์จนหมดเนื่องจากความสิ้นท่า แต่พวกเขาก็ยังคงมีความรู้ความชำนาญอยู่. ในอีกไม่นาน พวกเขาก็สามารถผลิตอุปกรณ์นิวเคลียร์ที่สังหารชีวิตผู้คนได้อีก ฉะนั้น สงครามใด ๆ ก็ตามที่ใช้อาวุธธรรมดาก็อาจแผ่ขยายจนเป็นการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติได้ในไม่ช้า. ความหยิ่งทะนงและความเกลียดชังที่แผ่คลุมชาติต่าง ๆ ในทุกวันนี้จะนำมนุษยชาติไปสู่การสังหารกันเองอย่างแน่นอน นอกเสียจากว่า—ใช่ นอกเสียจากว่า ผู้ขี่ม้าขาวจะเข้ามาสกัดกั้นม้าสีเพลิงที่ควบอย่างบ้าคลั่ง. ขอให้เรามั่นใจว่า พระคริสต์มหากษัตริย์จะทรงม้าเพื่อทำให้ชัยชนะของพระองค์เหนือโลกที่ควบคุมโดยซาตานครบถ้วน และเพื่อตั้งสังคมโลกใหม่ซึ่งมีความรักเป็นพื้นฐาน คือความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนบ้าน อันเป็นพลังเพื่อสันติภาพ ซึ่งดีกว่าการใช้กำลังอาวุธนิวเคลียร์ขู่ขวัญซึ่งเชื่อถือไม่ได้ในยุคที่บ้าคลั่งของเรานี้มากนัก.—บทเพลงสรรเสริญ 37:9-11; มาระโก 12:29-31; วิวรณ์ 21:1-5.
ม้าสีดำกระโจนออกมา
20. เรามีหลักประกันอะไรว่า พระองค์ผู้ประทับบนม้าสีขาวนั้นจะทรงจัดการกับสภาพภัยพิบัติใด ๆ ก็ตามที่อาจมีขึ้น?
20 ตอนนี้ พระเยซูทรงแกะดวงตราที่สาม! โยฮัน ท่านสังเกตเห็นอะไร? “เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สาม ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตองค์ที่สามพูดว่า ‘มาเถิด!’” (วิวรณ์ 6:5 ก, ล.ม.) น่ายินดี คะรูบองค์ที่สามนี้ “มีหน้าเหมือนมนุษย์” ซึ่งแสดงถึงคุณลักษณะแห่งความรัก. ความรักที่อาศัยหลักการจะอุดมบริบูรณ์ในโลกใหม่ของพระเจ้า เช่นเดียวกับที่คุณลักษณะนี้แผ่ไปทั่วทุกแห่งในองค์การของพระยะโฮวาอยู่ในทุกวันนี้. (วิวรณ์ 4:7; 1 โยฮัน 4:16) เรามั่นใจได้ว่า ด้วยความรัก ผู้ทรงม้าขาวองค์นั้นซึ่ง “ต้องปกครองเป็นกษัตริย์ จนกว่าพระเจ้าจะปราบศัตรูทั้งสิ้นให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์” จะทรงขจัดสถานการณ์ที่ก่อความหายนะออกไปซึ่งโยฮันได้เห็นในอันดับต่อไป.—1 โกรินโธ 15:25, ล.ม.
21. (ก) ม้าสีดำกับผู้ขี่ม้านั้นเป็นภาพเล็งถึงอะไร? (ข) อะไรพิสูจน์ว่าม้าสีดำยังคงควบอยู่?
21 โยฮันเห็นอะไรขณะที่มีการตอบรับต่อการเรียกครั้งที่สามที่ให้ “มาเถิด!”? “ข้าพเจ้าจึงเห็นม้าสีดำตัวหนึ่ง และผู้ที่ขี่ม้านั้นถือตราชูอยู่.” (วิวรณ์ 6:5 ข, ล.ม.) การขาดแคลนอาหารอย่างสาหัส! นั่นคือข่าวสารอันน่ากลัวของฉากเชิงพยากรณ์ฉากนี้ ซึ่งชี้ล่วงหน้าถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ในช่วงต้นแห่งวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อต้องมีการปันส่วนอาหารด้วยตราชู. ตั้งแต่ปี 1914 การขาดแคลนอาหารเป็นปัญหาที่มีอยู่ทั่วโลกเรื่อยมา. การทำสงครามในทุกวันนี้ทำให้เกิดความอดอยากติดตามมา เนื่องจากทรัพยากรซึ่งปกติแล้วถูกใช้ในการเลี้ยงดูผู้หิวโหยนั้นมักจะถูกนำไปใช้เพื่อจัดหาอาวุธสงครามแทน. คนงานตามไร่นาก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ส่วนทุ่งนาซึ่งเสียหายจากการสู้รบประกอบกับนโยบายที่ให้เผาผลาญทุกสิ่งตัดทอนการผลิตอาหาร. เรื่องนี้เป็นจริงเพียงไรในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อคนนับล้านทนทุกข์ทรมานจากความหิวโหยและเสียชีวิต! ยิ่งกว่านั้น ผู้ขี่ม้าสีดำแห่งความหิวโหยไม่ยอมผ่อนปรนแม้ว่าสงครามนั้นจะยุติลงแล้ว. ในช่วงทศวรรษ 1930 ห้าล้านคนเสียชีวิตในทุพภิกขภัยเพียงคราวเดียวในยูเครน. สงครามโลกครั้งที่สองก็ติดตามมาด้วยการขาดแคลนอาหารและความอดอยากมากขึ้น. ในขณะที่ม้าสีดำตัวนี้ยังคงควบต่อไป องค์การอนามัยโลกกะประมาณว่า การขาดอาหารเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กเสียชีวิตมากกว่าห้าล้านคนในแต่ละปี.
22. (ก) มีเสียงหนึ่งกล่าวว่าอย่างไร แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นอะไร? (ข) ราคาของข้าวสาลีหนึ่งลิตรและข้าวบาร์เลย์สามลิตรชี้เป็นนัยถึงสิ่งใด?
22 โยฮันยังมีสิ่งที่จะบอกเราอีก: “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงที่ราวกับว่าดังมาจากท่ามกลางสิ่งมีชีวิตสี่องค์นั้นกล่าวว่า ‘ข้าวสาลีลิตรละหนึ่งเดนาริอน ข้าวบาร์เลย์สามลิตรหนึ่งเดนาริอน และอย่าทำให้น้ำมันมะกอกกับเหล้าองุ่นเสียไป.’” (วิวรณ์ 6:6, ล.ม.) คะรูบทั้งสี่ร่วมกันแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นจะต้องเฝ้าดูเสบียงอาหารให้ดี—เหมือนกับที่ประชาชนต้อง “ชั่งขนมปังรับประทาน ทั้งรับประทานด้วยความหวาดกลัว” ก่อนหน้าความพินาศของกรุงเยรูซาเลมในปี 607 ก่อนสากลศักราช. (ยะเอศเคล 4:16, ฉบับแปลใหม่) ในสมัยโยฮัน มีการคำนวณให้ข้าวสาลีหนึ่งลิตรเป็นเสบียงให้ทหารหนึ่งคนสำหรับหนึ่งวัน. อาหารส่วนนั้นจะมีราคาเท่าไร? หนึ่งเดนาริอน—ค่าจ้างสำหรับหนึ่งวันเต็ม! (มัดธาย 20:2)d แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าผู้ชายคนนั้นมีครอบครัว? เขาก็จะซื้อข้าวบาร์เลย์ที่ยังไม่สีได้สามลิตรแทน. แต่ข้าวจำนวนนั้นก็เลี้ยงครอบครัวเล็ก ๆ ได้เท่านั้น. และข้าวบาร์เลย์ก็ไม่ถือว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าเท่ากับข้าวสาลี.
23. คำแถลงที่ว่า “อย่าทำให้น้ำมันมะกอกกับเหล้าองุ่นเสียไป” นั้นชี้เป็นนัยถึงอะไร?
23 มีอะไรแฝงอยู่ในข้อความที่ว่า “อย่าทำให้น้ำมันมะกอกกับเหล้าองุ่นเสียไป”? บางคนเคยคิดว่าข้อความนี้หมายความว่า ในขณะที่ผู้คนเป็นจำนวนมากจะขาดแคลนอาหารและแม้กระทั่งอดอยาก สิ่งฟุ่มเฟือยของคนมั่งมีจะไม่ได้รับความเสียหาย. แต่ในตะวันออกกลาง น้ำมันและเหล้าองุ่นไม่ใช่ของฟุ่มเฟือยจริง ๆ. ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ขนมปัง, น้ำมัน, และเหล้าองุ่นถือว่าเป็นอาหารหลักประจำวัน. (เทียบกับเยเนซิศ 14:18; บทเพลงสรรเสริญ 104:14, 15.) น้ำก็ไม่เหมาะจะดื่มเสมอไป ดังนั้น จึงใช้เหล้าองุ่นเป็นเครื่องดื่มกันอย่างแพร่หลายและบางครั้งก็ใช้ในทางแพทย์. (1 ติโมเธียว 5:23) ส่วนเรื่องน้ำมัน หญิงม่ายแห่งเมืองซาเร็บตาในสมัยของเอลียาซึ่งแม้ว่ายากจน ก็ยังมีน้ำมันเหลือไว้ทำอาหารกับแป้งที่เธอมีเหลืออยู่. (1 กษัตริย์ 17:12) ฉะนั้น คำสั่งที่ว่า “อย่าทำให้น้ำมันมะกอกกับเหล้าองุ่นเสียไป” จึงดูเหมือนเป็นคำแนะนำไม่ให้ใช้อาหารหลักเหล่านั้นหมดเร็วเกินไป แต่ให้ใช้อย่างประหยัด. มิฉะนั้น อาหารเหล่านี้จะ “เสียไป” กล่าวคือ อาหารเหล่านี้จะหมดไปก่อนที่การขาดแคลนอาหารจะสิ้นสุดลง.
24. ทำไมม้าสีดำจึงจะควบต่อไปอีกไม่นานนัก?
24 เรารู้สึกยินดีจริง ๆ ที่ในไม่ช้าผู้ขี่ม้าขาวจะเข้าสกัดกั้นม้าสีดำที่กำลังควบอยู่! ด้วยว่ามีคำเขียนเกี่ยวกับการจัดเตรียมของพระองค์ด้วยความรักสำหรับโลกใหม่ไว้ว่า “ในสมัยของพระองค์นั้นผู้ชอบธรรมจะเจริญขึ้น และความสงบสุขจะมีบริบูรณ์จนดวงจันทร์จะดับศูนย์. . . . จะมีธัญญาหารบริบูรณ์บนพื้นแผ่นดินบนยอดภูเขา.”—บทเพลงสรรเสริญ 72:7, 16; ดูยะซายา 25:6-8 ด้วย.
ม้าสีซีดและผู้ขี่
25. เมื่อพระเยซูทรงแกะดวงตราที่สี่ โยฮันได้ยินเสียงของผู้ใด และสิ่งนี้ชี้ถึงสิ่งใด?
25 เรื่องยังไม่จบ. พระเยซูทรงแกะดวงตราที่สี่ และโยฮันบอกให้เราทราบถึงผลที่เกิดขึ้นว่า “เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สี่ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตองค์ที่สี่พูดว่า ‘มาเถิด!’” (วิวรณ์ 6:7, ล.ม.) นี่คือเสียงของคะรูบที่คล้ายนกอินทรีที่กำลังบินอยู่ ซึ่งแสดงถึงสติปัญญาที่มองเห็นการณ์ไกล และโดยแท้แล้วโยฮัน, ชนจำพวกโยฮัน, และเหล่าผู้รับใช้ของพระเจ้าคนอื่น ๆ ทั้งหมดทางแผ่นดินโลกนี้จำต้องสังเกตและปฏิบัติด้วยความหยั่งเห็นเข้าใจเมื่อคำนึงถึงสิ่งที่มีพรรณนาไว้ในที่นี้. เมื่อทำเช่นนี้ เราก็จะได้รับการป้องกันอยู่บ้างจากภัยพิบัติซึ่งทำให้คนมีปัญญาของโลกแห่งชั่วอายุคนในปัจจุบันที่หยิ่งทะนงและไร้ศีลธรรมต้องทนทุกข์ทรมาน.—1 โกรินโธ 1:20, 21.
26. (ก) ใครเป็นผู้ขี่ม้าตัวที่สี่ และทำไมสีม้าของเขาจึงเหมาะสม? (ข) ใครที่ติดตามผู้ขี่ม้าตัวที่สี่มา และเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของเขา?
26 ครั้นแล้วมีสิ่งน่าหวาดกลัวใหม่อะไรถูกปล่อยออกมาในขณะที่ผู้ขี่ม้าคนที่สี่ตอบรับการเรียกนั้น? โยฮันบอกเราว่า “ข้าพเจ้าจึงเห็นม้าสีซีดตัวหนึ่ง ผู้ที่ขี่ม้านั้นชื่อความตาย และหลุมศพก็ตามมาติด ๆ.” (วิวรณ์ 6:8 ก, ล.ม.) ผู้ขี่ม้าตัวสุดท้ายนี้มีชื่อว่า ความตาย. เขาเป็นคนเดียวในจำนวนผู้ขี่ม้าสี่คนในพระธรรมวิวรณ์ที่เปิดเผยเอกลักษณ์ของตนเองอย่างตรงไปตรงมา. ช่างเหมาะเจาะที่ความตายขี่ม้าสีซีด เนื่องจากคำว่าซีด (ภาษากรีก คลอรอส) มีการใช้ในวรรณคดีภาษากรีกเพื่อพรรณนาถึงสีหน้าที่ซีดเซียวราวกับเป็นโรค. และก็ช่างเหมาะเจาะอีกเช่นกันที่หลุมศพตามความตายมาติด ๆ ด้วยวิธีที่ไม่ได้อธิบายไว้ เนื่องจากหลุมศพได้รับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากการทำลายล้างของผู้ขี่ม้าคนที่สี่เป็นจำนวนมากมายเอาไว้. น่ายินดี จะมีการปลุกให้กลับเป็นขึ้นจากตายสำหรับคนเหล่านี้ เมื่อ ‘ความตายและหลุมศพยอมปล่อยคนตายที่อยู่ในนั้น.’ (วิวรณ์ 20:13, ล.ม.) แต่ความตายจับเหยื่อเหล่านั้นอย่างไร?
27. (ก) ผู้ขี่ม้าซึ่งมีชื่อว่าความตายนั้นครอบงำเหยื่อของเขาอย่างไร? (ข) “แผ่นดินโลกหนึ่งในสี่ส่วน” ซึ่งความตายมีอำนาจครอบงำนั้นหมายถึงอะไร?
27 ในนิมิตได้ยกวิธีการบางอย่างขึ้นมากล่าวว่า “ทั้งสองได้รับอำนาจเหนือแผ่นดินโลกหนึ่งในสี่ส่วนเพื่อจะฆ่าด้วยดาบยาว ด้วยการขาดแคลนอาหาร ด้วยโรคร้ายที่ทำให้ถึงตาย และด้วยสัตว์ร้ายบนแผ่นดินโลก.” (วิวรณ์ 6:8ข, ล.ม.) ไม่จำเป็นต้องเป็นหนึ่งในสี่ของประชากรโลกตามตัวอักษร แต่ส่วนใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะมีประชากรอยู่หนาแน่นหรือเบาบาง จะได้รับความกระทบกระเทือนจากการขี่ม้านี้. ผู้ขี่ม้าคนนี้รวบรวมเหยื่อจากดาบเล่มใหญ่ของผู้ขี่ม้าคนที่สอง และเหยื่อจากความอดอยากและการขาดแคลนอาหารจากผู้ขี่ม้าคนที่สาม. เขายังรวบรวมผลของตนเองด้วย คือจากโรคร้ายที่ทำให้ถึงตายและจากแผ่นดินไหว ตามที่มีพรรณนาไว้ที่พระธรรมลูกา 21:10, 11.
28. (ก) ความสำเร็จเป็นจริงแห่งคำพยากรณ์เกี่ยวกับโรคร้ายที่ทำให้ถึงตายนั้นมีขึ้นอย่างไร? (ข) ในสมัยปัจจุบันประชาชนของพระยะโฮวาได้รับการปกป้องให้พ้นจากโรคภัยหลายชนิดอย่างไร?
28 ที่มีความสำคัญในสมัยปัจจุบันก็คือ “โรคร้ายที่ทำให้ถึงตาย.” หลังจากการทำลายล้างผลาญของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ไข้หวัดใหญ่สเปนได้คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 20 ล้านคนในเวลาเพียงไม่กี่เดือนของปี 1918-1919. ดินแดนเดียวบนแผ่นดินโลกที่รอดพ้นจากพิบัติภัยครั้งนี้ก็คือ เกาะเล็ก ๆ ชื่อเซนต์เฮเลนา. ในที่ซึ่งประชากรตายเป็นเบือ มีการจุดฟืนเพื่อเผาศพเป็นกอง ๆ. และในทุกวันนี้มีอัตราการเกิดของโรคหัวใจและโรคมะเร็งจนน่าตกใจ ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุจากมลพิษจากยาสูบ. ในทศวรรษ 1980 ซึ่งถูกเรียกว่า “ทศวรรษที่น่ารังเกียจ” นั้น วิถีชีวิตที่ละเลยมาตรฐานในคัมภีร์ไบเบิลได้เพิ่มภัยพิบัติจากโรคเอดส์เข้ากับ “โรคร้ายที่ทำให้ถึงตาย” ด้วย. ในปี 2000 มีรายงานว่าแพทย์ใหญ่ที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดีสหรัฐพูดถึงโรคเอดส์ว่า “อาจเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยรู้จัก.” เขาบอกว่าทั่วโลกมี 52 ล้านคนติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์แล้ว และในจำนวนนี้เสียชีวิตไปแล้ว 20 ล้านคน. ประชาชนของพระยะโฮวารู้สึกขอบพระคุณจริง ๆ ที่คำแนะนำอันสุขุมจากพระคำของพระองค์รักษาพวกเขาให้พ้นจากการผิดประเวณีและการนำเลือดไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งในทุกวันนี้หลายต่อหลายโรคได้แพร่เชื้อโดยผ่านทางกิจปฏิบัติเหล่านี้เอง!—กิจการ 15:28, 29; เทียบกับ 1 โกรินโธ 6:9-11.
29, 30. (ก) “มหันตโทษอันใหญ่ทั้งสี่ประการ” ในยะเอศเคล 14:21 นั้นมีความหมายอย่างไรในทุกวันนี้? (ข) เราอาจเข้าใจอย่างไรถึง “สัตว์ร้าย” ในวิวรณ์ 6:8 นั้น? (ค) สิ่งใดที่ปรากฏว่าเป็นจุดสำคัญแห่งภาพพยากรณ์นั้น?
29 นิมิตของโยฮันกล่าวถึงสัตว์ร้ายต่าง ๆ ว่าเป็นสาเหตุที่สี่ของการตายก่อนวัยอันควร. ที่จริง สี่สิ่งที่มีการกล่าวถึงโดยเฉพาะในตอนแกะดวงตราที่สี่ ซึ่งก็คือ สงคราม, ความอดอยาก, โรคภัย, และสัตว์ร้ายต่าง ๆ นั้น ในสมัยโบราณถือว่าเป็นสาเหตุสำคัญของการตายก่อนวัยอันควร. ดังนั้น สี่สิ่งนี้จึงเป็นภาพล่วงหน้าถึงสาเหตุทุกอย่างของการตายก่อนวัยอันควรในทุกวันนี้ด้วย. เป็นดังที่พระยะโฮวาทรงเตือนพวกอิสราเอลว่า “ก็ยิ่งกว่าอีกเท่าไรเมื่อเราใช้มหันตโทษอันใหญ่ทั้งสี่ประการของเขา [“ของเรา,” ฉบับแปลใหม่] คือกระบี่, และกันดารอาหาร, และสัตว์ร้าย, และโรคห่าเหนือเมืองยะรูซาเลม เพื่อจะตัดคนและฝูงสัตว์แต่เมืองนั้น.”—ยะเอศเคล 14:21.
30 ความตายเนื่องจากสัตว์ร้ายไม่ค่อยจะเป็นเรื่องพาดหัวข่าวกันในสมัยนี้ แม้ว่าในประเทศทางแถบร้อนสัตว์ร้ายจะล่าเหยื่อเรื่อยมา. ในอนาคต สัตว์ร้ายเหล่านี้อาจล่าเหยื่อมากขึ้นหากดินแดนต่าง ๆ รกร้างว่างเปล่าลงเนื่องจากการสงครามหรือผู้คนผอมโซเพราะอดอยากจนไม่อาจจะขับไล่สัตว์ที่หิวโหยออกไปได้. นอกจากนี้ มีผู้คนมากมายในปัจจุบันซึ่งเป็นดุจสัตว์ที่ไม่รู้จักเหตุผล แสดงอุปนิสัยเยี่ยงสัตว์ ซึ่งตรงข้ามกับอุปนิสัยที่มีพรรณนาไว้ในพระธรรมยะซายา 11:6-9 เลยทีเดียว. ส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนเหล่านี้เป็นต้นเหตุของอาชญากรรมเกี่ยวกับเพศ, ฆาตกรรม, การก่อการร้าย, และการวางระเบิดที่แผ่ไปทั่วโลกปัจจุบัน. (เทียบกับยะเอศเคล 21:31; โรม 1:28-31; 2 เปโตร 2:12.) ผู้ขี่ม้าคนที่สี่ก็รวบรวมเหยื่อของผู้คนเหล่านี้ ด้วย. แท้จริง จุดใหญ่ใจความของภาพพยากรณ์นี้ก็คือผู้ขี่ม้าสีซีดรวบรวมการตายก่อนวัยอันควรของมนุษยชาติในหลายวิธีด้วยกัน.
31. แม้ว่าจะมีความหายนะอันเนื่องมาจากผู้ขี่ม้าสีแดง, สีดำ และสีซีดเหล่านั้นก็ตาม เพราะอะไรเราจึงอาจมีกำลังใจขึ้น?
31 ข่าวสารที่เปิดเผยโดยการแกะดวงตราสี่ดวงแรกนั้นทำให้เรามั่นใจยิ่งขึ้น เนื่องจากข่าวสารนั้นสอนเราไม่ให้หมดหวังเมื่อเผชิญกับการสงคราม, ความหิวโหย, โรคภัย, และสาเหตุอื่น ๆ ของการตายก่อนวัยอันควรซึ่งมีแพร่หลายมากในทุกวันนี้ ทั้งไม่ต้องรู้สึกสิ้นหวังเนื่องจากผู้นำที่เป็นมนุษย์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในเวลานี้. หากสภาพการณ์ของโลกแสดงให้เห็นเด่นชัดว่า ผู้ขี่ม้าสีแดง, สีดำ, และสีซีดกำลังครอบคลุมไปไกล ก็อย่าลืมว่า ผู้ขี่ม้าสีขาวเป็นผู้ที่เริ่มขี่ก่อน. พระเยซูทรงเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว และพระองค์ได้ชัยชนะถึงขั้นได้เหวี่ยงซาตานออกจากสวรรค์แล้ว. จากนี้ชัยชนะของพระองค์รวมไปถึงการรวบรวมชนที่เหลือแห่งบุตรของอิสราเอลฝ่ายวิญญาณและชนฝูงใหญ่จากนานาชาติซึ่งมีจำนวนนับล้าน เพื่อให้รอดผ่านความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่. (วิวรณ์ 7:4, 9, 14) พระองค์จะต้องทรงม้าต่อไปจนกว่าชัยชนะของพระองค์จะครบถ้วน.
32. อะไรคือลักษณะพิเศษของการแกะดวงตราสี่ดวงแรกแต่ละดวง?
32 การแกะดวงตราแต่ละดวงในสี่ดวงแรกนั้นติดตามด้วยเสียงเรียก “มาเถิด!” แต่ละครั้ง ม้าและผู้ขี่ม้านั้นได้กระโจนออกมา. เริ่มจากดวงตราที่ห้า เราไม่ได้ยินการเรียกเช่นนั้นอีก. แต่ผู้ขี่ม้าเหล่านั้นยังคงขี่อยู่ และจะยังคงควบต่อไปจนถึงอวสานของระบบนี้. (เทียบกับมัดธาย 28:20.) พระเยซูทรงเปิดเผยถึงเหตุการณ์สำคัญอื่น ๆ อะไรอีกขณะที่พระองค์ทรงแกะดวงตราที่เหลืออยู่สามดวงนั้น? เหตุการณ์บางอย่างก็ไม่ปรากฏแก่ตาของมนุษย์. ส่วนเหตุการณ์อื่น ๆ แม้จะปรากฏให้เห็น แต่ก็ยังอยู่ในอนาคต. ถึงกระนั้น เหตุการณ์เหล่านั้นจะต้องสำเร็จเป็นจริงอย่างแน่นอน. ขอให้เราติดตามดูว่าเหตุการณ์เหล่านี้มีอะไรบ้าง.
[เชิงอรรถ]
a อย่างไรก็ตาม โปรดสังเกตว่า “ผู้หญิง” ในวิวรณ์ 12:1 (ล.ม.) นั้น “สวมมงกุฎที่ประกอบด้วยดาวสิบสองดวง” อันมีความหมายเป็นนัย.
b สำหรับข้อพิสูจน์อย่างละเอียดที่ว่าพระเยซูเสด็จขึ้นครองราชย์ในราชอาณาจักรของพระองค์ในปี 1914 นั้น โปรดดูหนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ? หน้า 215-218 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
c ในขณะที่ฉบับแปลหลายฉบับให้ความหมายของวลีนี้ว่า “เพื่อมีชัย” (รีไวสด์ สแตนดาร์ด, เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล, คิง เจมส์ เวอร์ชัน) หรือ “มุ่งมั่นเพื่อชัยชนะ” (ฟิลลิปส์, นิว อินเตอร์แนชันแนล เวอร์ชัน) รูปกริยาที่ใช้ในต้นฉบับภาษากรีกนั้นบอกถึงความครบถ้วนสมบูรณ์หรือขั้นสุดท้าย. ดังนั้น หนังสือภาพพจน์ในพระคริสตธรรมใหม่ ของโรเบิร์ตสัน อธิบายว่า “กาลที่ใช้ในที่นี้ชี้ถึงชัยชนะในขั้นสุดท้าย.”
d เหรียญเงินของชาวโรมันซึ่งหนัก 3.85 กรัม.
[กรอบหน้า 92]
กษัตริย์ทรงม้าออกไปมีชัย
ในช่วงทศวรรษ 1930 และ 1940 เหล่าศัตรูที่ตั้งใจแน่วแน่พยายามทำให้ดูเหมือนว่า งานประกาศของพยานพระยะโฮวาเป็นการผิดกฎหมาย, เป็นอาชญากรรม, และแม้กระทั่งเป็นการบ่อนทำลาย. (บทเพลงสรรเสริญ 94:20) ในปี 1936 ปีเดียวในสหรัฐมีการจับพยานฯ 1,149 ราย. พวกพยานฯสู้คดีหลายคดีจนถึงศาลสูงสุดแห่งสหรัฐ และต่อไปนี้คือชัยชนะที่โดดเด่นบางคดีของพวกเขา.
วันที่ 3 พฤษภาคม 1943 ศาลสูงสุดได้ตัดสินคดีระหว่างเมอร์ด็อก กับเพนซิลเวเนีย ว่า พยานฯไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตเพื่อจำหน่ายสรรพหนังสือ. ในวันเดียวกัน การตัดสินคดีระหว่างมาร์ติน กับนครสตรัทเทอร์ ว่า การกดกระดิ่งประตูบ้านขณะที่เข้าส่วนในการแจกจ่ายใบปลิวและสื่อโฆษณาอื่น ๆ ตามบ้านนั้นไม่เป็นการผิดกฎหมาย.
วันที่ 14 มิถุนายน 1943 ศาลสูงสุดได้ตัดสินคดีระหว่างเทย์เลอร์ กับมิสซิสซิปปี ว่า พวกพยานฯไม่ได้ปลุกปั่นให้มีการไม่ภักดีต่อรัฐบาลโดยการประกาศของพวกเขา. ในวันเดียวกัน ในคดีระหว่างศึกษาธิการรัฐเวสต์ เวอร์จิเนียกับบาร์เนตต์ ศาลตัดสินว่า คณะกรรมการโรงเรียนไม่มีสิทธิในการไล่เด็ก ๆ พยานพระยะโฮวาออกจากโรงเรียนเนื่องจากพวกเขาไม่ยอมกราบไหว้ธง. วันต่อมา ศาลสูงแห่งออสเตรเลียได้ยกเลิกคำสั่งห้ามของประเทศนั้นที่มีต่อพยานพระยะโฮวา และประกาศว่าคำสั่งห้ามนั้นเป็น “เรื่องไร้เหตุผล, ทำตามอารมณ์, และเป็นการกดขี่.”
[กรอบหน้า 94]
“ได้รับอนุญาตให้นำสันติสุขไปจากแผ่นดินโลก”
เทคโนโลยีกำลังนำไปสู่อะไร? วารสารเดอะ โกลบ แอนด์ เมล์ แห่ง โทรอนโต ประเทศแคนาดา ฉบับ 22 มกราคม 1987 รายงานถึงคำกล่าวของ อีวาน แอล. เฮด ประธานศูนย์วิจัยการพัฒนานานาชาติ ดังต่อไปนี้:
“มีการประมาณการที่น่าเชื่อถือได้ที่ว่า ทุกหนึ่งในสี่ของนักวิทยาศาสตร์และนักเทคโนโลยีในโลกที่มีส่วนร่วมในการค้นคว้าและพัฒนานั้นกำลังทำงานเกี่ยวกับอาวุธ. . . . อัตราเฉลี่ยในปี 1986 มีค่าใช้จ่ายในการนี้มากกว่า 37.5 ล้านบาททุกหนึ่งนาที. . . . เราทุกคนปลอดภัยมากขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีที่เน้นหนักในด้านนี้ไหม? คลังแสงนิวเคลียร์ของประเทศอภิมหาอำนาจทั้งหลายมีอำนาจระเบิดมากกว่ายุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่ทหารใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองถึง 6,000 เท่า. เท่ากับทำสงครามโลกครั้งที่สองหกพันครั้ง. นับตั้งแต่ปี 1945 มีวันที่โลกปลอดจากปฏิบัติการทางทหารน้อยกว่าเจ็ดสัปดาห์ มีการสู้รบระหว่างชาติหรือภายในชาติมากกว่า 150 ราย ซึ่งประมาณกันว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ล้านคน ส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ อันทรงประสิทธิภาพที่ปรากฏขึ้นในศักราชนี้ของสหประชาชาติ.”
จนถึงปี 2005 ปฏิบัติการทางทหารได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 20 ล้านคน.
[กรอบหน้า 98, 99]
เค้าโครงของพระธรรมวิวรณ์
เมื่อก้าวหน้าถึงขั้นนี้ในการพิจารณาพระธรรมวิวรณ์ เราเริ่มมองเห็นชัดขึ้นถึงเค้าโครงของพระธรรมนี้. หลังจากอารัมภบทที่เร้าใจแล้ว (วิวรณ์ 1:1-9) พระธรรมวิวรณ์อาจแบ่งออกได้เป็น 16 นิมิตดังต่อไปนี้:
นิมิตที่ 1 (1:10–3:22): โดยการดลใจ โยฮันเห็นพระเยซูผู้ได้รับสง่าราศี ผู้ทรงส่งคำแนะนำที่อบอุ่นไปยังประชาคมทั้งเจ็ด.
นิมิตที่ 2 (4:1–5:14): ภาพราชบัลลังก์อันรุ่งเรืองของพระยะโฮวาพระเจ้าในสวรรค์. พระเจ้าประทานม้วนหนังสือม้วนหนึ่งแก่พระเมษโปดก.
นิมิตที่ 3 (6:1-17): การแกะดวงตราหกดวงแรกของม้วนหนังสือ พระเมษโปดกทรงเปิดเผยเป็นขั้น ๆ ถึงนิมิตชุดหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า. ผู้ขี่ม้าทั้งสี่แห่งอะพอคาลิปส์ควบม้าออกไป, เหล่าผู้ทาสของพระเจ้าซึ่งถูกฆ่าได้รับเสื้อยาวสีขาว, และมีการพรรณนาถึงวันสำคัญแห่งพระพิโรธ.
นิมิตที่ 4 (7:1-17): เหล่าทูตสวรรค์รั้งลมแห่งการทำลายล้างไว้จนกระทั่งชนอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ 144,000 คนถูกประทับตรา. ชนฝูงใหญ่ซึ่งออกมาจากทุกชาติถือว่าความรอดนั้นสืบเนื่องจากพระเจ้าและพระคริสต์และพวกเขาถูกรวบรวมไว้เพื่อการรอดผ่านความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่.
นิมิตที่ 5 (8:1–9:21): ณ การแกะดวงตราที่เจ็ด มีการเป่าแตรเจ็ดคัน การเป่าแตรหกคันแรกประกอบขึ้นเป็นนิมิตที่ห้า. การเป่าแตรทั้งหกนี้ประกาศการพิพากษาของพระยะโฮวาต่อมนุษยชาติ. การเป่าแตรที่ห้าและหกยังบอกให้ทราบถึงวิบัติที่หนึ่งและที่สองด้วย.
นิมิตที่ 6 (10:1–11:19): ทูตสวรรค์มีฤทธิ์มากองค์หนึ่งให้ม้วนหนังสือเล็ก ๆ แก่โยฮัน, มีการวัดพระวิหาร, และเราเรียนถึงประสบการณ์ของพยานสองคน. นิมิตนี้บรรลุจุดสุดยอดด้วยการเป่าแตรคันที่เจ็ด ซึ่งประกาศถึงวิบัติที่สามต่อพวกศัตรูของพระเจ้า คือการมาของราชอาณาจักรแห่งพระยะโฮวาและพระคริสต์ของพระองค์.
นิมิตที่ 7 (12:1-17): นิมิตนี้พรรณนาถึงการกำเนิดแห่งราชอาณาจักรซึ่งยังผลด้วยการที่มิคาเอลเหวี่ยงพญานาค คือ ซาตาน ลงมายังแผ่นดินโลก.
นิมิตที่ 8 (13:1-18): สัตว์ร้ายซึ่งมีฤทธิ์มากมาจากทะเล และสัตว์ร้ายที่มีสองเขาเหมือนลูกแกะสนับสนุนมนุษยชาติให้นมัสการสัตว์ร้ายนั้น.
นิมิตที่ 9 (14:1-20): ภาพล่วงหน้าอันรุ่งโรจน์งดงามของชน 144,000 บนภูเขาซีโอน. ข่าวสารจากทูตสวรรค์ได้ยินไปทั่วโลก, เถาองุ่นแห่งแผ่นดินโลกถูกเกี่ยว, และมีการเหยียบเครื่องหีบน้ำองุ่นแห่งพระพิโรธของพระเจ้า.
นิมิตที่ 10 (15:1–16:21): การมองเห็นศาลในสวรรค์อีกแวบหนึ่ง ติดตามด้วยการเทขันทั้งเจ็ดแห่งพระพิโรธของพระยะโฮวาลงบนแผ่นดินโลก. ส่วนนี้ก็เช่นกัน จบลงด้วยคำพยากรณ์ที่พรรณนาถึงอวสานแห่งระบบของซาตาน.
นิมิตที่ 11 (17:1-18): หญิงแพศยาคนสำคัญ บาบิโลนใหญ่ นั่งบนสัตว์ร้ายสีแดงเข้ม ซึ่งลงไปในเหวอยู่ชั่วขณะหนึ่งแต่ขึ้นมาอีกครั้งและทำลายหญิงนั้นเสีย.
นิมิตที่ 12 (18:1–19:10): มีการประกาศถึงความล่มจมและความพินาศเด็ดขาดของบาบิโลนใหญ่. ภายหลังการสำเร็จโทษนาง บางคนโศกเศร้า คนอื่น ๆ สรรเสริญพระยะโฮวา; มีการประกาศเรื่องการอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก.
นิมิตที่ 13 (19:11-21): พระเยซูนำกองทัพแห่งสวรรค์เพื่อลงโทษระบบของซาตาน, กองทัพของมัน, และเหล่าผู้สนับสนุนมันตามการพิพากษาเนื่องด้วยพระพิโรธของพระเจ้า; พวกนกที่กินของเปื่อยเน่ากินซากศพพวกเขา.
นิมิตที่ 14 (20:1-10): การจับซาตานพญามารขังไว้ในเหว, รัชสมัยพันปีของพระคริสต์และกษัตริย์ทั้งหลายที่ร่วมปกครองกับพระองค์, การทดลองมนุษยชาติครั้งสุดท้าย, และการทำลายซาตานกับผีปิศาจของมัน.
นิมิตที่ 15 (20:11–21:8): การเป็นขึ้นจากตายทั่วไปและวันพิพากษาครั้งใหญ่; ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ปรากฏ พร้อมด้วยพระพรตลอดกาลสำหรับมนุษยชาติที่ชอบธรรม.
นิมิตที่ 16 (21:9–22:5): วิวรณ์ถึงจุดสุดยอดด้วยนิมิตอันรุ่งโรจน์แห่งเยรูซาเลมใหม่ พระมเหสีของพระเมษโปดก. การจัดเตรียมจากพระเจ้าเกี่ยวกับการเยียวยารักษาและชีวิตสำหรับมนุษยชาติไหลมาจากกรุงนี้.
วิวรณ์จบลงด้วยคำกล่าวลงท้ายและคำแนะนำอันอบอุ่นจากพระยะโฮวา, พระเยซู, ทูตสวรรค์, และโยฮันเอง. มีคำเชิญแก่ทุกคนว่า “มาเถิด!”—วิวรณ์ 22:6-21.