-
เคล็ดลับที่ 1 การจัดลำดับความสำคัญอย่างถูกต้องเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของครอบครัว
-
-
เคล็ดลับที่ 1 การจัดลำดับความสำคัญอย่างถูกต้อง
“ให้ท่านทั้งหลายตรวจดูให้แน่ใจว่าสิ่งไหนสำคัญกว่า.”—ฟิลิปปอย 1:10
เรื่องนี้หมายความอย่างไร? ในชีวิตสมรสที่ประสบความสำเร็จ คู่สมรสแต่ละฝ่ายถือว่าความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่งสำคัญกว่าตัวเอง, หรือทรัพย์สิน, งาน, เพื่อน, และแม้แต่ญาติ ๆ. สามีและภรรยาต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันและอยู่กับลูกให้มาก ๆ. ทั้งคู่เต็มใจเสียสละเพื่อประโยชน์ของครอบครัว.—ฟิลิปปอย 2:4
เรื่องนี้สำคัญอย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลถือว่าครอบครัวมีความสำคัญมาก. ที่จริง อัครสาวกเปาโลเขียนว่าคนที่ไม่หาเลี้ยงครอบครัว “เลวยิ่งกว่าคนที่ไม่มีความเชื่อด้วยซ้ำ.” (1 ติโมเธียว 5:8) กระนั้น เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่คนเราถือว่าสำคัญอาจเปลี่ยนไปได้. ตัวอย่างเช่น ผู้ให้คำปรึกษาด้านครอบครัวคนหนึ่งบอกว่าหลายคนที่เข้าร่วมสัมมนาที่เขาจัดขึ้นดูเหมือนใส่ใจในงานอาชีพมากกว่าครอบครัว. ตามคำกล่าวของเขา ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้คาดหมายจะเรียนรู้ “วิธีแก้ปัญหาชั่วคราว” เพื่อเขา “จะพักเรื่องครอบครัวไว้ก่อน และหันไปสนใจงานอาชีพ.” บทเรียนคืออะไร? การพูด ว่าเราให้ครอบครัวมาก่อนนั้นง่ายกว่าการแสดงให้เห็น จริง ๆ.
ลองวิธีต่อไปนี้. จงตรวจสอบดูว่าคุณจัดลำดับความสำคัญอย่างไร โดยใช้คำถามต่อไปนี้.
◼ เมื่อคู่สมรสหรือลูกอยากจะคุยกับฉัน ฉันสนใจฟังทันทีเท่าที่เป็นไปได้ไหม?
◼ เมื่อฉันพูดคุยกับคนอื่นเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ฉันพูดบ่อย ๆ ไหมถึงเรื่องที่ฉันทำร่วมกับครอบครัว?
◼ ฉันจะปฏิเสธการรับหน้าที่การงานเพิ่มขึ้นไหม (เช่น งานอาชีพหรืองานอื่น ๆ) ถ้าครอบครัวต้องการเวลาของฉัน?
ถ้าคุณตอบคำถามข้างต้นว่าใช่ คุณก็อาจจะคิดว่าตัวเองจัดลำดับความสำคัญได้ถูกต้องแล้ว. แต่คู่สมรสและลูกล่ะจะคิดอย่างไร? วิธีที่เรามองตัวเองไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่วัดว่าเราจัดลำดับความสำคัญได้ถูกต้อง. และหลักการนี้ใช้ได้กับเคล็ดลับอื่น ๆ เพื่อความสำเร็จซึ่งเราจะพิจารณาในหน้าถัดไป.
คุณต้องทำอะไร? คิดถึงสิ่งที่จะทำได้สักหนึ่งหรือสองอย่างซึ่งแสดงว่าคุณให้ครอบครัวมาเป็นอันดับแรก. (ตัวอย่างเช่น: คิดถึงการลดกิจกรรมบางอย่างซึ่งอาจแย่งเวลาที่คุณควรจะอยู่กับคู่สมรสและลูก.)
คงจะดีถ้าบอกให้คู่สมรสและลูกรู้ว่าคุณตั้งใจจะทำอะไร. เมื่อมีคนหนึ่งแสดงความตั้งใจจะเปลี่ยนแปลง คนอื่น ๆ ก็คงจะทำตาม.
[ภาพหน้า 3]
พ่อหรือแม่ที่ประสบความสำเร็จย่อมให้ความสำคัญอันดับแรกแก่คู่สมรสและลูก
-
-
เคล็ดลับที่ 2 การสำนึกถึงพันธะผูกมัดเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของครอบครัว
-
-
เคล็ดลับที่ 2 การสำนึกถึงพันธะผูกมัด
“ที่พระเจ้าทรงผูกมัดไว้ด้วยกันแล้วนั้นอย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย.”—มัดธาย 19:6
เรื่องนี้หมายความอย่างไร? คู่สมรสที่ประสบความสำเร็จจะมองการสมรสของเขาว่าเป็นการผูกพันถาวร. เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขามุ่งมั่นที่จะแก้ไขแทนที่จะใช้เป็นข้อแก้ตัวเพื่อจะเลิกกัน. เมื่อคู่สมรสสำนึกถึงพันธะผูกมัด พวกเขาก็รู้สึกมั่นคง. แต่ละฝ่ายก็ไว้ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะยังคงยึดมั่นในการสมรสต่อ ๆ ไป.
เรื่องนี้สำคัญอย่างไร? ในหลายแง่ พันธะผูกมัดเป็นหัวใจสำคัญของสายสมรส. แต่ถ้ามีความไม่ลงรอยกันบ่อย ๆ พันธะผูกมัดอาจดูเหมือนเป็นการจำใจอยู่ด้วยกันแทนที่จะอยู่ด้วยความเต็มใจ. ที่แท้แล้ว การให้คำมั่นว่า “เราจะอยู่กันตราบเท่าวันตาย” กลายเป็นเหมือนสัญญาทางธุรกิจ ซึ่งคู่สมรสอยากให้มีช่องโหว่เพื่อจะพ้นจากสายสมรสได้. พวกเขาอาจจะไม่เลิกกันจริง ๆ แต่พวกเขาอาจ “ยุติความสัมพันธ์” ในบางแง่ เช่น ไม่ยอมพูดคุยกันเมื่อจำเป็นต้องคุยเรื่องสำคัญ.
ลองวิธีต่อไปนี้. จงตรวจสอบดูว่าคุณสำนึกถึงพันธะผูกมัดมากแค่ไหน โดยใช้คำถามต่อไปนี้.
◼ ขณะที่กำลังโต้เถียงกัน ฉันรู้สึกเสียใจที่ได้มาแต่งงานกับคนคนนี้ไหม?
◼ ฉันคิดฝันบ่อย ๆ ถึงการได้อยู่กับคนที่ไม่ใช่คู่สมรสของฉันไหม?
◼ บางครั้งฉันบอกคู่สมรสไหมว่า “ฉันจะไม่อยู่กับคุณอีกแล้ว” หรือ “ฉันจะไปหาคนที่เห็นค่าของฉัน”?
คุณต้องทำอะไร? คิดถึงสิ่งที่จะทำได้สักหนึ่งหรือสองอย่างซึ่งเสริมพันธะผูกมัดของคุณให้เหนียวแน่น. (ข้อแนะบางอย่าง: เขียนโน้ตสั้น ๆ ถึงคู่สมรสเป็นครั้งคราว, ติดรูปคู่สมรสไว้ในที่ทำงาน, หรือโทรศัพท์ถึงคู่สมรสระหว่างวันทำงานเพื่อให้เขารู้ว่าคุณคิดถึงเขาเสมอ.)
คงจะดีถ้าคิดสักสองสามวิธีแล้วถามคู่สมรสของคุณว่าวิธีไหนมีความหมายมากที่สุดสำหรับเขาหรือเธอ.
[ภาพหน้า 4]
พันธะผูกมัดเป็นเหมือนราวกั้นถนนซึ่งป้องกันชีวิตสมรสของคุณให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
[ที่มาของภาพ]
© Corbis/age fotostock
-
-
เคล็ดลับที่ 3 การร่วมมือเป็นทีมเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของครอบครัว
-
-
เคล็ดลับที่ 3 การร่วมมือเป็นทีม
“สองคนก็ดีกว่าคนเดียว . . . ถ้าคนหนึ่งล้มลง, อีกคนหนึ่งจะได้พยุงยกเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น.”—ท่านผู้ประกาศ 4:9, 10
เรื่องนี้หมายความอย่างไร? คู่สมรสที่ประสบความสำเร็จนับถือการจัดเตรียมของพระเจ้าเรื่องความเป็นประมุขตามที่บอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล. (เอเฟโซส์ 5:22-24) กระนั้นก็ดี ทั้งสามีและภรรยามองการสมรสเป็นเหมือนทีมที่ร่วมมือกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่. เมื่อมีการร่วมมือเป็นทีม สามีและภรรยาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นโสดอีกต่อไป. ทั้งสองเป็น “เนื้อหนังอันเดียวกัน” ซึ่งเป็นคำจากคัมภีร์ไบเบิลที่ไม่เพียงแต่พรรณนาถึงความผูกพันถาวรเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความสนิทแนบแน่นด้วย.—เยเนซิศ 2:24
เรื่องนี้สำคัญอย่างไร? ถ้าคุณและคู่สมรสไม่ได้ร่วมทำงานเป็นทีม เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที ซึ่งแต่ละฝ่ายจะปะทะกันเองแทนที่จะพยายามแก้ปัญหา. ในทางกลับกัน เมื่อคุณและคู่สมรสทำงานเป็นทีม พวกคุณก็จะเป็นเหมือนนักบินและนักบินผู้ช่วยซึ่งมีแผนการบินฉบับเดียวกัน แทนที่จะเป็นเหมือนนักบินซึ่งอยู่ในเครื่องบินสองลำที่กำลังจะชนกัน. เมื่อคุณไม่เห็นพ้องกัน คุณต้องพยายามแก้ปัญหาให้ได้ แทนที่จะเสียเวลาและอารมณ์ไปกับการประณามและการกล่าวหากัน.
ลองวิธีต่อไปนี้. จงตรวจสอบดูว่าคุณมีน้ำใจที่จะทำงานเป็นทีมมากเพียงไร โดยใช้คำถามต่อไปนี้.
◼ ฉันถือว่าเงินที่ฉันหามาได้เป็น “ของฉันคนเดียว” ไหม?
◼ ฉันไม่อยากเกี่ยวข้องกับญาติของคู่สมรสไหม แม้ว่าคู่สมรสกับญาติจะสนิทกัน?
◼ ฉันรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่เมื่ออยู่ห่างจากคู่สมรสไหม?
คุณต้องทำอะไร? คิดถึงสิ่งที่จะทำได้สักหนึ่งหรือสองอย่างซึ่งจะแสดงว่าคุณต้องการทำงานเป็นทีมมากขึ้นกับคู่สมรส.
คงจะดีถ้าขอความคิดเห็นจากคู่สมรสของคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้.
[ภาพหน้า 5]
การทำงานเป็นทีมหมายความว่าคุณเป็นเหมือนนักบินและนักบินผู้ช่วยซึ่งมีแผนการบินฉบับเดียวกัน
-
-
เคล็ดลับที่ 4 ความนับถือเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของครอบครัว
-
-
เคล็ดลับที่ 4 ความนับถือ
“ให้ท่านทั้งหลายขจัด . . . การตวาด และการพูดหยาบหยามออกไปเสียให้หมด.”—เอเฟโซส์ 4:31
เรื่องนี้หมายความอย่างไร? ทั้งครอบครัวที่มีปัญหาและ ครอบครัวที่ประสบความสำเร็จต่างก็มีข้อขัดแย้ง. แต่ในครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ จะมีการพูดคุยถึงข้อขัดแย้งโดยไม่พูดเหน็บแนมหรือสบประมาทและใช้วาจาหยาบคาย. สมาชิกครอบครัวปฏิบัติต่อกันเหมือนที่อยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อตนเอง.—มัดธาย 7:12
เรื่องนี้สำคัญอย่างไร? คำพูดอาจกลายเป็นอาวุธที่ทำร้ายผู้อื่น. สุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ไปอาศัยอยู่ที่ป่าเปลี่ยวดีกว่าอาศัยอยู่กับหญิงที่มักทะเลาะและบ่นจู้จี้.” (สุภาษิต 21:19) แน่นอน อาจพูดอย่างเดียวกันได้กับผู้ชายที่ปากร้าย. และเมื่อพูดถึงบทบาทของพ่อแม่ คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “บิดาทั้งหลาย อย่ายั่วบุตรให้ขุ่นเคือง พวกเขาจะได้ไม่ท้อใจ.” (โกโลซาย 3:21) เด็ก ๆ ที่ถูกตำหนิอยู่ตลอดเวลาอาจรู้สึกว่าไม่มีทางที่จะทำให้พ่อแม่พอใจ. พวกเขาอาจถึงกับล้มเลิกความพยายาม.
ลองวิธีต่อไปนี้. จงตรวจสอบดูว่าครอบครัวของคุณแสดงความนับถือต่อกันมากน้อยแค่ไหน โดยใช้คำถามต่อไปนี้.
◼ ปกติแล้ว ในครอบครัวของฉันการขัดแย้งกันมักลงเอยด้วยการที่คนหนึ่งผลุนผลันออกจากห้องไปไหม?
◼ เมื่อฉันพูดกับคู่สมรสหรือกับลูก ฉันมักจะใช้คำพูดหยาบคายหรือดูถูก เช่น “โง่สิ้นดี” “ปัญญาอ่อน” หรืออะไรทำนองนี้ไหม?
◼ ฉันเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่คำพูดหยาบหยามเป็นเรื่องธรรมดาไหม?
คุณต้องทำอะไร? คิดถึงการตั้งเป้าหมายสักหนึ่งหรือสองอย่างในเรื่องการแสดงความนับถือด้วยคำพูดของคุณ. (ข้อแนะ: ตั้งใจจะใช้คำ “ฉัน” แทนที่จะใช้คำ “คุณ.” ยกตัวอย่าง “ฉันรู้สึกเสียใจเมื่อคุณ . . . ” แทนที่จะบอกว่า “คุณก็เป็นอย่างนี้ทุกที.”)
คงจะดีถ้าบอกให้คู่สมรสรู้เป้าหมายของคุณ. ภายในสามเดือน ถามคู่สมรสว่าคุณได้ปรับปรุงตัวเองไปถึงไหน.
คิดถึงวิธีที่จะยับยั้งตัวเองไม่ให้พูดกับลูกด้วยถ้อยคำหยาบหยาม.
คงจะดีถ้าคุณขอโทษลูกเมื่อคุณได้ใช้คำพูดรุนแรงหรือประชดประชัน.
[ภาพหน้า 6]
คลื่นซัดหินจนกร่อนได้ฉันใด คำพูดที่เจ็บแสบเป็นประจำก็บั่นทอนความมั่นคงของครอบครัวได้ฉันนั้น
-
-
เคล็ดลับที่ 5 ความมีเหตุผลเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของครอบครัว
-
-
เคล็ดลับที่ 5 ความมีเหตุผล
“ให้คนทั้งปวงเห็นว่าท่านทั้งหลายเป็นคนมีเหตุผล.”—ฟิลิปปอย 4:5
เรื่องนี้หมายความอย่างไร? ในครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ สามีและภรรยาให้อภัยข้อผิดพลาดของกันและกันเสมอ. (โรม 3:23) พวกเขาไม่เข้มงวดเกินควรหรือตามใจลูกมากไป. พวกเขาตั้งกฎในบ้านไว้พอประมาณ. เมื่อจำเป็นต้องว่ากล่าวแก้ไข พวกเขาก็ให้ “แต่พอดี.”—ยิระมะยา 30:11
เรื่องนี้สำคัญอย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “สติปัญญาจากเบื้องบนนั้น . . . มีเหตุผล.” (ยาโกโบ 3:17) พระเจ้าเองก็ไม่ได้เรียกร้องความสมบูรณ์จากมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ แล้วทำไมคู่สมรสจะต้องเรียกร้องความสมบูรณ์จากอีกฝ่ายหนึ่งเล่า? ที่จริง การติเตียนเรื่องความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ รังแต่จะทำให้ข้องขัดใจ และไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น. ดีที่สุดที่จะยอมรับว่า “เราต่างพลาดพลั้งกันหลายครั้ง.”—ยาโกโบ 3:2
บิดามารดาที่ประสบความสำเร็จย่อมแสดงความมีเหตุผลเมื่อปฏิบัติต่อลูก. พวกเขาจะไม่ตีสอนลูกจนเกินเหตุ ทั้งจะไม่เป็นคน “เอาใจยาก.” (1 เปโตร 2:18) พวกเขาให้ลูกวัยรุ่นมีอิสระพอสมควรถ้าลูกแสดงให้เห็นว่าเป็นคนมีความรับผิดชอบ. พวกเขาไม่พยายามควบคุมเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกอย่างในชีวิตของลูก. หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งกล่าวว่า การพยายามควบคุมชีวิตวัยรุ่นในทุกแง่มุม “เป็นเหมือนการเต้นระบำขอฝนอย่างเอาเป็นเอาตายแต่ฝนก็ไม่ตก และคุณก็เหนื่อยเปล่า.”
ลองวิธีต่อไปนี้. จงตรวจสอบความมีเหตุผลของคุณ โดยใช้คำถามต่อไปนี้.
◼ คุณชมคู่สมรสของคุณครั้งสุดท้ายเมื่อไร?
◼ คุณติคู่สมรสของคุณครั้งสุดท้ายเมื่อไร?
คุณต้องทำอะไร? ถ้าคำถามแรกในกรอบด้านซ้ายคุณคิดคำตอบไม่ออก แต่คำถามที่สองคุณตอบได้ง่าย ๆ ขอให้คุณตั้งเป้าหมายสักอย่างหนึ่งเพื่อจะเป็นคนมีเหตุผลมากขึ้น.
คงจะดีถ้าได้คุยกับคู่สมรสเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทั้งสองตั้งใจจะทำ.
ลองคิดดูว่าคุณอาจยอมให้ลูกวัยรุ่นมีอิสระมากขึ้นในเรื่องอะไรบ้างถ้าลูกแสดงให้เห็นว่าเขามีความรับผิดชอบ.
คงจะดีถ้าได้คุยกันตรงไปตรงมากับลูกวัยรุ่นเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เช่น กำหนดเวลาที่ควรจะกลับบ้าน.
[ภาพหน้า 7]
เช่นเดียวกับคนขับรถที่ระมัดระวัง สมาชิกครอบครัวที่มีเหตุผลพร้อมจะยินยอม
-
-
เคล็ดลับที่ 6 การให้อภัยเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของครอบครัว
-
-
เคล็ดลับที่ 6 การให้อภัย
“จงทนกันและกันเรื่อยไปและให้อภัยกันอย่างใจกว้าง.”—โกโลซาย 3:13
เรื่องนี้หมายความอย่างไร? คู่สมรสที่ประสบความสำเร็จเรียนรู้จากเหตุการณ์ในอดีต แต่ก็ไม่ผูกใจเจ็บ แล้วยกเรื่องนั้นขึ้นมาตำหนิครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น “คุณนี่สายเสมอ” หรือ “คุณไม่เคย ฟังฉันเลย.” ทั้งสามีและภรรยาเชื่อว่า “ที่เขามองข้ามการล่วงละเมิดก็เป็นความงดงาม.”—สุภาษิต 19:11, ล.ม.
เรื่องนี้สำคัญอย่างไร? พระเจ้า “พร้อมที่จะทรงยกความผิด” แต่มนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป. (บทเพลงสรรเสริญ 86:5) ความผิดเก่า ๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไขอาจเป็นเหตุให้ความขุ่นเคืองพอกพูนขึ้นจนถึงขั้นที่ดูเหมือนไม่มีทางให้อภัยได้. ต่างฝ่ายต่างก็เก็บงำความรู้สึกของตนเอาไว้ และไม่สนใจด้วยว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกอย่างไร. ทั้งคู่รู้สึกว่าต้องฝืนทนอยู่ในชีวิตสมรสที่ขาดความรัก.
ลองวิธีต่อไปนี้. ดูรูปเก่า ๆ ของคุณกับคู่สมรสซึ่งถ่ายไว้ครั้งแต่งงานกันใหม่ ๆ หรือในช่วงที่ติดต่อฝากรัก. พยายามฟื้นความรักความผูกพันที่เคยมีก่อนที่จะเกิดเรื่องขุ่นข้องหมองใจกัน. แล้วคิดย้อนไปว่าคุณลักษณะอะไรของคู่สมรสที่ทำให้คุณชอบเขาในตอนแรก.
◼ คุณลักษณะอะไรของคู่สมรสในตอนนี้ที่คุณชอบมากที่สุด?
◼ คิดถึงผลกระทบในทางดีต่อลูก ๆ ถ้าคุณเป็นคนที่ให้อภัยคนอื่นมากขึ้น.
คุณต้องทำอะไร? คิดถึงหนึ่งหรือสองวิธีที่คุณตั้งใจจะไม่นำความขุ่นเคืองในอดีตเข้ามาพัวพันกับความไม่ลงรอยกันในปัจจุบัน.
คงจะดีถ้ากล่าวชมคู่สมรสเกี่ยวกับคุณลักษณะของเขาที่คุณชื่นชอบ.—สุภาษิต 31:28, 29
พิจารณาวิธีการบางอย่างที่คุณจะให้อภัยลูก.
คงจะดีที่คุณพูดคุยกับลูกเรื่องการให้อภัยและผลประโยชน์ที่แต่ละคนในครอบครัวจะได้รับเมื่อสามารถให้อภัยกัน.
[ภาพหน้า 8]
เมื่อคุณให้อภัย ก็เหมือนคุณได้ยกหนี้ให้คู่สมรสไปหมดแล้ว. คุณไม่พยายามจะรื้อหลักฐานเพื่อเอาผิดเขาอีก
-
-
เคล็ดลับที่ 7 รากฐานที่มั่นคงเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของครอบครัว
-
-
เคล็ดลับที่ 7 รากฐานที่มั่นคง
เรื่องนี้หมายความอย่างไร? ครอบครัวไม่อาจเข้มแข็งได้เอง เช่นเดียวกับบ้านซึ่งไม่อาจตั้งอยู่ได้หลายสิบปีด้วยตัวมันเอง. โครงสร้างจะแข็งแรงได้ต้องมีฐานรากที่มั่นคง ครอบครัวที่เข้มแข็งก็เป็นเช่นเดียวกัน. ครอบครัวจะประสบความสำเร็จได้ถ้าพวกเขามีคำแนะนำที่ดีจากแหล่งที่ไว้ใจได้.
เรื่องนี้สำคัญอย่างไร? มีคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวจากหนังสือ, นิตยสาร, และรายการทีวี. บางคนที่ให้คำปรึกษาชีวิตสมรสอาจสนับสนุนคู่สมรสที่มีปัญหาให้อยู่ด้วยกันต่อไป แต่บางคนก็สนับสนุนให้แยกกัน. บางครั้ง แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็อาจเปลี่ยนความคิดได้เมื่อเวลาผ่านไป. ตัวอย่างเช่น ในปี 1994 นักบำบัดที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญด้านปัญหาวัยรุ่น เขียนว่าตอนที่เธอเริ่มอาชีพนี้ เธอรู้สึกว่า “ถ้าเด็กอยู่กับพ่อหรือแม่ฝ่ายเดียวที่มีความสุขก็ดีกว่าอยู่กับทั้งพ่อและแม่ที่ไม่มีความสุข. ดิฉันเคยคิดว่าการหย่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการทนอยู่กับชีวิตสมรสที่ย่ำแย่.” แต่หลังจากผ่านประสบการณ์มาร่วมยี่สิบปี เธอก็เปลี่ยนความคิด. เธอบอกว่า “การหย่าทำร้ายจิตใจเด็กหลายคนอย่างแสนสาหัส.”
ความเห็นของคนเราอาจเปลี่ยนไปได้ แต่คำแนะนำที่ดีที่สุดต้องสอดคล้องกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระเจ้า. เมื่ออ่านบทความชุดนี้ คุณอาจสังเกตว่ามีหลักการจากคัมภีร์ไบเบิลพิมพ์ไว้ที่ด้านบนของหน้า 3-8. หลักการดังกล่าวได้ช่วยหลายครอบครัวให้ประสบความสำเร็จที่แท้จริง. พวกเขาก็มีปัญหาเช่นเดียวกับครอบครัวอื่น ๆ แต่คัมภีร์ไบเบิลทำให้พวกเขามีรากฐานที่มั่นคงสำหรับชีวิตสมรสและครอบครัว. เราน่าจะคาดหมายได้ว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นเช่นนั้นจริง เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิลเป็นผู้ก่อตั้งครอบครัว.—2 ติโมเธียว 3:16, 17
ลองวิธีต่อไปนี้. ทำรายการข้อคัมภีร์ที่ยกขึ้นมากล่าวด้านบนของหน้า 3 ถึงหน้า 8. เพิ่มข้อคัมภีร์อื่น ๆ ที่ได้ช่วยคุณลงไปด้วย. เก็บรายการข้อคัมภีร์นี้ไว้ในที่ที่เห็นได้สะดวก และอ่านบ่อย ๆ.
คุณต้องทำอะไร? ตั้งใจนำเอาหลักการในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ในชีวิตครอบครัวของคุณ.
[ภาพหน้า 8, 9]
โดยอาศัยรากฐานที่มั่นคงจากพระคัมภีร์ ครอบครัวของคุณสามารถยืนหยัดต้านแรงพายุได้
-