การเพ่งดูโลก
วัยรุ่นถูกกดดัน
“หญิงสาวทุกข์ระทมเนื่องจากความกดดันในกิจวัตรประจำวันมากกว่าพวกคนหนุ่ม” ตามรายงานของฟรันก์ฟูร์เตอร์ อัลเกไมน ไซตุง. การศึกษาสี่ปี เกี่ยวกับหนุ่มสาว 1,700 คน อายุระหว่าง 12 ถึง 17 ปี ทำโดยมหาวิทยาลัย บีเลเฟลด์ เยอรมนี แสดงว่าภายใต้ความกดดันมาก ๆ หญิงสาวมักจะเก็บความกังวลและเกิดผลกระทบด้วยการปวดศีรษะ ประหม่า นอนไม่หลับ และปัญหากระเพาะ. รายงานกล่าวว่าตามปกติ เด็กหนุ่มระบายความกดดันประจำวันออกมาโดยกิริยาการประพฤติที่แข็งกระด้าง ก้าวร้าว หรือรุนแรง. ความกดดันมาจากแหล่งไหน? จากการคาดหมายที่เกินเหตุผลของบิดามารดาเกี่ยวกับความสำเร็จทางการศึกษา จากการเห็นความสำคัญน้อยเกินไปของคนวัยเดียวกัน จากข้อเรียกร้องมากเกินไปต่อผู้บริโภค และจากเวลาว่างที่ทำโน่นทำนี่มากเกินไป.
วิกฤตกาลธนาคารเลือดในอินเดีย
“เลือด: ให้ชีวิตหรือทำลายชีวิต?” เป็นคำถามในวารสาร อินเดีย ทูเดย์ ฉบับเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในรายงานเกี่ยวกับสภาพที่หดหู่ใจของธนาคารเลือดเอกชนในประเทศ. กระทรวงสาธารณสุขแห่งอินเดียมอบหมายให้มีการทำการศึกษารายหนึ่งซึ่งพบว่ามากกว่าร้อยละ 70 ของเลือดซึ่งรับจากผู้ให้เลือดเป็นอาชีพในประเทศนั้นไม่ได้รับการตรวจสำหรับไวรัส HIV ซึ่งเป็นเหตุของโรคเอดส์. รายงานนี้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับสภาพการที่ขาดอนามัยที่มีตามธนาคารเลือดของเอกชน ซึ่งรับซื้อเลือดจากผู้ให้เลือดที่ป่วยและยากจน. หลายคนในพวกผู้ให้เลือดเป็น “โรคพิษสุราเรื้อรังหรือใช้ยาเสพย์ติด” หรือ “มีพฤติกรรมทางเพศแบบไม่เลือก.” ดังนั้น อินเดีย ทูเดย์ คราญว่าเนื่องด้วย “โรคตับแข็ง มาลาเรีย กามโรคและเดี๋ยวนี้โรคเอดส์” ซึ่งอาจติดมากับเลือด “การซื้อเลือดจากข้างนอกเป็นเสมือนการเล่นรูเลทต์รัสเซีย.”
รถยนต์ทิ้ง
“รถจักรยานที่ทิ้งเคยสร้างปัญหาแก่เรา แต่เดี๋ยวนี้เป็นรถยนต์ที่ทิ้งซึ่งทำให้เราลำบาก” เป็นการบ่นโดยเจ้าหน้าที่กรมตำรวจแห่งญี่ปุ่น. รถยนต์ประมาณสี่ล้านคัน ถูกทิ้งในญี่ปุ่นแต่ละปี ตามการประมาณของรัฐบาล. ในอดีตเจ้าของรถเก่าขายรถของตนให้แก่คนซื้อขายเศษเหล็ก แต่เดี๋ยวนี้เขาต้องจ้างให้เอารถยนต์ออกไป. เดอะ เดลิ โยมิอูริ อธิบายถึงเหตุที่รถยนต์ถูกทิ้งว่าบริษัทจัดการเรื่องนี้พบว่าการอัดยุบรถยนต์เป็นธุรกิจที่ไม่มีกำไรเนื่องจากราคาเศษเหล็กตกเมื่อเร็ว ๆ นี้. แต่ตำรวจลงมือจัดการ. พวกเขาเริ่มดำเนินคดีกับคนที่ทิ้งรถยนต์.
สมควรที่จะกลัว?
การเดินทางโดยเครื่องบินยังถือว่าเป็นวิธีเดินทางที่ปลอดภัยที่สุด. กระนั้น สำหรับบางคนที่กลัวการบิน สถิติเกี่ยวกับการดื่มสุราแล้วขับเครื่องบินซึ่งลงในนิวส์วีค อาจดูเป็นเรื่องไม่แปลกเลย: “ในจำนวนนักบินผู้ถือใบอนุญาตในสหรัฐ 675,000 คนมากกว่า 10,000 คนมีประวัติดื่มสุราแล้วขับรถยนต์. ผู้ขับเครื่องบินโดยสารมากกว่า 1,200 คนรับการรักษาโรคพิษสุราเรื้อรังแล้วกลับไปประจำหน้าที่ ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา. ระหว่างร้อยละ 5 ถึง 10 ของนักบินทั่วไปที่ตายเนื่องจากเครื่องบินตก มีแอลกอฮอล์ในเลือด. อุบัติเหตุหกครั้งเกี่ยวกับเครื่องบินแท็กซีระหว่าง 1980 และ 1988 มีการระบุสาเหตุทั้งหมดหรือบางส่วนว่ามาจากการดื่มสุราโดยนักบิน.