การถ่ายเลือด—ปลอดภัยเพียงไร?
ก่อนที่จะยอมให้มีการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์อันยุ่งยากใด ๆ บุคคลที่มีเหตุผลจะพิจารณาถึงผลดีและผลเสียอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน. จะว่าอย่างไรเรื่องการถ่ายเลือด? การถ่ายเลือดถือเป็นวิธีรักษาที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน. แพทย์จำนวนมากซึ่งมีความห่วงใยอย่างแท้จริงจะไม่รอช้าในเรื่องการถ่ายเลือดให้แก่คนไข้ของเขา. การถ่ายเลือดนี้ได้ถูกเรียกว่าเป็นการประสาทชีวิต.
หลายล้านคนได้เคยบริจาคเลือดหรือไม่ก็เคยรับการถ่ายเลือด. ระหว่างปี 1986-1987 ประเทศแคนาดามีผู้บริจาคเลือด 1.3 ล้านคนท่ามกลางประชากรทั้งหมด 25 ล้านคน. “ในปีล่าสุดเท่าที่มีตัวเลขออกมา มีการถ่ายเลือด 12 ล้านถึง 14 ล้านหน่วยเฉพาะในสหรัฐฯ ประเทศเดียว.”—เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ 18 กุมภาพันธ์ 1990.
ดร. หลุยส์ เจ. คีติง ตั้งข้อสังเกตว่า “เลือดเป็นที่ยอมรับกันว่ามีคุณสมบัติที่เป็น ‘มนต์ขลัง’ เสมอมา. ในช่วง 46 ปีแรก ทั้งแพทย์และคนทั่วไปเชื่อว่าการให้เลือดปลอดภัยกว่าที่เป็นจริง.” (Cleveland Clinic Journal of Medicine, พฤษภาคม 1989) สภาพการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร และตอนนี้ล่ะ?
แม้แต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว พยาธิแพทย์และเจ้าหน้าที่ธนาคารเลือดได้รับคำเตือนว่า “เลือดเป็นเหมือนระเบิดไดนาไมท์ทีเดียว! เลือดอาจมีคุณอนันต์หรือไม่ก็อาจเป็นโทษมหันต์. การให้เลือดมีอัตราเสียชีวิตเท่ากับการวางยาสลบด้วยอีเทอร์ หรือการผ่าตัดไส้ติ่ง. นั่นคือจะตายหนึ่งคนในทุก ๆ 1,000 ถึง 3,000 หรืออาจ 5,000 รายของการถ่ายเลือด. ในบริเวณกรุงลอนดอน มีรายงานการเสียชีวิตหนึ่งรายต่อการถ่ายเลือดทุก ๆ 13,000 ขวด.”—New York State Journal of Medicine, 15 มกราคม 1960.
ตั้งแต่นั้นมาได้มีการขจัดอันตรายต่าง ๆ เพื่อทำให้การถ่ายเลือดในปัจจุบันมีความปลอดภัยไหม? ที่จริงแล้ว ในแต่ละปีมีผู้คนนับแสนที่ประสบกับผลร้ายซึ่งเกิดขึ้นจากการถ่ายเลือด และหลายคนเสียชีวิต. เมื่อคำนึงถึงข้อวิจารณ์ที่มีก่อนหน้านี้ คุณอาจนึกถึงโรคต่าง ๆ ที่มากับเลือด. แต่ก่อนที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ ให้เรามาพิจารณาถึงผลร้ายอื่น ๆ ซึ่งมักจะไม่ค่อยทราบกันมากนัก.
เลือดกับภูมิคุ้มกันของคุณ
ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ได้ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นถึงความซับซ้อนอันน่าพิศวงของเลือด. พวกเขาได้ทราบว่าเลือดมีอยู่หลายชนิด. การจับคู่เลือดของผู้ให้และเลือดของผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการถ่ายเลือด. ถ้าคนที่มีเลือดชนิด เอ ไปรับเลือดชนิด บี เข้า เขาอาจมีปฏิกิริยาการแตกตัวของเลือดอย่างรุนแรงได้. ปฏิกิริยานี้อาจทำลายเม็ดเลือดแดงของเขาเป็นจำนวนมาก และอาจทำให้เขาตายได้อย่างรวดเร็ว. ขณะที่การตรวจชนิดของเลือดและการจับคู่ชนิดของเลือดได้มีการทำกันเป็นประจำ ความผิดพลาดก็ยังมีอยู่. ทุกปียังคงมีผู้เสียชีวิตเพราะปฏิกิริยาการแตกตัวของเลือด.
ข้อเท็จจริงแสดงว่าปัญหาเรื่องความไม่เข้ากันของเลือดมีความซับซ้อนมากเกินกว่าแค่การจับคู่ชนิดของเลือดที่โรงพยาบาลทำกันอยู่. เพราะเหตุใด? เอาละ ในบทความของเขาเรื่อง “การถ่ายเลือด: การใช้, การใช้อย่างผิด ๆ, และอันตรายต่าง ๆ” ดร. ดักลาส เอช. โพซีย์ จูเนียร์ เขียนว่า “เกือบ 30 ปีมาแล้ว แซมป์สัน ได้อธิบายว่า การถ่ายเลือดเป็นวิธีการที่ค่อนข้างอันตราย . . . [ตั้งแต่นั้นมา] มีการพบและจำแนกแอนติเจนของเม็ดเลือดแดงเพิ่มเติมได้อีกมากกว่า 400 ชนิด. ไม่ต้องสงสัยว่าจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเยื่อหุ้มเม็ดเลือดแดงมีความซับซ้อนมหาศาล.”—Journal of the National Medical Association, กรกฎาคม 1989.
ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาผลของการถ่ายเลือดซึ่งมีต่อระบบป้องกันภัย หรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย. นี่จะหมายถึงอะไรสำหรับคุณหรือญาติของคุณเมื่อต้องรับการผ่าตัด?
เมื่อแพทย์ทำการปลูกถ่ายหัวใจ ตับ หรืออวัยวะอื่น ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยอาจมีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อที่ไม่ใช่ของร่างกายและปฏิเสธมัน. แต่การถ่ายเลือดก็เป็นการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อชนิดหนึ่ง. แม้แต่เลือดที่ได้รับการจับคู่กันอย่าง “ถูกต้อง” แล้ว ก็อาจไปกดระบบภูมิคุ้มกันได้. ในการประชุมของพยาธิแพทย์ มีการกล่าวถึงเรื่องที่รายงานทางการแพทย์จำนวนนับร้อย ได้ “โยงการถ่ายเลือดเข้ากับการตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกัน.”—“มีประสบการณ์จากผู้ป่วยหลายรายมากขึ้นทุกที ที่แสดงว่าไม่ควรถ่ายเลือด,” Medical World News, 11 ธันวาคม 1989.
หน้าที่หลักอย่างหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันก็คือการตรวจจับและทำลายเซลล์เนื้อร้าย (มะเร็ง). ระบบภูมิคุ้มกันซึ่งถูกกดไว้นี้จะทำให้เกิดมะเร็งและเสียชีวิตไหม? ลองพิจารณารายงานสองเรื่องนี้.
วารสาร Cancer (โรคมะเร็ง) (ฉบับ 15 กุมภาพันธ์ 1987) ได้รายงานผลของการศึกษาที่ทำในประเทศเนเธอร์แลนด์ดังนี้ “ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ พบว่ามีผลเสียอย่างชัดเจนของการถ่ายเลือดต่อความอยู่รอดในระยะยาวของผู้ป่วย. ในกลุ่มนี้เมื่อคิดทั้งหมดแล้ว พบว่ามีอัตราการรอดชีวิตร้อยละ 48 หลังจาก 5 ปี ในกลุ่มที่มีการถ่ายเลือด และร้อยละ 74 ในกลุ่มที่ไม่ได้รับการถ่ายเลือด.” แพทย์ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนียร์ ได้ติดตามผู้ป่วยหนึ่งร้อยคนซึ่งรับการผ่าตัดมะเร็ง. “อัตราการเกิดซ้ำของมะเร็งกล่องเสียงมี 14 เปอร์เซ็นต์ในพวกที่ไม่ได้รับการถ่ายเลือด และ 65 เปอร์เซ็นต์ในพวกที่ถูกถ่ายเลือด. สำหรับมะเร็งในช่องปาก ช่องคอ และช่องจมูกหรือไซนัส อัตราการเกิดซ้ำมี 31 เปอร์เซ็นต์ในพวกที่ไม่ได้รับการถ่ายเลือดและ 71 เปอร์เซ็นต์ในพวกรับการถ่ายเลือด.”—Annals of Otology, Rhinology & Laryngology, มีนาคม 1989.
รายงานเหล่านี้แสดงให้เห็นอะไรเกี่ยวกับการถ่ายเลือด? ในบทความ “การถ่ายเลือดและศัลยกรรมสำหรับมะเร็ง” ของ ดร. จอห์น เอส. สแปรตต์ เขาสรุปว่า “ศัลยแพทย์ทางมะเร็งอาจจำต้องกลายเป็นศัลยแพทย์ที่ไม่ใช้เลือด.”—The American Journal of Surgery, กันยายน 1986.
หน้าที่หลักอีกอย่างหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันคือ การต่อสู้ป้องกันการติดเชื้อ. ดังนั้น เราจึงเข้าใจถึงเหตุผลที่รายงานบางแห่งแสดงว่าผู้ป่วยที่รับการถ่ายเลือดมักจะติดเชื้อได้ง่าย. ดร. พี. ไอ. ทาร์ตเทอร์ ได้ทำการศึกษาการผ่าตัดลำไส้ใหญ่. ในผู้ป่วยที่รับการถ่ายเลือด ร้อยละ 25 พบการติดเชื้อ เทียบกับเพียงร้อยละ 4 ในพวกที่ไม่ได้รับการการถ่ายเลือด. เขารายงานว่า “การถ่ายเลือดเกี่ยวพันกับโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไม่ว่าจะให้ก่อน ระหว่าง หรือหลังผ่าตัด . . . การติดเชื้อหลังผ่าตัดจะเพิ่มขึ้นตามลำดับสัมพันธ์กับจำนวนหน่วยของเลือดที่ให้.” (The British Journal of Surgery, สิงหาคม 1988) ผู้เข้าร่วมประชุมประจำปี 1989 ของสมาคมธนาคารเลือดแห่งอเมริกาได้เรียนรู้ว่า ร้อยละ 23 ของผู้ป่วยซึ่งรับการถ่ายเลือดในระหว่างการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเกิดการติดเชื้อ ในขณะที่พวกซึ่งไม่ได้ให้เลือดนั้นไม่มีการติดเชื้อเลย.
ดร. จอห์น เอ. คอลลินส์ เขียนเกี่ยวกับผลดังกล่าวของการถ่ายเลือดว่า “มันคงเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่งที่ ‘การรักษา’ ซึ่งมีหลักฐานน้อยมากว่ามีประโยชน์อะไร ในที่สุดกลับพบว่าทำให้ปัญหาหลักอย่างหนึ่งซึ่งผู้ป่วยกำลังเผชิญอยู่ร้ายแรงยิ่งขึ้น.”—World Journal of Surgery, กุมภาพันธ์ 1987.
ปลอดโรคหรือเต็มไปด้วยอันตราย?
แพทย์ที่สำนึกถึงความรับผิดชอบและผู้ป่วยหลายคนมีความห่วงใยกับโรคที่มากับเลือด. โรคอะไร? ไม่ใช่มีเฉพาะโรคเดียว ที่จริงแล้วมีหลายโรคทีเดียว.
หลังจากที่กล่าวถึงโรคต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีแล้ว หนังสือเทคนิคของการถ่ายเลือด (1982) ได้พูดถึง “โรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายเลือด” เช่นโรคซิฟิลิส โรคติดเชื้อไซโตเม็กกาโลไวรัส และมาลาเรีย. จากนั้นหนังสือนี้กล่าวต่อไปว่า “มีรายงานของโรคอื่นอีกหลายโรคซึ่งแพร่โดยการถ่ายเลือด เช่น กลุ่มของโรคเริม, อินเฟ็คเชียส โมโนนิวคลีโอซิส (เอ็ปสไตน-บารร์ ไวรัส), ท็อกโซพลาสโมซิส, ทริปาโนโซมิเอซิส [โรคง่วงหลับแอฟริกัน และโรคชากาส], ลิชมาเนซิส, บรูเซโลซิส [อาการไข้เป็นระลอก], ไข้รากสาด, โรคเท้าช้าง, หัด, ซัลโมเนลโลซิส, และไข้โคโลราโด ทิค.”
ที่จริง รายชื่อของโรคดังกล่าวกำลังเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ. คุณอาจได้อ่านพาดหัวข่าวเช่น “ติดโรคไลม์จากการถ่ายเลือดหรือ? ไม่น่าจะเป็นได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างก็วิตกกัน.” เลือดจากคนที่มีผลทดสอบบวกของโรคไลม์ปลอดภัยเพียงไร? มีการถามกลุ่มอภิปรายของเจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุขว่าเขาจะรับเลือดนั้นไหม? “ทุกคนตอบว่าไม่รับ ถึงแม้ไม่มีใครสักคนที่บอกให้ทิ้งเลือดที่ได้จากคนเหล่านั้น.” ผู้คนจะรู้สึกอย่างไรต่อเลือดในธนาคารเลือดซึ่งผู้เชี่ยวชาญเองไม่ยอมรับ?—เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์, 18 กรกฎาคม 1989.
อีกเหตุผลหนึ่งที่น่าเป็นห่วงได้แก่การที่เลือดซึ่งรวบรวมได้จากดินแดนหนึ่ง ซึ่งมีโรคบางชนิดแพร่อยู่ อาจถูกนำไปใช้ในที่อื่น ที่ซึ่งประชาชนหรือแพทย์ยังไม่ทราบถึงอันตรายของโรคนั้น. ปัจจุบันมีการเดินทางกันมาก รวมทั้งพวกผู้ลี้ภัยและพวกคนต่างด้าว โอกาสที่จะพบโรคแปลก ๆ ในผลิตผลของเลือดยิ่งมีมากขึ้น.
นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคติดเชื้อได้เตือนว่า “เลือดที่ได้รับอาจต้องมีการตรวจสอบเพื่อป้องกันการแพร่ของความผิดปกติหลายอย่าง ซึ่งแต่เดิมเราไม่ถือว่าเป็นโรคติดต่อ รวมทั้งมะเร็งในเม็ดโลหิตขาว ลิมโฟมา และโรคสมองเสื่อม [หรือโรคแอลไซเมอร์].”—Transfusion Medicine Reviews, มกราคม 1989.
อันตรายเหล่านี้ดูน่ากลัว แต่มีอย่างอื่นอีกที่ทำให้ความกลัวทวีขึ้น.
การระบาดใหญ่ของโรคเอดส์
“โรคเอดส์ได้เปลี่ยนความคิดที่แพทย์และผู้ป่วยมีต่อเลือดอย่างสิ้นเชิง. และบรรดาแพทย์ซึ่งประชุมที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องการถ่ายเลือดให้ความเห็นว่า นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องทีเดียว.”—วอชิงตัน โพสต์, 5 กรกฎาคม 1988.
การระบาดใหญ่ของโรคเอดส์ (AIDS—acquired immunodeficiency syndrome) ซึ่งร้ายแรงอย่างยิ่ง ได้ปลุกให้ผู้คนตระหนักถึงอันตรายที่อาจติดโรคติดต่อจากเลือดได้. มีหลายล้านคนที่ได้รับเชื้อแล้ว. โรคนี้กำลังระบาดไปอย่างควบคุมไม่ได้. และอัตราตายของโรคนี้คือเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์.
โรคนี้เกิดจากไวรัส เอชไอวี (HIV—human immunodeficiency virus) ซึ่งแพร่โดยเลือดได้. เอดส์ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงของยุคนี้ เริ่มเป็นที่รู้จักกันในปี 1981. ในปีต่อมา ผู้เชี่ยวชาญทางสาธารณสุขพบว่า ไวรัสนี้อาจแพร่ได้ทางผลผลิตจากเลือด. เป็นที่ยอมรับกันว่าองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเลือดมีการตอบสนองช้ามากต่อเรื่องนี้ แม้หลังจากที่ได้ค้นพบวิธีการตรวจแยกเลือด ซึ่งมี เอชไอวี แอนติบอดีแล้วก็ตาม. ในที่สุดการตรวจเลือดบริจาคได้เริ่มในปี 1985a แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้ทำการตรวจเลือดที่เก็บอยู่แล้วในตอนนั้น.
หลังจากนั้นประชาชนได้รับการยืนยันว่า ‘บัดนี้ เลือดปลอดภัยแล้ว.’ แต่ต่อมามีการเปิดเผยว่ามี “ช่วงจุดบอด” ที่เป็นอันตราย. หลังจากที่บุคคลหนึ่งได้รับเชื้อโรคเอดส์แล้ว อาจกินเวลาหลายเดือน กว่าเขาจะมีแอนติบอดีในระดับที่ตรวจพบได้. โดยไม่ทราบว่าเขามีไวรัสเอดส์แล้ว เขาอาจบริจาคเลือดซึ่งให้ผลลบในการตรวจ. เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว. มีผู้คนที่เป็นโรคเอดส์ขึ้นมา หลังจากได้รับการถ่ายเลือดเช่นว่านี้!
สถานการณ์ดูน่ากลัวมากขึ้นอีก. วารสารเดอะ นิวอิงลันด์ เจอร์นัล อ็อฟ เมดิซีน (1 มิถุนายน 1989) ได้รายงานเรื่อง “การติดเชื้อ เอชไอวี แบบไม่แสดงอาการ.” มีการพิสูจน์ว่า คนเราอาจมีไวรัสเอดส์ในตัวอยู่ได้หลายปี โดยไม่อาจตรวจพบได้ด้วยวิธีการตรวจทางอ้อมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน. บางคนพยายามทำให้เรื่องนี้ดูไม่สำคัญโดยกล่าวว่านี้เป็นเพียงส่วนที่พบน้อยมาก แต่เรื่องนี้พิสูจน์ว่า “เรายังไม่อาจขจัดอันตรายของการแพร่โรคเอดส์ทางเลือดและส่วนประกอบของเลือดได้อย่างสิ้นเชิง.” (Patient Care, 30 พฤศจิกายน 1989) ข้อสรุปที่น่าตกใจคือ: ผู้ที่ให้ผลลบในการตรวจเลือดไม่อาจถือได้ว่าปลอดเชื้อ. จะมีอีกสักกี่คนที่จะติดเชื้อเอดส์จากเลือด?
เสียงรองเท้าตกข้างที่สอง? หรืออีกหลายข้าง?
หลายคนที่อาศัยอยู่ในบ้านพักที่มีหลายห้องเคยได้ยินเสียงรองเท้าที่ตกลงบนพื้นชั้นบน พวกเขาอาจรู้สึกเครียดรอฟังเสียงตกของรองเท้าข้างที่สอง. ในปัญหาเรื่องเลือดนี้ ไม่มีใครรู้ว่าจะมีไวรัสที่ทำให้ถึงตายอีกกี่ชนิด.
เชื้อไวรัสเอดส์ถูกเรียกว่า เอชไอวี แต่ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญบางคนเรียกมันว่า เอชไอวี-1. เพราะเหตุใด? เพราะพวกเขาได้พบไวรัสเอดส์อีกชนิดหนึ่ง (เอชไอวี-2). เชื้อนี้สามารถทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ของโรคเอดส์ และแพร่อยู่ในบางพื้นที่. นอกจากนั้น เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ (27 มิถุนายน 1989) รายงานว่าเชื้อนี้ “ไม่อาจตรวจพบได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายโดยการตรวจเอดส์ที่เราใช้กันอยู่ที่นี่. การค้นพบใหม่นี้ . . . ทำให้ธนาคารเลือดมีความยุ่งยากมากขึ้นอีก ที่จะแน่ใจว่าเลือดที่บริจาคนั้นปลอดภัยหรือไม่.”
หรือจะว่าอย่างไรกับเชื้อที่เป็นญาติห่าง ๆ กับไวรัสเอดส์? คณะกรรมาธิการของประธานาธิบดี (สหรัฐ) กล่าวว่าตัวหนึ่งในพวกนั้น “เชื่อกันว่าเป็นตัวทำให้เกิด ที-เซลล์ ลิวคีเมีย/ลิมโฟมา และโรคทางระบบประสาทที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง.” ไวรัสตัวนี้มีปรากฏอยู่แล้วในหมู่ผู้บริจาคเลือด และอาจแพร่ทางเลือดได้. ประชาชนจึงมีสิทธิที่จะสงสัยว่า ‘การตรวจแยกเลือดของธนาคารเลือดให้ความปลอดภัยมากน้อยเพียงใดกับเชื้อไวรัสอื่น ๆ เหล่านี้?’
ที่จริงแล้ว เวลาเท่านั้นที่จะบอกเราได้ว่า มีเชื้อไวรัสซึ่งอาจแพร่ทางเลือดได้ มากน้อยเพียงไรในเลือดที่ให้กันอยู่. ดร. แฮโรลด์ ที. เมรีแมน เขียนว่า “ตัวที่เรายังไม่รู้ยิ่งน่าวิตกมากกว่าตัวที่รู้จัก. เชื้อไวรัสที่ถ่ายทอดติดต่อกันได้ ซึ่งมีระยะฟักตัวนานหลาย ๆ ปี อาจยากที่จะโยงเข้ากับการถ่ายเลือด และยิ่งยากกว่าที่จะตรวจสอบได้. เห็นได้ชัดว่ากลุ่ม เอชทีแอลวี เป็นเพียงพวกแรกที่โผล่ออกมาให้เห็น.” (Transfusion Medicine Reviews, กรกฎาคม 1989) “เสมือนกับว่าการระบาดของเอดส์ยังไม่แย่พอ . . . มีการค้นพบหรือชี้ให้เห็นถึงโรคที่ติดต่อทางการถ่ายเลือดได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นที่สนใจกันมากในช่วงทศวรรษปี 1980. คงไม่จำต้องใช้จินตนาการมากเท่าไรที่จะพยากรณ์ได้ว่ายังมีโรคไวรัสร้ายแรงอื่น ๆ อยู่อีก และถ่ายทอดได้ทางการถ่ายเลือดในกลุ่มเดียวกัน.”—Limiting Homologous Exposure: Alternative Strategies, 1989.
ดังนั้น เสียงตกของ “รองเท้า” ได้ดังขึ้นหลายครั้งแล้ว ทำให้ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐแนะนำให้มี “ข้อควรระวังที่ใช้ทั่วโลก.” นั่นคือ ‘บุคคลากรทางการแพทย์จะต้องคิดว่าผู้ป่วยทุกคนอาจแพร่เชื้อ เอชไอวี และเชื้ออื่น ๆ ที่ติดต่อทางเลือดได้.’ มีเหตุผลทีเดียวที่ผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป ประเมินทัศนะของตนเสียใหม่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเลือด.
[เชิงอรรถ]
a เราไม่อาจพูดได้ว่ามีการตรวจเลือดทั้งหมด. ตัวอย่างเช่น มีรายงานในตอนต้นปี 1989 ว่า ร้อยละ 80 ของธนาคารเลือดในบราซิล ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล และเขาไม่ได้ทำการทดสอบสำหรับเอดส์.
[กรอบหน้า 8]
“การถ่ายเลือดประมาณ 1 ใน 100 รายจะร่วมด้วยการมีอาการไข้ หนาวสั่น หรือผื่นตามผิวหนัง. . . . การให้เม็ดเลือดแดงประมาณ 1 ใน 6,000 รายจะเกิดปฏิกิริยาแตกตัวของเม็ดเลือดแดงเนื่องจากการถ่ายเลือดขึ้น. ปฏิกิริยาทางระบบภูมิคุ้มกันที่รุนแรงนี้อาจเกิดขึ้นทันทีหรือเกิดล่าช้าออกไปหลายวันหลังการถ่ายเลือดก็ได้ ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดไตวายอย่างเฉียบพลัน ช็อค มีการแข็งตัวในหลอดเลือด และอาจเสียชีวิตได้.”—การประชุมของแนชันนัล อินสติติวต์ อ็อฟ เฮลท์ (NIH), 1988.
[กรอบหน้า 9]
เนลส์ เจอร์น นักวิทยาศาสตร์ชาวเดนมาร์ก เป็นผู้ร่วมรับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี 1984. เมื่อถูกถามว่า เหตุใดเขาจึงปฏิเสธการถ่ายเลือด เขาตอบว่า “เลือดของคน ๆ หนึ่งก็เหมือนกับลายนิ้วมือของเขา—ไม่มีเลือดของสองคนที่เหมือนกันจริง ๆ.”
[กรอบหน้า 10]
เลือด ตับที่เสียหาย และ . . .
เดอะ วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า “ตรงข้ามกับที่เราคาดไว้ โรคเอดส์ซึ่งติดต่อทางเลือด . . . ยังไม่เคยเป็นอันตรายร้ายเท่าโรคอื่น ๆ—เช่น ตับอักเสบเป็นต้น”
ถูกแล้ว มีคนจำนวนมากต้องเจ็บป่วยอย่างหนักและเสียชีวิตเนื่องจากตับอักเสบดังกล่าว ซึ่งยังไม่มีการรักษาเฉพาะที่ได้ผลดี. ยู.เอส. นิวส์ แอนด์ เวิลด์ รีพอร์ต (1 พฤษภาคม 1989) รายงานว่า ในสหรัฐฯประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ได้รับเลือดจะติดโรคตับอักเสบ—175,000 คนต่อปี. ประมาณครึ่งหนึ่งกลายเป็นพาหะนำเชื้อเรื้อรัง และอย่างน้อย 1 ใน 5 จะเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับต่อมา. ประมาณว่าจะมี 4,000 คนเสียชีวิต. ลองนึกภาพถึงพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์เมื่อมีเครื่องบินจัมโบเจ็ตตก ผู้โดยสารเสียชีวิตหมด. ดังนั้น 4,000 คนที่เสียชีวิตจะเท่ากับว่ามีเครื่องบินจัมโบเจ็ตซึ่งมีผู้โดยสารเต็มลำตกทุกเดือน!
แพทย์ได้ทราบนานมาแล้วว่าตับอักเสบชนิดรุนแรงน้อยกว่า (ชนิด เอ) แพร่ได้ทางอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด. ต่อมาพวกเขาพบว่าชนิดที่รุนแรงกว่าจะแพร่ได้ทางเลือด และเขาไม่มีทางตรวจสอบเลือดเพื่อรู้ได้. ในที่สุด พวกนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจก็พบวิธีที่จะตรวจพบ “ร่องรอย” ของเจ้าไวรัสตัวนี้ (ชนิด บี) ได้. ล่วงมาถึงต้นทศวรรษของปี 1970 ได้เริ่มมีการตรวจแยกเลือดในบาง ประเทศ. เลือดที่ใช้ดูเหมือนปลอดภัย และอนาคตของการใช้เลือดดูแจ่มใสดี. เป็นจริงอย่างนั้นไหม?
ต่อมาไม่นานนักก็ปรากฏชัดว่ามีหลายพันคนซึ่งได้รับเลือดที่มีการตรวจแยกแล้วยังคงเป็นโรคตับอักเสบขึ้น. หลายคน หลังจากที่เจ็บป่วยจนร่างกายทรุดโทรม พบว่าตับของเขาเสียหายแล้ว. แต่เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เลือดเหล่านั้นได้รับการตรวจสอบแล้ว? ในเลือดมีอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ตับอักเสบแบบ ไม่ใช่ เอ ไม่ใช่ บี (non–A, non–B —NANB). เป็นเวลาหนึ่งทศวรรษทีเดียวที่เชื้อนี้ได้แพร่ทางการถ่ายเลือด—ระหว่าง 8 ถึง 17 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่รับการถ่ายเลือดในประเทศอิสราเอล อิตาลี ญี่ปุ่น สเปน สวีเดน และสหรัฐอเมริกาติดเชื้อนี้.
และแล้วก็มีพาดหัวข่าวต่าง ๆ เช่น “ในที่สุดก็แยกเชื้อตับอักเสบ ไม่ใช่ เอ ไม่ใช่ บี ตัวลึกลับได้แล้ว” “สามารถทำลายไข้จากเลือดได้แล้ว.” เหมือนเดิม ข่าวสารที่เราได้คือ ‘พบตัวการที่เคยหาไม่พบแล้ว!’ ต่อมาในเดือนเมษายน 1989 มีการประกาศว่าได้พบวิธีที่จะตรวจสอบ NANB ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าตับอักเสบ ซี.
คุณอาจสงสัยว่าเราจะชื่นชมยินดีกันเร็วเกินไปไหม? ที่จริง นักวิจัยชาวอิตาลีได้รายงานถึงไวรัสตับอักเสบอีกตัวหนึ่ง เป็นตัวกลายพันธุ์ ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุของโรคนี้ถึงหนึ่งในสามของทั้งหมด. ใบแจ้งข่าวเรื่องสุขภาพโดยมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด (พฤศจิกายน 1989) ตั้งข้อสังเกตว่า “ผู้เชี่ยวชาญบางคนเป็นห่วงว่า เอ, บี, ซี, และดี ยังไม่ใช่ลำดับตัวอักษรทั้งหมดของไวรัสตับอักเสบ ยังอาจมีตัวอื่นตามมาอีก.” เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ (13 กุมภาพันธุ์ 1990) กล่าวว่า “ผู้เชี่ยวชาญสงสัยอย่างยิ่งว่ามีไวรัสอื่น ๆ อีกที่ทำให้เกิดตับอักเสบได้ ซึ่งถ้าค้นพบ จะถูกเรียกว่า ตับอักเสบ อี และต่อ ๆ ไป.”
บรรดาธนาคารเลือดก้าวทันกับการค้นหาวิธีทดสอบเลือดซึ่งมีรายการยาวมากขึ้นทุกที เพื่อทำให้เลือดปลอดภัยไหม? โดยอ้างถึงปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ผู้อำนวยการคนหนึ่งของกาชาดอเมริกันให้ความเห็นที่น่าเป็นห่วงดังนี้ “เราไม่อาจเพิ่มการทดสอบอันแล้วอันเล่า สำหรับเชื้อแต่ละอย่างซึ่งอาจแพร่ขึ้นมา.”—Medical World News, 8 พฤษภาคม 1989.
แม้แต่การทดสอบสำหรับตับอักเสบ บี ก็ยังพลาดได้ หลายคนยังติดเชื้อนี้จากเลือด. ยิ่งกว่านั้น ผู้คนจะพอใจกับวิธีทดสอบตับอักเสบ ซี ซึ่งพบใหม่ไหม? วารสารของแพทยสมาคมแห่งอเมริกา (5 มกราคม 1990) แสดงว่า อาจจะกินเวลากว่าหนึ่งปีทีเดียว ก่อนที่แอนติบอดีต่อโรคนี้จะตรวจพบโดยวิธีทดสอบนี้ได้. ในระหว่างนี้ ผู้คนที่ได้รับเลือดของคนนั้น อาจประสบกับการที่ตับเสียหายและ—ตาย.
[กรอบ/ภาพหน้า 11]
โรคชากาสแสดงให้เห็นวิธีที่เลือดนำโรคไปสู่คนในที่ห่างไกล. “เดอะ เมดิคัล โพสต์” (ฉบับวันที่ 16 มกราคม 1990) รายงานว่า ‘มีคนในละตินอเมริกา 10-12 ล้านคนติดโรคนี้อย่างเรื้อรัง.’ โรคนี้ถูกเรียกว่าเป็น “หนึ่งในอันตรายที่สำคัญที่สุดของการถ่ายเลือดในอเมริกาใต้.” ตัว “แมลงนักลอบสังหาร” จะกัดเหยื่อที่หน้าขณะหลับ ดูดเลือด และถ่ายมูลไว้ในแผล. เหยื่ออาจเป็นตัวนำโรคชากาสไปหลายปี (ระหว่างนั้นอาจบริจาคเลือด) ก่อนที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนของหัวใจจนเสียชีวิต.
ผู้คนในทวีปที่ห่างไกลออกไปต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ทำไม? ใน “เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์” (23 พฤษภาคม 1989) ดร. แอล. เค. อัลต์มัน ได้รายงานเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นโรคชากาสหลังการถ่ายเลือดหลายราย เสียชีวิตหนึ่งราย. อัลต์มันเขียนว่า “ยังมีอีกหลายรายที่เราไม่ทราบกัน เพราะ [แพทย์ที่นี่] ไม่คุ้นกับโรคชากาส หรือไม่ทราบว่าโรคนี้แพร่โดยการถ่ายเลือดได้.” ถูกแล้ว เลือดเป็นเส้นทางหนึ่งที่โรคต่าง ๆ แพร่ไปอย่างกว้างขวาง.
[กรอบหน้า 12]
ดร. คนุด ลุนด์-โอเลเซน เขียนไว้ว่า “เนื่องจาก . . . บางคนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอาสาสมัครมาบริจาคเลือดเพราะพวกเขาจะได้รับการตรวจเอดส์โดยอัตโนมัติ ทำให้ผมคิดว่าเรามีเหตุผลที่จะปฏิเสธการถ่ายเลือด. พวกพยานพระยะโฮวาปฏิเสธการถ่ายเลือดมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว. พวกเขามองเห็นอนาคตหรือ?”—“Ugeskrift for Læger” (รายสัปดาห์สำหรับแพทย์) 26 กันยายน 1988.
[กรอบหน้า 9]
สันตะปาปารอดตายจากการถูกยิง. หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว ท่านถูกรับกลับเข้าไปอีกสองเดือน “เจ็บป่วยอย่างหนัก.” เพราะอะไร? เพราะโรคติดเชื้อไซโตเม็กกาโลไวรัสที่อันตรายถึงตาย จากเลือดที่ได้รับเข้าไป
[ที่มาของภาพ]
UPI/Bettmann Newsphotos
[รูปภาพหน้า 12]
ไวรัสเอดส์
[ที่มาของภาพ]
CDC. Atlanta, Ga.