ประสาทรับกลิ่นที่มีความสามารถสารพัด
กระตุ้นความทรงจำ, เพิ่มรสชาติให้อาหาร
กลิ่นอะไรที่คุณชอบที่สุด? เมื่อหลายคนถูกถามเช่นนี้ คำตอบของพวกเขาน่าประทับใจ. กลิ่นทอดเบคอน. กลิ่นลมทะเล. กลิ่นผ้าสะอาดที่กำลังโบกสะบัดในสายลม. กลิ่นหญ้าแห้งที่เพิ่งตัดใหม่ ๆ. กลิ่นเครื่องเทศฉุน ๆ. กลิ่นลมหายใจของลูกสุนัข. เมื่อถูกซักถามต่อไปว่าทำไมจึงชอบกลิ่นเหล่านี้ ทุกคนมีความทรงจำแจ่มชัดแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งตนจำได้เมื่อกลิ่นนั้นโชยเข้าจมูกครั้งแรก. บ่อยครั้งทีเดียวที่ความทรงจำนั้นมีตั้งแต่วัยเด็ก.
หญิงสาวคนหนึ่งจำได้ว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงในตอนเช้า แล้วกลิ่นหอมอันเย้ายวนของเบคอนที่กำลังทอดอยู่ก็โชยเข้ามาในห้อง เย้ายวนเธอให้ไปรับประทานอาหารเช้ากับครอบครัว.
ลูอิส วัย 58 ปี กล่าวว่ากลิ่นของลมทะเลที่หอมชื่นทำให้เธอนึกถึงฤดูร้อนเมื่อสมัยเด็ก ๆ บนชายฝั่งของรัฐเมนในสหรัฐ. เธอบอกว่า “เรามีอิสระเสรี ได้วิ่งและเล่นบนทราย ขุดหาหอยกาบแล้วนำไปเผากินที่กองไฟ!”
มิเชล วัย 72 ปี จำสมัยที่ยังเป็นเด็กเมื่อช่วยคุณแม่เก็บผ้าจากราว หน้าของเธอซุกเข้าไปในกองเสื้อผ้าที่หอบล้นวงแขนขณะเดินเข้าบ้าน แล้วเธอสูดเอากลิ่นสะอาดสดชื่นเข้าไปเต็มปอด.
หญ้าแห้งที่เพิ่งตัดใหม่ ๆ ส่งกลิ่นซึ่งทำให้ เจเรมี หวนนึกถึงเมื่อ 55 ปีมาแล้ว ตอนเป็นเด็กอยู่ในฟาร์มที่รัฐไอโอวา ขณะนั่งเกวียนซึ่งบรรทุกหญ้าแห้งที่เพิ่งตัดใหม่ ๆ เข้าไปในยุ้ง เพื่อหนีฝนที่เขาและคุณพ่อได้กลิ่นว่ากำลังจะมา.
“กลิ่นเครื่องเทศฉุน ๆ” เป็นคำตอบของเจสซี วัย 76 ปี ซึ่งหลับตาแล้วเล่าถึงคราวที่ครอบครัวของเธอกวนแอปเปิลบัตเตอร์ (แยมที่ใส่เครื่องเทศมาก ๆ ทำกันในสหรัฐ) ในหม้อเหล็กกลางแจ้ง. เจ็ดสิบปีมาแล้ว แต่ความทรงจำยังคงแจ่มชัด.
แครอลนึกถึงลูกสุนัขตัวน้อยที่น่ากอด ซึ่งเธอวางไว้บนตักตอนอายุห้าขวบ และจำกลิ่นลมหายใจของเจ้าลูกสุนัขได้. อา! ใช่แล้ว กลิ่นนั้นทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นเหมือนกำลังนั่งรับแสงแดดบนระเบียงเก่า ๆ หน้าบ้าน ในกระโปรงชุดตัวเล็ก ๆ ที่ทำจากผ้าทอเป็นริ้วย่น.
แล้วคุณล่ะ? เคยชอบกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไหม เหมือนที่เป็นกับคนอื่น ๆ—ฟื้นความทรงจำ, กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก? คุณเคยกระปรี้กระเปร่าขึ้นไหมเมื่อได้สูดอากาศบนภูเขาที่มีกลิ่นสน หรือรู้สึกสดชื่นเมื่อได้สูดกลิ่นลมทะเล? หรือคุณอาจน้ำลายสอเมื่อได้กลิ่นที่โชยมาจากร้านขนมปัง. นักวิทยาศาสตร์ทางประสาท กอร์ดอน เชพเอิร์ด กล่าวไว้ในวารสาร แนชันแนล จีโอกราฟิก (ภาษาอังกฤษ) ว่า “เราคิดว่าประสาทในการเห็นครอบงำชีวิตของเรา แต่ยิ่งเข้าใกล้อาหารบนโต๊ะมากเท่าใด คุณก็จะยิ่งตระหนักว่าความเพลิดเพลินที่แท้จริงในชีวิตผูกพันอยู่กับการได้กลิ่นมากเท่านั้น.”
การได้กลิ่นมีผลกระทบอย่างน่าทึ่งต่อประสาทรับรสของเรา. ในขณะที่ต่อมรับรสแยกความแตกต่างระหว่างรสเค็ม, รสหวาน, รสขม, และรสเปรี้ยว ประสาทในการดมกลิ่นของเราจะรับองค์ประกอบอื่น ๆ ของรสที่เบาบาง. หากแอปเปิลและหัวหอมไม่มีกลิ่น ทั้งสองคงจะมีรสชาติเกือบเหมือนกัน. หรือจะเอาช็อกโกแลตเป็นตัวอย่างก็ได้ ลองดูว่าจะหมดรสชาติไปสักเพียงใดหากคุณรับประทานขณะบีบจมูก.
ลองนึกภาพของอาหารที่น่ารับประทานอย่างหนึ่ง—สมมุติว่าเป็นโดนัทที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ ๆ. กลิ่นหอมหวนโชยขึ้นมา เพราะมันปล่อยโมเลกุลให้ลอยละล่องไปในกระแสอากาศ. ครั้นมากระทบจมูกของคุณ คุณสูดดมกลิ่นนั้นอย่างกระตือรือร้น. จมูกจะสูดอากาศเข้าไป แล้วส่งโมเลกุลเหล่านั้นผ่านกลไกอันมหัศจรรย์แห่งประสาทรับกลิ่นของเรา.
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานของฆานประสาท ดูได้ที่กรอบหน้า 12 และ 13. ความละเอียดและซับซ้อนของประสาทรับกลิ่นนี้ก่อความรู้สึกน่าทึ่งโดยแท้.
กลิ่นและผลกระทบที่มีต่อคุณ
เป็นเวลาหลายศตวรรษ ผู้ผลิตน้ำหอม, พ่อครัวเอก, และผู้ผลิตเหล้าองุ่นตระหนักถึงพลังของกลิ่นในการตรึงใจคนและทำให้ประสาทรับความรู้สึกพึงพอใจ. ทุกวันนี้ นักจิตวิทยาและนักชีวเคมีทางกลิ่นหอมกำลังพยายามนำพลังของกลิ่นไปใช้ในวิถีทางใหม่ ๆ. เมื่อทำการทดลองกับกลิ่นหอมต่าง ๆ นับตั้งแต่กลิ่นของดอก ลิลี ออฟ เดอะ วัลเลย์ ไปจนถึงกลิ่นแอปเปิลผสมเครื่องเทศ วิศวกรทางกลิ่นได้สูบกลิ่นต่าง ๆ เข้าไปในโรงเรียน, อาคารสำนักงาน, บ้านพักคนชรา และแม้แต่รถไฟใต้ดิน เพื่อศึกษาผลกระทบต่อจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์. พวกเขาอ้างว่าบางกลิ่นมีผลกระทบต่ออารมณ์, ทำให้ผู้คนเป็นมิตรขึ้น, ปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน, และกระทั่งช่วยให้สมองปลอดโปร่ง.
ตามรายงานในวารสาร เดอะ ฟิวเจอริสต์ ผู้คนเข้าแถวคอยในสโมสรสุขภาพอันทันสมัยแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อรอสูด “ค็อกเทลหอม” เป็นเวลา 30 นาที ซึ่งกล่าวกันว่าจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดจากชีวิตในเมือง. นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้ทำการศึกษาถึงผลกระทบของอากาศในป่าที่มีต่อมนุษย์และแนะนำว่าการเดินผ่านป่าจะช่วยเยียวยาประสาทที่ตึงเครียด. กลิ่นที่ต้นสนกำจายออกไปนั้นพบว่าช่วยผ่อนคลายไม่เพียงด้านร่างกาย แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใจด้วย.
ไม่ใช่ทุกกลิ่นส่งเสริมสุขภาพ. สิ่งที่คนหนึ่งชื่นชอบอาจทำให้อีกคนหนึ่งรู้สึกไม่อภิรมย์ยินดี. เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่ากลิ่นฉุน แม้จะเป็นกลิ่นน้ำหอม ก็ทำให้โรคหืดมีอาการแย่ลงและก่อให้เกิดอาการแพ้ในบางคน. นอกจากนี้ ยังมีกลิ่นอันไม่พึงปรารถนาที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน—นั่นคือกลิ่นควันซึ่งเป็นอันตราย ที่พ่นออกจากปล่องควันของโรงงานอุตสาหกรรมและท่อไอเสียรถยนต์, กลิ่นเน่าบูดจากบริเวณทิ้งขยะและอ่างบำบัดน้ำเสีย, และไอระเหยของสารเคมีที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง.
แน่นอน สารเคมีหลายอย่างที่เป็นอันตรายมีอยู่ตามธรรมชาติในสภาพแวดล้อมของเรา แต่มักกระจายเจือจางจนไม่ก่อให้เกิดอันตราย. อย่างไรก็ตาม เมื่อสารเคมีเหล่านั้นมีความเข้มข้นสูง การสูดรับมากเกินไปอาจทำให้เซลล์ฆานประสาทซึ่งสามารถฟื้นคืนสภาพเดิมได้กลับเสื่อมไป. ยกตัวอย่าง ตัวทำละลายเช่นที่ใช้ในสี รวมทั้งสารเคมีอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกหลายอย่าง มีอยู่ในรายการที่ผู้เชี่ยวชาญจัดว่าเป็นอันตรายต่อระบบฆานประสาท. นอกจากนี้ยังมีความผิดปกติทางกายภาพ ที่อาจขัดขวางหรือทำลายประสาทรับกลิ่น.
คุณเห็นคุณค่าของประทานนี้ไหม?
แน่นอน ประสาทรับกลิ่นมีค่าควรแก่การปกป้องจากการคุกคามเช่นนั้นไม่ว่าที่ใดที่ทำได้. ดังนั้น จงเรียนรู้เกี่ยวกับอันตรายของสารเคมีที่คุณต้องทำงานเกี่ยวข้องด้วย และการระวังทุกวิถีทางเท่าที่ทำได้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อปกป้องระบบฆานประสาทอันไวต่อความรู้สึกของคุณ. (เทียบ 2โกรินโธ 7:1.) ในทางกลับกัน เป็นการดีที่จะคำนึงถึงผู้อื่นซึ่งมีความรู้สึกไวเช่นกัน. การมีมาตรฐานสูงในเรื่องความสะอาด รวมทั้งบ้านและร่างกายของเรา จะช่วยได้มากในเรื่องนี้. บางคนก็เลือกที่จะระมัดระวังเป็นพิเศษในการใช้น้ำหอม—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอยู่ใกล้คนจำนวนมากเป็นระยะเวลานาน อย่างเช่น ในโรงภาพยนตร์หรือในหอประชุม.—เทียบมัดธาย 7:12.
กระนั้น โดยทั่วไปแล้ว ระบบฆานประสาทเป็นของประทานที่เรียกร้องการบำรุงรักษาต่ำ มันขอจากเราไม่มากนักในเรื่องการดูแลและป้องกัน แต่ก็นำความเพลิดเพลินแบบกระจุ๋มกระจิ๋มมาสู่เรามากมายในชีวิตประจำวัน. เมื่อคุณได้รับของขวัญที่ทำให้มีความสุข คุณรู้สึกอยากจะขอบคุณผู้ให้ไหม? ผู้คนหลายล้านในทุกวันนี้ขอบคุณพระผู้สร้างด้วยใจจริง ที่ร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบอย่างน่าอัศจรรย์. (เทียบบทเพลงสรรเสริญ 139:14.) เรามีเหตุผลอันควรที่จะหวังว่าคำขอบพระคุณและคำสรรเสริญเช่นนั้นจะลอยไปสู่พระองค์มากขึ้น และเป็น “กลิ่นที่พอพระทัย” เช่นเดียวกับเครื่องบูชาของชนยิศราเอลในสมัยโบราณ ที่ถวายแด่พระผู้สร้างองค์เปี่ยมด้วยความรัก ผู้ทรงมีพระทัยเอื้ออารี.—อาฤธโม 15:3 ฉบับแปลใหม่; เฮ็บราย 13:15.
[กรอบ/แผนภูมิหน้า 12]
วิธีการทำงานของประสาทรับกลิ่น
ขั้นตอนแรก ตรวจพบกลิ่น
กลิ่นเข้ามาทางช่องจมูกเมื่อคุณสูดหายใจเข้า. รวมทั้งตอนที่คุณกลืนอาหาร โมเลกุลต่าง ๆ ถูกเบียดดันขึ้นไปทางด้านหลังของปากและเข้าไปในโพรงจมูก. แต่ ก่อนอื่น อากาศที่มีกลิ่นต้องผ่าน “ยามรักษาการณ์” ส่วนที่บุรูจมูกคือเส้นประสาทไตรเจมินัล (1) ซึ่งกระตุ้นให้จามเมื่อได้กลิ่นสารเคมีที่กัดจมูกหรือระคายเคือง. เส้นประสาทเหล่านี้ยังทำให้เกิดความพึงพอใจเมื่อทำปฏิกิริยากับกลิ่นรสเข้มข้นบางอย่าง.
ถัดจากนั้น โมเลกุลที่มีกลิ่นจะถูกดันขึ้นไปโดยกระแสวนที่ก่อตัวรอบ ๆ ส่วนของกระดูกที่นูนออกมาคล้ายม้วนหนังสือสามส่วน ซึ่งเรียกว่า เทอร์บิเนต (2). กระแสอากาศซึ่งถูกทำให้ชื้นและอุ่นตามทางที่ไปนั้นพาโมเลกุลต่าง ๆ ไปที่เอพิธีเลียม (3) ซึ่งเป็นบริเวณสำคัญในการรับกลิ่น. ส่วนที่ตั้งอยู่ในช่องแคบ ๆ ทางตอนบนของจมูกคือแผ่นเนื้อเยื่อขนาดเท่าเล็บหัวแม่มือซึ่งเต็มไปด้วยเซลล์ประสาทรับความรู้สึกถึงสิบล้านเซลล์ (4) โดยแต่ละเซลล์มีสิ่งที่โผล่ออกมาลักษณะคล้ายขนจำนวนมาก เรียกว่าซีเลีย (หรือขนกวาด) ซึ่งมีชั้นเมือกบาง ๆ หล่ออยู่. เอพิธีเลียมมีความไวมากถึงขนาดที่สามารถตรวจพบสิ่งมีกลิ่นน้ำหนักเพียง 1 ใน 460,000,000 มิลลิกรัมด้วยการสูดดมเพียงครั้งเดียว.
แต่ถ้าจะให้ชี้ชัดลงไปว่ามีการตรวจพบกลิ่นได้อย่างไรนั้นยังคงเป็นเรื่องลึกลับอยู่. ถ้าจะว่าไป มนุษย์สามารถแยกแยะกลิ่นได้มากถึง 10,000 กลิ่น. และมีกว่า 400,000 สสารที่มีกลิ่นในสภาพแวดล้อมของเรา โดยมีนักเคมีสร้างสสารใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ. ดังนั้น จมูกของเราแยกแยะกลิ่นหนึ่งกลิ่นใดโดยเฉพาะจากกลิ่นที่มีอยู่อย่างวุ่นวายพัลวันได้อย่างไร? มากกว่า 20 ทฤษฎีพยายามอธิบายความลึกลับนี้.
เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง นักวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้าในการไขบางส่วนของปริศนานี้. พวกเขาได้พบหลักฐานบางอย่างในปี 1991 ที่ชี้ว่ามีโปรตีนขนาดจิ๋วเรียกว่าตัวรับความรู้สึกของฆานประสาท สานใยอยู่ทั่วเยื่อบุเซลล์ในซิเลีย. ดูเหมือนว่า ตัวรับความรู้สึกดังกล่าวประสานสัมพันธ์กับโมเลกุลที่มีกลิ่นชนิดต่าง ๆ ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน จึงทำให้แต่ละกลิ่นมี “ลายนิ้วมือ” เฉพาะตัว.
ขั้นตอนที่สอง การส่งผ่านกลิ่น
เพื่อส่งข้อมูลนี้ไปยังสมอง ข่าวสารในรูปของรหัสเคมีไฟฟ้าจะถูกยิงไปตามเซลล์ฆานประสาท (4). ดร. ลูอิส โธมัส นักเขียนบทความวิทยาศาสตร์ เรียกเซลล์ประสาทเหล่านี้ว่า ‘สิ่งมหัศจรรย์อันดับห้าของโลกสมัยใหม่’ ซึ่งเป็นเซลล์ประสาทปฐมภูมิชนิดเดียวที่จำลองแบบตัวเองขึ้นใหม่ โดยหลาย ๆ สัปดาห์จะทำครั้งหนึ่ง. นอกจากนี้ ยังเป็นเซลล์ที่ไม่มีแนวป้องกันระหว่างตัวเองกับสิ่งเร้าโดยรอบ อย่างที่มีในเซลล์ประสาทรับรู้ที่ซ่อนตัวป้องกันอยู่ในลูกตาและหู. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฆานประสาทโยงใยมาจากตัวสมองเองและสัมผัสโดยตรงกับโลกภายนอก. ดังนั้น จมูกเป็นสถานพบกันระหว่างสมองกับสภาพแวดล้อม.
เซลล์ประสาทเหล่านี้ทั้งหมดจะติดต่อไปยังปลายทางเดียวกัน คือกระเปาะคู่ของฆานประสาท (5) ซึ่งอยู่ข้างใต้ของสมอง. กระเปาะคู่นี้เป็นสถานีหลักที่ถ่ายทอดข้อมูลไปยังส่วนอื่น ๆ ของสมอง. อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นกระเปาะนี้จะตัดต่อข้อมูลที่ไหลบ่ามาจากฆานประสาท, ตัดทุกสิ่งยกเว้นสิ่งที่จำเป็น, แล้วส่งข้อมูลต่อไป.
ขั้นตอนที่สาม การรับกลิ่น
กระเปาะฆานประสาทมี “สาย” ระโยงระยางเข้าไปในระบบลิมบิกของสมอง (6) ซึ่งเป็นระบบโครงสร้างรูปห่วงที่สวยงาม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเก็บความทรงจำและก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์. นี่คือที่ที่ “โลกแห่งความเป็นจริงอันเย็นชาถูกเปลี่ยนเป็นหม้อใบใหญ่ที่เดือดพล่านไปด้วยอารมณ์มนุษย์” ตามที่กล่าวไว้ในหนังสือ ร่างกายมนุษย์ (ภาษาอังกฤษ). ระบบลิมบิกเกี่ยวข้องกับประสาทรับกลิ่นมากจนมีการอ้างถึงนานมาแล้วว่าเป็น ไรเนนเซฟาลอน ซึ่งแปลว่า “สมองของจมูก.” ความเกี่ยวพันใกล้ชิดระหว่างจมูกกับระบบลิมบิกอาจจะอธิบายถึงเหตุผลที่เรามีปฏิกิริยาต่อกลิ่นอย่างมีอารมณ์ความรู้สึกและหวนนึกถึงอดีต. อา! กลิ่นทอดเบคอน! กลิ่นผ้าสะอาด! กลิ่นหญ้าแห้งที่เพิ่งตัดใหม่ ๆ! กลิ่นลมหายใจของลูกสุนัข!
โดยขึ้นอยู่กับกลิ่นที่ได้รับ ระบบลิมบิกอาจกระตุ้นไฮโพธาลามัส (7) ซึ่งอาจสั่งพิทูอิทารี ต่อมใหญ่ของสมอง (8) ให้ผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ—เช่น ฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวหรือการทำงานของระบบทางเพศ. ฉะนั้น ไม่แปลกที่กลิ่นของอาหารสามารถทำให้เรารู้สึกหิวขึ้นมาในทันใด หรือน้ำหอมอาจจะถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ก่อเกิดแรงดึงดูดทางเพศ.
ระบบลิมบิกยังเชื่อมต่อถึงนีโอคอร์เทกซ์ (9) อยู่ใกล้ ๆ กันภายในสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่ออกจะมีเชาว์ปัญญาและทำการวิเคราะห์. ที่นี่เป็นส่วนซึ่งอาจทำการเปรียบเทียบข่าวจากจมูกกับข้อมูลที่เข้ามาทางประสาทสัมผัสอื่น ๆ. ในเสี้ยววินาที คุณอาจรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เช่น กลิ่นฉุน, เสียงปะทุเปรี๊ยะ ๆ, และหมอกควันในอากาศ แล้วสรุปว่า—ไฟไหม้!
ธาลามัส (10) ก็มีบทบาทเช่นกัน ซึ่งอาจทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างส่วนที่มีความแตกต่างเหล่านั้น คือระบบลิมบิกที่เกี่ยวกับ “อารมณ์” และนีโอคอร์เทกซ์ที่เกี่ยวกับ “เชาว์ปัญญา.” คอร์เทกซ์ฆานประสาท (11) ช่วยแยกความแตกต่างระหว่างกลิ่นที่คล้ายคลึงกัน. ส่วนต่าง ๆ ของสมองยังสามารถส่งข่าวสารกลับไปยังสถานีถ่ายทอด คือ กระเปาะฆานประสาท. เพราะเหตุใด? เพื่อว่ากระเปาะนั้นจะได้ดัดแปลงการรับรู้กลิ่นเสียใหม่ คือลดสัญญาณกลิ่นให้อ่อนลง หรือปิดรับกลิ่นนั้นเสียเลย.
คุณอาจเคยสังเกตว่า อาหารไม่ได้มีกลิ่นชวนรับประทานเมื่อเราอิ่ม. หรือคุณเคยได้กลิ่นรุนแรงไหมซึ่งไม่อาจหลบเลี่ยงได้ และดูเหมือนว่าจืดจางไปตามกาลเวลา? กระเปาะฆานประสาท ซึ่งได้รับแจ้งจากสมอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้. กระเปาะนี้อาจได้รับความช่วยเหลือจากเซลล์รับความรู้สึกบนซีเลีย ซึ่งกล่าวกันว่าอ่อนเปลี้ยได้ง่าย. นี้เป็นคุณลักษณะที่เป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับกลิ่นเหม็นรุนแรง.
ช่างเป็นระบบที่น่าทึ่งมิใช่หรือ? กระนั้น เราก็รู้เพียงแค่เศษเสี้ยวของเรื่องนี้! มีการเขียนหนังสือหลายเล่มเรื่องระบบรับกลิ่นอันละเอียดและสลับซับซ้อนเช่นนี้.
[แผนภูมิ]
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
[กรอบหน้า 14]
การเสื่อมของประสาทรับกลิ่น
คนนับล้านประสบกับการเสื่อมของประสาทรับกลิ่น. กลิ่นหอมของฤดูใบไม้ผลิหรืออาหารที่มีรสชาติแทบจะไม่มีผลต่อพวกเขาหรือไม่มีเอาเสียเลย. ผู้หญิงคนหนึ่งพรรณนาถึงการที่จู่ ๆ เธอก็สูญเสียความสามารถรับกลิ่นอย่างสิ้นเชิงดังนี้: “เราทุกคนรู้ดีเรื่องการเป็นคนตาบอดและหูหนวก และแน่นอนฉันจะไม่มีวันเอาการสูญเสียความสามารถรับกลิ่นไปแลกกับความทุกข์ทรมานเหล่านั้น. กระนั้น เรามักถือว่ากลิ่นหอมหวนของกาแฟและรสหวานฉ่ำของส้มเป็นเรื่องธรรมดา จนกระทั่งเราสูญเสียประสาทในการรับกลิ่นและรส จึงเกือบจะเป็นเหมือนว่าเราลืมวิธีหายใจไปแล้ว.”—วารสาร นิวสวีก.
ความผิดปกติในการดมกลิ่นอาจถึงกับคุกคามชีวิตได้. ผู้หญิงคนหนึ่งชื่ออีวา อธิบายว่า “เนื่องจากไม่สามารถรับรู้กลิ่น ดิฉันจึงต้องระมัดระวังมาก. ดิฉันกลัวเมื่อคิดถึงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง เพราะจะต้องปิดหน้าต่างและประตูทุกบานในอพาร์ตเมนต์. ถ้าไม่มีอากาศบริสุทธิ์ ดิฉันจะหมดสติได้ง่าย ๆ เมื่อดมไอระเหยของแก๊สเข้าไป หากไฟล่อที่เตาแก๊สเกิดดับ.”
อะไรเป็นสาเหตุของการเสื่อมความสามารถรับกลิ่น? ขณะที่มีสาเหตุหลายอย่าง แต่ก็มีสามสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด นั่นคือ การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ, การติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจตอนบน, และโรคไซนัส. ถ้าสายใยเส้นประสาทถูกตัด, ถ้าเอพิธีเลียมมีความรู้สึกช้า, หรือถ้าอากาศไม่สามารถเข้าถึงเอพิธีเลียมเนื่องจากถูกปิดกั้นหรือเกิดการอักเสบ ประสาทในการรับรู้กลิ่นจะหายไป. เมื่อตระหนักถึงความผิดปกติเหล่านั้นว่าเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง จึงมีการตั้งศูนย์วิจัยเชิงวิเคราะห์ขึ้น เพื่อศึกษาเกี่ยวกับประสาทรับกลิ่นและรส.
ในการสัมภาษณ์ ดร. แม็กซ์เวลล์ โมเซลล์ ประจำศูนย์สุขภาพและวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยของรัฐนิวยอร์ก ณ ซีราคิวซ์ เล่าว่า “เรามีคนไข้ที่นี่ ซึ่งมีปัญหา [ได้กลิ่นไม่ดี โดยมีพวกเขาเท่านั้นที่ได้กลิ่น]. พวกเขาจะได้กลิ่นน่าคลื่นเหียน. ผู้หญิงคนหนึ่งได้กลิ่นคาวปลาตลอดเวลา. ลองคิดดูก็แล้วกันว่าจะเป็นอย่างไรหากคุณได้กลิ่นคาวปลาหรือกลิ่นยางไหม้ทุกวันทุกนาที.” หลังจากทนทุกข์กับกลิ่นอันไม่น่าอภิรมย์ในจมูกเป็นเวลา 11 ปีและยังผลให้เกิดความซึมเศร้า ผู้หญิงคนหนึ่งได้รับการบรรเทาทันทีหลังจากที่กระเปาะฆานประสาทหนึ่งในสองกระเปาะถูกผ่าตัดทิ้ง.
[รูปภาพหน้า 11]
ลมหายใจ ของลูกสุนัข
เบคอนที่กำลังทอด
หญ้าแห้งที่เพิ่งตัดใหม่ ๆ