สามีและภรรยาพูดกันไปคนละทางจริงไหม?
สมมุติว่า เบิ้มเดินลากเท้าเข้ามาในห้องทำงานของจิ๋ว ท่าทางไหล่ตกเพราะแบกความกลัดกลุ้มเอาไว้. จิ๋วมองเพื่อนด้วยสายตาอ่อนโยนและคอยฟังเพื่อนพูด. “ผมไม่รู้ว่า จะปิดการขายรายนี้ได้หรือเปล่า” เบิ้มถอนหายใจ. “มีข้อยุ่งยากที่คาดไม่ถึงตั้งหลายอย่าง และสำนักงานใหญ่ก็บีบผมเหลือเกิน.” “เบิ้ม คุณจะวิตกอะไร?” จิ๋วถามขึ้นอย่างมั่นใจ. “คุณก็รู้นี่ว่า ไม่มีใครเหมาะกับงานนี้เท่าคุณ และพวกเขาก็รู้เช่นกัน. ทำสบาย ๆ ไม่ต้องรีบร้อน. คุณคิดว่าเรื่องแค่นี้เลวร้ายหรือ? ก็เมื่อเดือนที่แล้วนั่นไง . . . ” จิ๋วย้อนเล่าเหตุการณ์ขบขันเรื่องที่เขาล้มเหลว และไม่ช้า เพื่อนคนนี้ก็หัวเราะออกจากห้องทำงานของเขาไปด้วยความโล่งใจ. จิ๋วมีความสุขที่ได้ช่วย.
และสมมุติอีกว่า เมื่อเขากลับถึงบ้านเย็นวันนั้น จิ๋วมองออกทันทีว่า แป๋ม ภรรยาของเขา อารมณ์เสียเช่นกัน. เขาทักทายเธอด้วยความเบิกบานเป็นพิเศษ และแล้วก็คอยดูว่าเธอจะระบายอะไรออกมา. หลังจากนิ่งเงียบด้วยความเครียด เธอก็โพล่งออกมา “ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว! เจ้านายคนใหม่นี่กดขี่เหลือเกิน!” จิ๋วพาเธอนั่งลง แล้วโอบเธอ และกล่าวว่า “อย่าอารมณ์เสียเลยน่าที่รัก. มันก็แค่เรื่องงานน่ะ. เจ้านายก็เป็นอย่างนี้แหละ. คุณน่าจะได้ยิน เจ้านายผมพูดอย่างฉุนเฉียวและยืดยาววันนี้นะ. แต่ถ้าคุณทนไม่ไหว ลาออกก็สิ้นเรื่อง.”
“คุณช่างไม่ห่วงเลยนะว่า ฉันรู้สึกอย่างไร!” แป๋มสวนกลับ. “คุณไม่เคยฟังฉันเลย! ฉันลาออกไม่ได้! คุณหาเงินไม่พอใช้!” แล้วเธอก็วิ่งเข้าห้องนอน ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียยกใหญ่. จิ๋วได้แต่ยืนอยู่นอกห้องที่ปิดประตู ด้วยความตกตะลึง งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น. ทำไมจึงเกิดปฏิกิริยาตรงข้ามเช่นนั้นต่อคำพูดปลอบโยนของจิ๋ว?
ช่องว่างระหว่างชายและหญิงหรือ?
บางคนถือว่า ความแตกต่างในตัวอย่างนี้ เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่า จิ๋วเป็นผู้ชาย แป๋มเป็นผู้หญิง. นักวิจัยด้านภาษาศาสตร์เชื่อว่า ปัญหาการสื่อความในสายสมรสมักจะเกิดขึ้นเพราะความต่างเพศ. หนังสือต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น คุณไม่เข้าใจนั่นเอง (ภาษาอังกฤษ) และผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์ (ภาษาอังกฤษ) ส่งเสริมทฤษฎีที่ว่า ผู้ชายและผู้หญิง แม้จะพูดภาษาเดียวกัน แต่ก็มีรูปแบบการสื่อความแตกต่างกันอย่างชัดเจน.
ไม่ต้องสงสัย เมื่อพระยะโฮวาทรงสร้างผู้หญิงจากผู้ชาย เธอไม่ใช่แค่รูปลักษณ์หนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อย. ผู้ชายและผู้หญิงถูกออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยมและด้วยความคิดที่ลึกซึ้ง เพื่อเสริมกันและกันทางกาย, ทางความรู้สึก, ทางจิตใจ, ทางฝ่ายวิญญาณ. นอกจากข้อแตกต่างที่ติดตัวมาแต่กำเนิดแล้ว ยังมีความสลับซับซ้อนของการเลี้ยงดูและประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน และการที่ผู้คนถูกนวดปั้นโดยวัฒนธรรม, สภาพแวดล้อม, และทัศนะทางสังคมว่าอะไรคือความเป็นชายหรือความเป็นหญิง. เนื่องจากอิทธิพลเหล่านี้ อาจเป็นไปได้ที่จะแยกแยะรูปแบบเฉพาะว่าด้วยวิธีที่ผู้ชายและผู้หญิงสื่อความกัน. แต่ “ลักษณะเฉพาะของผู้ชาย” หรือ “ลักษณะเฉพาะของผู้หญิง” ซึ่งยากจะแยกแยะได้นั้น อาจจะมีอยู่เฉพาะในตำราวิชาจิตวิทยาเท่านั้น.
โดยลักษณะเฉพาะแล้ว ผู้หญิงขึ้นชื่อว่ามีความรู้สึกไว กระนั้น ผู้ชายหลายคนก็มีความอ่อนละมุนอย่างน่าพิศวงในการปฏิบัติกับผู้คน. การคิดตามหลักเหตุและผลอาจจะเป็นคุณสมบัติของผู้ชายมากกว่า กระนั้น ผู้หญิงก็มักจะมีความหยั่งเห็นเชิงวิเคราะห์ที่เฉียบแหลม. ดังนั้น ขณะที่ไม่อาจปิดป้ายได้ว่า ลักษณะนิสัยนี้เป็นของผู้ชายหรือผู้หญิงโดยแน่แท้ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ: การหยั่งเห็นเข้าใจทัศนะของอีกฝ่ายหนึ่ง อาจเกิดผลต่างระหว่างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการเกิดสงครามดุเดือด โดยเฉพาะในการสมรส.
ข้อท้าทายทุก ๆ วันเกี่ยวกับการสื่อความระหว่างชายหญิงในสายสมรสเป็นเรื่องหนักหน่วง. สามีที่รู้จักสังเกตเข้าใจหลายคนยืนยันได้ว่า คำถามที่ดูเหมือนธรรมดา ๆ เช่น “คุณชอบผมทรงใหม่ของฉันไหม?” อาจเต็มไปด้วยอันตราย. ภรรยาที่มีไหวพริบดี เรียนรู้ที่จะไม่ถามซ้ำซากว่า “ทำไมคุณไม่ถามทางไปให้รู้เรื่องล่ะ?” เมื่อสามีของเธอเกิดหลงทางระหว่างเดินทาง. แทนที่จะดูถูกสิ่งซึ่งดูเหมือนเป็นลักษณะแปลกของคู่สมรส และดันทุรังอยู่กับลักษณะเฉพาะของตนเพราะ “ฉันเป็นคนอย่างนี้” แต่คู่สมรสที่มีความรักจะมองลึกลงไปจากสิ่งที่ปรากฏภายนอก. นี้มิใช่การพินิจพิเคราะห์อย่างเย็นชาในวิธีสื่อความของกันและกัน แต่เป็นการเพ่งมองอย่างอบอุ่นเข้าไปในหัวใจและจิตใจของกันและกัน.
แต่ละบุคคลมีเอกลักษณ์ของตนฉันใด การผสานของสองบุคคลในสายสมรสก็เช่นกันฉันนั้น. การประจวบเข้ากันพอดีของจิตใจและหัวใจมิใช่เหตุบังเอิญ แต่อาศัยงานหนัก เนื่องจากเราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์. ยกตัวอย่าง เป็นการง่ายมากที่จะนึกเอาว่า คนอื่น ๆ คงจะมองสิ่งต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่เรามอง. เรามักจะสนองความต้องการของคนอื่น อย่างที่เราต้องการให้เขาสนองต่อเรา บางทีก็พยายามจะปฏิบัติตามกฎทองที่ว่า “เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัตรซึ่งท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่ท่าน, จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน.” (มัดธาย 7:12) แต่ พระเยซูไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่คุณ ปรารถนา ย่อมดีเพียงพอสำหรับผู้อื่นด้วย. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น คุณอยากจะให้ผู้อื่นให้สิ่งที่คุณ จำเป็นหรือต้องการ. ฉะนั้น คุณควรให้สิ่งที่พวกเขา ต้องการ. โดยเฉพาะในชีวิตสมรส เรื่องนี้สำคัญยิ่ง เพราะแต่ละคนได้ปฏิญาณจะสนองความต้องการเพื่อคู่ของเขาหรือเธออย่างเต็มที่เท่าที่เป็นไปได้.
แป๋มและจิ๋วได้ทำคำปฏิญาณเช่นนั้น. และความผูกพันในชีวิตสมรสของเขาตลอดสองปีก็มีความสุขดี. อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งสองรู้สึกว่ารู้จักกันและกันเป็นอย่างดี แต่บางครั้งสถานการณ์ที่ปะทุขึ้นก็เผยให้เห็นว่าช่องว่างของการสื่อความนั้นกว้างใหญ่มาก ซึ่งเจตนาดีอย่างเดียวไม่อาจปิดช่องว่างนั้นได้. พระธรรมสุภาษิต 16:23 (ล.ม.) บอกว่า “หัวใจของคนฉลาดสุขุมเป็นเหตุให้ปากของเขาแสดงออกซึ่งความหยั่งเห็นเข้าใจ.” ถูกแล้ว การหยั่งเห็นเข้าใจขณะสื่อความเป็นกุญแจสำคัญที่ขาดไม่ได้. ให้เรามาดูว่า กุญแจนี้ไขประตูอะไรบ้างสำหรับจิ๋วและแป๋ม.
ทัศนะของชายผู้หนึ่ง
จิ๋วท่องไปในโลกแห่งการแข่งขัน ซึ่งผู้ชายแต่ละคนต้องรับเอาตำแหน่งของตนในระเบียบสังคม ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือหัวหน้าในสถานการณ์หนึ่ง ๆ. การสื่อความทำหน้าที่กำหนดตำแหน่ง, ความสามารถ, ความเชี่ยวชาญ, หรือคุณค่าของเขา. ความเป็นตัวของตัวเองล้ำค่าสำหรับเขา. ฉะนั้น เมื่อไรที่ได้รับคำสั่งเชิงบังคับเรียกร้อง จิ๋วจะรู้สึกต่อต้าน. ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดที่ว่า “คุณไม่ทำงานของคุณนี่” ทำให้เขาแข็งขืน แม้ว่าคำขอร้องนั้นชอบด้วยหลักเหตุผล.
โดยพื้นฐานแล้ว จิ๋วพูดจาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน. เขาชอบคุยเกี่ยวกับข้อเท็จจริง, แนวความคิด, และสิ่งใหม่ ๆ ที่เขาได้เรียนรู้.
เมื่อถึงคราวฟัง จิ๋วไม่ค่อยขัดจังหวะผู้พูด แม้กระทั่งการตอบรับเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น “อืม ใช่” เพราะเขากำลังซึมซับข้อมูล. แต่ถ้าเขาไม่เห็นด้วย เขาอาจไม่รีรอที่จะพูดออกมา โดยเฉพาะกับเพื่อน. นั่นแสดงว่า เขาสนใจในเรื่องที่เพื่อนเล่า ตรวจสอบลู่ทางเป็นไปได้ทุกอย่าง.
ถ้าจิ๋วมีปัญหา เขาชอบแก้ปัญหาด้วยตัวเอง. ดังนั้น เขาอาจจะแยกตัวจากทุกคนและทุกสิ่ง. หรือเขาอาจหาทางไปผ่อนคลายด้วยนันทนาการบางอย่างเพื่อจะลืมภาวะจนตรอกชั่วคราว. เขาจะถกเรื่องนี้ก็ต่อเมื่อต้องการคำแนะนำจากผู้อื่น.
ถ้ามีใครมาให้จิ๋วแก้ปัญหา เช่น เบิ้ม จิ๋วรู้ว่านั่นคือหน้าที่ของเขาที่ต้องช่วยเหลือ และระวังจะไม่ทำให้เพื่อนของเขารู้สึกว่าตนด้อยความสามารถ. ปกติ เขาจะเล่าความยุ่งยากที่ตนเคยประสบ พร้อมด้วยคำแนะนำ เพื่อเพื่อนของเขาจะไม่รู้สึกว่าเกิดกับเขาคนเดียว.
จิ๋วชอบร่วมกิจกรรมกับเพื่อน ๆ. มิตรภาพในความหมายของเขาคือทำสิ่งต่าง ๆ ร่วมกัน.
สำหรับจิ๋วบ้านคือที่คุ้มภัยจากสังเวียนธุรกิจ สถานที่ซึ่งเขาไม่ต้องพูดเพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกต่อไป ที่ซึ่งเขาเป็นที่ยอมรับ, ไว้วางใจ, รัก, และหยั่งรู้ค่า. กระนั้น เป็นครั้งคราว จิ๋วรู้สึกว่าเขาต้องการอยู่คนเดียวเงียบ ๆ. อาจไม่มีเรื่องอะไรกับแป๋มหรือสิ่งใด ๆ ที่เธอเป็นต้นเหตุ. เขาเพียงต้องการเวลาอยู่ตามลำพังบ้าง. จิ๋วรู้สึกว่ายากที่จะเผยความหวั่นกลัว, ความรู้สึกไม่ปลอดภัย, และความเจ็บปวดของตนแก่ภรรยา. เขาไม่อยากให้เธอกังวล. งานของเขาคือดูแลและให้ความคุ้มครองแก่เธอ และเขาต้องการให้แป๋มวางใจเขาสำหรับงานนี้. ขณะที่จิ๋วต้องการการสนับสนุน แต่เขาก็ไม่ต้องการความสงสาร. สิ่งนั้นทำให้เขารู้สึกว่าไร้ความสามารถหรือไม่มีประโยชน์.
มุมมองของผู้หญิงคนหนึ่ง
แป๋มมองตัวเองว่า เป็นบุคคลหนึ่งในโลกแห่งการติดต่อเกี่ยวข้องทางสังคมกับคนอื่น ๆ. สำหรับเธอ นับว่าสำคัญที่จะก่อและเสริมความเหนียวแน่นให้กับสายใยแห่งสัมพันธภาพเหล่านี้. การพูดจาเป็นวิธีสำคัญที่จะสร้างและยืนยันความใกล้ชิดสนิทสนม.
การพึ่งพากลายเป็นเรื่องปกติสำหรับแป๋ม. เธอรู้สึกว่าได้รับความรักถ้าจิ๋วถามไถ่ความเห็นของเธอก่อนจะตัดสินใจ ถึงแม้ว่าเธอต้องการให้เขาเป็นผู้นำ. เมื่อเธอต้องตัดสินใจ เธอชอบปรึกษาสามี ไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องบอกให้เธอทำอะไร แต่เพื่อแสดงว่าเธอมีความใกล้ชิดและวางใจเขา.
ยากมากที่แป๋มจะพูดออกมาตรง ๆ และบอกว่า เธอต้องการอะไรบางอย่าง. เธอไม่ต้องการจะกวนใจจิ๋ว หรือทำให้เขารู้สึกว่าเธอไม่มีความสุข. แทนที่จะทำเช่นนั้น เธอคอยให้เขาสังเกตเอง หรือแนะให้เห็นเป็นนัย ๆ.
เมื่อแป๋มพูดคุย เธอสนใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และถามคำถามมากมาย. ทั้งนี้เป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากความรู้สึกไวของเธอและความสนใจอย่างแรงกล้าในผู้คนและสัมพันธภาพที่มีต่อกัน.
เมื่อแป๋มฟัง เธอขัดจังหวะผู้พูดเป็นช่วง ๆ ด้วยคำอุทาน, การพยักหน้า, หรือคำถามเพื่อแสดงว่า เธอติดตามเรื่องและใฝ่ใจในสิ่งที่ผู้นั้นพูด.
เธอออกความพยายามเพื่อจะรู้โดยสัญชาตญาณว่า ผู้คนต้องการอะไร. การเสนอความช่วยเหลือโดยปราศจากคำขอเป็นวิธีการอันยอดเยี่ยมที่จะแสดงความรัก. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอต้องการช่วยสามีให้ก้าวหน้าและปรับปรุงดีขึ้น.
เมื่อแป๋มมีปัญหา เธออาจรู้สึกคับอยู่ในอก. เธอต้องพูด ไม่ใช่เพื่อหาทางแก้ปัญหาเท่าไรนัก แต่เพื่อแสดงความรู้สึกออกมา. เธอต้องการเห็นใครบางคนเข้าใจและใฝ่ใจ. เมื่ออารมณ์พลุ่งขึ้น แป๋มก็จะพูดโพล่งออกมาและกราดไปทั่ว. เธอไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อเธอบอกว่า “คุณไม่เคย ฟังเลย!”
เพื่อนในวัยเด็กที่ดีที่สุดของแป๋มมิใช่คนที่เธอทำสิ่งต่าง ๆ ร่วมกัน แต่เป็นคนที่เธอสนทนาอะไรต่ออะไรด้วยกัน. ฉะนั้น ในชีวิตสมรส เธอจึงไม่สนใจกิจกรรมภายนอกเท่ากับการมีผู้รับฟังที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ซึ่งเธออาจร่วมความรู้สึกได้.
บ้านคือสถานที่ ๆ แป๋มจะพูดอะไรก็ได้ โดยไม่มีใครคอยจับผิด. เธอไม่ลังเลที่จะเผยความกลัวและความลำบากใจให้กับจิ๋ว. หากต้องการความช่วยเหลือ เธอก็ไม่ละอายที่จะยอมรับ เพราะเธอวางใจว่าสามีของเธออยู่พร้อมและใฝ่ใจพอที่จะฟัง.
ปกติ แป๋มรู้สึกว่าเป็นที่รักและได้รับความปลอดภัยในชีวิตสมรสของเธอ. แต่บางครั้งบางคราว โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่เป็นที่รัก และจำเป็นต้องได้รับการสร้างความมั่นใจขึ้นใหม่อีกทั้งความเป็นเพื่อนอย่างปัจจุบันทันด่วน.
ถูกแล้ว จิ๋วและแป๋มซึ่งต่างก็เป็นตัวเสริมกันและกัน นับว่าแตกต่างกันทีเดียว. ข้อแตกต่างระหว่างเขา ก่อความเป็นไปได้สำหรับการเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงถึงแม้ทั้งสองอาจมีเจตนาดีเพื่อเป็นที่รักและให้การสนับสนุนกัน. ถ้าเราสามารถได้ยินมุมมองของแต่ละคนในสถานการณ์ข้างต้นได้ เราจะได้ยินเขาพูดอะไร?
สิ่งที่เขาเห็นโดยสายตาของตนเอง
จิ๋วคงพูดว่า “พอเดินเข้าประตู ผมเห็นเลยว่าแป๋มอารมณ์ไม่ดี ผมคิดว่าเมื่อเธอพร้อม เธอคงจะบอกผมเองว่าเรื่องอะไร. ปัญหาดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผม. ผมคิดว่าหากผมเพียงแค่ช่วยให้เธอเห็นว่าเธอไม่จำเป็นต้องอารมณ์เสียขนาดนั้น และวิธีแก้ก็ง่าย เธอก็คงจะดีขึ้นเอง. ผมน้อยใจจริง ๆ หลังจากได้ฟังเธอพูดเมื่อเธอบอกว่า ‘คุณไม่เคยฟังฉันเลย!’ ผมรู้สึกราวกับว่า เธอกำลังตำหนิผมว่าเป็นต้นเหตุทั้งหมดแห่งความข้องขัดใจของเธอ!”
ส่วนแป๋มก็คงอธิบายว่า “ตลอดทั้งวัน เจอแต่เรื่องมหาวิบัติ. ฉันรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของจิ๋ว. แต่เมื่อเขาเข้ามาหน้าระรื่นอย่างนั้น ฉันรู้สึกว่าเขาเพิกเฉยที่ฉันอารมณ์เสีย. ทำไมเขาไม่ถามฉันว่ามีเรื่องอะไรหรือ? เมื่อฉันเล่าปัญหาให้ฟัง เขาก็พูดเป็นเชิงว่า ฉันมันโง่ เรื่องไม่เป็นเรื่อง. แทนที่จะพูดว่าเขาเข้าใจว่าฉันรู้สึกอย่างไร แต่นายช่างจิ๋วกลับบอกฉันถึงวิธีแก้ปัญหา. ฉันไม่ต้องการวิธีแก้ ฉันต้องการความเห็นใจ!”
ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนเกิดความแตกร้าวชั่วคราว จิ๋วและแป๋มก็รักกันมาก. การหยั่งเห็นเข้าใจสิ่งใดจะช่วยให้เขาทั้งสองแสดงความรักนั้นออกมาอย่างชัดเจน?
การมองเห็นโดยสายตาของกันและกัน
จิ๋วรู้สึกว่าจะเป็นการละลาบละล้วงที่จะถามแป๋มว่ามีเรื่องอะไรหรือ ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้ว เขาจึงปฏิบัติต่อเธออย่างที่เขาต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อเขา. เขาคอยให้เธอเปิดใจพูดเอง. ขณะที่แป๋มรู้สึกอารมณ์เสีย ไม่เฉพาะแต่เรื่องปัญหา แต่ข้อที่ว่าจิ๋วดูเหมือนเพิกเฉยต่อคำขอของเธอเพื่อการปลอบใจ. เธอไม่ได้มองว่า ความเงียบของเขาเป็นอาการของความนับถืออันอ่อนโยน—เธอมองเห็นว่าไม่ไยดี. เมื่อในที่สุด แป๋มพูดขึ้น จิ๋วฟังโดยไม่ขัดจังหวะ. แต่เธอรู้สึกว่า เขาไม่ได้ยินความรู้สึกของเธอจริง ๆ. แล้วเขาก็ยื่นให้ ไม่ใช่ความร่วมรู้สึก แต่วิธีแก้ปัญหา. ก็เป็นในทำนองว่า ‘ความรู้สึกของคุณไม่เข้าท่า คุณแสดงปฏิกิริยามากเกินไป. ดูซิ ง่ายแค่ไหนที่จะแก้ปัญหาขี้ปะติ๋วนี้?’
เรื่องจะไม่เป็นอย่างว่าเลย ถ้าต่างฝ่ายสามารถมองสิ่งต่าง ๆ จากทัศนะของอีกฝ่ายหนึ่ง! อาจจะเป็นทำนองนี้:
จิ๋วกลับบ้านเห็นแป๋มอารมณ์เสีย. “มีเรื่องอะไรหรือที่รัก?” เขาถามอย่างอ่อนโยน. น้ำตาของเธอเริ่มไหลริน และคำพูดก็พรั่งพรูออกมา. แป๋มจะไม่พูดว่า “เป็นความผิดของคุณทั้งนั้น!” หรือพูดในเชิงว่าจิ๋วทำอะไรบกพร่อง. จิ๋วโอบกระชับเธอไว้และฟังอย่างสงบ. เมื่อเธอเล่าจบ เขาพูดว่า “ผมเสียใจที่คุณไม่สบายใจ. ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณจึงอารมณ์เสีย.” แป๋มตอบว่า “ขอบคุณค่ะที่ฟัง. ดิฉันรู้สึกดีขึ้นเมื่อรู้ว่าคุณเข้าใจ.”
น่าเศร้า แทนที่จะแก้ไขความแตกแยก คู่สมรสหลายคู่เลือกจบชีวิตสมรสเอาง่าย ๆ ด้วยการหย่าร้าง. การสื่อความที่บกพร่องเป็นสิ่งเลวร้ายที่ก่อความหายนะต่อหลายครอบครัว. การถกเถียงรุนแรงระเบิดขึ้นทำให้รากฐานของการสมรสนั้นสั่นคลอน. สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? บทความถัดไปจะบอกวิธีที่มันเกิดขึ้น และวิธีหลีกเลี่ยง.