ผู้ทำงานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตนไหม?
ดูพวกเขาซิ! ดูเหมือนแทบจะอยู่ไม่รอด มักจะอยู่ในบ้านซอมซ่อ หลายครั้งเพียงแค่ประทังชีวิตอยู่เท่านั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาหลายคนอยู่อาศัยและเลี้ยงดูครอบครัวในประเทศที่มั่งคั่ง. พวกเขาคือคนงานอพยพย้ายถิ่น อาจมีถึงห้าล้านคนเฉพาะในสหรัฐ ซึ่งเก็บผักและผลไม้ให้กับหลายบรรษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ.
จะเห็นร่างกายเต็มไปด้วยริ้วรอยและอาการปวดร้าว ทำงานหนักภายใต้อากาศที่ร้อนอบอ้าว. สังเกตพวกเขาพยายามจะยืดหลังให้ตรงหลังจากก้มตัวอยู่นานหลายชั่วโมง เก็บผักซึ่งจะประดับชั้นวางและตู้เก็บของในร้านขายของชำและซูเปอร์มาเก็ตที่อยู่ห่างไกล. ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตะวันลับฟ้า หกวันหรือไม่ก็เจ็ดวันต่อสัปดาห์ พวกเขาก็จะอยู่ตรงนั้น. มองเห็นเด็ก ๆ ทำงานเคียงข้างบิดามารดาและมักจะมีปู่ย่าตายายวัยชราอยู่ด้วยกัน. เด็กหนุ่มสาวหลายคนออกโรงเรียนตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากบิดามารดาย้ายไปตามที่ที่พืชผลถึงระยะเก็บเกี่ยว ฤดูแล้วฤดูเล่า. ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประทังชีวิตให้พออยู่ได้เท่านั้น.
เสียงดังแสบแก้วหูตลอดเวลาของเครื่องบินที่บินต่ำรบกวนคุณไหมขณะเฝ้าดูคนงานเหล่านี้ทำงานในไร่? ยาฆ่าแมลงที่มีพิษจากหัวฉีดสเปรย์ของเครื่องบิน ทำให้คุณระคายตาและแสบคันผิวหนังไหม? คุณกลัวจะได้รับอันตรายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวไหม? คนงานกลัว. ละอองยาเกาะจับตามเสื้อผ้าของคนงาน, ในโพรงจมูก, ในปอด. พวกเขาเห็นสารเคมีที่มีพิษเหล่านี้ก่อผลเสียหายแก่ลูกหลานและบิดามารดาผู้สูงอายุ. พวกเขาได้เห็นสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานหมดความสามารถในการทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากพิษของยาฆ่าแมลง.
เด็กหญิงคนหนึ่ง ขณะนี้อยู่ในวัยรุ่น เกิดมาสะโพกเบี้ยว ไม่มีกล้ามเนื้อหน้าอกด้านขวา และใบหน้าเป็นอัมพาตครึ่งซีก. บิดาของเธอเชื่อว่า อาการผิดปกตินี้เกิดจากยาฆ่าแมลงซึ่งพ่นลงบนไร่สตรอเบอร์รีระหว่างที่มารดาตั้งครรภ์. มีรายงานว่าเฉพาะการไปถูกสารฆ่าแมลงมีผลกระทบคนงานถึง 300,000 คนต่อปี และคนงานอพยพนี้มีอัตราไร้ความสามารถถึงห้าเท่า เมื่อเทียบกับคนงานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ.
ถ้าคุณยังไม่รู้สึกสะเทือนใจจากแค่ได้เห็นพวกเขาทำงานหนักในไร่ หรือเห็นสภาพที่อยู่อันซอมซ่อ อย่างนั้นก็ลองมาฟังคำพูดของเขา. “งานนี้ทำให้คุณเหนื่อยแทบใจจะขาด” มารดาที่มีลูกเจ็ดคนถอนหายใจหลังจากทำงานหนักตลอดทั้งวันในไร่. “ฉันคงจะแค่อาบน้ำแล้วก็นอน. ฉันนอนหลับจนเลยเวลาตีสี่เมื่อเช้านี้ และไม่มีเวลาทำอาหารไปกินกลางวัน ฉันจึงยังไม่ได้กินอะไร. ตอนนี้ ฉันเหนื่อยจนกินไม่ลง.” มือของเธอเป็นแผลพุพอง. การกินอาหารด้วยช้อนส้อมคงจะทำให้รู้สึกเจ็บ.
มารดาอีกคนหนึ่งบอกว่า “[ลูก ๆ] ช่วยเราบางครั้งตอนสุดสัปดาห์ และพวกเขาจึงรู้ว่าการทำงานในไร่เป็นอย่างไร. พวกเขาไม่ต้องการหาเลี้ยงชีพด้วยงานนี้. . . . ฉันยังมีหนามตำติดมือจากการเก็บผลส้มฤดูหนาวที่แล้ว.” สามีของเธอพูดว่า “เราทำงานตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตะวันลับฟ้าสัปดาห์ละหกวัน. . . . แต่เราอาจต้องทำอย่างนี้ไปตลอดชีวิต. เราจะไปทำอะไรอื่นล่ะ?” ทั้งสามีภรรยาหาเงินได้รวมกัน 250,000 บาทต่อปี—จัดอยู่ในระดับยากจนตามมาตรฐานอเมริกัน.
คนงานไม่กล้าบ่นเพราะกลัวตกงาน. ชายคนหนึ่งพูดว่า “ถ้าคุณบ่นเขาจะไม่จ้างคุณอีก.” คนงานอพยพหลายคนเป็นสามีและบิดาซึ่งต้องละครอบครัวไว้ข้างหลังเพื่อเดินทางไปตามไร่ต่าง ๆ เนื่องจากเรือนอาศัยมักจะเป็นโรงนอนที่ทำจากกากถ่านหิน ซึ่งจุคนงานได้ 300 คน สกปรกและคับแคบเกินไปสำหรับสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว. บิดาคนหนึ่งพูดว่า “คงชื่นมื่นที่จะอยู่กับครอบครัวตลอดปี แต่นี่คือสิ่งที่ผมต้องทำ.” อีกคนหนึ่งบอกว่า “เราตกต่ำจนถึงที่สุดแล้ว. ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้แล้ว.” สิ่งที่ทำให้สภาพเป็นอยู่อันเลวร้ายทรุดหนักลงไปอีกคือ หลายคนในจำนวนนี้ยังได้ค่าจ้างในอัตราต่ำสุดอีกด้วย. สำหรับครอบครัวคนงานบางครอบครัว 250,000 บาทต่อปีดูเหมือนสุดจะเลือนลาง เงินขนาดนี้พวกเขาไม่มีทางจะหาได้. วารสารพีเพิล วีกลีย์เขียนว่า “เจ้าของไร่สามารถจ่ายค่าจ้างในอัตราโลกที่สาม และไล่คนงานออกเอาดื้อ ๆ หากไม่ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด.” พระเยซูตรัสว่า “ผู้ทำการสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน.” (ลูกา 10:7) คนงานอพยพคงต้องสงสัยว่า เมื่อไรหลักการข้อนี้จะนำไปใช้กับชีวิตของพวกเขา.
บรรดาผู้สอนบุตรของเรา
บัดนี้ จงคิดถึงผู้ซึ่งโดยอาชีพแล้วทำให้พวกเขาต้องรับผิดชอบสอนเด็กและผู้ใหญ่เรื่องการอ่าน, เขียน, สะกดคำ, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน, ความประพฤติในที่ทำงาน—ส่วนประกอบแห่งการศึกษาขั้นพื้นฐาน. ในสถาบันการศึกษาระดับสูงขึ้นไป นักการศึกษาสอนกฎหมาย, การแพทย์, เคมี, วิศวกรรม, และเทคโนโลยีระดับสูง เหล่านี้เป็นสาขาวิชาที่ทำให้มีงานรายได้ดีในยุคคอมพิวเตอร์และยุคอวกาศนี้. เนื่องจากความสำคัญอย่างยิ่งยวดในเรื่องการสอน ผู้ให้การศึกษาเหล่านี้น่าจะถูกจัดอยู่ในระดับต้น ๆ มิใช่หรือ ฐานะเป็นผู้คู่ควรกับค่าจ้างอันเหมาะสมต่องานให้บริการที่ทรงคุณค่า? เมื่อเปรียบเทียบกับผู้คนซึ่งค่าจ้างดูเหมือนผิดสัดส่วนอย่างน่าเกลียดกับงานที่พวกเขาทำแล้ว ดูเหมือนว่าสังคมได้จัดให้อาชีพการสอนมีคุณค่าต่ำ.
ปลายศตวรรษที่ 20 นี้ บางแห่งการสอนกลายเป็นอาชีพที่มีอัตราเสี่ยงสูง ไม่เฉพาะในโรงเรียนมัธยม แต่โรงเรียนประถมก็เช่นกัน. ในบางท้องที่ ครูได้รับคำสั่งให้ถือไม้เรียวติดตัวในห้องเรียนและสนามเด็กเล่น เพื่อป้องกันตัวเองจากเด็กที่ขัดขืนดื้อดึง. เด็กนักเรียนทุกวัยพกปืนและมีดตามร่างกายและในกล่องอาหารเที่ยงที่นำติดตัวไป.
ครูทั้งชายและหญิงถูกนักเรียนทำร้ายร่างกาย. ในโรงเรียนมัธยม หลายแห่งไม่กี่ปีมานี้ ครูกว่า 47,000 คนและนักเรียน 2.5 ล้านคนตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม. หนังสือพิมพ์ของครูเอ็นอีเอ ทูเดย์รายงานว่า “ปัญหามีอยู่ทุกหนแห่ง แต่ที่ร้ายแรงอยู่ในเขตตัวเมือง ซึ่งแต่ละปี ครูหนึ่งคนมีโอกาส 1 ใน 50 ที่จะถูกทำร้ายในโรงเรียน.” การใช้ยาเสพย์ติดและแอลกอฮอล์อย่างแพร่หลายในโรงเรียนได้เพิ่มความข้องขัดใจแก่ครูยิ่งขึ้น.
ภาระหนักเพิ่มเข้าไปอีก เมื่อบางแห่งครูถูกคาดหมายให้พัฒนาวุฒิด้านการศึกษาตลอดเวลาที่อยู่ในอาชีพนี้ โดยใช้เวลาพักร้อนของพวกเขาเข้ารับการฝึกอบรมในระดับที่สูงขึ้น หรือเข้าร่วมการประชุม หรือการสัมมนาสำหรับครูในสาขาวิชาของตน. กระนั้น คุณจะแปลกใจไหมที่รู้ว่า ในนครใหญ่ ๆ บางแห่งของสหรัฐ อัตราว่าจ้างสำหรับภารโรงประจำโรงเรียน—ผู้ที่คอยดูแลรับผิดชอบเรื่องความสะอาดและการซ่อมบำรุงโรงเรียน—อาจสูงกว่าค่าจ้างสำหรับครูราว ๆ 500,000 บาทในหนึ่งปี?
เงินเดือนครูต่างกันในแต่ละประเทศ แต่ละรัฐ และแต่ละภาค. ในบางประเทศ อัตราว่าจ้างสำหรับครูอยู่ในเกณฑ์ต่ำสุดของประเทศ. แม้ในประเทศที่มั่งคั่ง รายงานข่าวก็ระบุว่า เมื่อเทียบกับภาระรับผิดชอบของนักการศึกษาแล้ว ค่าจ้างของพวกเขาไม่เป็นธรรม.
ตามรายงานในเดอะ นิวยอร์ก ไทมส์นักวิพากษ์วิจารณ์ผู้หนึ่งที่วิจารณ์เกี่ยวกับอัตราค่าจ้างสำหรับครูและนักการศึกษา กล่าวว่า “อาชีพที่ถือว่าต้องอุทิศตนในสหรัฐ เช่น อาชีพสอนหนังสือ . . . ตลอดเวลาได้รับการชดเชยหรือรางวัลตอบแทนในระดับต่ำมาก. สาธารณชนคิดอยู่เสมอว่า ‘นั่นเป็นงานที่พวกเขาสนใจเป็นพิเศษ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาทำด้วยความสุขใจ.’ ผมไม่คิดว่าแนวความคิดอย่างนั้นยุติธรรม ผมไม่คิดว่าฉลาดเท่าไรนัก.” ยกตัวอย่าง ลองพิจารณารายงานนี้ซึ่งตีพิมพ์ในเดอะ นิวยอร์ก ไทมส์: “เงินเดือนของคณาจารย์ประจำวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในปีการศึกษา 1991-1992 เพิ่มขึ้นในอัตราต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี” เฉลี่ยแล้ว 3.5 เปอร์เซ็นต์. นักวิจัยผู้หนึ่งให้ข้อสังเกตว่า “เมื่อนำการเพิ่ม 3.5 เปอร์เซ็นต์ปรับตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว เงินเดือนขึ้นน้อยนิดแค่ 0.4 เปอร์เซ็นต์.” ความกังวลทวีมากขึ้น เพราะการจ่ายเงินเดือนต่ำ ๆ ให้แก่นักการศึกษาผู้ที่มีความรับผิดชอบสำคัญ พวกเขาหลายคนจึงอาจจำใจต้องออกจากอาชีพสอนหนังสือ เพื่อทำงานที่มีรายได้ดีกว่า.
แล้วก็เรื่องกีฬา
ตัวอย่างที่แตกต่างในเรื่องเงินเดือนซึ่งควบคุมไม่ได้คือวงการกีฬา. คนงานอพยพผู้อยู่ในระดับยากจนและนักการศึกษาที่ได้เงินเดือนไม่เป็นธรรมนั้นมีทัศนะอย่างไรต่อรายได้สุทธิอันเหลือกินเหลือใช้ของนักกีฬา?
ตำรวจโดยอัตราเฉลี่ยออกตระเวนตรวจท้องที่ และพนักงานดับเพลิงออกปฏิบัติการตามสัญญาณแจ้งภัย—ผู้คนซึ่งเสี่ยงชีวิตทุกวันในงานของตน—เห็นดีเห็นชอบไหมกับเงินค่าจ้างมหาศาล ซึ่งจ่ายให้นักกีฬาอาชีพเพราะได้รับการยกย่องว่าเป็นดารา? เฉพาะในสหรัฐแห่งเดียว เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 700 คนเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา. การเสียชีวิตของพนักงานดับเพลิงอยู่ในอัตราสูงเช่นกัน. กระนั้น มืออาชีพที่ได้รับการฝึกอย่างหนักเหล่านี้ก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่ามีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์อย่างน่าเกลียด. พวกเขาจะไม่กังขาต่อค่านิยมที่สังคมกำหนดสำหรับงานและชีวิตของพวกเขาหรอกหรือ?
พิจารณาเรื่องเบสบอลเป็นตัวอย่าง—กีฬาหลักอย่างหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจบรรดาคอกีฬาในสหรัฐ, แคนาดา, และญี่ปุ่น. ผู้เล่นประจำสโมสรใหญ่ ๆ กว่า 200 คนในสหรัฐมีรายได้กว่า 25 ล้านบาทต่อปี. ตอนสิ้นสุดฤดูการแข่งขันเบสบอลประจำปี 1992 ผู้เล่น 100 คนได้เซ็นสัญญาที่รับประกันว่าพวกเขาจะมีรายได้ ซึ่งรวมแล้วเป็นเงิน 1.3 พันล้านบาท. ในจำนวนนี้ 23 คนได้เซ็นชื่อในสัญญาตกลงมูลค่ากว่า 75 ล้านบาทต่อคนในหนึ่งปี. สัญญาจ้างที่ได้สูงกว่าจำนวนที่สูงอย่างน่าตกใจเหล่านี้ ได้แก่สัญญาตกลงของผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังกว่า ซึ่งได้เซ็นสัญญามูลค่ากว่า 1,075 ล้านบาทต่อคนสำหรับเวลาหกปีและ 900 ล้านบาทต่อคนสำหรับเวลาห้าปี. แต่ละปี ค่าจ้างมีแต่ทะยานสูงขึ้น และมีการทำสถิติใหม่ ๆ สำหรับผู้ได้เงินสูงสุดในประวัติศาสตร์ของเบสบอล. อเมริกันฟุตบอลก็เช่นกันผู้เล่นได้ค่าจ้างสูงลิ่วเฉลี่ยแล้ว 12.5 ล้านบาทต่อคนในหนึ่งปี.
ค่าจ้างเหล่านี้ก่อคำถามขึ้นว่า ผู้อ่านโดยเฉลี่ยอาจมโนภาพได้ไหมว่าแต่ละสัปดาห์จะได้รับเช็คเงินมูลค่า 1.6 ล้านบาท? “กระนั้นนี่แหละคือเงินที่ผู้เล่นอเมริกันฟุตบอลตำแหน่งควอเตอร์แบ็กซึ่งมีค่าตัวปีละหลายสิบล้านในฟุตบอลลีกแห่งชาติได้รับแต่ละสัปดาห์ระหว่างฤดูการแข่งขัน 16 สัปดาห์” ตามรายงานของเดอะ นิวยอร์ก ไทมส์. “แล้วนักเบสบอลค่าตัว 50 ล้านบาทซึ่งได้รับเช็ค 1.9 ล้านบาททุกสองสัปดาห์ล่ะจะว่าอย่างไร? หลังจากหักภาษีแล้ว เขาเหลือ 1.3 ล้านบาทไว้จ่ายแก้ขัดจนถึงอีก 15 วันข้างหน้า.” ทั้งนี้ไม่นับรวมเงินที่พวกดาราในวงการกีฬาได้รับจากการอนุญาตให้ใช้ชื่อโฆษณาสินค้า, ค่าลายเซ็นที่ลูกเบสบอล, ค่าลายเซ็นสำหรับแฟนกีฬา, และค่าปรากฏตัว ซึ่งรวมแล้วอาจมีมูลค่าหลายสิบล้าน. นี่ก็เช่นกัน ครูที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าเกณฑ์จะคิดอย่างไรเมื่อเขาหาเงินทั้งปีกลับได้ไม่เท่านักกีฬาเหล่านี้ได้ในการแข่งขันครั้งเดียว?
เนื่องจากอำนาจของโทรทัศน์ นักกีฬาอาชีพไม่ว่ากอล์ฟ, เทนนิส, บาสเกตบอล, และฮอกกี้น้ำแข็งมีรายได้อื้อซ่ามหาศาล. ผู้เป็นดาราในกีฬาประเภทของตนสามารถทำเงินหลายสิบล้านบาท. ผู้เล่นฮอกกี้ชั้นนำเซ็นสัญญาหกปีมูลค่า 1,050 ล้านบาท. ผู้เล่นฮอกกี้อีกรายหนึ่งได้รับเงิน 550 ล้านบาทในช่วงเวลาห้าปี เฉลี่ยแล้วได้ 110 ล้านบาทต่อฤดูการแข่งขันหนึ่ง ๆ แม้เขาจะไม่ได้ลงแข่งขันเลยกับทีมเนื่องจากบาดเจ็บหรือป่วย.
ในการแข่งขันเทนนิสคราวหนึ่งระหว่างนักเทนนิสอาชีพชั้นนำสองคน ฝ่ายหนึ่งหญิง อีกฝ่ายหนึ่งชาย—โฆษณาว่าเป็น “การทำศึกระหว่างเพศ”—ทั้งคู่ดวลกันอย่างสุดเหวี่ยงในสนาม เพื่อจะชนะเงินรางวัลเพียงผู้เดียวมูลค่า 12.5 ล้านบาท. ถึงแม้ฝ่ายชายชนะการแข่งขัน แต่มีรายงานว่าทั้งสองได้ “ค่าปรากฏตัวเป็นเงินก้อนใหญ่ ซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผย แต่กะประมาณว่าอยู่ในราว ๆ 5 ล้านถึง 12.5 ล้านบาทต่อคน.”
ในประเทศต่าง ๆ เช่น อังกฤษ, อิตาลี, ญี่ปุ่น, และสเปน ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนน้อย เงินเดือนของนักกีฬาอาชีพสูงลิ่ว—จำนวนน่าตกตะลึงหลายสิบล้านบาท. ทั้งหมดนี้ทำให้ยอดนักเทนนิสมืออาชีพคนหนึ่งพูดถึงเงินรายได้ของนักกีฬาอาชีพในทศวรรษปี 1990 ว่า “มากจนน่าเกลียด.”
อย่างไรก็ดี ทั้งนี้มิได้หมายความว่า นักกีฬาอาชีพถูกตำหนิสำหรับรายได้สูง. เจ้าของทีมต่างหากซึ่งประมูลค่าตัวผู้เล่นที่มีพรสวรรค์. ผู้เล่นเพียงแต่รับสิ่งที่มีการเสนอให้. ถือได้ว่าผู้เล่นเป็นฝ่ายดึงดูดผู้ชมมาเกื้อหนุนทีม. ยกตัวอย่าง ฤดูการแข่งขันเบสบอลและอเมริกันฟุตบอลปี 1992 ได้เห็นผู้เข้าชมสูงเป็นประวัติการณ์ในสนามกีฬาหลายแห่ง. สิ่งนี้และลิขสิทธิ์การถ่ายทอดโทรทัศน์นำรายได้มาสู่เจ้าของทีมมากขึ้น. ฉะนั้น บางคนจึงให้เหตุผลว่าผู้เล่นเพียงแต่ได้ส่วนแบ่งอันยุติธรรม.
ค่าจ้างที่จ่ายให้อย่างฟุ่มเฟือยต่อการตีลูกข้ามตาข่าย, ตีลูกลงหลุมเล็ก ๆ, หรือตีออกสนามเบสบอล เมื่อเทียบกับค่าจ้างน้อยนิดที่จ่ายให้กับคนงานอพยพ ซึ่งตรากตรำงานหนักหลายชั่วโมงภายใต้แสงแดดอันแผดร้อนเพื่อเก็บเกี่ยวอาหารของเรา นับเป็นภาพเปรียบเทียบอันน่าสลดใจต่อค่านิยมของสังคมอันมั่งคั่งนี้.
ลองพิจารณาตัวอย่างที่แสดงถึงความแตกต่างอีกตัวอย่างหนึ่ง เรื่องราวของอีกมืออาชีพหนึ่งที่รู้จักกันดี. ดำเนินงานด้วยเงินน้อยกว่า 50 ล้านบาทเพื่อวิจัยวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อโจนัส ซัลก์ และเพื่อนนักวิจัยอื่น ๆ ตรำงานนานหลายชั่วโมงในห้องปฏิบัติการ คิดสูตรวัคซีนสูตรแล้วสูตรเล่า ทดสอบแล้วทดสอบอีก. เมื่อปี 1953 ซัลก์ได้แถลงเรื่องการพัฒนาวัคซีนทดลอง. ในกลุ่มแรกที่รับการทดสอบวัคซีนคือซัลก์, ภรรยาของเขา, และลูกชายสามคน. ปรากฏว่าวัคซีนปลอดภัยและได้ผล. ปัจจุบันนี้ โรคโปลิโอแทบจะถูกขจัดออกไปแล้ว.
ซัลก์ได้รับเกียรติยศมากมายสำหรับการมีส่วนช่วยเหลืออย่างเด่นชัดในการป้องกันโรคที่ร้ายแรงถึงตายและทำให้ทุพพลภาพนี้. กระนั้น เขาปฏิเสธที่จะรับเงินรางวัลใด ๆ. เขากลับเข้าห้องปฏิบัติการของตนเพื่อปรับปรุงวัคซีนให้ดียิ่งขึ้น. ปรากฏชัดว่า บำเหน็จอันแท้จริงของเขามิใช่เงิน แต่เป็นความพอใจที่เห็นเด็ก ๆ และบิดามารดาหลุดพ้นจากความกลัวที่มีต่อภัยอันร้ายแรงนี้.
ท้ายสุด โปรดคิดถึงการสอนให้รู้เกี่ยวกับความหวังเรื่องการดำรงชีวิตตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก ที่ซึ่งความเจ็บป่วย, โรคภัย, และความเศร้าเสียใจถูกขจัดออกไปตลอดกาล. ลองมโนภาพ ค่าจ้างก้อนใหญ่ซึ่งครูที่สอนข่าวดีดังกล่าวน่าจะรวบรวมได้. กระนั้น บรรดาผู้สอนดังกล่าวมีอยู่ และพวกเขาสอนฟรี! ไม่มีผลตอบแทนทางการเงินสำหรับพวกเขา! เมื่อพระเยซูคริสต์ตรัสว่า “ผู้ทำการสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน” พระองค์มิได้ตรัสถึงค่าจ้างสำหรับครูแห่งข่าวดีนี้. (ลูกา 10:7) พระองค์ตรัสว่า พวกเขาจะได้รับสิ่งจำเป็น. สำหรับบุคคลเหล่านี้ พระองค์ตรัสเช่นกันว่า “ท่านทั้งหลายได้รับเปล่า ๆ จงให้เปล่า ๆ.” (มัดธาย 10:8) บำเหน็จของเขาคืออะไร? แน่ละ ตรงตามที่พระเยซู บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็นให้คำสัญญา—ชีวิตถาวรในอุทยานบนแผ่นดินโลกที่สะอาดหมดจด. เงินเดือนนับล้าน ๆ ก็ไม่อาจเทียบกับสิ่งนั้นได้!
[กรอบ/ภาพหน้า 9]
เงิน, ชื่อเสียง, หรือยา—อย่างไหน?
การล่อใจในเรื่องชื่อเสียงและเงินรายได้หลายสิบล้านบาทในวงการกีฬาอาชีพได้กระตุ้นให้หนุ่มสาวหันไปใช้ยาอะนาโบลิก สเตอรอยด์ เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้บึกบึนและเพิ่มกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ในเวลาอันสั้นอย่างผิดปกติ. นายแพทย์วิลเลียม เอ็น. เทย์เลอร์ สมาชิกโครงการควบคุมยาโอลิมปิกสหรัฐเตือนว่า การใช้ยาเหล่านี้ได้พุ่งถึง “ขั้นโรคระบาด” แล้ว. ประมาณกันว่าเฉพาะในสหรัฐแห่งเดียว หนุ่มสาวราว ๆ 250,000 คนใช้สเตอรอยด์.
นักอเมริกันฟุตบอลอาชีพคนหนึ่งบอกว่า “ความกดดันให้ใช้สเตอรอยด์ในวิทยาลัยเป็นเรื่องเหลือเชื่อ. นักกีฬาไม่คิดว่า 20 ปีข้างหน้าจะเกิดปัญหาอะไรบ้างถ้าพวกเขาใช้สเตอรอยด์. แม้แต่ 20 วันข้างหน้าพวกเขาก็ไม่คิด โดยเฉพาะในระดับนักศึกษาวิทยาลัย. สิ่งที่อยู่ในความคิดของนักกีฬา เฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในวัยหนุ่มก็คือ: ฉันจะทำอะไรก็ตามที่ทำให้ฉันบรรลุความสำเร็จ.”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งผู้ปรารถนาจะเป็นนักอเมริกันฟุตบอลอาชีพพูดว่า “ถ้าผมต้องการจะเป็นนักฟุตบอล ผมก็ต้องใช้มัน. . . . มีการแข่งขันกันมากในสถานเพาะกาย. แต่ละปี คุณอยากตัวใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น คุณเห็นคนอื่นมีน้ำหนักเพิ่มและกล้ามเนื้อโตขึ้น และคุณก็อยากเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน. ความคิดนั้นเข้าครอบงำ.” แต่ ทั้ง ๆ ที่มีความรู้สึกอย่างว่า นักกีฬาคนนี้ซึ่งไม่อาศัยสเตอรอยด์ก็ได้เป็นอย่างที่เขาตั้งใจ—นักอเมริกันฟุตบอลอาชีพ. เขาเชื่อว่า สเตอรอยด์เป็น “อันตรายต่อการแข่งขันยิ่งกว่ายาเสพย์ติดทั่ว ๆ ไป.”
ไม่เฉพาะนายแพทย์ แต่ผู้ที่ได้รับความเสียหายอย่างแสนสาหัสจากผลกระทบของสเตอรอยด์และยาเสริมร่างกายชนิดอื่น ๆ ที่ได้เขียนเล่าเรื่องไว้มีมากมาย. ปฏิกิริยาขั้นรุนแรงที่สุดได้ก่อผลถึงตาย.
[รูปภาพหน้า 7]
คนงานอพยพเก็บเกี่ยวกระเทียม ณ กิลรอย แคลิฟอร์เนีย
[ที่มาของภาพ]
Camerique/H. Armstrong Roberts
[รูปภาพหน้า 8]
ครูมิได้จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ฐานะเป็นผู้ที่สมควรจะได้ค่าจ้างของตนหรอกหรือ?
[รูปภาพหน้า 10]
นักเล่นเบสบอลกว่า 200 คนในสโมสรใหญ่ ๆ ของสหรัฐมีรายได้มากกว่า 25 ล้านบาทต่อปี
[ที่มาของภาพ]
Focus On Sports