สัตว์ที่หลบหลีกคนมีทั้งคนรักและคนชัง
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในประเทศแคนาดา
แคนิส ลูปุส. นั่นไง มันอยู่บนชะโงกผาขรุขระสูงขึ้นไปในเทือกเขาหิน แสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้เห็นเงาร่างของมันในความมืด ด้วยท่ายืนศีรษะแหงนขึ้น, มีหางเป็นพุ่มยาวระหว่างขา, หูชันไปด้านหลัง, อ้าปาก—เสียงหอนอันโหยหวนของมันแทรกซึมไปทุกอณูของอากาศยามค่ำคืน. แค่คิดถึงเสียงหอนนี้ก็ทำให้อกสั่นขวัญ แขวนแล้ว!
น้อยคนเคยมีโอกาสเห็นสัตว์ชนิดนี้ในป่า ซึ่งเป็นสัตว์ที่สวยงามแต่หลบหลีกคน—รู้จักกันทั่วไปว่า สุนัขป่าสีเทาหรือทิมเบอร์ วูลฟ์. ถึงกระนั้น สัตว์ที่มีเสน่ห์ชนิดนี้ก็ก่อให้เกิดภาพลักษณ์มากมายแตกต่างกันไป.
มีทั้งคนรักและคนชัง
ไม่ว่าจะมองกันอย่างไร คำว่า “สุนัขป่า” ก็กระตุ้นให้เกิดอาการใจคอไม่ดีเสมอ. สุนัขป่าเป็นจุดรวมของความเข้าใจผิด, อคติ, และความกลัวตลอดมา. บางคนเกลียดสุนัขป่าเพราะมันจับสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร. สุนัขป่าสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรและเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นประจำ โดยจับแกะ, วัวควาย, และปศุสัตว์ชนิดอื่น ๆ กินเป็นอาหาร. ตำนานและนิทานชาวบ้านมีส่วนส่งเสริมให้มันมีชื่อเสียงในทางไม่ดี. ใครไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่า “สุนัขป่าในคราบลูกแกะ”? นิทานต่าง ๆ พรรณนามันฐานะเป็น “สุนัขป่าจอมวายร้าย.” นิทานในทำนองนั้นเรื่องหนึ่งเล่าว่า สุนัขป่าขู่จะกัดกินเด็กหญิงตัวน้อย ๆ คนหนึ่ง. สิ่งนี้ทำให้ผู้คนคิดว่า สุนัขป่าทำร้ายคน.
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์และนักชีววิทยามองดูสุนัขป่าในอีกแง่หนึ่ง. พวกเขามองว่าเป็นสัตว์ที่ขี้อายเอามาก ๆ ซึ่งพยายามหลบหลีกคนให้มากเท่าที่จะเป็นได้. ที่จริง บทความหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ซึ่งปรากฏในวารสารจีโอ บอกว่า จริง ๆ แล้วสุนัขป่ากลัวคน. แม้ว่าสุนัขป่าจะดูดุร้าย แต่ดูเหมือนว่าไม่มีรากฐานที่จะเชื่อว่า สุนัขป่าที่สมบูรณ์แห่งอเมริกาเหนือเป็นอันตรายต่อมนุษย์.
นักชีววิทยา พอล พาเคต ซึ่งได้ทำการวิจัยอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับสุนัขป่า ยอมรับว่าตนรักสัตว์ป่าเหล่านี้ตั้งแต่วัยเด็ก. เขาจดบันทึกสิ่งที่เขาสังเกตการณ์บางอย่างไว้. เขาอ้างว่า เขาเคยเห็นสุนัขป่าแสดงความสุข, ความเปล่าเปลี่ยว, และอารมณ์ขันบ่อย ๆ. ครั้งหนึ่ง เขาสังเกตเห็นสุนัขป่าเฒ่าและพิการตัวหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถออกล่าเหยื่อได้อีกต่อไป แต่สมาชิกตัวอื่น ๆ ในฝูงนำอาหารมาให้มัน. แม้ว่าสุนัขป่าตัวนั้นแก่จนช่วยตัวเองไม่ได้ ฝูงก็ยังเห็นคุณค่าชีวิตของมันและธำรงชีวิตมันไว้. อย่างไรก็ตาม ลักษณะเฉพาะในเรื่องการออกล่าเหยื่อเป็นฝูงนี้ได้คุกคามการดำรงอยู่ของมันทีเดียว.
การล่าเหยื่อเป็นฝูง
การล่าเหยื่อเป็นฝูงเป็นเพียงวิธีที่สุนัขป่าสนองความหิวและเลี้ยงลูกน้อยของมัน. กระนั้น ต้องยอมรับว่า การที่สุนัขป่าฆ่าแกะและวัวควาย เป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร. ในฐานะสัตว์ล่าเหยื่อ ซึ่งมีสายตาเป็นเยี่ยม, มีฆานประสาทไวมาก, มีโสตประสาทชั้นเลิศ, และมีพลังกัดฉีกอย่างเหลือเชื่อ—เช่นเดียวกับโครงสร้างที่เหมาะสำหรับการวิ่งและการวิ่งเหยาะ—สุนัขป่าจึงมีคุณสมบัติอย่างดีในการออกล่าเหยื่อ. มันยังเป็นนักฉวยโอกาสอีกด้วย. คงเป็นการเขลาที่จะคิดว่า สัตว์ฝีมือฉกาจชนิดนี้จะปฏิเสธเหยื่อที่หาได้ง่าย ๆ ซึ่งมันสามารถจับหรืองับได้—โดยเฉพาะแกะและวัวควายที่อ้วนพี. อาจกล่าวได้ว่า สุนัขป่า “ให้ผลประโยชน์” โดยไม่รู้ตัวแก่เหยื่อในป่า โดยเลือกตัวที่สุขภาพไม่ดีและอ่อนแอซึ่งฆ่าได้ง่ายกว่า ด้วยเหตุนี้ จึงเหลืออาหารมากขึ้นสำหรับตัวที่แข็งแรง.
การสื่อความในหมู่สุนัขป่า
แล้วเสียงหอนอันโหยหวนซึ่งได้ยินไปไกลและทำให้ผู้ฟังขนลุกล่ะจะว่าอย่างไร? สำหรับสุนัขป่าแล้ว นี่เป็นเพียงกิจกรรมทางสังคมของฝูง—รูปแบบหนึ่งของการสื่อความ. สุนัขป่าซึ่งพลัดจากฝูงระหว่างออกล่าเหยื่ออาจปีนขึ้นไปบนสันเขาและส่งเสียงหอนเพื่อติดต่อกับสมาชิกอื่น ๆ ในฝูง. หรือมิฉะนั้น การหอนอาจใช้เพื่อกำหนดเขตแดนของตน. บางครั้ง ดูเหมือนสุนัขป่าหอนเพียงเพื่อแสดงความสุข. เมื่อทั้งฝูงมาหอนร่วมกัน คุณอาจคิดว่ามันคงชอบร้องเพลงหมู่. สำหรับเราแล้ว อาจจะฟังไพเราะกว่าหากมันจะร้องเป็นเสียงเดียวกัน แต่ดูเหมือนมันชอบร้องประสานหลายเสียงมากกว่า. แน่นอน มันสื่อความกันโดยวิธีอื่นด้วย. มีทั้งเสียงซึ่งได้รับการพรรณนาว่าเป็นเสียงร้องคราง, เสียงคำราม, เสียงเห่า, เสียงร้องแหลม, และเสียงร้องหงิง ๆ ของลูกสุนัขที่อยู่ในถ้ำ. นอกจากนี้ ยังมีการสื่อความด้วยท่าทางเพื่อบ่งบอกสถานภาพทางสังคมและความผูกพันในฝูง.
สัตว์ที่สวยงาม
ให้เรามาพินิจสัตว์ที่มีความงดงามโดดเด่นชนิดนี้ใกล้ ๆ. ลองสังเกตขนปุกปุยซึ่งมีสีเทาเป็นส่วนใหญ่ (บางตัวก็มีขนสีดำขลับ) แซมด้วยขนสีขาว, ดำ, และน้ำตาล. พิจารณานัยน์ตาสีเหลืองใสที่จ้องราวกับจะมองให้ทะลุ. แล้วสำรวจลวดลายบนใบหน้าของมัน. ทั้งหมดนี้ทำให้สุนัขป่าเป็นสัตว์สง่าชวนมอง. อย่างไรก็ตาม มีการแสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับอนาคตของมัน. มีเหตุผลที่จะเป็นห่วงไหม?
สิ่งซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเรื่องปกติธรรมดาตลอดทั่วยุโรป, เอเชีย, และอเมริกาเหนือส่วนใหญ่—นั่นคือ การเห็นสุนัขป่า—มาบัดนี้กลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากในแคนาดา, อะแลสกา, และแถบที่มีประชากรเบาบางของสหรัฐ, ยุโรป, และรัสเซีย. ผู้คนกำลังกล่าวกันว่า พวกเขาต้องมีที่ให้สุนัขป่าบ้างในบริเวณป่าที่เลือกเฟ้นไว้. เนื่องจากมนุษย์ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับสัตว์ล่าเหยื่อ อย่างเช่น นกอินทรี, หมี, และสิงโตภูเขา จึงมีผู้ถามว่า “แล้วทำไมจึงไม่เรียนรู้ที่จะอยู่กับสุนัขป่าด้วยล่ะ?”
สู่วิถีแห่งธรรมชาติ
การคุ้มครองไม่ใช่การขจัดหรือควบคุม เป็นคำพูดที่นิยมใช้กัน. เวลานี้ ถือกันว่า วนอุทยานเป็นเขตคุ้มครองสัตว์ ไม่ใช่เป็นเพียงสวนป่าเดินเล่นสำหรับคนเท่านั้น. วารสารแคนาเดียน จีโอกราฟิก บอกว่าผู้ดูแลวนอุทยานอยากเห็นระบบนิเวศที่ได้รับการควบคุมโดยธรรมชาติ. หลังจากที่หายไปจากวนอุทยานแห่งชาติ บามฟ์ ในแคนาดา 40 ปี สุนัขป่าซึ่งเป็นสัตว์ประเภทหลักที่ล่าเหยื่อ ก็ได้กลับไปยังเทือกเขารอกกีทางตอนใต้เองในทศวรรษปี 1980—จำนวนเพียง 65 ตัว แต่หลายคนคิดว่านั่นเป็นนิมิตหมายอันดี. ฝรั่งเศสก็รายงานการกลับมาของสุนัขป่า หลังจากที่หายไป 50 ปี.a ในอิตาลี สุนัขป่ากลับมาเช่นกัน และได้ยินเสียงหอนอีกครั้งที่เมืองติโวลี ใกล้กรุงโรม.
กำลังมีการพิจารณาเสนอเรื่องสุนัขป่าอีกครั้งว่าเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ในวนอุทยานแห่งชาติเยลโลสโตน ประเทศสหรัฐ. สุนัขป่าเคยเป็นส่วนหนึ่งของระบบธรรมชาติในแถบนั้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ก่อนที่มันจะถูกกำจัดออกไป. บัดนี้ ผู้คนมากมายโดยเฉพาะผู้ที่มาเยือนวนอุทยานอยากให้มันกลับมา. อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมปศุสัตว์วิตกกังวลอย่างหนักเรื่องการนำสุนัขป่ากลับเข้ามาในถิ่นฐานของมัน. “เมื่อมีการนำสุนัขป่ากลับมาที่เยลโลสโตน การจัดการกับสุนัขป่านอกวนอุทยานจะกลายเป็นความจริงที่น่ากลัวในชีวิต” แอล. เดวิด เมก นักชีววิทยาด้านสุนัขป่ากล่าวไว้.
ในอนาคตจะเกิดอะไรกับสัตว์ชนิดนี้ ซึ่งอาศัยอยู่ในอาณาจักรสัตว์ที่มนุษย์แวบเห็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น?
อนาคตของสุนัขป่า
จำนวนผู้คนที่สนับสนุนการกลับฟื้นสภาพของสัตว์ที่แทบไม่ได้รับความปรานีจากมนุษย์เป็นเวลานานชี้ถึงทัศนคติที่เปลี่ยนไปอย่างเด่นชัด. หนังสือสุนัขป่า—นิเวศวิทยาและพฤติกรรมของสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ กล่าวว่า “ยังพอมีเวลาที่จะช่วยสัตว์ชนิดนี้ให้พ้นจากสภาพอันเลวร้าย. ไม่ว่าจะมีการลงมือทำหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ของมนุษย์ในเรื่องนิเวศวิทยาและพฤติกรรมของสุนัขป่า, การศึกษาวิจัยต่อไปถึงวิถีชีวิตของสุนัขป่า, และการเรียนรู้ของมนุษย์ที่จะคิดถึงสุนัขป่าไม่ใช่ในฐานะคู่ต่อสู้ แต่ในฐานะเพื่อนร่วมโลกซึ่งต้องอาศัยร่วมกัน.”
อยู่อย่างสันติ
การอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างคนกับสุนัขป่าอาจดีขึ้นในช่วงสองสามปีหลังนี้ แต่ที่ใดมีความเป็นปรปักษ์ สันติภาพแท้ก็ไม่อาจบรรลุได้. สิ่งนี้จะต้องปล่อยไปจนถึงเวลาหนึ่งในอนาคตอันใกล้เมื่อราชอาณาจักรของพระผู้สร้างเข้าครอบครอง ความเป็นศัตรูและความกลัวทั้งมวลจะถูกแทนที่ด้วยเจตคติแบบไว้วางใจกันและอยู่ร่วมกัน สำหรับสัตว์ที่แข็งแรงแต่มีความรู้สึกไวและขี้อายนี้.
น่าสนใจ คัมภีร์ไบเบิลให้ลักษณะของสุนัขป่าหลากหลายแบบในคำกล่าวเชิงพยากรณ์ ทำให้เราได้เห็นมันในแง่มุมที่ตรงข้ามกัน. ที่พระธรรมกิจการ 20:29, 30 มีการพรรณนาพวกออกหากในเชิงเปรียบเทียบว่าเป็น “สุนัขป่าอันร้าย” ซึ่งจะโจมตีประชาคมคริสเตียนที่เปรียบเสมือนแกะและทำให้สมาชิกบางคนหลงออกจากฝูง.
คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลที่พระธรรมยะซายา แม้ว่ายังไม่สำเร็จเป็นจริงขั้นสุดท้าย แต่ก็พรรณนาว่า สัตว์ที่ในทุกวันนี้เราเห็นเป็นศัตรูกัน จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติ. โปรดสังเกตว่าไม่มีความสัมพันธ์ในลักษณะสัตว์ล่าเหยื่อกับเหยื่อที่ถูกล่าในพระธรรมยะซายา 65:25 ซึ่งกล่าวว่า “‘สุนัขป่ากับลูกแกะจะหากินอยู่ด้วยกัน, และสิงห์โตจะกินฟางเหมือนอย่างโค . . . สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำอันตราย, หรือทำความพินาศตามบนภูเขาอันบริสุทธิ์ของเรา’ พระยะโฮวาได้ตรัสว่าดังนั้น.”
แม้ความบากบั่นของมนุษย์แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังพยายามยอมรับสุนัขป่า แต่ข้อพระคัมภีร์ที่เพิ่งยกมากล่าว รับรองเราว่า พระเจ้ามีที่ให้มันอยู่ในระบบใหม่แห่งสิ่งต่าง ๆ ของพระองค์. ครั้นแล้วดาวเคราะห์โลกจะเป็นที่อยู่ร่วมกันสำหรับชีวิตทุกรูปแบบ รวมทั้งแคนิส ลูปุส ด้วย.
[เชิงอรรถ]
a ดู “การเพ่งดูโลก” ในตื่นเถิด! ฉบับ 8 กุมภาพันธ์ 1994.
[ที่มาของภาพหน้า 27]
Thomas Kitchin/Victoria Hurst
[ที่มาของภาพหน้า 28]
Thomas Kitchin