การต่อสู้กำลังประสบชัยชนะไหม?
“โปรดดูแลดาวเคราะห์ดวงนี้ เรามีอยู่เพียงดวงเดียวเท่านั้น.” นี้เป็นคำวิงวอนที่เร้าใจของเจ้าฟ้าชายฟิลลิปแห่งบริเตน ประธานกองทุนเพื่อธรรมชาติทั่วโลก.
หลายพันปีก่อนหน้านี้ ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเขียนไว้ว่า “ฟ้าสวรรค์เป็นฟ้าสวรรค์ของพระยะโฮวา; แต่แผ่นดินโลกพระองค์ได้ประทานแก่มนุษย์.” (บทเพลงสรรเสริญ 115:16) พระเจ้าทรงประทานแผ่นดินโลกให้เป็นบ้านของเรา และพวกเราต้องดูแล. นี้แหละคือสิ่งที่เรียกว่านิเวศวิทยา.
จริง ๆ แล้วคำ “นิเวศวิทยา” หมายถึง “การศึกษาเรื่องบ้าน.”a คำนิยามหนึ่งที่พจนานุกรมดิ อเมริกัน เฮริเทจให้ไว้คือ “การศึกษาเรื่องผลกระทบในทางเสียหายที่อารยธรรมสมัยใหม่มีต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยแง่คิดที่จะป้องกันหรือเปลี่ยนกลับ โดยการอนุรักษ์.” พูดง่าย ๆ ก็คือ นิเวศวิทยาหมายถึงการค้นหาความเสียหายที่มนุษย์ได้ทำลงไป และแล้วหาทางแก้ไข. ทั้งสองไม่ใช่งานง่าย ๆ เลย.
ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจแย้งได้สามประการเรื่องนิเวศวิทยา
ในหนังสือของเขาชื่อสร้างสันติกับลูกโลก (ภาษาอังกฤษ) แบร์รี คอมมอเนอร์ นักชีววิทยาแนะกฎง่าย ๆ สามข้อเกี่ยวกับนิเวศวิทยา ซึ่งช่วยอธิบายว่าทำไมจึงง่ายเหลือเกินที่จะปฏิบัติต่อโลกอย่างผิด ๆ โดยไม่ระมัดระวัง.
ทุกสิ่งเกี่ยวเนื่องไปถึงสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมด. ฟันไม่ดีซี่หนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายฉันใด การทำความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ ก็อาจเป็นชนวนก่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นลูกโซ่ฉันนั้น.
เพื่อเป็นตัวอย่าง ระหว่างช่วง 40 ปีที่ผ่านมา 50 เปอร์เซ็นต์ของป่าไม้แถบภูเขาหิมาลัยของเนปาลถูกตัดโค่นเอาไปทำฟืนหรือไม่ก็นำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูป. ครั้นโค่นต้นไม้ลง ดินตามไหล่เขาก็ถูกซัดเซาะออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อฝนจากมรสุมกระหน่ำ. พอไม่มีดินชั้นบน ต้นไม้ใหม่ ๆ ก็ไม่อาจฝังรากลงได้ง่าย และภูเขาหลายลูกก็แห้งแล้งไร้ต้นไม้. เนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า เดี๋ยวนี้เนปาลจึงสูญเสียดินชั้นบนหลายล้านตันทุกปี. และปัญหาดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่แค่เนปาล.
ในบังคลาเทศ ฝนห่าใหญ่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีต้นไม้ดูดซับน้ำไว้ บัดนี้ไหลเชี่ยวลงมาจากภูเขาที่โล้นเลี่ยนโดยไม่มีอะไรขวางกั้นและมุ่งสู่ชายฝั่งทะเล ที่ซึ่งมันก่อให้เกิดอุทกภัยอันเป็นความหายนะ. ในอดีต บังคลาเทศเคยมีน้ำท่วมอย่างรุนแรงหนึ่งครั้งในทุก ๆ 50 ปี ปัจจุบันเกิดทุก ๆ 4 ปี หรือน้อยกว่านั้น.
ในส่วนอื่น ๆ ของโลก การตัดไม้ทำลายป่าก่อให้เกิดทะเลทรายและเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศประจำท้องถิ่น. ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติเพียงอย่างหนึ่งเท่านั้นที่มนุษย์ตักตวงเอาผลประโยชน์เกินควร. เนื่องจากเหล่านักนิเวศวิทยายังรู้ค่อนข้างน้อยเกี่ยวกับส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวประสานกันในระบบนิเวศอันกว้างใหญ่ของเรา ปัญหาบางอย่างอาจจะไม่ทันสังเกต จนกระทั่งความเสียหายร้ายแรงได้เกิดขึ้นแล้ว. นี้เป็นความจริงในเรื่องของการทิ้งของเสีย ซึ่งเป็นตัวอย่างในเรื่องกฎข้อสองเกี่ยวกับนิเวศวิทยา.
ทุกสิ่งจะต้องไปยังที่ใดที่หนึ่ง. ลองมโนภาพดูก็แล้วกันว่า บ้านโดยทั่วไปจะเป็นเช่นไร หากไม่มีการทิ้งขยะเลย. ดาวเคราะห์ของเราเป็นระบบปิดเช่นนั้นแหละ—ของเสียทั้งสิ้นของเราจะต้องไปยังที่ใดที่หนึ่งรอบ ๆ บ้านอันได้แก่แผ่นดินโลกนี้. การทำลายชั้นโอโซนบางส่วนแสดงให้เห็นว่า แม้แต่ก๊าซที่ดูเหมือนปราศจากอันตราย อย่างเช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ไม่ใช่แค่อันตรธานไปในอากาศเฉย ๆ. คลอโรฟลูออโรคาร์บอน เป็นเพียงหนึ่งในสารนับร้อย ๆ ที่แฝงด้วยอันตราย ซึ่งกำลังปล่อยสู่ท้องฟ้า, แม่น้ำ, และมหาสมุทร.
เป็นความจริง ผลิตภัณฑ์บางอย่าง—ซึ่งเรียกว่า “ย่อยสลายได้โดยชีววิธี”—เมื่อเวลาผ่านไปสามารถสลายตัวและถูกซึมซับไปโดยกระบวนการทางธรรมชาติ แต่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ไม่เป็นเช่นนั้น. ตามหาดทรายต่าง ๆ ในโลกเกลื่อนไปด้วยบรรจุภัณฑ์พลาสติกทุกชนิดทุกขนาด ซึ่งจะอยู่อย่างนั้นไปอีกหลายทศวรรษ. ที่มองไม่ค่อยเห็นก็คือ ของเสียที่เป็นพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งปกติจะกลบไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่ง. ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่ามันจะถูกลืมเลือน. มันสามารถซึมลงไปยังแหล่งน้ำใต้ดิน และเป็นเหตุให้สุขภาพของมนุษย์และสัตว์เสี่ยงต่ออันตรายอย่างร้ายแรง. นักวิทยาศาสตร์ชาวฮังการีคนหนึ่งซึ่งประจำอยู่ที่สถาบันอุทกวิทยาของกรุงบูดาเปสต์ ยอมรับว่า “เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับสารเคมีต่าง ๆ ที่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ปล่อยออกมา. เราไม่สามารถล่วงรู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรบ้างและตกค้างอยู่ที่ไหน.”
ขยะที่เป็นภัยคุกคามมากที่สุดในบรรดาขยะทั้งมวลก็คือ ของเสียที่เป็นกัมมันตรังสี ซึ่งเกิดจากโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์. กากนิวเคลียร์นับพัน ๆ ตันถูกเก็บไว้ในที่เก็บชั่วคราว กระนั้นบางส่วนได้เทลงมหาสมุทรแล้ว. ทั้ง ๆ ที่มีการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เป็นเวลาหลายปี แต่ก็ยังไม่พบวิธีปลอดภัย ที่จะเก็บไว้ถาวรหรือนำไปทิ้ง และยังมองไม่เห็นทางอะไรในอนาคตอันใกล้. ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรระเบิดเวลาทางนิเวศวิทยาเหล่านี้จะระเบิดตูมขึ้นมา. ปัญหานี้จะไม่มลายหายไปอย่างแน่นอน—ของเสียดังกล่าวจะเป็นตัวแผ่กัมมันตรังสีนับเป็นร้อย ๆ ปีหรือพัน ๆ ปีข้างหน้า หรือจนกว่าพระเจ้าจะเข้ามาจัดการ. (วิวรณ์ 11:18) ความไม่แยแสของมนุษย์ในเรื่องการทิ้งของเสียยังเป็นสิ่งเตือนใจให้นึกถึงกฎข้อที่สามของระบบนิเวศอีกด้วย.
ให้ระบบของธรรมชาติไปตามวิถีของมัน. พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ มนุษย์จำต้องร่วมมือกับระบบของธรรมชาติแทนที่จะพยายามเลี่ยงทางออกไปด้วยการทำอะไรบางอย่างที่เขาคิดว่าดีกว่า. ยาปราบศัตรูพืชบางชนิดเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเรื่องนี้. เมื่อนำมาใช้ครั้งแรก ทำให้ชาวนาสามารถควบคุมวัชพืชและแมลงที่ทำลายพืชผลก็ถูกกำจัดเกือบหมดสิ้น. ดูเหมือนรับประกันว่าจะได้พืชผลมหาศาล. แต่แล้วสิ่งต่าง ๆ ผิดคาด. ปรากฏว่าบรรดาวัชพืชและแมลงต้านทานยาได้ชนิดแล้วชนิดเล่า และกลับกลายเป็นว่ายาปราบศัตรูพืชเป็นพิษต่อสัตว์ที่ตามธรรมชาติแล้วจะกินแมลงเป็นอาหาร, เป็นพิษต่อชีวิตสัตว์ป่า, และกระทั่งต่อมนุษย์เอง. คุณอาจจะเคยได้รับผลกระทบจากยาปราบศัตรูพืชมาแล้ว. ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณก็เป็นหนึ่งในเหยื่อซึ่งอย่างน้อยก็มีนับล้านทั่วโลก.
เรื่องน่าเศร้าสุดท้ายก็คือที่ว่า มีหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่ายาปราบศัตรูพืชอาจไม่เพิ่มผลผลิตพืชไร่ในระยะยาว. ในสหรัฐ แมลงต่าง ๆ ขณะนี้เขมือบพืชผลในสัดส่วนที่มากกว่าสมัยซึ่งพวกมันได้ทำก่อนจะเปลี่ยนโฉมการใช้ยาฆ่าแมลง. สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติซึ่งตั้งอยู่ที่ฟิลิปปินส์ก็ได้พบเช่นเดียวกันว่า ยาปราบศัตรูพืชไม่ช่วยให้ผลผลิตข้าวในเอเชียอาคเนย์ดีขึ้นอีกต่อไป. ที่จริง โครงการหนึ่งที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลอินโดนีเซีย ซึ่งไม่ได้พึ่งพายาปราบศัตรูพืชมากมายนัก ได้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 1987 ทั้ง ๆ ที่ลดการใช้ยาปราบศัตรูพืชไปถึง 65 เปอร์เซ็นต์. อย่างไรก็ตาม เกษตรกรของโลกก็ยังคงใช้ยาปราบศัตรูพืชอย่างกว้างขวาง.
กฎสามข้อว่าด้วยเรื่องนิเวศวิทยาที่สรุปให้เห็นข้างต้น ช่วยอธิบายถึงเหตุผลที่สิ่งต่าง ๆ กำลังดำเนินไปอย่างผิด ๆ. ปัญหาสำคัญอื่น ๆ ก็คือ มีการทำความเสียหายมากน้อยเท่าไรแล้ว และจะแก้ได้ไหม?
มีการทำความเสียหายมากน้อยเท่าไร?
แผนที่โลกซึ่งอยู่ในบทความนี้ (ดูหน้า 8-9) แสดงให้เห็นเด่นชัดถึงปัญหาหลัก ๆ ด้านสิ่งแวดล้อม และบริเวณที่อยู่ในขั้นวิกฤติมากที่สุด. เห็นได้ชัดว่า เมื่อสูญเสียแหล่งที่อยู่หรือปัจจัยอื่น ๆ อันเป็นเหตุให้พืชหรือสัตว์ชนิดหนึ่งสูญพันธุ์ มนุษย์ไม่สามารถซ่อมแซมความเสียหายนี้ได้. ความเสียหายอื่น ๆ—เช่น ความเสื่อมโทรมของชั้นโอโซน—ได้เกิดขึ้นแล้ว. จะว่าอย่างไรกับการทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมอย่างไม่หยุดยั้ง? มีความคืบหน้าไหมในการยับยั้งสิ่งนั้น หรืออย่างน้อยก็ชะลอลง?
สองสิ่งในบรรดาเครื่องวัดความเสียหายที่สำคัญที่สุดทางด้านนิเวศวิทยาก็คือ เกษตรกรรมและการประมง. เพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าสมรรถนะในการผลิตของมันขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดี และเพราะชีวิตของเราก็ขึ้นอยู่กับแหล่งอาหารที่วางใจได้.
ทั้งสองสิ่งนี้กำลังแสดงสัญลักษณ์เด่นชัดในเรื่องความเสื่อมโทรม. องค์การอาหารและเกษตรของสหประชาชาติได้คำนวณว่า กองเรือประมงของโลกไม่สามารถจับปลาได้มากกว่า 100 ล้านตันโดยไม่ไปคุกคามอย่างรุนแรงต่อปลาที่จะจับในอนาคต. มีการจับปลาเกินยอดดังกล่าวในปี 1989 และดังที่คาดไว้แล้วในปีถัดไปการจับปลาทั่วโลกลดลงสี่ล้านตัน. แหล่งปลาชุมบางแห่งจำนวนปลาลดลงอย่างฮวบฮาบ. เพื่อเป็นตัวอย่าง แถบตะวันออกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก จำนวนปลาที่จับได้ ลดลงถึง 32 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา. ปัญหาหลัก ๆ ก็คือ การจับปลามากเกินไป, มลภาวะในมหาสมุทร, และการทำลายพื้นที่วางไข่.
แนวโน้มอันน่าตื่นตระหนกนี้สะท้อนให้เห็นเช่นเดียวกันในผลิตผลพืชไร่. ระหว่างช่วงทศวรรษปี 1960 และ 1970 พันธุ์พืชที่ปรับปรุงพัฒนาขึ้น อีกทั้งการชลประทาน และการใช้เคมีปราบศัตรูพืชอย่างกว้างขวาง รวมถึงปุ๋ยเคมี ได้เพิ่มผลผลิตข้าวในโลกค่อนข้างมาก. ปัจจุบัน ยาปราบศัตรูพืชและปุ๋ยกำลังจะหมดประสิทธิภาพ และการขาดแคลนน้ำแถมยังมีมลภาวะอีกด้วย ทำให้การเก็บเกี่ยวไม่ได้ผล.
ทั้ง ๆ ที่ต้องเลี้ยงเพิ่มขึ้นเกือบ 100 ล้านปากแต่ละปี แต่ระหว่างทศวรรษที่แล้วปริมาณพื้นที่เพาะปลูกทั้งสิ้นกลับลดลง. และพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ก็กำลังสูญเสียความอุดมสมบูรณ์. สถาบันเวิลด์ว็อช กะประมาณว่า การเซาะทำลายได้ทำให้ดินชั้นบนของชาวนาชาวไร่หายไปถึง 500,000 ล้านตันระหว่างช่วง 20 ปีที่ผ่านมา. ผลผลิตทางอาหารจึงเริ่มลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้. รายงานสถานภาพโลกปี 1993 ให้ความเห็นว่า “การที่ผลผลิตข้าวลดลงในอัตรา 6 เปอร์เซ็นต์ต่อหนึ่งคนระหว่างปี 1984 ถึง 1992 อาจ [เป็น] แนวโน้มทางเศรษฐกิจที่น่าวิตกที่สุดในโลกขณะนี้.”
เป็นที่ชัดเจนว่า ชีวิตผู้คนนับล้านตกเข้าสู่ภาวะเสี่ยงอันตรายแล้ว อันเป็นผลสืบเนื่องจากการที่มนุษย์ละเลยสิ่งแวดล้อม.
มนุษย์สามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ไหม?
ถึงแม้ว่าบัดนี้มนุษย์เข้าใจบ้างเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเป็นไปอย่างผิด ๆ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะแก้. ปัญหายุ่งยากประการแรกก็คือ จะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล—อย่างน้อย 15 ล้านล้านบาทต่อปี—เพื่อปฏิบัติตามข้อเสนอที่ครอบคลุมเนื้อหากว้างซึ่งมีการออก ณ การประชุมสุดยอดสิ่งแวดล้อมโลกเมื่อปี 1992. การเสียสละอย่างแท้จริงคงจำเป็นด้วย—การเสียสละดังเช่น ลดการใช้อย่างสิ้นเปลืองและเพิ่มการรีไซเคิล (นำของเก่ามาหมุนเวียนใช้อีก) ให้มากขึ้น, อนุรักษ์น้ำและพลังงาน, ใช้บริการขนส่งมวลชนแทนการใช้รถส่วนตัว, และสิ่งที่ยากที่สุดก็คือ คิดในแง่ผลกระทบต่อทั้งลูกโลกแทนที่จะคิดถึงเฉพาะบริเวณบ้านของตัวเอง. จอห์น แครนส์ จูเนียร์ ประธานคณะกรรมาธิการของสหรัฐเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศวิทยาทางน้ำ สรุปปัญหาโดยย่อดังนี้: “ผมมองในแง่ดีเกี่ยวกับสิ่งที่เราอาจทำได้. ส่วนสิ่งที่เราจะทำนั้นอย่าให้ผมพูดเลย.”
ค่าใช้จ่ายในการชำระชะล้างขนานใหญ่สูงลิ่วจริง ๆ จนประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่เลือกที่จะเลื่อนวันเวลาออกไป. ในช่วงวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมถูกมองว่าเป็นสิ่งคุกคามงานอาชีพหรือเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจ. การพูดง่ายกว่าการกระทำ. หนังสือการดูแลโลกของเรา (ภาษาอังกฤษ) พรรณนาอาการตอบสนองจนถึงเวลานี้ว่าเสมือน “พายุฝนฟ้าคะนองแห่งวาทศิลป์ซึ่งติดตามด้วยความแห้งแล้งแห่งการเชื่องช้านิ่งเฉย.” แต่ถึงจะเชื่องช้าเช่นนั้นก็ตาม เทคโนโลยีสมัยใหม่—ถ้าให้เวลา—จะไม่มีทางพบวิธีเยียวยาที่นิ่มนวลสำหรับความเจ็บป่วยของลูกโลกกระนั้นหรือ? เห็นชัด ๆ ว่าไม่มีทาง.
ในแถลงการณ์ร่วม สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐและราชสมาคมแห่งลอนดอนยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าการทำนายในปัจจุบันเรื่องอัตราขยายตัวของจำนวนประชากรถูกต้องแม่นยำ และรูปแบบแห่งกิจกรรมของมนุษย์บนดาวเคราะห์ดวงนี้ยังไม่เปลี่ยน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาจไม่สามารถป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีทางผันกลับได้ หรือความยากจนข้นแค้นที่ยังคงมีอยู่ต่อไปสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ในโลก.”
ปัญหาน่ากลัวในเรื่องกากนิวเคลียร์ซึ่งไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน เป็นข้อเตือนใจพวกเราว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่จะบันดาลได้ทุกสิ่งทุกอย่าง. เป็นเวลา 40 ปีแล้วที่พวกนักวิทยาศาสตร์สืบหาแหล่งที่ปลอดภัยและถาวรเพื่อจะเก็บกากกัมมันตรังสีซึ่งแผ่รังสีในระดับสูง. การค้นหายากเสียจนบางประเทศอย่างเช่น อิตาลีและอาร์เจนตินา ได้สรุปว่าพวกเขาจะไม่มีสถานที่ที่พร้อมอย่างเร็วที่สุดก็จนกว่าจะถึงปี 2040. เยอรมนี ประเทศที่มองเรื่องนี้ในแง่ดีกว่าเพื่อน หวังว่าจะทำแผนเสร็จเมื่อถึงปี 2008.
ทำไมกากนิวเคลียร์จึงเป็นปัญหาขนาดนั้น? คอนราด เคราสคอพฟ์ นักธรณีวิทยาอธิบายว่า “ไม่มีนักวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรคนไหนสามารถรับประกันได้อย่างเด็ดขาดว่า กากกัมมันตรังสีจะไม่รั่วซึมออกมาวันใดวันหนึ่ง แม้จากแหล่งเก็บที่ดีที่สุด.” แต่ทั้ง ๆ ที่มีการเตือนตั้งแต่ตอนต้น ๆ เกี่ยวกับความยุ่งยากเรื่องการทิ้งกาก รัฐบาลต่าง ๆ และอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ก็ดันทุรังรุกคืบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว โดยทึกทักกันไปเองว่าเทคโนโลยีในอนาคตจะพบวิธีแก้. อนาคตเช่นว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย.
หากเทคโนโลยีไม่มีวิธีแก้เฉพาะหน้าสำหรับภาวะวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อม อะไรคือทางเลือกอื่นที่ยังเหลืออยู่? ในที่สุด ความจำเป็นจะเป็นตัวบีบบังคับให้ประเทศต่าง ๆ ทำงานร่วมกันเพื่อปกป้องลูกโลกกระนั้นไหม?
[เชิงอรรถ]
a คำภาษาอังกฤษอีโกโลจิมาจากคำภาษากรีก ออยกอส (ที่อยู่อาศัย, บ้าน) และ โลเกีย (การศึกษา).
[กรอบหน้า 7]
การสืบหาแหล่งพลังงานที่ไม่มีวันหมด
พวกเราส่วนใหญ่ใช้พลังงานอย่างไม่รู้คุณค่า—จนกว่าไฟฟ้าจะดับ หรือไม่ก็ราคาน้ำมันสูงขึ้น. อย่างไรก็ตาม การบริโภคพลังงานเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมลภาวะ. พลังงานส่วนใหญ่ที่ใช้กันมาจากการเผาฟืน หรือเชื้อเพลิงจากฟอสซิลอันเป็นกรรมวิธีหนึ่งที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นับล้าน ๆ ตันสู่บรรยากาศ และทำลายป่าไม้ของโลกอย่างมาก.
พลังงานนิวเคลียร์ อีกทางเลือกหนึ่ง กำลังกลายเป็นสิ่งไม่ค่อยนิยมยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากอันตรายเรื่องการเกิดอุบัติเหตุ และยากต่อการเก็บกากกัมมันตรังสี. ทางเลือกอื่น ๆ ก็คือสิ่งซึ่งรู้จักกันว่าแหล่งพลังงานที่ไม่มีวันหมด เนื่องจากวิธีเหล่านี้เป็นการใช้แหล่งพลังงานที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ทั่วไป. มีอยู่สี่ชนิดหลัก ๆ.
พลังงานแสงอาทิตย์. พลังงานแสงอาทิตย์สามารถนำเอามาใช้อย่างง่ายดายเพื่อทำความร้อน และในบางประเทศ อย่างเช่นอิสราเอล บ้านหลายหลังมีแผงสุริยะเพื่อใช้ทำน้ำร้อน. การใช้ดวงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ยากกว่า แต่หม้อไฟฟ้าพลังแสงสมัยใหม่ก็กำลังจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่ต่าง ๆ ตามชนบทอยู่แล้ว และราคากำลังถูกลง.
พลังลม. กังหันลมขนาดมหึมา เดี๋ยวนี้มีให้เห็นกระจัดกระจายทั่วไปในหลายส่วนของโลกที่มีกระแสลมแรง. ไฟฟ้าที่ได้จากพลังงานซึ่งเรียกกันว่าเอโอเลียนนี้ราคาลดลงเรื่อย ๆ และปัจจุบันในบางพื้นที่ราคาถูกกว่าแหล่งพลังงานที่นิยมกันใช้.
ไฟฟ้าพลังน้ำ. 20 เปอร์เซ็นต์ของไฟฟ้าในโลกมาจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำอยู่แล้ว แต่น่าเสียดาย ทำเลเหมาะ ๆ ส่วนใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้วถูกใช้หมด. เขื่อนขนาดใหญ่ยังอาจทำความเสียหายค่อนข้างมากอีกด้วยต่อระบบนิเวศ. ช่องทางที่ดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา ดูเหมือนจะเป็นการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่มีขนาดเล็กลงหลาย ๆ แห่ง.
พลังงานความร้อนใต้พิภพ. บางประเทศ โดยเฉพาะไอซ์แลนด์และนิวซีแลนด์ สามารถต่อท่อไปถึง “ระบบน้ำร้อน” ใต้ดิน. การคุกรุ่นของภูเขาไฟใต้ดินทำให้น้ำร้อน ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อช่วยให้บ้านอบอุ่น และผลิตไฟฟ้าได้. อิตาลี, ญี่ปุ่น, เม็กซิโก, ฟิลิปปินส์, และสหรัฐ ก็ได้พัฒนาแหล่งพลังงานธรรมชาตินี้มาใช้ในระดับหนึ่งด้วย.
พลังจากน้ำขึ้นลง. กระแสน้ำขึ้นลงในมหาสมุทรกำลังถูกนำมาใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าในบางประเทศ อย่างเช่น บริเตน, ฝรั่งเศส, และรัสเซีย. อย่างไรก็ดี ตลอดทั่วโลกมีทำเลไม่มากนักที่เหมาะสมต่อการจัดหาพลังงานจากแหล่งนี้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ประหยัด.
[กรอบ/ภาพหน้า 8, 9]
ปัญหาใหญ่ ๆ บางประการด้านสิ่งแวดล้อมของโลก
การทำลายป่า. สามในสี่ของป่าไม้เขตอบอุ่น และครึ่งหนึ่งของป่าไม้เขตร้อนในโลกสูญไปแล้ว และอัตราการตัดไม้ทำลายป่าได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจระหว่างช่วงทศวรรษที่ผ่านมา. การกะประมาณล่าสุดบอกว่าการทำลายป่าเขตร้อนอยู่ระหว่าง 150,000 ถึง 200,000 ตารางกิโลเมตรทุกปี ขนาดราว ๆ ประเทศอุรุกวัย.
ของเสียที่เป็นพิษ. ครึ่งหนึ่งของเคมีภัณฑ์ 70,000 ชนิดที่ผลิตขึ้นในปัจจุบัน ถูกจัดอยู่ในจำพวกสารพิษ. เฉพาะสหรัฐประเทศเดียวก่อของเสียที่เป็นพิษ 240 ล้านตันทุกปี. การคำนวณปริมาณสุทธิทั่วโลกทำไม่ได้เพราะขาดข้อมูล. นอกจากนี้พอถึงปี 2000 จะมีกากกัมมันตรังสีเกือบ 200,000 ตันอยู่ตามสถานที่เก็บชั่วคราว.
ความเสื่อมโทรมของผืนดิน. หนึ่งในสามของพื้นผิวโลกถูกคุกคามด้วยการเปลี่ยนสภาพให้เป็นทะเลทราย. ในบางส่วนของแอฟริกา ทะเลทรายสะฮาราคืบขยายออกไปถึง 350 กิโลเมตรในเวลาเพียง 20 ปี. แม้ในขณะนี้ การทำมาหากินของประชาชน 1,200 ล้านคนถูกคุกคามอยู่แล้ว.
การขาดแคลนน้ำ. ประชาชนประมาณสองพันล้านคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการขาดแคลนน้ำเรื้อรัง. การขาดแคลนยิ่งแย่ลงไปอีกเพราะบ่อน้ำนับพัน ๆ บ่อแห้งขอดเนื่องจากการลดต่ำลงไปของระดับน้ำใต้ดินที่บ่อนั้นต้องพึ่งพา.
พืชและสัตว์ชนิดต่าง ๆ อยู่ในอันตรายจะสูญพันธุ์. ถึงแม้ตัวเลขจะยังไม่ค่อยแน่นอน แต่นักวิทยาศาสตร์กะว่า พอถึงปี 2000 สัตว์, พืช, และแมลงประมาณ 500,000 ถึง 1,000,000 ชนิดถูกทำลายไปแล้ว.
บรรยากาศปนเปื้อน. การศึกษาวิจัยของสหประชาชาติในช่วงต้นทศวรรษปี 1980 พบว่ามีถึงหนึ่งพันล้านคนอาศัยอยู่ในเขตตัวเมืองซึ่งทุกวันได้รับอนุภาคของเขม่าควันหรือไม่ก็ก๊าซที่เป็นพิษ ในระดับที่คุกคามต่อสุขภาพ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์, ไนโตรเจนไดออกไซด์, และคาร์บอนมอนอกไซด์. การเติบโตอย่างรวดเร็วของเมืองใหญ่ ๆ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ปัญหานี้เลวร้ายลงอย่างไม่ต้องสงสัย. นอกจากนี้ คาร์บอนไดออกไซด์ 24,000 ล้านตันถูกปล่อยสู่บรรยากาศทุกปี และมีการกลัวกันว่า “ก๊าซที่ก่อภาวะเรือนกระจก” นี้จะทำให้โลกร้อนขึ้น.
[แผนที่]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
การตัดไม้ทำลายป่า
ของเสียที่เป็นพิษ
ภาวะมลพิษในบรรยากาศ
การขาดแคลนน้ำ
พืชและสัตว์หลายชนิดใกล้จะสูญพันธุ์
ความเสื่อมโทรมของผืนดิน
[ที่มาของภาพ]
Mountain High Maps™ copyright© 1993 Digital Wisdom, Inc.
Photo: Hutchings, Godo-Foto
Photo: Mora, Godo-Foto