สังเกตอาการให้ออกแล้วรีบรักษา
เมื่อเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน สำคัญอย่างยิ่งที่จะขอความช่วยเหลือจากแพทย์ทันที เพราะอัตราเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมีมากที่สุดในชั่วโมงแรกหลังจากเกิดอาการ. การบำบัดอย่างรวดเร็วสามารถรักษากล้ามเนื้อหัวใจไว้จากความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้. ยิ่งกล้ามเนื้อหัวใจถูกสงวนรักษาไว้มากเท่าไร หัวใจก็จะสูบฉีดโลหิตอย่างมีประสิทธิภาพมากเท่านั้นหลังประสบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด.
อย่างไรก็ตาม ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในบางรายเกิดขึ้นอย่างไม่มีวี่แวว ไม่ส่อแสดงอาการให้เห็นภายนอกเลย. ในกรณีดังกล่าว คน ๆ นั้นอาจจะไม่รู้ตัวว่าตนเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (CAD). น่าเศร้า สำหรับบางคนแล้ว สัญญาณแรกที่แสดงว่าหัวใจมีปัญหาอาจจะเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในบริเวณกว้างทางเลือก: ขั้นรุนแรง. เมื่อหัวใจหยุดเต้น (หยุดสูบฉีดโลหิต) โอกาสที่จะรอดมีน้อย เว้นแต่จะเรียกทีมช่วยชีวิตมาทันที และมีการใช้วิธีซีพีอาร์ (cardiopulmonary resuscitation) ซึ่งเป็นวิธีผายปอดนวดหัวใจช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานโดยผู้อยู่ในเหตุการณ์ในทันทีทันใดเท่านั้น.ความเห็น: ปรึกษาจากศูนย์โรคหัวใจ ร.พ.ราชวิถี
จดหมายข่าวสุขภาพฮาร์เวิร์ด (ภาษาอังกฤษ) รายงานว่า สำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ ประมาณครึ่งหนึ่งจะไม่ขอความช่วยเหลือจากแพทย์ทันที. เพราะเหตุใด? “มักเป็นเพราะพวกเขาดูอาการของตัวเองไม่ออก หรือคิดว่าไม่หนักหนาอะไร.”
จอห์นa ผู้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่ง วิงวอนดังนี้: “เมื่อคุณรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล อย่ารีรอที่จะขอความช่วยเหลือจากแพทย์เพราะเกรงว่าจะเกิดการตื่นตระหนกเกินเหตุ. ผมเกือบจะเสียชีวิตเนื่องจากไม่ไหวตัวเร็วพอ.”
เกิดอะไรขึ้น
จอห์นอธิบายว่า “หนึ่งปีครึ่งก่อนที่ผมจะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน แพทย์คนหนึ่งได้เตือนผมว่าผมมีคอเลสเตอรอลสูง อันเป็นปัจจัยหลักที่ก่อความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ. แต่ผมก็เลี่ยงไม่ยอมรับเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังหนุ่มแน่น—อายุไม่ถึง 40—และสุขภาพดี. ผมเสียใจอย่างมากที่ไม่ได้ลงมือรักษาในตอนนั้น. มีสัญญาณอื่น ๆ เตือนผมด้วย—เช่น อาการหอบเหนื่อยหายใจไม่อิ่มเมื่อออกแรง, อาการเสียดแน่นซึ่งผมคิดว่าอาหารไม่ย่อย, และอาการเหนื่อยล้ามาก ๆ เป็นเวลาหลายเดือนก่อนการจู่โจมเฉียบพลัน. ส่วนใหญ่แล้วผมโทษการนอนน้อยเกินไปและการเคร่งเครียดกับงานมากไป. สามวันก่อนที่ผมจะประสบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ผมมีอาการซึ่งผมคิดว่าเป็นการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าอก. นั่นเป็นการจู่โจมขนาดย่อมซึ่งมาก่อนอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอย่างรุนแรงในสามวันต่อมา.”
ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ประสบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันจะมีสัญญาณเตือนด้วยการเจ็บหรือจุกแน่นในทรวงอก ซึ่งเรียกว่าแองไจนา. บางคนมีอาการหอบเหนื่อยหายใจไม่อิ่มหรืออ่อนเปลี้ยเพลียแรง ซึ่งบ่งบอกว่าหัวใจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอเนื่องจากหลอดเลือดอุดตัน. สัญญาณเตือนเหล่านี้ควรกระตุ้นให้คนเราไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการของหัวใจ. ดร. ปีเตอร์ โคห์น กล่าวว่า “หลังจากรักษาอาการแองไจนาแล้ว ไม่รับประกันว่าจะป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ แต่อย่างน้อยก็ลดโอกาสที่จะเกิดอาการอย่างฉับพลัน.”
การจู่โจม
จอห์นกล่าวต่อไปว่า “วันนั้นเรากำลังจะไปเล่นซอฟต์บอล. ขณะที่ผมสวาปามแฮมเบอร์เกอร์และมันฝรั่งทอดเป็นอาหารกลางวัน ผมไม่ใส่ใจกับอาการบางอย่าง เช่น ความอึดอัด, คลื่นไส้, และอาการแน่นลำตัวท่อนบน. แต่พอเราไปถึงสนามบอลและเริ่มเล่น ผมรู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดปกติ. ในช่วงบ่าย ผมรู้สึกว่าอาการเลวร้ายลงเรื่อย ๆ.
“หลายครั้ง ผมนอนเหยียดบนม้านั่งนักกีฬา, แหงนหน้า, และพยายามแอ่นยืดขยายกล้ามเนื้อหน้าอก แต่มันกลับแน่นขึ้นเรื่อย ๆ. ขณะที่ผมเล่น ผมพูดกับตัวเองว่า ‘ผมอาจจะเป็นไข้หวัด’ เพราะผมรู้สึกเนื้อตัวเย็นชืดและเหนื่อยอ่อนเป็นบางครั้ง. ตอนที่ผมวิ่ง ผมเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด. ผมนอนบนม้านั่งอีกครั้ง. เมื่อผมลุกนั่ง ผมรู้ทันทีว่าผมมีอาการหนักมาก. ผมร้องบอกเจมส์ลูกชายว่า ‘พ่อต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!’ ผมรู้สึกราวกับทรวงอกถูกรัดแน่นจนจะยุบอยู่แล้ว. ความเจ็บรุนแรงมากจนผมไม่อาจลุกได้. ผมคิดว่า ‘ไม่มีทางที่อาการนี้จะเป็นภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เป็นไปได้อย่างไร? ผมอายุแค่ 38 ปี!’”
ลูกชายของจอห์นซึ่งตอนนั้นมีอายุ 15 ปี เล่าว่า “ภายในไม่กี่นาทีพ่อของผมก็หมดเรี่ยวแรง จนต้องพากันหามไปที่รถยนต์. เพื่อนผมขับรถไปพลางก็ถามพ่อไปพลางเพื่อติดตามอาการของท่านอย่างใกล้ชิด. ในที่สุด พ่อไม่ตอบ. ‘จอห์น!’ เพื่อนผมตะโกนเรียก. แต่พ่อก็ไม่ตอบสนอง. จากนั้นพ่อก็มีอาการกระตุกขณะนั่งอยู่ แล้วเริ่มชักเกร็งและอาเจียน. ผมตะโกนเสียงหลงซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ‘พ่อครับ! ผมรักพ่อ! โปรดอย่าจากผมไปนะครับ!’ หลังจากชักแล้ว ร่างของพ่อก็นอนแน่นิ่งที่เบาะรถ. ผมคิดว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว.”
ที่โรงพยาบาล
“เรารีบความเห็น: อาจโดยวิธีขับรถเข้าไปจอดที่ลานฉุกเฉินหรือวิ่งจากรถด้วยเท้าไปที่เคาน์เตอร์เข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อขอความช่วยเหลือ. สองหรือสามนาทีผ่านไปหลังจากที่ผมคิดว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว แต่ผมก็หวังว่าหมอจะช่วยให้ท่านฟื้นขึ้นมาได้. ผมรู้สึกแปลกใจที่เห็นเพื่อน ๆ พยานพระยะโฮวาประมาณ 20 คน ซึ่งก่อนหน้านี้เล่นอยู่ที่สนามบอลได้มาอยู่ที่ห้องนั่งรอด้วย. พวกเขาทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจและซาบซึ้ง อันเป็นการช่วยเหลือใหญ่หลวงในช่วงเวลาทุกข์ทรมานเช่นนั้น. ประมาณ 15 นาทีต่อมา แพทย์คนหนึ่งก็ออกมาและพูดว่า ‘เราช่วยพ่อของเธอให้ฟื้นได้แล้ว แต่เขามีอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขั้นรุนแรง. เราไม่แน่ใจว่าเขาจะรอดอยู่ได้.’
“แล้วแพทย์ก็อนุญาตให้ผมเข้าไปเยี่ยมพ่อสั้น ๆ. ความรักต่อครอบครัวที่พ่อแสดงออกมาทำให้ผมตื้นตันใจเป็นล้นพ้น. ทั้ง ๆ ที่เจ็บปวดแสนสาหัส ท่านพูดว่า ‘ลูก พ่อรักลูกมาก. จำไว้เสมอว่า พระยะโฮวาเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา. อย่าเลิกรับใช้พระองค์เป็นอันขาด ช่วยแม่และน้อง ๆ ให้รับใช้พระองค์ตลอดไปอย่าหยุด. เรามีความหวังอันหนักแน่นมั่นคงเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย และถ้าพ่อตายไป พ่อต้องการเห็นพวกเธอทุกคนตอนที่พ่อกลับเป็นขึ้นจากตาย.’ เราต่างก็ร้องไห้ น้ำตาแห่งความรัก, ความวิตกกลัว, และความหวัง ไหลพราก.”
หนึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น แมรีภรรยาของจอห์นก็มาถึง. “เมื่อดิฉันเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน แพทย์บอกว่า ‘สามีของคุณมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขั้นรุนแรง.’ ดิฉันตะลึงงัน. เขาอธิบายว่าได้ใช้ไฟฟ้าช็อกกระตุ้นถึงแปดครั้ง. มาตรการฉุกเฉินนี้เกี่ยวข้องกับการใช้กระแสไฟฟ้าความเห็น: ไม่ได้เน้นเรื่องไฟฟ้า ดังนั้นจึงไม่ได้แปลว่า “ความดันไฟฟ้า”เพื่อหยุดการเต้นที่ไม่เป็นจังหวะของหัวใจ และทำให้หัวใจกลับเต้นปกติ. พร้อมด้วยการใช้วิธีซีพีอาร์, การให้ออกซิเจน, และการให้ยาเข้าหลอดเลือดดำ การกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าเป็นวิธีช่วยชีวิตขั้นสูง.
“เมื่อดิฉันเห็นจอห์น ดิฉันเวทนาเขาเหลือเกิน. เขาซีดมาก และมีหลอดมีสายระโยงระยางเต็มไปหมดระหว่างตัวเขากับเครื่องตรวจจับอาการต่าง ๆ. ดิฉันอธิษฐานเงียบ ๆ ขอให้พระยะโฮวาประทานกำลังที่จะอดทนต่อการทดลองนี้เพื่อเห็นแก่ลูกสามคนของเรา และอธิษฐานขอการทรงนำเพื่อจะตัดสินใจได้อย่างสุขุมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่อาจรออยู่ข้างหน้า. ขณะที่ดิฉันเข้าไปใกล้เตียงของจอห์น ดิฉันคิดว่า ‘เราจะพูดอะไรดีกับผู้เป็นที่รักในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้? เราพร้อมจริง ๆ หรือสำหรับสถานการณ์ที่คุกคามชีวิตเช่นนี้?’
“‘ที่รัก’ จอห์นพูด ‘คุณคงรู้ว่าผมอาจจะไม่รอด. แต่สำคัญที่คุณและลูก ๆ จะรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา เพราะไม่ช้าระบบนี้จะอวสาน และจะไม่มีความเจ็บป่วยหรือความตายอีกต่อไป. ผมต้องการฟื้นขึ้นมาในระบบใหม่แล้วเห็นคุณกับลูก ๆ ของเราอยู่ที่นั่น.’ น้ำตาของเราไหลอาบแก้ม.”
คำอธิบายของแพทย์
“จากนั้นแพทย์ได้เรียกดิฉันออกมาแล้วอธิบายว่า การตรวจสอบแสดงว่า อาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันของจอห์นเนื่องมาจากการอุดตัน 100 เปอร์เซ็นต์ในหลอดเลือดแดงที่ทอดลงมาด้านหน้าซ้าย. เขายังมีหลอดเลือดอีกเส้นหนึ่งด้วยที่ตีบลง. แพทย์บอกว่า ดิฉันต้องตัดสินใจเรื่องวิธีรักษาจอห์น. มีทางให้เลือกหลายทางแต่สองทางคือ รักษาด้วยยาและทำศัลยกรรมหลอดเลือด. เขาคิดว่าวิธีหลังน่าจะดีกว่า ดังนั้น เราจึงเลือกศัลยกรรมหลอดเลือด (angioplasty). แต่พวกแพทย์ไม่ให้คำมั่นสัญญาใด ๆ เลยเพราะคนส่วนใหญ่ที่ประสบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดแบบนี้มักจะไม่รอด.”
ศัลยกรรมหลอดเลือดคือเทคนิคการผ่าตัดชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้วิธีสอดสายที่มีปลายติดบัลลูนเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจ แล้วอัดลมเพื่อเปิดช่องที่อุดตัน. การใช้วิธีนี้เพื่อทำให้เลือดกลับไหลเวียนอีกนั้นถือว่ามีอัตราการประสบความสำเร็จสูง. ในกรณีที่มีการอุดตันขั้นรุนแรงในหลอดเลือดแดงหลายเส้น แพทย์มักจะแนะนำให้ทำการผ่าตัดต่อเส้นเลือด (bypass surgery).
การพยากรณ์โรคที่น่าหดหู่
หลังจากทำศัลยกรรมหลอดเลือด ชีวิตของจอห์นยังอยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากันต่อไปอีก 72 ชั่วโมง. ในที่สุด หัวใจของเขาเริ่มฟื้นจากอาการบอบช้ำ. แต่หัวใจของจอห์นมีประสิทธิภาพในการสูบฉีดโลหิตแค่ครึ่งหนึ่งของที่เคยเป็น และบริเวณใหญ่บริเวณหนึ่งของหัวใจกลายเป็นเนื้อเยื่อแข็งด้าน ดังนั้น โอกาสที่เขาจะเป็นคนไข้โรคหัวใจแบบที่ต้องนอนแซ่วบนเตียง จึงแทบไม่อาจเลี่ยงได้.
เมื่อหวนนึกถึงอดีต จอห์นกล่าวเตือนว่า “เรามีพันธะต่อพระผู้สร้าง, ต่อครอบครัว, ต่อพี่น้องฝ่ายวิญญาณ, และต่อตัวเราเองที่จะเอาใจใส่ฟังคำเตือนและดูแลสุขภาพของเรา—โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตราย. หากจะว่าไปแล้ว เราอาจเป็นผู้ก่อความสุขหรือเป็นเหตุของความโศกเศร้าได้. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง.”
กรณีของจอห์นนับว่าร้ายแรงและจำต้องได้รับการเอาใจใส่ทันที. แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ไม่สบายด้วยอาการจุกแน่นกระเพาะอาหาร (heartburn) จะต้องวิ่งโร่ไปหาหมอด้วยความตื่นกลัว. กระนั้น ประสบการณ์ของเขาก็เป็นคำเตือน และผู้ที่รู้สึกว่าตนมีอาการก็ควรไปตรวจร่างกาย.
จะทำอะไรได้บ้างเพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน? บทความถัดไปจะพิจารณาเรื่องนี้.
[เชิงอรรถ]
a ชื่อต่าง ๆ ในบทความชุดนี้เป็นนามสมมุติ.
[กรอบหน้า 6]
อาการต่าง ๆ ของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
• รู้สึกถูกกดทับ, บีบรัด, หรือเจ็บในทรวงอกจากหนังสือทันโรค ทันโลก! ร.พ.รามาจนกระสับกระส่ายนานหลายนาที. ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่าเป็นอาการจุกแน่นกระเพาะอาหาร
• ความเจ็บซึ่งอาจร้าวสำนวนจากหนังสือทันโรคฯไปถึง—หรือเกิดเฉพาะบริเวณ—กราม, คอ, ไหล่, แขน, ข้อศอก, หรือมือซ้าย
• เจ็บแน่นบริเวณช่องท้องส่วนบนเป็นเวลานาน
• หอบเหนื่อยหายใจไม่อิ่ม, เวียนศีรษะ, เป็นลม, เหงื่อออก, หรือรู้สึกว่าเนื้อตัวเย็นชืด
• อ่อนระโหยโรยแรง—อาจเกิดขึ้นหลายสัปดาห์ก่อนการจู่โจม
• คลื่นไส้หรืออาเจียน
• อาการเจ็บหรือจุกแน่นในทรวงอกเกิดถี่ขึ้นซึ่งไม่ได้เกิดจากการออกแรง อาการต่าง ๆ อาจมีหลากหลายตั้งแต่ระดับอ่อน ๆ จนถึงรุนแรง และไม่ใช่ผู้ประสบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันทุกรายจะเกิดอาการเหล่านี้ทั้งหมด. แต่ถ้าเกิดอาการใด ๆ มากกว่าสองอย่างในบรรดาที่กล่าวมา ให้ขอความช่วยเหลือโดยเร็ว. อย่างไรก็ดี ในบางรายไม่มีอาการส่อแสดงเลย; รายเหล่านี้เรียกกันว่าภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันแบบไร้วี่แวว.
[กรอบหน้า 7]
ปฏิบัติการเพื่อรอดชีวิต
ถ้าคุณหรือใครที่คุณรู้จักมีอาการบ่งบอกว่ากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ให้ปฏิบัติดังนี้:
• สังเกตอาการนั้นให้ออก.
• หยุดสิ่งที่คุณกำลังทำไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แล้วนั่งลงหรือนอนราบ.
• ถ้าอาการต่าง ๆ เกิดนานกว่าสองหรือสามนาที ให้โทรศัพท์เรียกหน่วยฉุกเฉินประจำท้องถิ่น. บอกเจ้าหน้าที่ว่า คุณสงสัยว่าจะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และให้ข้อมูลที่จำเป็นเพื่อเขาจะหาคุณพบ.
• หากคุณสามารถพาผู้ป่วยไปยังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลได้เร็วกว่าโดยขับรถไปที่นั่นด้วยตัวคุณเอง ก็ให้ทำเช่นนั้น. ถ้าคุณคิดว่าตนเองกำลังประสบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ให้ขอบางคนขับรถพาคุณไป.
ถ้าคุณกำลังรอหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน ให้ปฏิบัติดังนี้:
• คลายเสื้อผ้าให้หลวม รวมทั้งเข็มขัดหรือเนกไท. ช่วยผู้ป่วยให้อยู่ในท่าสบาย ใช้หมอนหนุนศีรษะเขาถ้าจำเป็น.
• สงบสติอารมณ์เอาไว้ ไม่ว่าคุณเป็นผู้ป่วยหรือผู้ช่วย. การตื่นเต้นอาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดอาการหัวใจเต้นรัวผิดปกติซึ่งคุกคามต่อชีวิต. การอธิษฐานอาจเป็นเครื่องช่วยทรงพลังได้ในการทำให้ใจสงบ.
ถ้าผู้ป่วยดูเหมือนหยุดหายใจ ให้ปฏิบัติดังนี้:
• ถามเขาด้วยเสียงดังว่า “คุณได้ยินผมไหม?” หากไม่มีการตอบสนองใด ๆ, หากชีพจรไม่เต้น, และผู้ป่วยไม่หายใจ ให้เริ่มทำการผายปอดนวดหัวใจ (ซีพีอาร์).
• โปรดจำสามขั้นตอนพื้นฐานของซีพีอาร์เอาไว้:
1. จับคางของผู้ป่วยแหงนขึ้น เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง.
2. เมื่อทางเดินหายใจโล่ง ขณะที่บีบจมูกผู้ป่วย เป่าลมเข้าไปในปากช้า ๆ สองครั้งจนหน้าอกเผยิบขึ้น.
3. ใช้ฝ่ามือกดกลางหน้าอกระหว่างหัวนมทั้งสอง 10-15 ครั้ง เพื่อบีบดันให้เลือดไหลเวียนออกจากหัวใจและทรวงอก. ทุก ๆ 15 วินาทีให้เวียนกลับมาเป่าลมหายใจเข้าไปอีกสองครั้ง ตามด้วยการกดหน้าอก 15 ครั้งจนกว่าชีพจรจะเต้นและกลับหายใจอีก หรือไม่ก็จนกว่าทีมช่วยเหลือฉุกเฉินจะมาถึง.
ซีพีอาร์ควรทำโดยผู้ได้รับการฝึกอบรมมา. แต่ถ้าไม่มีผู้ได้รับการฝึกอบรม ดร. อาร์. คัมมินส์ ผู้อำนวยการศูนย์ดูแลหัวใจฉุกเฉินกล่าวว่า “จะให้ใครทำซีพีอาร์ก็ได้ ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย.” โอกาสรอดมีน้อยมาก เว้นแต่จะมีใครเริ่มขั้นตอนเหล่านี้. ซีพีอาร์ช่วยซื้อโอกาสให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่จนกว่าความช่วยเหลือมาถึง.
[รูปภาพหน้า 5]
การรักษาอย่างรวดเร็วหลังจากเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันอาจช่วยชีวิตและลดความเสียหายที่มีต่อหัวใจ