ถูกเนรเทศไปอยู่ในไซบีเรีย!
เล่าโดย วาซิลี คาลิน
หากคุณเห็นชายคนหนึ่งอ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างสงบท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ที่ยิงไม่ขาดระยะ คุณจะไม่อยากรู้บ้างหรือว่าเหตุใดเขาสงบเยือกเย็นได้ขนาดนั้น? พ่อของผมได้สังเกตเหตุการณ์ดังกล่าวนี้มากกว่า 56 ปีมาแล้ว.
คราวนั้นเป็นเดือนกรกฎาคมปี 1942 เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองมาถึงขีดสุด. ขณะที่ทหารแนวหน้าของเยอรมนีผ่านเข้ามาในหมู่บ้านวิลชานิตซาที่พ่ออยู่ ในรัฐยูเครน พ่อได้แวะเข้าไปในบ้านผู้สูงอายุบางคน. กระสุนปืนใหญ่ระเบิดอยู่รอบข้าง กระนั้น ชายคนนั้นก็ยังนั่งอยู่ข้างเตา กำลังอุ่นข้าวโพดและอ่านคัมภีร์ไบเบิล.
ผมเกิดห้าปีหลังจากนั้น ไม่ไกลจากเมืองที่งดงามทางภาคตะวันตกของยูเครนคืออิวาโน-ฟรังคิฟสค์ ซึ่งตอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต. พ่อเล่าให้ผมฟังในภายหลังถึงเรื่องที่ได้พบชายคนนั้นที่พ่อไม่มีวันลืม ซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวา และเรื่องความน่ากลัวอย่างร้ายกาจในช่วงสงครามอีกด้วย. ผู้คนต่างก็เหนื่อยหน่ายและสับสนต่อสภาพการณ์ทั้งหมด และหลายคนสงสัยว่า ‘เหตุใดมีความอยุติธรรมดาษดื่นขนาดนี้? ทำไมคนเป็นหมื่น ๆ ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องตาย? ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้น? ทำไม? ทำไม? ทำไม?’
พ่อใช้เวลานานพูดคุยและถกปัญหาดังกล่าวอย่างเปิดใจกับชายสูงอายุคนนั้น. เขาชี้ให้พ่อดูคำตอบต่าง ๆ สำหรับปัญหาที่พ่อพยายามหาคำตอบมานาน โดยเปิดคัมภีร์ไบเบิลฉบับส่วนตัวให้ดูข้อแล้วข้อเล่า. เขาอธิบายว่า พระเจ้าทรงดำริไว้แล้วที่จะกำจัดสงครามทุกรูปแบบตามเวลากำหนดของพระองค์ และแผ่นดินโลกจะกลายเป็นรมณียอุทยาน.—บทเพลงสรรเสริญ 46:9; ยะซายา 2:4; วิวรณ์ 21:3, 4.
พ่อรีบกลับบ้านและบอกด้วยเสียงดังว่า “คุณจะเชื่อไหม? แค่คุยกับพยานพระยะโฮวาเพียงครั้งเดียว ผมก็ตาสว่าง! ผมพบความจริงเข้าแล้ว!” พ่อบอกว่าแม้เคยเข้าโบสถ์คาทอลิกเป็นประจำ แต่บาทหลวงไม่สามารถตอบคำถามพ่อได้. ดังนั้น พ่อจึงเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และแม่ก็ร่วมศึกษากับพ่อ. ทั้งพ่อและแม่ได้เริ่มสอนลูกสามคนของท่านด้วย คือพี่สาวผมซึ่งอายุเพียงสองขวบ และพี่ชายซึ่งอายุ 7 และ 11 ขวบ. หลังจากนั้นไม่นาน บ้านของท่านโดนระเบิดถล่มยับเยิน เหลือเพียงห้องเดียวเท่านั้นซึ่งครอบครัวผมได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย.
แม่มาจากครอบครัวใหญ่มีพี่น้องผู้หญิงหกคน และผู้ชายหนึ่งคน. คุณตาเป็นหนึ่งในจำนวนคนรวยในละแวกนั้น และท่านภาคภูมิใจในอำนาจหน้าที่และฐานะของตน. ดังนั้น ตอนแรก ๆ ญาติพี่น้องพากันต่อต้านความเชื่อใหม่ซึ่งครอบครัวของเราเพิ่งเรียนรู้. อย่างไรก็ตาม ในที่สุด หลายคนในจำพวกผู้ต่อต้านเหล่านี้ได้เลิกกิจปฏิบัติทางศาสนาซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ และเข้ามาสมทบกับพ่อแม่ของผมในการนมัสการแท้.
พวกบาทหลวงได้ปลุกเร้าประชาชนอย่างโจ่งแจ้งให้ต่อต้านเหล่าพยานฯ. ผลก็คือ ชาวบ้านในละแวกนั้นทุบหน้าต่างบ้านพ่อแม่ของผมและข่มขู่ท่าน. ทั้ง ๆ ที่เกิดเหตุเช่นนี้ พ่อกับแม่ก็ยังคงศึกษาคัมภีร์ไบเบิลต่อไป. ด้วยเหตุนี้ พอผมเกิดในปี 1947 ครอบครัวของเราก็เป็นผู้นมัสการพระยะโฮวาด้วยวิญญาณและความจริงอยู่แล้ว.—โยฮัน 4:24.
ถูกเนรเทศไปจากบ้านเกิดเมืองนอน
เหตุการณ์ยามเช้าตรู่ของวันที่ 8 เมษายน 1951 นั้นยังคงติดตรึงอยู่ในจิตใจของผม แม้ตอนนั้นผมอายุแค่สี่ขวบเท่านั้น. ทหารได้เข้ามาในบ้านของเราพร้อมด้วยสุนัข. พวกเขาแจ้งว่าเราถูกเนรเทศ แล้วเข้าตรวจค้นบ้าน. ทหารถือปืนกลยืนอยู่กับสุนัขที่บันไดหน้าประตู และผู้ชายในชุดเครื่องแบบทหารนั่งอยู่ที่โต๊ะคอยเรา ขณะที่เรารีบเก็บข้าวของให้เสร็จภายในเวลาไม่เกินสองชั่วโมง. ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้น และผมร้องไห้.
พ่อกับแม่ถูกสั่งให้เซ็นเอกสารแสดงตัวว่าท่านไม่ใช่พยานพระยะโฮวา และจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับพยานพระยะโฮวาอีกต่อไป. ถ้าพ่อกับแม่ยอมเซ็นชื่อ ท่านก็จะได้อยู่ที่บ้านและในบ้านเกิดของท่านต่อไป. แต่พ่อประกาศอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ผมเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าพวกคุณจะเอาเราไปที่ไหน พระยะโฮวาพระเจ้าของเราจะสถิตกับเรา.”
นายทหารแย้งว่า “นึกถึงครอบครัวของคุณบ้าง ลูก ๆ ของคุณด้วย. ว่ากันไปแล้ว คุณไม่ได้ถูกพาไปตากอากาศหรอกนะ. คุณจะถูกพาไปยังดินแดนห่างไกลทางเหนือซึ่งมีหิมะปกคลุมตลอดกาล และมีหมีขั้วโลกเหนือเดินย่ำบนถนน.”
สมัยนั้นคำ “ไซบีเรีย” เป็นอะไรที่น่ากลัวและลึกลับสำหรับทุกคน. กระนั้น ความเชื่อและความรักอันแรงกล้าต่อพระยะโฮวาปรากฏว่าเข้มแข็งยิ่งกว่าความกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จัก. ข้าวของเครื่องใช้ของเราถูกนำขึ้นรถลาก และเราถูกพาเข้าไปในเมืองแล้วนำขึ้นตู้รถสินค้าของขบวนรถไฟพร้อม ๆ กับครอบครัวอื่นประมาณ 20 ถึง 30 ครอบครัว. ดังนั้น เราเริ่มการเดินทางของเราไปยังบริเวณป่าไทกา ในไซบีเรีย.
ที่สถานีรถไฟตลอดเส้นทาง เราเห็นรถไฟขบวนอื่น ๆ ลำเลียงผู้ที่ถูกเนรเทศ และเรามองเห็นป้ายแขวนไว้ข้างตู้รถไฟมีข้อความว่า “พยานพระยะโฮวาอยู่ในขบวนนี้.” นับว่าเป็นการให้คำพยานที่มีลักษณะเฉพาะตัว เพราะทำให้หลายคนรู้ว่าพยานฯหลายพันคนพร้อมด้วยครอบครัวถูกส่งไปอยู่ในที่ต่าง ๆ ทางแถบเหนือและตะวันออกไกล.
การล้อมจับและการเนรเทศพยานพระยะโฮวาเมื่อเดือนเมษายนปี 1951 นั้นมีพยานหลักฐานเป็นอย่างดี. วอลเตอร์ โคลาร์ซ นักประวัติศาสตร์เขียนเรื่องนี้ลงในหนังสือของเขาชื่อศาสนาในสหภาพโซเวียต. (ภาษาอังกฤษ) “นี่ไม่ได้เป็นจุดจบของ ‘พยานฯ’ ในรัสเซีย หากแต่เป็นเพียงการเริ่มต้นกิจกรรมของเขาเพื่อโน้มน้าวผู้คนให้เปลี่ยนศาสนา. พวกพยานฯถึงกับพยายามเผยแพร่ความเชื่อขณะรถไฟจอดตามสถานีต่าง ๆ ระหว่างทางที่ถูกเนรเทศ. ด้วยการเนรเทศพยานฯจากบ้านเกิดเมืองนอน รัฐบาลโซเวียตยิ่งช่วยให้พวกเขาเผยแผ่ความเชื่อออกไป. จากหมู่บ้านชนบทอันโดดเดี่ยวของเขา ‘พยานฯ’ ถูกนำออกไปสู่โลกกว้าง แม้ว่าที่นั่นเป็นเพียงโลกอันน่าสยดสยองแห่งค่ายกักกันและค่ายแรงงานทาส.”
ครอบครัวผมยังดี เพราะเขายอมให้เรานำอาหารติดตัวไปบ้าง เช่น แป้ง, ข้าวโพด, และถั่วชนิดต่าง ๆ. ปู่ของผมได้รับอนุญาตให้ฆ่าหมูเป็นอาหารด้วยซ้ำ ซึ่งช่วยให้พวกเราและพยานฯคนอื่น ๆ ได้มีอาหารกิน. ระหว่างเดินทางก็ได้ยินเสียงร้องเพลงด้วยความรู้สึกจากหัวใจมาจากตู้รถไฟ. พระยะโฮวาทรงโปรดให้เรามีพลังแข็งแกร่งเพื่ออดทนได้.—สุภาษิต 18:10.
เราใช้เวลาเดินทางเกือบสามสัปดาห์ข้ามรัสเซีย และในที่สุดก็ถึงแคว้นไซบีเรียอันห่างไกลทั้งหนาวเหน็บและอ้างว้าง. เขาพาพวกเราไปที่สถานีโทเรยา ในแถบชันสค์ เขตอีร์คุตสค์. จากที่นั่น เราถูกพาเข้าไปไกลในป่าไทกาไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งดังที่ระบุในเอกสารของเราว่าเป็น “ถิ่นที่อยู่ถาวร” ของเรา. สัมภาระของ 15 ครอบครัวถูกนำขึ้นบนเลื่อนหนึ่งคันได้พอดี และรถแทรกเตอร์ลากเลื่อนคันนั้นผ่านโคลนเลนของฤดูใบไม้ผลิ. ประมาณ 20 ครอบครัวได้ที่พักในโรงทหาร ซึ่งปลูกเป็นเรือนยาวไม่มีผนังกั้น. เจ้าหน้าที่เตือนคนท้องถิ่นไว้ล่วงหน้าว่าพยานพระยะโฮวาเป็นกลุ่มชนที่ไม่น่าคบ. ดังนั้น ในตอนแรก ๆ ประชาชนกลัวพวกเรา และไม่พยายามจะรู้จักมักคุ้นกับพวกเรา.
การทำงานระหว่างถูกเนรเทศ
พยานพระยะโฮวาทำงานโค่นต้นไม้ ซึ่งทำในสภาพการณ์ที่ยากลำบากยิ่ง. งานทุกอย่างต้องทำด้วยมือทั้งสิ้น นับตั้งแต่การเลื่อยซุง, ตัดให้เป็นท่อน ๆ, ยกขึ้นใส่รถที่ใช้ม้าลาก, และต่อจากนั้นขนขึ้นตู้รถไฟ. สภาพซ้ำแย่หนักเข้าไปอีกเมื่อไม่สามารถหลบหลีกฝูงริ้นที่รุมกัด. พ่อทนทุกข์มากเหลือเกิน. ท่านบวมไปทั้งตัว และท่านอธิษฐานไม่เว้นว่างขอพระยะโฮวาโปรดช่วยท่านให้อดทน. แต่ทั้ง ๆ ที่ได้รับความยากลำบากเช่นนั้น ความเชื่อของเหล่าพยานพระยะโฮวาส่วนใหญ่ไม่สั่นคลอน.
จากนั้นไม่นาน เราถูกนำตัวไปยังเมืองอีร์คุตสค์ ซึ่งครอบครัวของเราเข้าไปอยู่ในที่ที่เคยเป็นค่ายนักโทษมาก่อน และทำงานในโรงงานทำอิฐ. การนำเอาก้อนอิฐออกจากเตาเผาใหญ่ที่ร้อนก็ต้องใช้มือยกออกมา แถมมีการเพิ่มยอดผลิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้น แม้แต่เด็ก ๆ ก็ยังต้องช่วยพ่อแม่ทำงานเพื่อให้ได้ตามจำนวนที่กำหนด. เรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงแรงงานทาสชาวยิศราเอลในอียิปต์สมัยโบราณ.—เอ็กโซโด 5:9-16.
ปรากฏชัดว่า เหล่าพยานฯเป็นคนขยันทำงานและซื่อตรง ไม่ใช่ “ศัตรูของประชาชน” อย่างที่พูดกัน. จากการเฝ้าสังเกตไม่มีพยานฯแม้แต่คนเดียวพูดสบประมาทเจ้าหน้าที่ หรือต่อสู้คัดค้านการตัดสินใจของบรรดาผู้มีอำนาจปกครอง. หลายคนถึงกับนิยมชมชอบความเชื่อของเหล่าพยานฯด้วยซ้ำ.
ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา
ถึงแม้มีการตรวจค้นพวกพยานฯครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งก่อนการเนรเทศ, ระหว่างการเดินทาง และในแถบถิ่นที่เขาอยู่ระหว่างการเนรเทศ หลายคนยังสามารถซุกซ่อนวารสารหอสังเกตการณ์ และกระทั่งคัมภีร์ไบเบิลด้วยซ้ำ. ต่อมา สิ่งพิมพ์เหล่านี้ถูกคัดลอกด้วยมือและด้วยวิธีอื่น. การประชุมคริสเตียนดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอในโรงทหารนั่นเอง. เมื่อผู้บังคับการโรงทหารเข้ามาพบพวกเรากำลังร้องเพลงกัน เขาจะสั่งให้เราหยุดร้อง. เราก็หยุด. แต่เมื่อเขาไปยังโรงทหารถัดไป เราก็จะเริ่มร้องเพลงอีก. เป็นไปไม่ได้ที่จะห้ามเรา.
งานประกาศของเราก็ไม่เคยหยุดชะงัก. พยานฯจะพูดคุยกับทุกคน ทุกหนทุกแห่ง. พี่ชายของผมทั้งสองคนรวมทั้งพ่อกับแม่มักเล่าให้ผมฟังบ่อย ๆ ถึงวิธีที่พวกเขาแบ่งปันความจริงในคัมภีร์ไบเบิลให้แก่คนอื่น. ด้วยเหตุนี้เอง ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลจึงค่อย ๆ ซึมซาบเข้าในหัวใจสุจริตชนไม่ขาดสาย. ดังนั้น ต้นทศวรรษ 1950 ราชอาณาจักรของพระยะโฮวาจึงเป็นที่รู้จักทั้งในเมืองอีร์คุตสค์และโดยรอบ.
ทีแรกเขาถือว่าเหล่าพยานฯเป็นศัตรูทางการเมือง แต่ต่อมาเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าองค์การของเราเกี่ยวข้องกับศาสนาเพียงอย่างเดียว. กระนั้น เจ้าหน้าที่ก็ยังคงใช้ความพยายามเพื่อจะระงับกิจกรรมของเรา. ดังนั้น เราจึงจัดการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลขึ้นเป็นกลุ่มเล็ก ๆ มีสองหรือสามครอบครัวร่วมกันเพื่อเลี่ยงการตรวจพบ. เช้าตรู่วันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1952 โดยการสืบค้นอย่างละเอียด ยังผลให้พยานฯสิบคนถูกจับ ที่เหลือนอกนั้นถูกส่งไปยังที่ต่าง ๆ. ครอบครัวของเราถูกส่งไปที่หมู่บ้านอิซครา ซึ่งมีผู้อยู่อาศัยประมาณหนึ่งร้อยคน และไกลจากเมืองอีร์คุตสค์ราวสามสิบกิโลเมตร.
อดทนขณะสภาพการณ์เปลี่ยนแปลง
ผู้ปกครองหมู่บ้านต้อนรับพวกเราด้วยน้ำใจไมตรีอย่างที่เราไม่คาดคิด. ชาวบ้านเป็นคนสุภาพและเป็นมิตร หลายคนถึงกับออกมาช่วยเราด้วยซ้ำ. ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวที่สามซึ่งถูกจัดให้อยู่ในห้องเล็ก ๆ ห้องเดียวกันขนาด 17 ตารางเมตร. เรามีเพียงตะเกียงน้ำมันก๊าดเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง.
เช้าวันรุ่งขึ้นมีการเลือกตั้ง. พ่อกับแม่บอกว่าท่านได้เลือกเอาราชอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าชาวบ้านไม่เข้าใจ. ดังนั้น สมาชิกที่เป็นผู้ใหญ่ในครอบครัวของเราจึงถูกควบคุมตัวไว้ทั้งวัน. หลังจากนั้นมีหลายคนซักถามพวกเขาในเรื่องความเชื่อ และครอบครัวของเราจึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้พูดเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าว่าเป็นความหวังอย่างเดียวของมนุษยชาติ.
ระหว่างช่วงสี่ปีที่เราอยู่ในหมู่บ้านอิซครา ไม่มีพยานฯเลยในละแวกนั้นซึ่งเราจะสมทบได้. ที่จะออกไปนอกหมู่บ้าน เราต้องได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากผู้บัญชาการ และเขาก็ไม่ค่อยจะอนุญาต เพราะเหตุผลหลักของการเนรเทศก็เพื่อแยกพวกเราให้อยู่ต่างหากจากคนอื่น. กระนั้น เหล่าพยานฯก็พยายามพบปะกันเสมอเพื่อแบ่งปันอาหารฝ่ายวิญญาณที่เขาเพิ่งได้รับมา.
หลังสตาลินสิ้นชีวิตในปี 1953 เหล่าพยานฯทุกคนที่ถูกตัดสินต้องโทษได้รับการลดหย่อนจาก 25 ปีเหลือ 10 ปี. สำหรับคนที่อยู่ในไซบีเรีย การไปไหนมาไหนก็ไม่จำเป็นต้องมีเอกสารพิเศษอีกต่อไป. แต่หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่เริ่มดำเนินการสืบค้น แล้วทำการจับกุมพยานฯหากพบว่าพยานฯมีคัมภีร์ไบเบิลหรือสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลไว้ในครอบครอง. มีการสร้างค่ายเฉพาะสำหรับพยานฯและพี่น้องชายประมาณ 400 คน และพี่น้องหญิง 200 คนถูกกำหนดให้เข้าอยู่ในค่ายเหล่านี้รอบเมืองอีร์คุตสค์.
ข่าวการข่มเหงพวกเราในสหภาพโซเวียตได้แพร่กระจายไปถึงพยานพระยะโฮวาทั่วโลก. ดังนั้น ช่วงกลางปี 1956 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 1957 ณ การประชุมภาค 199 แห่งซึ่งจัดขึ้นในทุกภูมิภาคของโลกได้มีการรับรองมติเพื่อประโยชน์ของพวกเรา. ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งสิ้นจำนวน 462,936 คนต่างก็เห็นชอบกับมติที่มีไปถึงนีโคไล เอ. บูลกานินนายกรัฐมนตรีโซเวียตสมัยนั้น. หนึ่งในข้อร้องเรียนนั้นขอให้พวกเรามีเสรีภาพ และให้เรา “มีสิทธิ์ที่จะรับและพิมพ์วารสารหอสังเกตการณ์ ภาษารัสเซีย, ยูเครนและภาษาอื่น ๆ ที่เห็นว่าจำเป็น รวมทั้งหนังสืออื่น ๆ ด้านคัมภีร์ไบเบิลซึ่งพยานพระยะโฮวาใช้กันอยู่ทั่วโลก.”
เวลานั้น ครอบครัวของเราถูกส่งไปอยู่หมู่บ้านคุดยาโคโวที่โดดเดี่ยว ห่างจากอีร์คุตสค์ประมาณ 20 กิโลเมตร. เราอยู่ที่นั่นเจ็ดปี. ในปี 1960 ฟีโอเดอร์ พี่ชายของผมได้ย้ายไปอยู่ที่อีร์คุตสค์ ปีต่อมา พี่ชายอีกคนหนึ่งแต่งงาน และพี่สาวผมก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น. ครั้นแล้ว ปี 1962 ฟีโอเดอร์ถูกจับและต้องโทษจำคุกเพราะเขาทำการเผยแพร่.
การเติบโตฝ่ายวิญญาณของผม
จากหมู่บ้านของเราที่คุดยาโคโว หากจะไปพบคนอื่นเพื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก็จะต้องเดินเท้าหรือขี่จักรยานระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร. ดังนั้น เราจึงหาทางย้ายไปที่อีร์คุตสค์เพื่อจะติดต่อกับพยานฯคนอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น. อย่างไรก็ดี หัวหน้าในเขตที่เราอยู่ไม่ยอมให้เราย้าย และเขาขัดขวางเราทุกทางเท่าที่ทำได้. อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นช่วงระยะหนึ่ง ชายคนนี้เริ่มชอบพวกเรามากขึ้น และเราสามารถย้ายไปที่หมู่บ้านพิโววาริคา ห่างจากอีร์คุตสค์ราว ๆ 10 กิโลเมตร. ที่นั่นมีประชาคมของพยานพระยะโฮวา และสำหรับผมชีวิตใหม่เริ่มขึ้นแล้ว. ที่หมู่บ้านพิโววาริคานี้มีกลุ่มการศึกษาหนังสือประจำประชาคมที่จัดเป็นระเบียบหลายกลุ่มและมีพี่น้องชายดูแลกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ. ผมรู้สึกเป็นสุขเสียนี่กระไร!
ถึงตอนนี้ผมมาถึงขั้นรักความจริงของคัมภีร์ไบเบิลเอามาก ๆ และผมต้องการรับบัพติสมา. เดือนสิงหาคมปี 1965 ผมสมปรารถนาเมื่อได้รับบัพติสมาในแม่น้ำออลเฮสายเล็ก ๆ ซึ่งที่นั่นพยานฯใหม่หลายคนได้รับบัพติสมาในช่วงนั้น. สำหรับพวกที่ไม่ค่อยสังเกต ก็เหมือนกับว่าพวกเราไปเที่ยวนอกบ้านและว่ายน้ำในแม่น้ำกันอย่างสนุก. ไม่นานหลังจากนั้น ผมได้รับงานมอบหมายแรกเป็นผู้ดูแลโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า. ครั้นแล้ว ในเดือนพฤศจิกายนปี 1965 พวกเรามีเหตุแห่งความยินดีอีกเมื่อฟีโอเดอร์กลับบ้านหลังจากพ้นโทษจำคุก.
การงานเจริญก้าวหน้าอย่างไร
ปี 1965 มีการเรียกบรรดาผู้ถูกเนรเทศให้มาชุมนุมกัน และมีการแถลงว่าพวกเรามีสิทธิจะโยกย้ายไปอยู่ที่ใด ๆ ก็ได้ตามความต้องการ ด้วยเหตุนี้ “ถิ่นที่อยู่ถาวร” ของเราจึงเป็นอันสิ้นสุด. คุณนึกภาพออกไหมว่าเราปลาบปลื้มยินดีมากเพียงใด? แม้พวกเราหลายคนได้ย้ายไปอยู่ในภาคอื่น ๆ ของประเทศ แต่บางคนตัดสินใจอยู่ที่เดิมซึ่งพระยะโฮวาทรงอวยพรและเกื้อหนุนพวกเราให้เจริญเติบโตทั้งฝ่ายวิญญาณและกิจกรรม. หลายคนในจำนวนนี้ได้อบรมเลี้ยงดูลูก, หลาน, และเหลนของเขาในไซบีเรีย ซึ่งในที่สุดก็ปรากฏว่าไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด.
ปี 1967 ผมได้รู้จักมารีอา เด็กสาวซึ่งครอบครัวของเธอถูกเนรเทศจากยูเครนไปยังไซบีเรียเช่นกัน. ตอนที่ยังเด็กอยู่ เราทั้งสองเคยอยู่ในหมู่บ้านวิลชานิตซาในยูเครน. เราแต่งงานกันในปี 1968 แล้วในที่สุดเรามีบุตรชายชื่อยาโรสลาฟ และต่อมาเราได้ลูกสาวชื่อออคซานา.
เรายังคงใช้งานศพและงานสมรสเป็นโอกาสที่คนจำนวนมากชุมนุมกันเพื่อการคบหาฝ่ายวิญญาณ. อนึ่ง เรามักจะใช้วาระดังกล่าวอธิบายความจริงของคัมภีร์ไบเบิลแก่หมู่ญาติมิตรซึ่งไม่เป็นพยานฯที่มาร่วมงาน. บ่อยครั้งมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาร่วมงานแบบนี้ ซึ่งพวกเราให้ความรู้จากคัมภีร์ไบเบิลโดยตรงเกี่ยวด้วยความหวังเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย หรือเรื่องการจัดเตรียมของพระยะโฮวาด้านการสมรสและพระพรต่าง ๆ ที่จะมีขึ้นในโลกใหม่ของพระองค์.
คราวหนึ่ง ณ งานศพเมื่อผมบรรยายเกือบจะจบแล้ว มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามา ประตูรถเปิด และชายคนหนึ่งก็พรวดพราดออกมาและสั่งผมให้ขึ้นรถ. ผมไม่กลัว. ถึงอย่างไรพวกเราไม่ได้เป็นอาชญากร เราเพียงแต่มีความเชื่อในพระเจ้า. อย่างไรก็ดี ในกระเป๋ากางเกงของผมมีรายงานการประกาศของคนเหล่านั้นในประชาคม. ผมอาจถูกจับกุมเพราะเหตุนี้. ดังนั้น ผมจึงขออนุญาตเอาเงินให้ภรรยาก่อนที่จะไปกับพวกเขา. เมื่อเขายินยอม ผมจึงยื่นกระเป๋าเงินของผมพร้อมกับรายงานของประชาคมให้เธอต่อหน้าคนเหล่านั้นโดยไม่ประหวั่นพรั่นพรึง.
ตั้งแต่ปี 1974 ผมกับมารีอาเริ่มจัดทำสรรพหนังสือด้านคัมภีร์ไบเบิลอย่างลับ ๆ ภายในบ้านของเรา. เนื่องจากเรามีลูกชายตัวน้อย เราจึงทำงานนี้ยามดึกเพื่อไม่ให้ลูกรู้เรื่องนี้. แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ลูกจึงแสร้งทำเป็นนอนหลับและแอบดูว่าเราทำอะไรบ้าง. ภายหลังลูกพูดว่า “ผมรู้ว่าใครทำวารสารเรื่องพระเจ้า.” เรารู้สึกหวาดผวาอยู่บ้าง แต่เราทูลขอพระยะโฮวาเสมอให้คุ้มครองครอบครัวของเราในงานสำคัญนี้.
ท้ายที่สุด ฝ่ายเจ้าหน้าที่เริ่มมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนต่อพยานพระยะโฮวา เราจึงวางโครงการจะจัดการประชุมใหญ่ที่หอศิลป์และศูนย์พักผ่อนมีร์ ณ เมืองอูซอลเย-ซีบีร์ซโคเย. เรารับรองกับเจ้าหน้าที่ในเมืองว่าการประชุมของเราจัดเพื่อการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและการคบหาแบบคริสเตียนเท่านั้น. มี 700 กว่าคนมาชุมนุมกันเต็มห้องประชุมเมื่อเดือนมกราคมปี 1990 ซึ่งเป็นที่ดึงดูดความสนใจของประชาชนมาก.
หลังการประชุม ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถามว่า “พวกคุณเริ่มฝึกอบรมลูกเล็กเด็กน้อยเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไร?” ผู้สื่อข่าวเอง และแขกคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกทึ่งที่พวกเด็กนั่งฟังอย่างจดจ่อนานถึงสี่ชั่วโมง ณ การประชุมสาธารณะครั้งแรกนี้. ต่อมาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นลงบทความพูดถึงพยานพระยะโฮวาในแง่ดี. บทความนั้นว่าดังนี้: “จริง ๆ แล้ว เราเรียนรู้อะไรบางอย่างได้จาก [พยานพระยะโฮวา].”
ปีติยินดีกับการขยายตัวครั้งยิ่งใหญ่
ในปี 1991 เราจัดการประชุมใหญ่เจ็ดแห่งในสหภาพโซเวียต จำนวนผู้เข้าร่วมประชุมมี 74,252 คน. ต่อมา หลังจากอดีตสาธารณรัฐต่าง ๆ ในสหภาพโซเวียตเป็นรัฐอิสระ ผมได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการปกครองแห่งพยานพระยะโฮวาให้ไปที่มอสโก. ที่นั่น เขาถามผมว่า ผมอยู่ในฐานะที่จะมีส่วนขยายงานราชอาณาจักรหรือไม่. ตอนนั้นยาโรสลาฟแต่งงานแล้วและได้ลูกสาวคนหนึ่ง ส่วนออคซานากำลังเป็นวัยรุ่น. ดังนั้น ในปี 1993 ผมกับมารีอาจึงเริ่มงานรับใช้เต็มเวลาในกรุงมอสโก. ปีเดียวกันนั้นเอง ผมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ประสานงานศูนย์บริหารงานองค์การทางศาสนาของพยานพระยะโฮวาส่วนภูมิภาคในรัสเซีย.
เวลานี้ผมกับมารีอาประจำอยู่และทำงานในสำนักงานสาขาแห่งใหม่นอกเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก. ผมถือเป็นเกียรติที่ผมสามารถร่วมงานกับพวกพี่น้องที่ซื่อสัตย์ในการดูแลผู้ประกาศข่าวราชอาณาจักรที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในรัสเซีย. เวลานี้มีพยานฯ 260,000 กว่าคนในอดีตสาธารณรัฐต่าง ๆ แห่งสหภาพโซเวียต เฉพาะรัสเซียประเทศเดียวมีผู้เผยแพร่มากกว่า 100,000 คน!
บ่อยครั้งที่ผมกับมารีอาคิดถึงญาติมิตรผู้เป็นที่รักของเรา ซึ่งยังคงซื่อสัตย์ปฏิบัติราชกิจอยู่ในไซบีเรีย ดินแดนซึ่งได้กลายเป็นบ้านที่เรารักมาก. ทุกวันนี้ มีการจัดการประชุมใหญ่ที่นั่นเป็นประจำ และพยานฯประมาณ 2,000 คนทำงานอย่างแข็งขันทั้งในและรอบอีร์คุตสค์. จริงทีเดียว คำพยากรณ์ที่ยะซายา 60:22 (ล.ม.) ก็สำเร็จเป็นจริงในภูมิภาคแห่งนี้ของโลกเช่นกัน ที่ว่า “คนจิ๋วจะเพิ่มเป็นจำนวนพัน และคนตัวเล็กจะเพิ่มเป็นชนชาติใหญ่.”
[รูปภาพหน้า 20]
กับพ่อของผม ครอบครัวของเรา และคนอื่นที่ถูกเนรเทศไปที่อีร์คุตสค์ ในปี 1959
[รูปภาพหน้า 23]
เด็ก ๆ ระหว่างถูกเนรเทศที่อิซครา
[รูปภาพหน้า 25]
ปีที่เราแต่งงาน
[รูปภาพหน้า 25]
กับมารีอาในปัจจุบัน